“คุณจิมมี่ อ่า เย็นนี้ว่างหรือเปล่าครับ?”

โทรศัพท์ลึกลับ โทรหาผม ในช่วง 5 โมงเย็น วันที่ผมจะต้องส่งคืน Mazda MX-5
คันสีแดง คืนสู่มือของพี่อุทัย พีอาร์ใจดียิ้มสวยระดับดาร์ลี ของมาสด้า ขอนัด
ทานข้าวเย็นอย่างกระทันหัน และมิได้ตั้งตัวมาก่อน โชคดีที่ไม่มีนัดหมายอื่นใด

คำตอบที่ว่า “ว่างครับ” จึงหลุดออกจากปากไป…

อยากบอกว่า ดีใจชะมัด ที่เย็นวันนั้น…ผม…ว่าง….

ปีนี้จะได้ไปโตเกียวมอเตอร์โชว์ อีกไหมนะ?

คำถามข้างบนนี้ แอบแหวกว่ายเวียนวกวนอยู่ในซอกหลืบความคิดของผม มาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2009
แม้จะเคยเดินทางไปชมงานนี้มาแล้ว ถึง 3 ครั้ง แต่ในใจก็ยังแอบลุ้นให้เสียวเล่นได้ทุกปีที่ลงท้าย
ด้วยเลขคี่ นับตั้งแต่ปี 1999 เป็นต้นมา อันเป็นปีแรกที่ผมได้มีโอกาส สัมผัสประสบการณ์ใน
ประเทศที่ได้ชื่อว่า จัดงานแสดงรถยนต์ได้ ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากแฟรงค์เฟิร์ต
มอเตอร์โชว์

ถึงแม้ในปีนี้ ความหวังมันช่างดูริบหรี่ลงเต็มที่
แต่ในที่สุด ปีนี้ ผมก็ได้ไปชมงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ จนได้

แถมในปีนี้ พิเศษกว่าทุกปีที่ผ่านมา เพราะ ผู้ใหญ่ใจดีกลุ่มหนึ่ง บอกกับผม
บนโต๊ะอาหารเย็นในคืนนั้นว่า พวกเขา ตัดสินใจเปิดโอกาสให้ผม
พาผู้ร่วมติดตาม ไปช่วยทำงานกันได้ อีก 1 คน

โว้วววว งานนี้ จะได้ไปดูโตเกียวมอเตอร์โชว์ กับทีม The Coup เราด้วยเหรอเนี่ย!!

โอเค เรียงลำดับ ตามอาวุโส ของบอร์ดแล้ว เราก็ควรโทรชวน ท่านผู้เกิน Commander CHENG
งานนี้ ถือเป็นความฝันของเจ้าตัวที่อยากไปชมอยู่แล้ว แต่จนแล้วจนรอด ปีนี้ ท่านผู้การจอม(กิน)เกิน
ของเรา ก็อดไปอีกตามเคย เนื่องจากงานที่ออฟฟิศในธนาคารทหารไทย ก็รัดตัวติ้วๆๆๆ เล่นเอาหัว
และตัวอันอ้วนกลมของท่านผู้เกิน แกหมุนเป็นลูกข่างเลย…

ต่อมา น้องเนย ที่ปรึกษาด้านบัญชี และกฎหมายของพวกเรา รายนี้ก็ไม่ว่างอีก งานเข้า
อย่างว่าล่ะครับ เครือซีเมนต์ไทย หรือ SCG เป็นบริษัทใหญ่ งานไม่เยอะ ก็คงไม่ใช่บริษัทแห่งนี้แล้วละ

เอาแล้วไง ใครกันดี…เจ้ากล้วยน้อย BnN เลยแล้วกัน…โทรปุ๊บ รับสาย ติดปั๊บ
เจ้าตัวตอบตกลงไปในทันที แบบไม่ต้องคิดกันนานให้เสียเวลา

กระบวนการจัดทำ วีซ่า และใบขับขี่สากล ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว จนน่าตกใจว่า
ทำไมมันเร็วได้ถึงขนาดนี้ เร็วถึงขนาดว่า พอมารู้ตัวอีกที..ร่างอ้วนๆกลมๆ ของผม
กับร่างผอมๆ ของเจ้ากล้วย ก็มาถึงสนามบิน Chubu Centrair ใน Nagoya เช้าวันที่
19 ตุลาคม 2009 จนได้…

2 วันก่อนหน้าเราจะเข้าสู่โตเกียว เพื่อเยี่ยมชมโตเกียวมอเตอร์โชว์นั้น เราทำอะไรไปบ้าง
ยังไม่เล่าให้อ่านในตอนนี้ เพราะสิ่งที่เป็นเป้าหมายหลักของเรา รออยู่แล้วที่ Makuhari Messe
ในจังหวัด Chiba …..เช้าวันที่ 21 ตุลาคม 2009 อันเป็นรอบสื่อมวลชน วันแรก ของงานครั้งนี้

การไปเยือนโตเกียวมอเตอร์โชว์ นั้น โดยปกติ เรามักจะติดสอยห้อยตาม กลุ่มทัวร์ ที่ทาง
บริษัทรถยนต์จัด ซึ่งมักจะมี โตโยต้า และ ฮอนด้า เป็น 2 ค่าย ที่รับหน้าที่เป็นโต้โผ อนุเคราะห์
พาเราไปเปิดหูเปิดตากันเป็นปกติ ดังนั้น พาหนะในแทบทุกครั้งที่ผ่านมา จึงมักเป็นรถโค้ช
ปรับอากาศอย่างดี เดินทางกันให้สบายๆ

แต่ในเมื่อปีนี้ ทริปของเรา เป็นทริปกลุ่มเล็ก มีผู้ร่วมหัวหกก้นขวิดกับเรา รวมกันแล้วมี
สมาชิกกันแค่ 5 คน หากเช่าเหมารถทัวร์ แท็กซี่ หรืออะไรก็ตาม ที่เกินกว่ารถไฟ ก็จะแพงเกิน
กว่าจำเป็นไปทันที

อีกทั้ง เมื่อมานึกดูแล้ว ดีเสียอีก ที่เราจะเดินทางกันด้วยรถไฟ เพราะเราจะได้ทำบทความออกมา
ให้คุณผู้อ่าน ที่คิดตั้งท่า เตรียมตัวจะเดินทางไปชมงานนี้ ในปีนี้ หรือปีต่อไป (2011)
ได้ใช้เป็นแนวทาง ในการเดินทางไปเข้าชมงาน ด้วยตนเอง อย่างสะดวก (แต่ไม่ค่อยสบายนัก)
รับประกันว่า ถึงที่หมายอย่างแน่นอน (แม้อาจเป็นสภาพปลากระป๋องตรา 5 แม่ครัวยัดทะนาน
ก็ตามเถอะ)

ขั้นแรก ไม่ว่าจะพักอยู่ที่ไหน ในโตเกียว ขอแนะนำว่า พยายามมองหาสถานีรถไฟ
ที่ใกล้ที่สุดเข้าไว้ เช้าวันงาน กรุณาใช้ สูตร 6 7 8

เปล่า มันไม่ใช่สูตรปุ๋ยยูเรียตราหัววัวคันไถ แต่มันเป็นสูตรของทริปเดินทางตามปกติ
มาจาก กำหนดเวลา ตื่น 6 โมงเช้า พร้อมทานมื่อเช้า 7 โมง และเริ่มออกเดินทาง 8 โมง

เมื่อถึงสถานีรถไฟ กรุณา มองหา เครื่องจำหน่ายตั๋ว พยายามมองหาเส้นทางไหนก็ได้ ที่จะ
ขึ้นรถไฟ สาย Yamanote อันเป็นสายวน Loop รอบกรุงโตเกียว รถไฟสายนี้ เป็นรถไฟ
สายสำคัญที่สุดของมหานครแห่งนี้ เพราะ ณ วันที่เราไปใช้บริการกัน มันมีอายุ ครบรอบ 100 ปี
พอดีเลย!!!! แม่เจ้า!!!

