วันนี้ (10 เมษายน 2018) เป็นวันที่ Ford Motor ได้ฤกษ์เปิดตัว All NEW Ford Focus Generation ที่ 4 นับเป็นการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะรถรุ่นนี้มีความสำคัญแก่ Ford มาก ไม่แพ้รถกระบะหรือ SUV รุ่นอื่น ๆ เลย
Focus Hatchback Vignale
การเปิดตัว All NEW Ford Focus จะมาพร้อมกัน 2 ตัวถัง หลากเวอร์ชัน ได้แก่
- Ford Focus Sedan
- Ford Focus Hatchback Trend/Titanium
- Ford Focus Wagon
- Ford Focus Hatchback Vignale รุ่นตกแต่งระดับพรีเมี่ยม
- Ford Focus Active ในรูปแบบ Crossover
- Ford Focus Hatchback ST-Line เวอร์ชันแรง
Ford ระบุว่าวิถีการพัฒนา All NEW Focus จะยึดหลักการพัฒนาที่ใกล้ชิดลูกค้ามากยิ่งกว่าที่เคยเป็น โดยยึดหลักการออกแบบตามหลักของมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ดีไซน์ภายนอกจึงสะท้อนด้านอารมณ์ ขณะเดียวกันก็มีภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางขึ้น พร้อมยกระดับวัสดุตกแต่งและการประกอบระดับให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้น
Amko Leenarts ผู้อำนวยฝ่ายการออกแบบ Ford Europe กล่าวว่า พวกเขาต้องการให้ All NEW Focus กลายเป็นสินค้าที่ลูกค้าตกหลุมรัก ดังนั้น ทั้งภายนอกและภายใน จะเป็นการออกแบบตามปรัชญาใหม่ที่ช่วยสร้างความน่าจดจำและยังคงรักษาความสัมพันธภาพระหว่างตัวรถและมนุษย์
Focus Sedan
All NEW Ford Focus มีสัดส่วนตัวรถที่ดูเติบโตมากกว่ารุ่นก่อน สะท้อนถึงความพรีเมี่ยม ดูสปอร์ต และขณะเดียวกันมันก็มอบความสะดวกสบายและความกว้างขวางของห้องโดยสารได้ไปในตัว นั่นเป็นเพราะว่าทีมออกแบบได้ขยับเสา A ร่นไปทางด้านหลัง เพื่อรักษาสมดุลของระยะฐานล้อหน้าให้อยู่ระหว่างกลางห้องเครื่องมากที่สุด และช่วยหลอกตาว่ามันมีด้านหน้าที่ดูยาว
การออกแบบเส้น Belt Line ที่ลากยาวจากด้านหน้าไปยังเส้นมัดกล้ามของซุ้มล้อหลัง เป็นการลากเส้นที่ไม่ใช่เส้นตรงเสียทีเดียว มีลูกเล่นของการตกกระแทบแสงและเงาซึ่งเป็นผลจากการขัดเกลามิติดีไซน์ครึ่งคันบนให้ลดความแข็งทื่อของสัดส่วนตัวถัง
All NEW Ford Focus ได้ขยายระยะฐานล้ออีก 53 มิลลิเมตร (รุ่นเดิม 2,648 มิลลิเมตร เมื่อบวกระยะที่เพิ่มก็จะเป็น 2,701 มิลลิเมตร) พร้อมทั้งลดระยะโอเวอร์แฮงค์รอบคัน ส่งผลให้ตัวรถดูทะมัดทะแมง สปอร์ตปราดเปรียวขึ้น และยังสามารถเพิ่มเนื้อที่ภายในห้องโดยสารได้อีกทางหนึ่ง
Focus ST-Line
หลักการอากาศพลศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญในกระบวนการออกแบบ พวกเขาจึงเข้มงวดกับการขัดเกลาเส้นสายภายนอกตัวรถ, มิติตัวรถจะต้องเพรียวบาง และมีองค์ประกอบอื่น ๆ เพื่อจัดการกระแสลมให้ลื่นอย่างที่ควรจะเป็น ได้แก่
- กระจังหน้าเปิด-ปิด อัตโนมัติ Active Grille Shutter
- เทคโนโลยีม่านอากาศ ที่ช่วยให้ลมไหลผ่านล้อหน้าอย่างสะดวก
- การออกแบบกันชนหลัง สปอยเลอร์ท้าย ที่ลดอากาศหมุนวน
- ติดตั้งบังลมใต้ท้องรถ
นอกจากนี้ตัวรถยังเบากว่ารุ่นเดิม 88 กิโลกรัม และเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรกด้วยหม้อลมเบรกไฟฟ้า ที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพในการหยุดรถและมีส่วนช่วยในการประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้น
กระจังหน้าใหม่ยึดหลักการออกแบบที่เรียบง่ายและกลมกลืนกับส่วนอื่น และจะแตกต่างไปตามแต่ละรุ่นย่อย ไฟท้ายถูกออกแบบให้เป็นแบบ 2 ชิ้น โดดเด่นมาก ๆ ด้วยไฟท้าย Signature DRL LED
ภายในห้องโดยสารถูกออกแบบให้น่าเข้าไปสัมผัสและรู้สึกได้ถึงคุณภาพของวัสดุที่ใช้ ด้วยการบุวัสดุนุ่มบนพื้นผิวที่ร่างกายของมนุษย์สัมผัส มีเส้นสายที่เรียบง่าย ดูผ่อนคลาย
Focus Active
เครื่องยนต์
- เบนซิน Ecoboost 1.0 ลิตร ให้กำลัง 85, 100 และ 125 แรงม้า(PS) ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ต่ำสุด 107 กรัม/กิโลเมตร ในรุ่น 5 ประตู
