ใครจะไปเชื่อว่าแบรนด์รถอินเดีย 100% เต็มขั้นอย่าง Tata จะต้องมาไล่ตามหลังแบรนด์รถ Hyundai จากประเทศผู้สร้าง K Wave Fever ในเมืองไทยมานานแสนนานเพราะไม่มีรถเล็กที่โดนใจตลาดอินเดีย แต่หลังจากมีรถรุ่นใหม่ที่คุณสมบัติตรงใจชาวอินเดียแถมราคายังถูกอีก ผลก็คือ Tata กวาดยอดขายเป็นเบอร์ 2 ประจำเดือนมิถุนายน 2010 ในอินเดียได้สำเร็จ

นับตั้งแต่ Hyundai เข้ามาดำเนินกิจการผลิตรถยนต์ในอินเดียตั้งแต่ปี 1998 สมัยที่ Hyundai ยังปึกแผ่นแค่ในตลาดเกาหลีใต้เพียงประเทศเดียวเท่านั้นทำให้ยุทธศาสตร์ของ Hyundai มองก้าวล้ำในอนาคตแล้วว่าหากเตรียมลงหลักปักฐานในตลาดประเทศเศรษฐกิจกำลังพัฒนาแต่มีประชากรล้มหลามได้เมื่อไรแล้วล่ะก็ ก้าวต่อไปของ Hyundai ก็จะสดใสมากขึ้น

การเข้ามาของ Hyundai สมัยนั้นในอินเดียเน้นเจาะตลาดรถเล็กเพื่อแข่งขันกับ Maruti Suzuki เจ้าตลาดที่ครองส่วนแบ่งตลาดครึ่งประเทศไปแล้ว ด้วยการส่งรถรุ่นใหม่ในตลาดโลกเข้ามาขายอาศัยความได้เปรียบที่ต้นทุนต่ำกว่ารถญี่ปุ่นเมื่อเทียบกับรถยุคเดียวกันทำให้สามารถตั้งราคาขายต่ำได้ดังใจ ยิ่งนานวัน Hyundai ยิ่งส่งรถเล็กราคาถูกเป็นที่ต้องการในตลาดมากเท่าไร Tata ก็ยิ่งเพลี่ยงพล้ำเมื่อนั้นเพราะตนเองไม่อาจปรับตัวแข่งขันกับ Hyundai ได้ทัน

จนมาถึงกลางยุค 2000 Tata ก็เริ่มขยับตัวกันแล้วว่าตนเองจะต้องมีบทบาทในตลาดรถยนต์โลกกับเขาบ้าง จึงคิดยุทธศาสตร์สมัยใหม่ในการพัฒนารถยนต์ตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของตลาดเกิดใหม่คุณภาพพอยอมรับได้ในราคาที่ต่ำ

1 ในนั้นก็คือ Tata Nano อันเกิดจากวิสัยทัศน์ใหม่ที่ต้องการตอบสนองความต้องการรถยนต์สำหรับครอบครัวขนาดเล็กไม่เกิน 4 คน มีรายได้เฉลี่ยต่อครอบครัวต่ำจนต้องกระเบียดกระเสียนทนขี่รถจักรยานยนต์ตากแดดตากฝนกันไป

ความคาดหวังของ Tata Nano ไม่เพียงจะช่วยกอบกู้ยอดขายรถภายในประเทศให้สามารถแข่งขันกับ Maruti Suzuki และ Hyundai ได้แล้ว Tata ยังหวังไว้ว่ามันจะต้องเป็นรถ People Car ในยุคทศวรรษใหม่เฉกเช่นเดียวกับ Ford Model-T หรือแม้กระทั่ง Toyota Corolla รถยนต์ที่ขายดีที่สุดในโลก