ในวันที่เราอยู่ในโตเกียวนั้น เราพักอยู่ที่ Shinagawa Prince hotel ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ
สถานีรถไฟ JR Shinagawa พอดีเลย ดังนั้น เราจึงแค่ข้ามถนน เข้าสู่สถานีรถไฟ

แล้วไปซื้อตั๋ว รถไฟ Yamanote โดยไปลงที่สถานี Tokyo อันเป็นสถานีหลักของระบบรถไฟในญี่ปุ่น

ช่วง Rush Hour ของสถานีรถไฟในญี่ปุ่น ไม่ต้องกลัวของหายครับ ไม่มีใครอยากขโมยหรอก

กลัวว่ามันจะหลุดหายไปกับกระแสผู้คนเถอะ

จากนั้น ต่อรถไฟสาย Keiyo Line Rapid Service เพื่อมุ่งหน้า เพียงต่อเดียว
ก็จะ ถึงจุดหมาย คือ สถานี Keihin Makuhari โดยไม่แวะพักสถานีใดๆทั้งสิ้นเลย

ภายในของรถไฟสาย Keiyo Line ที่เรานั่งกัน พร้อมกับพนักงานตรวจตั๋ว เป็นแบบข้างล่างนี้

ตลอด 29-35 นาทีนั้น ถ้าระหว่างทาง คุณมองไม่เห็น Tokyo Disneyland
ทางฝั่งขวามือของคุณบ้างเลย ผมคงต้องขอแสดงความยินดีกับคุณว่า

คุณขึ้นรถไฟ ผิดสายแล้วละครับ คิคิ วิธีแก้คือ ลงสถานีที่ใกล้ที่สุด ถามเจ้าหน้าที่
ซึ่งพูดอังกฤษได้บ้างไม่ได้บ้าง ตามแต่โชคของคุณจะพาให้ไปเจอ เขาหรือเธอเหล่านั้น
จากนั้น ขึ้นรถไฟย้อนกลับไปยังสถานี ที่พอจะต่อรถไฟเที่ยวที่ถูกได้ จากนั้น อาจมี
การจ่ายค่าโดยสารเพิ่ม หรือ Fare Adjustment นิดนึง ตามที่เจ้าหน้าที่ในแต่ละขบวนรถ
จะแจ้งกับเรา (เป็นภาษาญี่ปุ่น -_-‘)

ในที่สุด คุณก็จะมาถึงสถานีรถไฟ Keihin Makuhari อันเป็นจุดหมาย

และเมื่อเดินลงจากสถานี เสียบตั๋วเข้าเครื่องเก็บตั๋ว แล้ว กรุณาเลี้ยวซ้าย

จะมีทางเดินอย่างที่เห็นนี้ ให้เดินตรงไปตามทาง

เมื่อย้อนกลับไปมองด้านหลัง มันควรจะเป็นภาพข้างบนนี้ ถ้าไม่ใช่ ก็มาผิดทางแล้วละครับ

จากนั้น ถ้าคุณเห็นป้ายห้างสรรพสินค้า PLENA แสดงว่า
เดินถูกทางแล้ว ให้เลี้ยวขวา เดินเลียบไปตามทางเดินข้างห้างฯ
ก่อนจะซ้ายที่หัวมุมถนน

แล้วเดินขึ้นสะพานลอย อย่างที่เห็นอยู่

จากนั้นเลี้ยวขวา เดินไปตามทางเดินเชื่อมต่อ ของ
World Bussiness Garden (Malibu East)

เดินไปจนสุดทางนั่นละครับ….

ก่อนที่จะเลี้ยวซ้าย ตามภาพข้างบน…เพื่อเข้าสู่บริเวณ
ทางเข้าหน้างาน อาคารหลักอย่างที่เห็นอยู่ข้างล่างนี้

นั่นละครับ ทางเข้างาน Hall หลักอยู่ไม่ไกลแล้วละ หยิบ บัตร Press ออกจากกระเป๋า มาเตรียมไว้ในมือได้เลย

หันไปมองด้านหลัง จะเป็นภาพแบบนี้

เอาละ ข้างหลังหนะ ไม่มีอะไรดูมากกว่านี้แล้วละ หันไปดูความตื่นเต้นที่รออยู่ข้างหน้าดีกว่า

งานโตเกียวมอเตอร์โชว์ในปีนี้ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 41 แล้ว นับตั้งแต่ปี 1954
จัดขึ้นโดย สมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งญี่ปุ่น หรือที่รู้จักกันในชื่อของ JAMA 
หรือ Japan Automobile Manufacturers Association,Inc. งานในปีนี้ จัดขึ้น
ระหว่างวันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม –  วันพุธ ที่ 4 พฤศจิกายน  2009 โดยรอบสื่อมวลชนนั้น
จะจัดขึ้นก่อนหน้า วันงานจริง 2 วัน ตามประเพณีดั้งเดิม คือ วันพุธ ที่ 21 และ
วันพฤหัสบดี ที่ 22 ตุลาคม 2009 รอบ แขกรับเชิญพิเศษ รวมทั้งพิธีเปิดอย่าง
เป็นทางการ จัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2009 และรอบประชาชนทั่วไป
จะเริ่มตั้งแต่วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2009 จนสิ้นสุดงาน

สิ่งเดียวที่จะแตกต่างไปจากงานในครั้งก่อนๆ ก็คือ บรรยากาศอันเหมือนจะเงียบเหงา
นักข่าวจากทั่วโลก มีปริมาณจัดอยู่ในประเภท “เบาบาง” ไม่หนาตาเท่ากับปีก่อนๆ

แน่ละ ผู้ผลิตรถยุโรป พากันถอนตัว ออกไปจนแทบจะเกลี้ยง มีเพียง Alpina ที่เลือก
จะเดินหน้าร่วมงานต่อไป เพื่อโปรโมทรถรุ่นใหม่ของตน ร่วมกับ Lotus และ
Catherham  2 ผู้ผลิตรถสปอร์ตจากสหราชอาณาจักร

การที่นักข่าวดูเบาบางอย่างนี้ แม้จะดูเหมือนไม่ค่อยเป็นผลดีนักในภาพรวม แต่สำหรับผมแล้ว
อยากบอกว่า โคตรมีความสุขเลยครับ ได้เดินเล่นปลอดโปร่ง พอกับวันงาน Motor Expo
ที่เมืองทองธานี กันเลยทีเดียว ทำงานง่ายขึ้นเยอะ เก็บเอกสาร ง่ายขึ้น ไม่ต้องไปแก่งแย่ง
ชิงดีกับพวกฝรั่งอั้งม้อ อย่างงานคราวก่อนๆ แทบทุกบูธ จะแจก Press Kit กันที่บูธของตนเอง
ยกเว้น Toyota Lexus Daihatsu ที่จะมี Press Kit เบื้องต้น จัดเตรียมไว้ให้ ที่บริเวณห้องพักสื่อมวลชน

แถมห้อง Press Room หรือห้องพักสื่อมวลชนที่จัดเตรียมไว้ ก็ยังเบาบาง มีนักข่าวใช้งานไม่มากนัก
ยังมีโทรศัพท์ ระหว่างประเทศ Fax เครื่องถ่ายเอกสาร บริการซ่อมกล้องถ่ายรูปฟรีๆ จาก Canon
เครื่องดื่ม และบริการอื่นๆ ไว้คอยต้อนรับสื่อมวลชนจากทั่วทุกมุมโลก เช่นเดิม

อีกทั้ง คราวนี้ บริการฝากของ นั้น ยกเลิกการใช้ระบบ เอาบัตร Press ที่ฝังด้วย U-Chip แปะฝากของไว้
แล้วเจ้าหน้าที่จะนำไปเก็บให้เอง คราวนี้ เพื่อเป็นการลดต้นทุน อีกทั้ง ยังมีเสียงนักข่าวจากต่างชาติ
บ่นถึงความไม่สะดวกของระบบดังกล่าว ปีนี้ จึงกลับมาเปิดตู้ล็อกเกอร์ ให้สื่อมวลชน ได้ใช้งาน กัน
เหมือนเช่นในปี 2005 ตามเคย อีกทั้งการทำข่าว ก็ง่ายขึ้น ถ่ายรูปได้ง่ายขึ้น ยกเว้นจะถ่ายเจาะเป็นพิเศษ
ในแต่ละรุ่นรถต้นแบบ ซึ่งยังคงต้องใช้วิธีการจองคิว กับเจ้าหน้าที่รอบๆบูธ นั้นๆ เหมือนเดิม

ทั้งหมดนี้ ทำให้ผมกับเจ้ากล้วย BnN สามารถทั้งหมดที่ต้องทำ เสร็จสิ้นจนเกลี้ยงได้ ภายในวันแรก
ของรอบสื่อมวลชน เท่านั้นเอง เลยเหลือเวลาไปทัวร์ที่อื่น ในวันที่ 22 ได้โดยไม่ต้งกลับเข้างานอีกครั้ง
นับว่า ช่วยให้เกิดประโยชน์ต่อการมาญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นอันมาก!

และนับจากนี้ เราจะมาเจาะรายละเอียดของรถยนต์แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นที่น่าสนใจ ซึ่งจัดแสดงอยู่ในงาน
โดยเรียงลำดับตามตัวอักษร ไม่ได้จัดเรียงตามความใหญ่โตของแต่ละบริษัทรถยนต์แต่อย่างใด



ALPINA

หนึ่งในผู้ผลิตจากยุโรปเพียง 3 ราย ที่เข้าร่วมงานแสดงครั้งนี้  ซึ่งก็ต้องถือว่า
มี Spirit ดีมากๆ ก็แน่ละ รายได้ส่วนหนึ่งของ อัลพินาทุกวันนี้ มาจากญี่ปุ่นนี่หว่า

30 ปีในญี่ปุ่น ขายรถไปได้ 3,000 คัน…เฉลี่ย ปีละ 100 คัน? เยอะอยู่นา 

ถึงแม้รูปแบบของบูธ
จะดูธรรมด๊า ธรรมดา เหมือนไม่มีอะไรน่าสนใจ

แต่นักนิยมความแรง ระดับไฮโซ
ต่างรู้ดีว่า คราวนี้ อัลพินา ซ่อนของดีไว้ในบูธ…

ของดีที่ว่าหนะ ก็คือ คันสีขาวนี่เอง ชื่อรุ่นอะไร ดูเอาจากบอร์ดได้เลยครับ
BMW ALPINA B7 BiTURBO Limousine Long
ไส้กรอกพันธ์แรง ที่ต้องระบุให้ชัดด้วยว่าเป็นรุ่นตัวถังยาวนะ

ถ้าจะถามว่า มันพิเศษยังไงแล้วละก็……..

