กระแสไฮบริดหยุดยั้งไม่อยู่เสียแล้วใครที่ยังไม่ทำหรือไม่ริเริ่มอาจจะต้องเขี่ยจากสารบัญยานยนต์โลกก็เป็นได้โทษฐานไม่รักโลกและทันความต้องการของลูกค้า แต่สำหรับผู้ผลิตรายเล็กไม่อาจทุ่มงบพัฒนาได้เต็มที่นักเพราะไม่เคยประสบการณ์หรืองบการเงินจำกัดอาจหาทางออกด้วยการยืมเทคโนโลยีจากผู้ผลิตรายใหญ่กว่า
อย่าแปลกใจที่ Mazda ต้องขอให้ Toyota ส่งชุดแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้าผนวกกับเครื่องยนต์สันดาปในของตนเองที่เตรียมจะเปิดตัวระหว่างปี 2010-2015
ปัจจัยเร่งทำให้ Mazda ตัดสินใจเปิดตัวรถ Hybrid ของตนเองเพราะรัฐบาลญี่ปุ่นลดภาษีรถยนต์ประหยัดพลังงาน,รถไฟฟ้าและรถไฮบริดอัตราที่น่าสนใจมาก อีกทั้งอดีตบริษัทแม่ Ford ลดสัดส่วนหุ้นลงกะทันหันทำให้ Mazda ไม่อาจพึ่งพาเทคโนโลยีไฮบริดได้มากนัก
การดีลกับ Toyota ไม่ใช่เรื่องเสียหายเลยเพราะยิ่งผลิตชุดไฮบริดเยอะต้นทุนก็ยิ่งต่ำลงกำไรก็เพิ่มมากขึ้นและหาก Mazda พร้อมเมื่อไรก็พัฒนาเทคโนโลยีไฮบริดเป็นของตนเองได้
เฉกเช่นเดียวกับ Nissan จำเป็นต้องยืมเทคโนโลยีไฮบริดจาก Toyota ติดตั้งในรุ่น Altima Hybrid เหตุผลสำคัญเพราะไม่ได้พัฒนาเทคโนโลยีนี้ในช่วงปลายยุค 90 เลยปล่อยให้คู่แข่งยักษ์ใหญ่ที่พร้อมทั้งเงินทุนและเทคโนโลยีนำหน้าไปก่อน
แต่ขณะนี้พวกเขาก็พร้อมจะนำเสนอเพื่อสิ่งแวดล้อมด้วยตนเองแบบไม่แคร์ใครประกาศตนเป็นผู้นำตลาดรถไฟฟ้าของโลกตั้งสถานีเติมพลังงานทั่วทุกหนแห่งเพื่อมุ่งยอดขายสูงสุดปีละมากกว่า 100,000 คัน ส่วนไฮบริดก็ไม่ตกขบวนเช่นกัน
สำนักข่าวนิกเกอิรายงานว่า Nissan เตรียมตัวจำหน่ายรถยนต์ไฮบริดที่พัฒนาด้วยตนเองครั้งแรกด้วยรุ่น Fuga ขับเคลื่อนล้อหลังภายในปี 2010 และเริ่มขยายไปยังรถรุ่นอื่น ๆ เริ่มจากรถตู้ยอดนิยมขับเคลื่อนล้อหน้า Serena ภายในปี 2011
อย่างไรก็ตามนโยบายด้านรถเพื่อสิ่งแวดล้อม Nissan ยังเน้นรถไฟฟ้าเป็นอันดับต้น ๆ อยู่ดี