ความสำเร็จของ Tata Nano จัดเป็นทุกขลาภชนิดหนึ่ง คือ Tata ไม่อาจผลิตรถยนต์ได้ทันความต้องการได้ เนื่องจากโรงงานแห่งที่ 2 โดนประท้วงชาวนาอินเดีย และผู้บริโภคสงสัยแล้วว่า Tata Nano มีคุณภาพในระดับยอมรับได้จริงหรือไม่ เพราะภาพที่ได้เห็น ข่าวที่ได้ยินมันฟ้องเต็มตาเต็มหูยากจะเชื่อเต็มที

แต่โชคดีที่โรงงานผลิตรถยนต์แห่งที่ 3 ของ Tata เพิ่งจะแล้วเสร็จไม่นานนักทำให้กำลังการผลิต Tata Nano เร่งผลิตขึ้นได้จากเดิมอีก 4 เท่าตัวทำให้ลูกค้าทั้งหลายรอรถเร็วขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แม้ว่ามันยังไม่อาจตอบสนองความต้องการเป็นแสน ๆ คันในพริบตาได้

ผลก็คือยอดขายรถยนต์ในอินเดีย ประจำเดือนมิถุนายน 2010 Tata สามารถแซง Hyundai ได้สำเร็จในรอบหลาย ๆ ปีด้วยยอดขาย 27,811 คัน เติบโตสุดขีดถึง 63% เฉือนคมกับ Hyundai ที่สามารถทำยอดได้ 27,366 คันชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด ส่วนเจ้าตลาด Maruti Suzuki ก็มียอดขาย 72,812 คัน เติบโต 17.28%

ตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ Tata สามารถแซง Hyundai ได้ก็คือความสามารถในการผลิตรถ Tata Nano มากขึ้นจาก 2 พันกว่าคันต่อเดือนเป็น 7,704 คันในเดือนมิถุนายน 2010

ตัวช่วยสำคัญอีกรุ่นนอกเหนือจาก Tata Nano ที่ช่วยเชิดหน้าชูตาไม่แพ้กันคือ Indigo Manza รถซับคอมแพคท์ที่ Tata วางเกรดไว้ท้าชนกับ Honda City เหนือกว่า Indigo และ Indigo CS ซีดานท้ายสั้น มันทำยอดขายได้ถึง 7,500 คันอย่างไม่น่าเชื่อ คงเป็นเพราะออพชั่นที่อัดแน่นในราคาที่ต่ำเป็นสำคัญ

และสุดท้ายจุดเด่นที่เหนือกว่าคู่แข่งทั้งหมดคือ Tata นำเสนอทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซลลำดันต้น ๆ ของตลาด ตอบสนองความต้องการของชาวอินเดียที่เริ่มเป็นกังวลด้านความประหยัดมากขึ้น Tata ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลแทบจะครบทุกไลน์สินค้า ยกเว้น Tata Nano ซึ่งเร็ว ๆ นี้ก็จะเตรียมติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลอีก ต่างจากคู่แข่งรายสำคัญที่ยังเน้นเครื่องยนต์เบนซินกันอยู่ ทำให้แบรนด์ Tata สามารถสร้างการรับรู้ใหม่ว่าหากต้องการรถประหยัดน้ำมันก็จงเลือกรถ Tata ที่มีเครื่องยนต์ดีเซลให้เลือกด้วย

แต่น่าเสียดายตลาดเอสยูวีที่ Tata ไม่อาจไปถึงดวงดาวเดียวได้ไล่ตั้งแต่ Tata Sumo Grande ที่ไม่อาจจับจิตจับใจได้เหมือนกับ Toyota Fortuner นัก มันก็เป็นบทเรียนให้ Tata พยายามปรับปรุงรถของตนเองสม่ำเสมอโดยมีคู่แข่งเป็นตัวกระตุ้น เมื่อ Tata สามารถพัฒนาตนไปถึงจุดที่ผู้บริโภคยอมรับได้มากขึ้น ผลดีก็ตกอยู่กับผู้บริโภคทั้งนั้นครับ