ดูสเป็กแล้วผมคงไม่ต้องเล่าให้คุณอ่านกันมากนะครับ อ่านจากในสเป็กเลยดีกว่า จะได้รู้ว่า มันแรงจน Nissan GT-R ยังค้อนขวับ!

 

DAIHATSU

บูธ Daihatsu ประจำปีนี้ กลับมาเช่าใช้พื้นที่ร่วมกันกับ Toyota อีกครั้ง เช่นเดียวกับ โตเกียวมอเตอร์โชว์ 2005
หลังจากที่แยกพื้นที่จัดแสดงออกไปเป็นเอกเทศมาแล้ว เมื่อปี 2007 แต่แบ่งแยกพื้นที่ออกจากกันชัดเจน ผู้ผลิต
รถยนต์กระทัดรัดชั้นนำของญี่ปุ่นรายนี้ ยังคงชูสโลแกน “Innovation for Tomorrow” เป็นไอเดียหลักในการจัดงาน
อยู่ดี เพราะไดฮัทสุเชื่อมาตลอดว่า ปัญหาสภาพแวดล้อมของโลกจะลดลงได้ ก็ต่อเมื่อเราใส่ใจต่อรถยนต์
ขนาดเล็ก ทั้งหันมาผลิต และหันมาใช้งานกันให้มากขึ้น ดังนั้น ปีนี้ เราจึงยังเห็นแนวทางเดิมๆ จากไดฮัทสุ
ที่มุ่งสร้างรถยนต์ขนาดกระทัดรัด ประหยัดพลังงาน แต่ยังน่ารัก และขับขี่สนุกตามอัตภาพ

ไฮไลต์ของบูธไดฮัทสุ ปีนี้ มีเพียง 4 รุ่น เริ่มกันที่ e:S ซึ่งมีชื่อเรียกเต็มๆว่า eco&smart รถต้นแบบคันนี้
คือแนวทางที่ไดฮัทสุเห็นว่า เป็นมาตรฐานของรถยนต์ขนาดกระทัดรัด ที่ควรจะเป็นในอนาคต

จุดเด่นอยู่ที่ขนาดตัวถัง ซึ่งยาวเพียง 3,100 มิลลิเมตร กว้าง 1,475 มิลลิเมตร สูง 1,530 มิลลิเมตร และมี
ระยะฐานล้อสั้นเพียง 2,175 มิลลิเมตร ถึงจะลดขนาดตัวถังลง แต่ยังมีพื้นที่มากพอสำหรับ ผู้ใหญ่ 4 คนเดินทาง
ด้วยกันได้สบายๆ อีกทั้งด้วยการพัฒนาให้ เบาะนั่ง และวัสดุต่างๆในตัวรถมีน้ำหนักเบา ทำให้น้ำหนัก
ตัวรถทั้งคันมีน้ำหนักเบา ไม่รวมของเหลว แค่ 700 กิโลกรัม เท่านั้น!

ส่วนเครื่องยนต์ ยังคงเป็นแบบ  สูบ 660 ซีซี ตามพิกัดการเสียภาษีในประเภท K-Car ในญี่ปุ่น
แต่มีการปรับปรุงระบบควบคุมการเผาไหม้ ที่ไดฮัทสุพัฒนาขึ้นเอง ทำงานร่วมกับระบบฟอกไอเสีย
EGR และระบบ ดับเครื่องเองติดจอด ติดเครื่องเองตอนเหยียบคันเร่ง Idliing Stop ที่เริ่มจะฮิตกันแล้วในญี่ปุ่น

ผลของเทคโนโลยีดังกล่าวทำให้ Daihatsu เคลมว่า Daihatsu e:S ประหยัดน้ำมัน 30 กิโลเมตร/ลิตร
ตามมาตรฐานการวัดอัตราสิ้นเปลืองโหมด 10-15 ถือว่า ประหยัดเทียบเท่ารถยนต์ Hybrid เลยทีเดียว

คันต่อไป คือ Deca Deca ชื่อฟังดูยิ่งใหญ่มากแต่ที่จริงแล้วมันคือรกล่องติดล้อขนาดเล็กในพิกัดภาษี
K-car มีหน้าตาคล้าย ๆ Honda Mobilio (ต้นตระกูลของ FREED ไง) ผสมพันธุ์กับ Daihatsu Tanto
รุ่นดั้งเดิม และนำเอาเส้นสายกึ่งล้ำยุค กึ่งเครื่องครัวสแตนเลสตราหัวม้าลาย ที่พบได้ใน Daihatsu Naked
K-Car 5 ประตู อเนกประสงค์ ทรงโดดเด่นแบบแปลกๆ ที่ขายไม่ดีเลย ในช่วง 1999 – 2001 อยู่ไม่น้อย

 

แนวคิดการออกแบบเจ้า Deca Deca นั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่ารถต้นแบบสไตล์ญี่ปุ่นทั่วไป ที่มีให้เห็น
กันตั้งแต่ 10 ปีที่ผ่านมา คือการเป็นแนวกล่องบึกบึนหรือแนวคิด Super Box ที่เน้นเทคโนโลยี
การออกแบบห้องโดยสารให้มีความกว้างขวาง พื้นตัวถังเรียบสนิท พื้นต่ำให้เข้าออกห้องโดยสารได้ง่าย
ประตูบานหน้าและหลังเปิดแบบ side by side หรือประตูตู้กับข้าว กางออกได้กว้างถึง 135 องศา

ห้องโดยสารเน้นเนื้อที่ใช้สอยมากเริ่มจากแผงคอนโซลที่บางเฉียบ เบาะนั่งทั้งสองตอนที่บางเฉียบเอามาก ๆ
จนดูคล้ายเบาะนั่งรถโดยสารประจำทางจากเมืองจน ที่วิ่งเล่นอยู่ในกรุงเทพฯ แต่เห็นแบบนี้ อย่าดูถูก
เป็นอันขาดเพราะชุดเบาะนั่งเหล่านี้สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้อเนกประสงค์เท่าที่สุดที่คุณเคยเห็นมา
เช่น หากคุณจะจัดประชุมส่วนตัว คุณสามารถจัดเรียงเบาะให้หันหน้าชนกันและต้องกางโต๊ะขนาดย่อมที่ติดตั้งไว้
ด้านข้างห้องโดยสารเพื่อวางอุปกรณ์การประชุม เป็นต้น

ตัวรถมีความยาว 3,395 มิลลิเมตร กว้าง 1,475 มิลลิเมตร สูง 1,820 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ
น้อยกว่า วีออสรุ่นแรกไป 10 มิลลิเมตร คือ 2,490 มิลลิเมตร ไดฮัทสุบอกว่า Deca Deca
จะถูกวางเครื่องยนต์ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 660 ซีซี เทอร์โบ แม้จะยังไม่บอกตัวเลขสมรรถนะ
แต่เดาได้ไม่ยาเย็นว่า กำลังสูงสุดจะถูกหยุดไว้ที่ 64 แรงม้า (PS) แน่นอน ขับเคลื่อล้อหน้า
ใช้ยางขนาด 165/50R15

 

คันที่ 3 ยังคงเป็นรถต้นแบบ มีชื่อว่า Daihatsu Basket เป็นงานออกแบบที่ ญี่ปุ๊นนน ญี่ปุ่น จริงๆ
คือ ต้องดูเรียบง่าย แต่มีบุคลิกแปลกๆ ในตัวเอง ติดเรโทรนิดๆ น่ารักหน่อยๆ ไม่แหวก แต่แปลกตา
ดูจากชื่อรุ่นแล้ว แปลกันตรง ๆ หมายถึงตะกร้าใส่ของนั่นเอง  ยิ่งเมื่อมองดูรูปทรงของรถก็
ไม่แปลกใจนักเพราะมันเป็นรถเปิดประทุน (Convertible) ที่มีเสาหลังคากลาง B-Pillar ค้ำอยู่
ดูเผิน ๆ เหมือนกระเช้าหรือตะกร้าตามชื่อรุ่น นั่นละ

ดีไซน์ตัวรถดูย้อนยุคสมัย 20 ปีก่อนที่เน้นเหลี่ยมสันมากกว่าโค้งมนหรือเส้นพลิ้วเหมือนรถปัจจุบัน
นอกจากรถจะดูย้อนยุคแล้ว วิธีการปิดประทุนก็ย้อนยุคกับเขาด้วย เพราะ Daihatsu Basket ไม่ซ่อน
หรือติดตั้งผ้าใบไว้คลุมหลังคา แต่ Daihatsu ให้ชิ้นส่วนปิดหลังคาสำหรับห้องโดยสารตอนหน้า
และโครงหลังคาผ้าใบสำหรับห้องโดยสารตอนหลัง