- เบนซิน Ecoboost 1.5 ลิตร ให้กำลัง 150 และ 182 แรงม้า (PS) ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ต่ำสุด 122 กรัม/กิโลเมตร
- ดีเซล Ecoblue 1.5 ลิตร ให้กำลัง 95 และ 120 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ปล่อยค่าไอเสียต่ำสุด 91 กรัม/กิโลเมตร ในรุ่น 5 ประตู
- ดีเซล Ecoblue 2.0 ลิตร ให้กำลัง 150 แรงม้า (PS) แรงบิด 370 นิวตันเมตร ปล่อยค่าไอเสียต่ำสุด 112 กรัม/กิโลเมตร ในรุ่น 5 ประตู
ทุกรุ่นจะติดตั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะและพิเศษ Ford ได้แนะนำเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ที่เคลมไว้ว่าช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และตอบสนองต่อสมรรถนะได้ทันใจ เกียร์ชนิดนี้จะติดตั้งเฉพาะเครื่องยนต์ เบนซิน Ecoboost 1.0 ลิตร 125 แรงม้า, เบนซิน Ecoboost 1.5 ลิตร 150 แรงม้า, ดีเซล Ecoblue 1.5 ลิตร 120 แรงม้า และดีเซล Ecoblue 2.0 ลิตร 150 แรงม้า
จุดเด่นของเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ คือระบบประมวลผล 2 ระบบ
- Adaptive Shift Scheduling ระบบจะประเมินลักษณะการขับขี่ เพื่อปรับช่วงเวลาการเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะสมสำหรับแต่ละผู้ขับขี่ ระบบยังสามารถวิเคราะห์ถึงลักษณะการขับขี่ขึ้นเขา, ลงเขา และการสาดโค้งว่าแรงแค่ไหนได้ด้วย โดยข้อมูลทั้งหมดจะนำไปปรับการเข้าเกียร์เพื่อให้การขับขี่มีเสถียรภาพมากขึ้น, สนุกสนานและสร้างประสบการณ์การขับขี่อันน่าประทับใจ
- Adaptive Shift Quality Control ระบบจะประเมินตัวรถและสิ่งแวดล้อมรอบด้าน เพื่อช่วยปรับแรงกดคลัทช์เพื่อการเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวลอย่างต่อเนื่อง เทคโนโลยีนี้จะช่วยเพิ่มความนุ่มนวลขณะขับขี่ได้
All NEW Ford Focus ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง All NEW C2 Platform ที่มอบความเหนือชั้นและการขับขี่ที่สนุกสนาน มีการออกแบบ Subframe แยกตัวอิสระจาก short long arm (SLA) ในด้านหลัง ที่มอบทั้งความนุ่มนวลและการตอบสนองต่อการขับขี่ ช่วยสร้างสมดุลในการขับขี่แม้เจอเนินลูกใหญ่บนท้องถนน สำหรับในตัวถัง Wagon จะมีการปรับมุมเรขาคณิตของแขน SLA โดยยังคงรักษาความเสถียรขณะขับขี่ และยังขยายพื้นที่ห้องสัมภาระท้ายให้มากขึ้น
Focus Wagon
All NEW Ford Focus จะติดตั้งระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ Co-Pilot360 ที่จัดว่ารวบรวมเทคโนโลยีระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติ Level 2 ได้แก่
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Adaptive Cruise Control พร้อม
- ระบบรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าและเตือนให้ผู้ขับขี่อยู่ในช่องจราจร Stop & Go, Speed Sign Recognition and Lane-Centring
ระบบความปลอดภัยถูกติดตั้งอย่างเต็มพิกัด ได้แก่
- ไฟหน้าปรับมุมตามการเลี้ยวอัตโนมัติ Adaptive Front Lighting System
- ระบบเตือนการชนด้านหน้า Pre-Collision Assist (ตรวจจับคนเดินถนน และ จักรยาน)
- ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา Blind Spot Information System
- ระบบเตือนเมื่อมีรถตัดผ่านขณะถอยหลัง Rear Cross Traffic Alert
- ระบบช่วยควบคุมพวงมาลัย Evasive Steering Assist
- ระบบเตือนย้อนศรจราจร Wrong Way Alert
- ระบบควบคุมรถสำหรับผู้ปกครอง Ford MyKey
- ระบบ Post-Collision Braking
สุดท้าย Ford Motor ก็ขอสยบข่าวลือที่ว่าจะย้ายฐานการผลิต Focus ไปยังจีนทั้งหมด ด้วยการประกาศว่า All NEW Ford Focus สำหรับตลาดยุโรปยังคงถูกผลิตที่โรงงาน Saarlouis ประเทศเยอรมนีที่ขึ้นชื่อว่าเป็นโรงงานที่มีคุณภาพและมีฝีมือการประกอบที่ดีที่สุด
ที่มา : Motor1