เป็นที่แน่นอนแล้วว่าทิศทางการพัฒนารถยนต์ในช่วง 5 ปีนี้ ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะเป็นลูกเล่นใหม่(และใหญ่)
ในวงการรถยนต์ ที่ทุกค่ายต่างพยายามพัฒนาใส่รถยนต์รุ่นใหม่ของตน ด้าน Volvo ค่ายรถยนต์ที่เน้นเรื่องความปลอดภัย
มาตลอด และเชื่อว่าระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะช่วยลดอุบัติเหตุได้ ออกมาอัพเดทโครงการ ‘Drive Me’ ให้ได้
ติดตามความคืบหน้าของโครงการที่มีมากว่า 2 ปีแล้ว อีกทั้งยังเผยความชาญฉลาดที่ล้ำหน้ากว่าระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติทั่วไป

alt

โครงการ Drive Me เริ่มต้นใน พ.ศ.2556 และในขณะนี้ Volvo กำลังเตรียมรถยนต์ที่ติดตั้งระบบ Drive Me
จำนวน 100 คัน เพื่อให้ผู้ขับขี่ในเมือง Gothenburg ประเทศสวีเดน ได้ทดสอบภายในปี พ.ศ.2560 ซึ่งจะเป็น
การร่วมมือกันระหว่าง Volvo กับภาคราชการหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผู้ออกกฏหมายจราจร กรมการขนส่งทางบก
และสำนักว่าการนครโกเทนเบิร์ก เพื่อร่วมพัฒนาระบบให้สมบูรณ์ ซึ่งจะส่งให้เกิดการเดินทางที่ปราศจากอุบัติเหตุได้ในอนาคต

Volvo ได้พัฒนาระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติอย่างพิถีพิถัน เพื่อช่วยวิเคราะห์และป้องกันความผิดพลาดในสถานการณ์ต่างๆ
บนท้องถนน โดยมีการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยทั้งระบบตรวจจับความเคลื่อนไหว การตั้งพิกัดตัวรถด้วยระบบคลาวด์ (Cloud-based 3D Digital Map)
พัฒนาระบบเบรกและระบบพวงมาลัยให้ชาญฉลาดจนสามารถบังคับทิศทางรถยนต์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

Dr. Peter Mertens รองประธานอาวุโสฝ่ายวิจัยและพัฒนา Volvo Car Group กล่าวว่า “พวกเรากำลังก้าวเข้าสู่
โลกที่ไม่มีใครเดินทางไปถึง เทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเคยรู้จักเกี่ยวกับ
การเดินทาง ในอนาคตเราจะสามารถเลือกได้ว่าต้องการขับรถหรือให้รถยนต์ขับเคลื่อนให้เรานั่ง สิ่งนี้จะเปลี่ยน
เวลาที่เสียไปให้เป็นเวลาที่เราใช้ประโยชน์ได้ ไม่ว่าจะเพื่อทำงานหรือเพื่อความบันเทิง”

alt

ระบบ Autopilot ของ Volvo นั้น ถูกออกแบบให้เชื่อถือได้ เพื่อให้รถยนต์สามารถเข้าควบคุมทุกสถานการณ์การขับขี่
เมื่อถูกสั่งให้ขับเคลื่อนอัตโนมัติ เทคโนโลยีนี้ Volvo ได้พัฒนาให้ก้าวไปสู่อีกขั้น นั่นคือการเตรียมรับมือกับสถานการณ์ผิดพลาด
และเหตุฉุกเฉินได้ โดยใช้หลักการเดียวกันกับในเครื่องบิน คือจะมีระบบสำรองเข้าทำงานแทนที่ในทันที หากพบว่า
บางสิ่งในระบบ Autopilot ไม่ทำงาน

เมื่ออยู่บนท้องถนน เทคโนโลยีที่สมบูรณ์จะสามารถทำงานได้ดีแม้อยู่ในสถานการณ์ที่ซับซ้อน เริ่มจากการขับขี่บนถนนโล่ง
ไปจนถึงการจราจรหนาแน่น ติดขัด และเหตุฉุกเฉิน Erich Coline ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคของ Volvo กล่าวว่า
“รถจะต้องมีความสามารถระดับเดียวกับผู้ขับขี่ที่เปี่ยมประสบการณ์ ในการอ่านสถานการณ์และตอบสนองอย่างถูกต้อง
ทั้งนี้ หากเกิดเหตุฉุกเฉินชนิดฉับพลันทันที รถจะมีประสิทธิภาพในการตอบสนองเร็วกว่ามนุษย์”

ในกรณีที่ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติไม่สามารถทำงานได้ อาจด้วยสาเหตุของสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย
รถยนต์มีความบกพร่อง หรือสุดทางของถนนแล้ว ระบบจะแจ้งให้ผู้ขับขี่เตรียมรับช่วงต่อ หากผู้ขับขี่ไม่สามารถ
รับช่วงต่อได้ รถจะขับเคลื่อนตัวเองไปหยุดในที่ที่ปลอดภัย

alt

นอกเหนือจากระบบนี้จะช่วยให้ชีวิตมีความสะดวกสบายและง่ายขึ้น รวมถึงช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางให้กับเรา
ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมในทางอ้อมด้วย เพราะระบบจะออกแบบการขับขี่ที่ประหยัดน้ำมันมากที่สุด
ส่งผลต่อไปให้ปล่อยมลพิษสู่อากาศน้อยลง เพราะสามารถควบคุมรถได้ตามสภาพจราจรต่างๆได้อย่างเหมาะสม
รวมทั้งเปิดโอกาสให้เมืองสามารถจัดการงานผังเมือง วางแผนโครงสร้างงานสาธารณูปโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง

ยังไม่มีกำหนดการแน่ชัดว่า Volvo เตรียมใส่ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเข้ากับรถยนต์ของตนเมื่อไหร่ แต่คาดว่าจะถูกนำมาใส่
หลังเสร็จสิ้นการทดสอบในโครงการ Drive Me ไม่นานนักครับ

ที่มา : Volvo