ห้องโดยสารแม้จะดูย้อนยุคแต่ก็มีความทันสมัยมากเช่นกัน โดดเด่นวัสดุหุ้มแผงคอนโซล
และเบาะมีลวดลายเสมือนพื้นผิวเปลือกไม้สีน้ำตาลพาสเทลทำให้ห้องโดยสารดูผ่อนคลาย
แนวคิดนี้ มักถูกนำมาใช้กับงานออกแบบรถญี่ปุ่นรุ่นแปลกๆ บ่อยขึ้น ในช่วง 10 ปีมานี้

และสุดท้าย รถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด ที่เปิดตัวครั้งแรกในโลก ที่งานนี้ และเตรียมจะขึ้นสายการผลิตออกจำหน่าย
ในญี่ปุ่น ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า นั่นคือ Tanto EXE และ Tanto EXE Custom

ถึงจะใช้ชื่อเดียวกับ มินิแวนทรง Tall Boy ไร้เสากลาง รุ่นขายดี แต่ตัวถังภายนอกนั้น แตกต่างไปจาก Tanoto ธรรมดา
ชนิดที่ว่า ใช้ตัวถังร่วมกันแทบไม่ได้เลย ดูเหมือนรถมินิแวนธรรมดาๆ อย่าง Daihatsu Move ซะมากกว่า

แต่คุณงามความดีของ Tanto EXE นั้นดีกว่า Tanto เวอร์ชันปกติตรงที่มีตัวถังน้ำหนักเบา ประหยัดน้ำมันมากกว่า
อีกทั้งยังมีห้องโดยสารที่ถูกขยายความยาวออกไปมากขึ้นไปอีก(ปกติ Tanto ดั้งเดิมก็กว้างมาก ๆ อยู่แล้ว)

อีกจุดขายที่สำคัญ อยู่ที่คุณภาพของวัสดุในห้องโดยสารของ Tanto EXE ที่ดูเหมือนว่าจะดีมาก ทั้งการออกแบบ
แผงคอนโซลหน้า เบาะนั่ง จนไปถึงวัสดุที่ใช้บุห้องโดยสาร เผลอๆ คุณภาพอาจจะดีกว่า Suzuki Palette ซึ่งเป็น
รถยนต์ K-Car ทรง Tall Boy ที่ว่ากันว่าออกแบบได้สวยและมีวัสดุภายในห้องโดยสารดีที่สุดในรถ K-car ด้วยกัน
เสียอีก

นอกเหนือจากรถยนต์ต้นแบบ และรถยนต์รุ่นใหม่ที่เตรียมจะออกสู่ตลาดแล้ว
เรามาดูรถยนต์ที่อยู่ในสายการผลิตของไดฮัทสุ ปัจจุบันนี้กันดีกว่า ซึ่งทั้งหมด
ที่คุณได้เห็นอยู่นี้ เป็นรถยนต์ที่อยู่ในกลุ่มตลาด Kei-Jidosya หรือ K-Car นั่นเอง
หมายความว่า ทุกรุ่นข้างล่างนี้ ของไดฮัทสุ จะเป็นรถยนต์ที่ วางเครื่องยนต์ 3
หรือ 4 สูบ ความจุ 660 ซีซี กำลังสูงสุด ไม่เกิน 64 แรงม้า (PS) ตามกฎหมาย
กำหนดพิกัดรถยนต์ขนาดกระทัดรัด ทั้งสิ้น จึงขอไม่สาธยายความใดๆให้
วุ่นวายเวิ่นเว้อ เยิ่นเย้อ เกินงาม และเราจะเริ่มกันที่ Tanto ใหม่ ซึ่งถือเป็น
เจเนอเรชันที่ 2 นับต้ังแต่การเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2007

จุดเด่นของ “Tanto” หรือ “ตันโตะ” ที่โดนใจคนญี่ปุ่น จนกลายเป็น One of
the Best seller K-Car นั่นคือ การที่ Tanto เป็นรถ K-Car แบบแรกของโลก
ที่ ไม่มีเสาหลังคากลาง B-Pillar ให้เกะกะระคายเคืองการเข้าออกจากรถแต่อย่างใด
เทคโนโลยีนี้ เรียกว่า Pillar less ซึ่งเคยนำออกใช้ครั้งแรกในโลก มาแล้ว กับ
Toyota ISIS มินิแวนรุ่นกลาง ของโตโยต้า เมื่อช่วง ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง
อย่าลืมว่า โตโยต้าเอง ถือหุ้นเป็นเจ้าของไดฮัทสุ อยู่ ดังนั้น ไดฮัทสุ จะได้เปรียบ
ในด้านการแชร์เทคโนโลยีต่างๆ กับโตโยต้า อยู่ไม่น้อย

และ Tanto รุ่นนี้ ถือเป็นรุ่น Original จะแตกต่างจาก Tanto EXE ตรงที่โครงสร้าง
ตัวถัง ซึ่งไม่สามารถใช้ร่วมกันได้ ดีไซน์ ต่างกันเกือบทั้งคัน แต่พื้นตัวถังด้านล่าง
และงานวิศวกรรมหลายส่วน สามารถสลับสับเปลี่ยนกันได้ ไม่วุ่นวายนัก

 

Tanto คันที่เห็นนี้ เป็นรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อ ผู้ทุพลภาพ ซึ่งมีเก้าอี้ไฟฟ้า เลื่อนลงมา
ให้นั่งกันด้วย ผมก็ลองนั่งกับเขาดู ด้วยความช่วยเหลือ ของสาวน้อยพริตตี ที่ยืนประจำ
อยู่ข้างรถคันนี้ เบาะนั่งฝั่งซ้าย ข้างคนขับ ออกแบบให้เลื่อนยกขึ้น-ลง ด้วยรีโมทไฟฟ้า
และสามารถหมุนหันกลับเข้าไปได้อย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่เลื่อนเบาะขึ้นลงได้อย่างเดียว
การหมุนเคยใช้กลไกมือ ช่วยหมุนอยู่ดี แต่ตอนนี้ ทุกขั้นตอน เป็นสวิชต์ไฟฟ้าทั้งหมด
ไม่น่าแปลกใจว่า เทคโนโลยีนี้ เมื่อรวมเข้ากับ โครงสร้างแบบ Pillar Less จะช่วยให้
Tanto เป็หนึ่งในรถยนต์ K-Car เพื่อผู้พิการ ที่ขายดีเป็นอันดับต้นๆ ในญี่ปุ่น ด้วยเช่นกัน

คันสีขาว นี้คือ Daihatsu MOVE Custom ซึ่งเป็นัฒนาการต่อเนื่อง เจเนอเรชันที่ 3 แล้ว
นับตั้งแต่ เปิดตัวครั้งแรก ช่วง ปี 1995 ต้นตอของ MOVE นั้น เกิดมาเพื่อแข่งกับ
Suzuki Wagon-R แต่ในเมื่อสู้ไม่ค่อยจะได้ ก็เลยหนีไปเดินในแนวทางของตัวเองซะเลย
จนกลายเป็นรุ่นที่เห็นในทุกวันนี้ รุ่น Custom เป็นรุ่นพิเศษ ฟูลออพชันมากกว่า MOVE
รุ่นมาตรฐานนิดหน่อย

ภายในห้องโดยสารนั้น เหมือนกับจะรวมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้บนแผงหน้าปัด
การก้าวเข้าออกจากห้องโดยสาร ค่อนข้างสะดวกสบาย และไม่ได้มีปัญหากับขนาด
ของตัวรถอย่างที่ทุกคนคิด

เบาะนั่งเป็นแบบ Bench Seat ม้านั่งยาว แยกปรับพนักเบาะเอนได้ คันเกียร์อยู่ใต้คอนโซลกลาง มาตรวัดอยู่ตรงกลาง

แต่จุดเด่นของแผงหน้าปัด MOVE ที่อยากให้ดูกันคือ การออกแบบด้านบนให้มีความต่อเนื่องกัน
และมีช่องโปร่งๆ เอามือลอดได้อย่างที่เห็น ซึ่งผมก็งงว่า ทำไมถึงไม่ออกแบบให้มาตรวัด
เป็นกล่องโดดๆซะเลย สงสัยกะเอาไว้ให้คุณหนูๆ เล่นตัวตุ๊กตุ้นระหว่างรอคุณแม่จอดรถอยู่ก็เป็นได้

เบาะนั่งด้านหลังแบ่งพับได้ในอัตราส่วน 50 : 50 ส่วนพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง จะเยอะต่อเมือ่พับเบาะหลังลง

แต่ ในตระกูล MOVE ยังไม่หมดแค่นี้ เพราะไดฮัทสุ ยังแตกแขนงตระกูล MOVE
ออกไปอีก 2 รุ่น นั่นคือ MOVE CONTE มาในสไตล์ กล่องเรียบง่าย แนวโบราณ
ทื่อๆซะหน่อย เปิดตัวเมื่อช่วง ปี 2008

งานออกแบบมาในสไตล์กล่องติดล้อ แต่ดูเชยๆ ไม่หวือหวาเลย เมื่อเทียบกับงานออกแบบอื่นๆของไดฮัทสุที่ผ่านมา

ดูแล้ว เหมือนรถจะไม่ค่อยมีจุดเด่นอะไรมากนัก
แต่โปรดสังเกตุดูบานประตูคู่หน้าให้ดีๆ
มันกางออกได้ถึงเกือบ 90 องศา เลยทีเดียว!!

นอกจากนี้ MOVE CONTE ยังมีหลังคาสูงโปร่งกว่า MOVE รุ่นมาตรฐาน
อีกทั้งยังมีการออกแบบแผงหน้าปัดขึ้นมาใหม่ จนกลายเป็นรถรุ่นใหม่
ที่แตกต่างไปากรุ่น Original ของมันไปไกลพอสมควรเลยทีเดียว
ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย ว่าเป็นรถรุ่นเดียวกัน และแชร์งานวิศวกรรมร่วมกัน
ดูแล้ว อย่างกับเป็นรถคนละคัน

และล่าสุด Daihatsu MOVE COCOA เพิ่งเปิดตัวก่อนงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ จะเริ่มขึ้น
ไม่กี่เดือนมานี้เอง และเป็นรถที่จะเอาใจคุณแม่บ้าน พร้อมลูกน้อย มากขึ้นกว่า MOVE รุ่นมาตรฐาน

งานออกแบบภายนอกมาในสไตล์ กึ่งๆจะเป็น Retro นิดๆ ผสมผสาน แนวออกแบบ Streamline
ยุค 1930 มาหน่อยๆ แต่เห็นทั้งคันแล้ว ผมคิดว่า เป็นการนำงานของ Nissan RASHEEN รถยนต์
อเนกประสงค์ บนพื้นฐานของ Sunny B14 ในปี 1996 มา Re-Make และ ย่อส่วนลงจนอยู่ในพิกัด
K-Car มากกว่า

ช่างไม่ค่อยเข้ากับบุคลิก ของหนุ่มญี่ปุ่นคนนี้ยังไงก็ไม่รู้

ฝาครอบกระทะล้อเหล็กนั้น ชวนให้นึกขำขำว่า ไดฮัทสุ ถอดฝาครอบล้อของ Nissan Sunny B-14
ปี 1995 มาพ่นสีใหม่ แล้วแปะ เข้าไปเลยหรือเปล่า ผมเอง ไปนั่งเพ่ง จ้อง มองอยู่นาน จนสรุปได้ว่า
เปล่าหรอก คนละลายกัน แต่ถ้าเอามาใส่ด้วยกัน อาจเป็นไปได้ ถ้าหากมีขนาด 14 นิ้ว เหมือนกัน

เอารูปนี้ลงให้ดู เพื่อให้เห็นว่า รถรุ่นนี้ใช้ยาง Bridgestone B250 เหมือน TIIDA Minorchange
นั่นละครับ ก็คงพอจะนีกออกใช่ไหมว่า เขาคิดจะขายรถรุ่นนี้กับใคร

บานประตูของ MOVE CONTE อาจจะเปิดได้แค่ 80 องศา แต่ดูเหมือนว่า บานประตู
คูหน้าของ CoCOA จะกางออกได้เกือบถึง 90 องศา กันหนักเข้าไปอีก!!
การเข้าออกากรถ ก็ไม่ได้ต่างจาก K-Car รุ่นใหม่ๆ ทั่วไป ที่เน้นการเข้าออกง่าย สบายๆ
กว่าที่ทุกคนจะคาดคิด

ไม่ใช่แค่คู่หน้า หากแต่คู่หลัง ก็กางออกได้เยอะ ถึงเกือบ 90 องศา เหมือนกันด้วย!

เบาะนั่งคู่หน้า นั่งสบาย และใช้วัสดุเกรดดีกว่า รถยนต์ประกอบในไทยหลายๆรุ่นเสียอีก
เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ แต่ความจริงคือ คนญี่ปุ่นเขาคำนึงถึงเรื่องวัสดุตกแต่งภายในรถกันมาก
มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว พื้นที่เหนือศีรษะ โปร่งสบาย กำลังดี อาจไม่โปร่งเท่า Tanto แต่ก็
ไม่น่าเกลียดแต่อย่างใด พื้นที่เหนือหัว ก็พอกันกับ Mitsubishi eK-Wagon นั่นเอง

แผงหน้าปัดของ MOVE COCOA ออกแบบมาเป็นพิเศษ หนักข้อไปอีก แต่โปรดสังเกตว่า
แพทเทิร์นการวางตำแหน่งสวิชต์ต่างๆหนะคล้ายกัน กับ MOVE รุ่นมาตรฐาน ต่างกัน
เพียงแต่รูปทรงของสวิชต์ และงานดีไซน์ของเปลือกแผงหน้าปัด ที่ดูใส่ใจในชิ้นงานมากกว่า
ซะเป็นหลัก

 เบาะนั่งด้านหลัง ค่อนข้างสั้น แต่ด้วยเหตุที่ใช้วัสดุดีมาก จึงยังพอให้อภัยในความรู้สึกได้
พ้นที่เหนือศีรษะ ไม่ใช่ปัญหา ของรถรุ่นนี้แน่นอน ความกว้างของตัวรถ ที่แคบกว่ารถยนต์มาตรฐาน
ก็ยิ่งไม่ใช่ปัญหากับคนที่มีหุ่นประมาณผมเลย แต่ถ้ากับผู้เกิน Commander CHENG ของเราละก็
อาจมีปัญหาก็เป็นได้

พื้นที่วางขา มีเหลือเยอะพอประมาณ ด้านหลังเบาะ มีขอเกี่ยวถุงช้อปปิ้ง รับน้ำหนักได้ประมาณ
3 กิโลกรัม มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน แต่อย่างที่บอก เมื่อเบาะรองนั่งสั้น ทำให้เบาะจะสบาย
ต่อเมื่อคุณมีสรีระประมาณ เด็กประถม เท่านั้น

นอกจากนี้ ไดฮัทสุ ยังนำ รถเปิดประทุน หลังคาไฟฟ้า คันสีแดง อย่าง Copen มาจัดแสดงด้วย
แต่ในเมื่อรถรุ่นนี้ คนไทยบางคนรู้จักแล้ว และเห็นกันบ่อยไป เพราะมีผู้นำเข้ารายย่อยสั่งมาขายแล้ว
จึงขอไม่นำมาโพสต์ให้ชมกันครับ

HONDA

ปีนี้ ฮอนด้า กลายเป็นผู้ผลิตจากญี่ปุ่น ที่มีพื้นที่จัดแสดงในงานมากที่สุด เมื่อนับกันแต่เฉพาะเพียงแค่
แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง แน่ละ งานนี้ ฮอนด้าเล่นจับรวบพื้นที่ของรถยนต์ และรถจักรยายนต์ เข้ามาไว้
บนพื้นที่มากถึง 3,150 ตารางเมตร ซึ่งใหญ่กว่า พี่เบิ้ม โตโยต้า และเล็กซัส (3,105 ตารางเมตร)
ดังนั้น ฮอนด้าจึงยกทัพยานพาหนะ และเทคโนโลยี ขนกันมาจัดแสดงกันอย่าง ยิ่งใหญ่อลังการ
หลังจากอัดอั้น ไม่เข้าร่วมงานแสดงรถยนต์ แฟรงค์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์ เก็บเอาของดีๆ มาปลดปล่อยกัน
เต็มที่ ใน โตเกียวมอเตอร์โชว์ คราวนี้เอง

ปีนี้ ฮอนด้า  กำหนด ธีม ในการจัดแสดงเอาไว้ ว่า “Creating the never before!” หรือ การสร้างสรรค์
ในสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยแบ่งพื้นที่จัดแสดง เป็น HELLO! Zone (Honda Electric Mobility Loop)
ซึ่งจะจัดแสดงรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ที่ใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาด
จากแบ็ตเตอรี ที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อที่จะมุ่งสู่แนวทาง Low-Carbon Society
ดังที่ฮอนด้าตั้งใจ Automobile Zone จัดแสดงรถยนต์รุ่นใหม่ๆ และรถยนต์ต้นแบบ ส่วน Motorcycle Zone
ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า จะมีจักรยานยนต์เต็มพื้นที่ เพื่อไม่ให้สับสนงุนงง เราจะขอแยกนำเสนอ รายละเอียด
ไปตามลำดับความสำคัญของยานพานะที่จัดแสดงโดยเน้นที่ รถยนต์เป็นหลัก

กลุ่มธุรกิจรถยนต์ของฮอนด้า จะเน้นไปที่ การเผยโฉม เวอร์ชันต้นแบบ ของรถยนต์ไฮบริด รุ่นใหม่ๆ
ที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา และใกล้จะเปิดตัวออกสู่ตลาดในอนาคตอีกไม่นานเกินรอ ไม่ว่าจะเป็น
เวอร์ชันใหม่ล่าสุด ของ รถสปอร์ตต้นแบบพลังไฮบริด Honda CR-Z Concept 2009

ฮอนด้า เปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้ว่าตนคิดจะทำ รถสปอร์ตขุมพลังไฮบริด ขนาดเล็ก ออกขาย
ก็ด้วยการเผยโฉมเวอร์ชันต้นแบบ เฟสแรก ของ CR-Z เมื่องานโตเกียวมอเตอร์โชว์ ปี 2007 นั่นละ
ในครั้งนั้น ทุกอย่าง ยังดูน่างุนงง เส้นสายมาในสไตล์กลมๆ โค้งมนอย่างเดียว ยังขาดเสน่ห์

แต่พอมาเป็นเวอร์ชันต้นแบบคันล่าสุดใน โตเกียวมอเตอร์โชว์ 2009 นี้ ยอมรับเลยว่า ฮอนด้า
ยังคงความเก่งฉกาจในการทำรถยนต์ขนาดเล็ก ให้ดูสวย โฉบเฉี่ยว และน่าใช้ ไม่ว่ามันจะบรรจุ
ขุมพลังแบบไหนก็ตาม

Honda ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดทางเทคนิคใดๆมากไปกว่า การระบุว่า เวอร์ชันจำหน่ายจริง
ของ CR-Z จะวางเครื่องยนต์ 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมเทคโนโลยี IMA (Integrated Motor Assist)
ของตน มาใช้กับ CR-Z เวอร์ชันจำหน่ายจริงอย่างแน่นอน และเผลอๆ อาจเป็น
ขุมพลังเดียวกับที่วางอยู่ใน INSIGHT รุ่นปัจจุบัน ซึ่งจะต่อยอดไปวางลงใน
Fit/Jazz HYBRID ที่มีกำหนดจะคลอดในอีก ไม่กี่ปีข้างหน้าอีกด้วย

ที่แน่ๆ CR-Z จะกลายเป็นรถยนต์ Hybrid แบบแรกในโลกที่มีเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ติดตั้งมาให้

คันต่อไป คือ Honda SKYDECK ต้นแบบของ มินิแวน ขนาดกลาง 6 ที่นั่ง พร้อมขุมพลัง HYBRID
ที่ออกแบบให้มีพื้นตัวถังต่ำ และมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ มีน้ำหนักเบา หลังคากระจกโปร่งใส

ตัวรถมีความยาว 4,620 มิลลิเมตร กว้าง 1,750 มิลลิเมตร สูง 1,500 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ 2,885 มิลลิเมตร บานประตูคู่หน้า เปิดกางออกแบบปีกนก
แต่คู่หลัง เลื่อนยกตัวขึ้น เล็กน้อย หากจะเลื่อนปิด ก็จะเลื่อนลดระดับลงมา

ตัวรถ เป็น Mock-up อยู่ แต่ก็พอจะเห็นแนวโน้มได้แล้วบ้างว่า Honda Stream รุ่นต่อไป
หรือ HYBRID Minivan รุ่นต่อไป หน้าตาจะออกมาประมาณไหน

EV-N รถยนต์ 4 ล้อ 2 ที่นั่ง พลังไฟฟ้าจากแบ็ตเตอรี มีรูปทรง จงใจให้นึกถึง Honda N360 รถยนต์ 4 ล้อ
ขนาดเล็กรุ่นแรกๆที่ฮอนด้าผลิตออกสู่ตลาดเมื่อยุคทศวรรษ 1960 หน้ารถเรืองแสดง แสดงอารมณ์คนขับได้

ภายในตกแต่งเป็นสีแดง ตัดกับสีครีมขาว มีแนวโน้มว่า Honda อาจจะไม่คิดแค่ทำออกมาอวดโฉมเล่นๆแน่ๆ

 เพราะถ้า ทำฐานตั้ง เรืองแสง ที่สามารถดัดแปลงให้เห็นว่า สามารถแต่งต่อไปในทิศทางคล้ายรถ MINI ได้

 นั่นแสดงว่า Honda น่าจะคิดถึงการนำ N360 กลับมาฟื้นคืนชีพอยู่แน่ๆ

นอกจากนี้ยังมี รถยนต์ซีดาน 4 ประตู พลัง Fuel-Cell และ Hydrogen อย่าง FCX-CLARITY ที่ผลิต
ออกขายจริง แบบจำกัดกลุ่มและพื้นที่การทำตลาด ทั้งในสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ไปแล้ว มาอวดโฉมกัน
อีกครั้งด้วย

การวาง Packaging ขอตัวรถนั้น ถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้นั่งสบายที่สุด และมีที่อยู่ให้อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง อย่างเหมาะสม

สิ่งที่รถคันนี้ปล่อยออกมา ก็จะมีแต่ น้ำสะอาดเท่านั้น!

 

ทีนี้ มาถึง รถตลาดบ้านๆ ที่เราอยากให้คุณได้เห็นภาพกันบ้างครับ เริ่มจากคันนี้เลย STEPWGN
โฉมใหม่ เจเนอเรชันที่ 4 นับตั้งแต่เปิดตัวใน ปี 1996 คราวนี้ งานโฆษณาของเขา ในช่วงเปิดตัว
สร้างเสียงฮือฮา แถมขำกลิ้งกันได้ดุเดือดจริงๆ เพราะคราวนี้ ใช้บริการ ULTRAMAN ทั้ง 10 ตัว
เป็น Presenter!! หนังโฆษณาออกมาหลายเวอร์ชันมาก 

แถม สัตว์ประหลาดแทบทุกตัว ก็ยังได้รับอานิสงค์
ไปร่วมเป็นพรีเซ็นเตอร์ของ STEPWGN SPADA เวอร์ชันตกแต่งแนว Young at heart
Daddy’s Minivan อีกด้วย (มินิแวนประเภทนี้ ก็มีภาพลักษณ์ประมาณ Toyota Vellfire หรือ
Toyota VOXY นั่นละครับ) ไม่ได้มแค่โฆษณาทีวี เท่านั้น หากแต่ตามสถานีรถไฟ JR ต่างๆ
ใน Tokyo หรือแม้แต่ Billboard ใหญ่ บนสถานี Shibuya ก็ยังอุตส่าห์มี ป้ายโฆษณาของ
StepWGN Ultraman campaign นี้อยู่ด้วย! ก็แหงละ รถรุ่นนี้ เปิดตัวออกจำหน่าย ในวันที่เรา
ไปถึงญี่ปุ่นพอดีเลยหนะสิ!

แต่ บนพื้นที่บูธหนะ ผมไม่ยักกะเห็น Ultraman เลยแม้แต่ตัวเดียว…ก็เลย ถาม Staff ที่บูธ Honda ว่า
“Where is the Ultraman?”

ตาแว่น Staff คนนั่น ขำก๊าก….”Noooooooooo Haha”

อืมม เนาะ….

ที่ฮอนด้าต้องทุ่มทุนสร้างมากขนาดนี้ ย้อนประวัติศาสตร์ให้อ่านกันสั้นๆก็ได้ ว่า ฮอนด้า
เปิดตัว “StepWGN” หรืออ่านไปเลยว่า “สเต็ปแวกอน” เมื่อราวๆ ปี 1996 เพื่อหวังจะเอาชนะ
Nissan Serena โดยชูความสดใสของคุณหนูๆ ผ่านทางหนังโฆษณา และฮอนด้า ก็ทำสำเร็จ
StepWGN สามารถเอาชนะ Serena จนได้ ผ่านมาจนถึง เจเนอเรชันที่ 2 ในปี 2001 ฮอนด้า
ยังคงรักษาแนวทางการโฆษณาแบบเดิมเอาไว้ ทว่า Nissan เริ่มรู้ตัวละว่าควรทำอย่างไร
ก็เลยแก้เกม ด้วยการออกแบบ Serena ให้ โดนใจพ่อบ้าน และคุณหนูๆ มากขึ้น ในสไตล์ของตน
แต่ ฮอนด้า ดันคิดอะไรก็ไม่รู้ ออก StepWGN รุ่นที่ 3 ในปี 2005 ให้ More Stylish แต่ไม่โดนใจ
กลุ่มคุณหนูๆ เหมือนเคย คราวนี้ Nissan ก็ยิ้มเลยสิครับ Serena เลยขายดีขึ้นแทน Best Seller
Minivan in Japan แซงหน้า StepWGN ไปอย่างสบายๆ นี่ยังไม่นับยอดขายจากเวอร์ชัน
OEM กับ Suzuki ในชื่อ Suzuki Landy อีกต่างหากนะ!

ถามว่าทำไมต้องเอาใจคุณหนูๆกันขนาดนั้น ก็เพราะที่ผ่านมา มันเคยมีผลวิจัยตลาดออกมาว่า
คุณหนูๆ ของแต่ละครอบครัวนั้น มีผลต่อการชักชวนพ่อแม่ของตน ในการซื้อ รถตู้มินิแวนคันใหม่
เข้าบ้าน นั่นเอง!! แน่ละ โฆษณาที่โน่น มีผลต่อการตัดสินใจเยอะใช้ได้เลยทีเดียว

ฮอนด้าก็เลย ตัดสินใจทวงแชมป์คืน ด้วยการพัฒนา StepWGN เจเนอเรชันที่ 4 ที่เห็นอยู่นี้
ให้ กลับมาเอาใจพ่อบ้านแม่บ้าน และลูกน้อย ตามเคย แต่ เพิ่มคุณสมบัติพิเศษเข้าไป
โดยเน้นเรื่องของ ขนาดห้องโดยสาร ที่เคลมว่า Biggest space in its class และ ประหยัดน้ำมัน
มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในกลุ่ม

เรื่องความประหยัดน้ำมัน อาจยังเป็นข้อกังขา แต่ว่า เรื่องขนาดห้องโดยสาร ผมหายสงสัยไปเลย
เพราะจากที่ ปีนเข้าออกจากตัวรถอยู่พักใหญ่ ผมพบเลยว่า นี่คือ Best StepWGN ever!

เพราะเบาะหลัง ของมัน สามารถ พับเก็บ และพลิกหงายเพื่อพับซ่อนไว้เป็นพื้นห้องเก็บของด้านหลัง
ได้เลย มาแนวเดียวกับ Honda Odyssey แต่ทำได้ดีกว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่มีระบบ Power Fold
3rd row seat อย่างที่ Odyssey มี ก็เยทำให้ การพับเบาะ ของนักข่าว ที่กำลังมุงรถคันนี้อยู่ ดูเก้ๆกังๆ
อยู่บ้าง แต่ไม่ใช่กับผม…ทุกขั้นตอน มันง่ายดายมากๆ ออกแรงนิดเดียว ก็จัดเบาะนั่งให้ลงตัวได้แล้ว!

แผงหน้าปัด ออกแบบมาคล้าย Honda FREED แต่ บอกตรงๆว่าสวยกว่า น่าใช้กว่า ใช้งานง่ายกว่า
ชุดมาตรวัด อยู่ลึกกว่า ทัศนวิสัยด้านหน้า ก็ดูโปร่งโล่งสบาย ไม่ต้องคิดถึงพื้นที่ว่างเหนือศีรษะเลยนะครับ
มันมีมาให้อย่างเยอะ!

ที่สำคัญ มีการติดตั้ง กระจกเล็กๆ ใต้กระจกมองข้าง ฝั่งซ้าย สะท้อนมุมมองอับสายตาด้านข้างตัวรถ
ให้ได้มองกันชัดเจน ป้องกันการอับสายตาอีกด้วย นับว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาอันชาญฉลาดมาก!

ส่วนทัศนวิสัยรอบคันนั้น ถือว่าโปร่งตาดี แต่อย่างว่า เหลือแค่สมรรถนะการขับขี่แล้วละ เพราะรถรุ่นก่อน
มีเสียงลมเล็ดรอดเข้ามาตามขอบประตู เมื่อใช้ความเร็วเกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง เป็นต้นไป ทั้งที่เป็นรถ
ประกอบในญี่ปุ่นแท้ๆ!! หวังว่ารุ่นใหม่ ไม่น่าจะมีปัญหานี้ให้เห็น…

รายละเอียดต่างๆ ของ StepWGN ใหม่ สามารถ Click เข้าไปอ่านได้ในคอลัมน์ New Cars Worldwide
ของ Headlightmag.com ที่นี่ ได้เลยครับ HOMY DEMIO เล่าเรื่องราวของรถตู้ร่นนี้ให้คุณอ่านกัน
ไว้เรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ฮอนด้ายังนำเข้า Honda CIVIC TYPE-R EURO เวอร์ชันยุโรป ตัวถังแฮตช์แบ็ค 3 ประตู 
มาจากโรงงานสวินดอน ในอังกฤษ กลับมาทำตลาดในญี่ปุ่น เดือนพฤศจิกายน 2009 นี้ มาอวดโฉมด้วย

รวมทั้งรถที่ผมเคยลองขับไปแล้วในเมืองไทย แต่ไม่มีโอกาสทำรีวิวให้คุณได้อ่านกัน
นั่นก็คือ Honda INSIGHT เป็รถยนต์ Sub-Comapct B-Segment แต่วางขุมพลัง HYBRID
นั่นละครับ คือสาเหตุที่ทำให้ Honda ตัดสินใจ ไม่สั่งนำเข้า City จากเมืองไทย กลับไปขาย
ในญี่ปุ่น อย่างที่เคยเป็นมาในรุ่นที่แล้ว

รถรุ่นนี้เปิดตัวในญี่ปุ่น เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2009 และ มันก็ทำยอดขายพุ่งพรวดพราดทันทีในช่วงแรกๆ
แต่หลังจากนั้น เมื่อเจอ กระแส Toyota Prius เข้าไป INSIGHT ก็เริ่มเหี่ยวปลาย ดีแต่ได้ผลบุญ
จากการที่รัฐบาลญี่ปุ่น ช่วยลดภาระภาษีให้ผู้ซื้อรถยนต์ Eco Car เลยยังขายได้เรื่อยๆ อยากรู้ไหมว่า
ทำไมเป็นเช่นนั้น

เบาะนั่งด้านหลังหนะ ดูเหมือนว่าจะนั่งสบาย แต่นั่น แค่ ภาพที่คุณเห็นจากภายนอก องเข้าไปนั่งดูสิครับ…

ดูหัวเจ้ากล้วย BnN สิครับ หัวติดเพดานหลังคาซะขนาดนี้ ผู้ใหญ่ที่ไหนจะไปนั่งได้ เน้น Aero Dynamic มากไปหน่อยนะ หัวผมยังติดเลย

ยิ่งฝากระโปรงท้าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย เก็บของได้น้อยมาก ลงไปนั่งขัดสมาธิได้ แต่อย่าปิดฝากระโปรงหลังเชียวนะ

สรุปแล้ว หันไปหา Prius หรือไม่ก็รอ Jazz HYBRID ที่จะคลอดในปี 2010 เถอะ!

และสุดท้าย รถที่หลายๆคน รอคอย จนแทบจะเลิกรอไปแล้ว Honda FREED นั่นเอง มีคันจริงให้เรา
ได้เข้าไปลองนั่งกันด้วย และในเมื่อคุณๆ ก็รู้อยู่แล้วว่า รถคันนี้ สร้างขึ้นเพื่อทำตลาดแทน รถตู้เล็ก
ตระกูล Mobilio และ Mobilio Spike สร้างขึ้นบนพื้นตัวถังและเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ของ Honda Fit/Jazz
กับ City ใหม่ ดังนั้น คงไม่ต้องสาธยายรายละเอียดให้มากนัก

รูปลักษณ์ภายนอก คันจริง ดูสูงใหญ่กว่าที่คิดนิดหน่อย และถือว่า Honda เดินมาถูกทางแล้ว ในการทำรถประเภทนี้

พื้นที่การเข้าออก ของ ประตู คู่หน้า กับบานเลื่อนคู่หลัง ไม่ใช่ปัญหาของรถคันนี้แน่นอน
ประตูบานเลื่อนไฟฟ้าของรถคันที่เราสัมผัสนั้น มีเฉพาะฝั่งซ้ายเพียงอย่างเดียว

แต่พอเข้ามาดูภายในห้องโดยสารแล้ว
เอาละครับ ลองให้พี่ชลธี กับเจ้ากล้วย ปรับตำแหน่งเบาะนั่ง ที่ทั้งคู่นั่งกันถนัดดู…

เอาละ ก้มลงดู หัวเข่าของผมแล้วกันนะครับ มันติดพนักพิงเบาะหน้าเลยแหะ ยิ่งถ้ามีคนนั่งเบาะแถวสามด้วยแล้ว คิดหนักนิดนึงนะครับ

หน้าตาแผงหน้าปัดเวอร์ชันญี่ปุ่นนั้น มีแอร์ดิจิตอลให้ เหมือนรุ่นท็อปของเวอร์ชันไทย
แต่ว่า ในรุ่นรองลงไป จะมีสวิชต์แอร์มือบิด แบบ เตาแก้ส ลัคกี้เฟรม แน่นอน
พวงมาลัยเป็นแบบ ยูรีเทน เหมือนเวอร์ชันไทยและอินโดนีเซีย
มีสวิชต์ควบคุมชุดเครื่องเสียงมาให้กดเล่นนิดหน่อย และคาดว่าจะมี
ระบบนำทางผ่านดาวเทียม Navigation System มาให้ แต่อย่าหวังว่า
หน้าจอจะสวยงาม เนียนเรียบขนาดนี้ ไม่มีทางหรอก

ทัศนวิสัยด้านหน้า…

ทัศนวิสัยฝั่งขวา กระจกมองข้าง ถือว่า น่าจะพอเห็นได้ชัดเจนระดับหนึ่ง

ส่วนด้านข้าง ฝั่งซ้าย ก็จะเป็นแบบนี้…

ด้านหลัง พนักศีรษะ เบาะแถวสอง บังเต็มจอเลย!

ห้องเก็บของด้านหลัง มีขนาดใหญ่พอสมควร และเบาะแถวหลังสามารถพับเก็บได้

เอาละครับ รอดูคันจริงกันอีกที เดือนพฤศจิกายนนี้ ที่เมืองไทยครับ

นอกจากนี้ ยังมี Honda U3-X ยานพาหนะส่วนบุคคลแบบมีล้อเดียวทรงตัวได้ด้วยตนเอง
ที่เราเคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้แล้ว ในส่วน World News ของ Headlightmag.com

และ LOOP เป็นเครื่องมือสื่อสารขนาดพกพา ในแบบ portable communication tool ซึ่งจะช่วยให้ผู้คน
กับพาหนะ สามารถสื่อสารกันได้

ในฝั่ง จักรยานยนต์ นั้น ฮอนด้า เปิดตัว Honda CB1100 รุ่นใหม่เป็นครั้งแรกในโลก จุดเด่นอยู่ที่
ความพยายามในการพัฒนาจักรยานยนต์ ที่ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ ระบายความร้อนด้วยอากาศ ขณะที่
ยังคงรักษา แนวทางการพัฒนารถ ให้ยังคงประสบการณ์ในการขับขี่ ต่อเนื่องจากตระกูล CB อันโด่งดัง

Honda VFR1200F จักรยานยนต์แบบ Sport Touring รุ่นแรกในโลก ที่ใช้เทคโนโลยีระบบส่งกำลังแบบ
Dual Clutch สำหรับเครื่องยนต์ความจุกระบอกสูบขนาดใหญ่ เปิดตัวในญี่ปุ่นครั้งแรก

Honda EV-Cub หรือ การนำเอารถจักรยานยนต์ ขนาดเล็ก รุ่นดังที่สุดของฮอนด้า อย่าง Cub
ที่วัยรุ่นกลุ่มเด็กแนวในบ้านเรารู้จักกันดี มาออกแบบขึ้นใหม่ โดยติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า เป็นระบบ
ขับเคลื่อนหลัก แทนที่เครื่องยนต์ขนาดเล็กในแบบเดิมๆ

Honda PCX สกูตเตอร์ ดีไซน์ร่วมสมัย ที่มาพร้อมระบบ idle Stop  เครื่องยนต์จะดับเอง เมื่อรถหยุด
นิ่งสนิท ช่วยให้ประหยัดน้ำมันดีขึ้น ซึ่ง PCX รุ่นนี้ มีการนำเข้ามาผลิตและจำหน่ายในเมืองไทยแล้ว

Honda EVE-neo สกูตเตอร์ พลังไฟฟ้า ที่สะอาด และมีพละกำลังมากพอ สำหรับการใช้งานในเมือง

และ Honda EV-MONPAL รถจักรยานยนต์ 4 ล้อเล็ก สำหรับผู้สูงอายุ ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า

นอกจากนี้ ในกลุ่ม สินค้า ต้นกำลัง และ เทคโนโลยี อื่นๆ ยังมีการจัดแสดง เครื่อง ENEPO
อันเป็นเครื่องให้กำเนิดก๊าซ บิวเทน ขนาดเล็ก สำหรับใช้ตามบ้านเรือน และ PIANTA tiller
ซึ่งได้รับความนิยมอย่างดี ตั้งแต่ออกจำหน่ายในญี่ปุ่น

————————————————-

LOTUS

ค่ายรถสปอร์ตขนาดกลาง จากอังกฤษ เป็นอีกรายที่ยอมมาจัดแสดง เพราะลูกค้าคนญี่ปุ่นยังชื่นชอบแบรนด์นี้อยู่

ตัวเด่นในงาน ไม่มีอะไรมากไปกว่ารถที่เปิดตัวไปเรียบร้อยแล้วในตลาดโลก ทั้ง Elise Stealth ตกแต่งด้วยสีดำด้านทั้งคัน

และ EVOLA คันสีฟ้า งามสวย เป็น LOTUS รุ่นแรกที่เข้าตาผม นับตั้งแต่ Esprit เป็นต้นมา รายละเอียดต่างๆ เสริชได้ตามเว็บทั่วไปเลยครับ มีอื้อ

————————————————-

MAZDA

พื้นที่ 1,355 ตารางเมตร ของมาสด้า ในปีนี้ ยังคงตกแต่งด้วยรูปแบบการจัดแสดงบูธแบบมาตรฐาน
ที่ไม่หวือหวาเหมือนในสมัยก่อน เน้นโทนสีขาว ดูเรียบง่าย แต่มีพื้นผิวมันวาว ราวกับ เฟอร์นิเจอร์
ในครัว ชั้นดี อย่างไร็ตาม ถ้าจะคาดหวัง ปริมาณรถยนต์ต้นแบบใดๆ แล้วละก็ คงต้องขอแสดงความ
เสียใจไว้ตรงนี้ เพราะมาสด้าเอง ประกาศออกมาเป็นรายแรกๆ ก่อนใครเลยว่า จะไม่พัฒนารถต้นแบบ
เพื่องานนี้เหมือนในสมัยก่อน

หากแต่มีเพียงรถต้นแบบ KIYORA ที่เผยโฉมครั้งแรก เมื่องาน Paris Auto Salon 2008 หรือ 1 ปีที่แล้ว
มาจัดแสดงเป็นรอบ Japan Premier เพียงแค่นั้น

 

รถคันนี้ มีความน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่า ผู้คนในวงการต่างพากันคาดหมายว่า นี่แหละ จะเป็นต้นแบบ
ให้กับรถยนต์ขนาดเล็ก ที่จะออกสู่ตลาด ประมาณปี 2011 ในชื่อ Mazda 1 ซึ่งนั่นหมายความว่า
ขนาตัวถังของรถคันจำหน่ายจริง จะต้องมีขนาดเล็กกว่า Mazda 2 หรือเจ้า Demio ในทุกวันนี้
แต่มีขนาดใหญ่กว่า รถยนต์กลุ่ม Kei-Jidosya 660 ซีซี สำหรับตลาญี่ปุ่น อย่างแน่นอน เพราะรถคันนี้
จะถูกรรจุอยู่ในแผนพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ๆ โดยทีมงาน ฝ่าย Advanced Product Strategy (APS)
ของ Mazda Europe

ชื่อ Kiyora หากแปลจากภาษาญี่ปุ่น เป็นภาษาอังกฤษ จะได้คำว่า Clean หรือ Pure อันแปลได้ว่า
สะอาด และบริสุทธิ์ แสดงให้เห็นถึงแนวทางของรถเล็กรุ่นใหม่ ที่มาสด้าไม่เคยทำมาก่อน
ภายนอก และภายใน ออกแบบโดยเน้นให้เห็นถึง การไหลของกระแสน้ำ ตามแนวทาง
รถต้นแบบของมาสด้า ในรุ่นก่อนหน้านี้ ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา

KIYORA มีขนาดตัวถัง ยาว 3,770 มิลลิเมตร กว้าง 1,685 มิลลิเมตร สูง 1,350 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ 2,495 มิลลิเมตร วางเครื่องยนต์ SKY-G 1.3 ลิตร พร้อมเทคโนโลยีใหม่ i-Stop
หรือ idle Stop อันแปลว่า เครื่องยนต์ดับเองได้ เมื่อจอดติดไฟแดง และจะติดขึ้นมาใหม่
เมื่อเหยียบคันเร่งออกตัว ซึงเทคโนโลยีนี้ มีใช้อยู่แล้วใน Mazda 3 หรือ Axela ที่ออกสู่
ตลาดญี่ปุ่นแล้ว ตั้งแต่ พฤษภาคม 2009 ที่ผ่านมา พร้อมระบบ Regenerative Break System
ซึ่ง ใช้พลังงานเบรก กลับมาปั่นเป็นกระแสไฟ ลดการสูญเปล่า คล้ายกับระบบ Hybrid
ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ แบบใหม่ที่เรียกว่า SKY Drive
(สงสัยอยู่ว่า มาสด้าไม่รู้เลยเหรอว่า Suzuki ใช้ชื่อนี้อยู่ก่อนแล้วในตลาดต่างประเทศ?)
ระบบกันสะเทือนหน้า แท็คเฟอร์สัน สตรัต หลัง ทอร์ชันบีม ตามมาตรฐานรถยนต์ขนาดเล็กทั่วไป

ด้วยเหตุที่ มาสด้า สามารถพัฒนาตัวรถให้มีน้ำหนักเบากว่า มาสด้า 2 หรือ DEMIO ได้ถึง
100 กิโลกรัม เมื่อรวมกับเทคโนโลยีต่างๆแล้ว ทำให้ KIYORA สามารถทำอัตราสิ้นเปลือง
ได้ดีมากถึง 32 กิโลเมตร/ลิตร จาการวัด ตามมาตรฐานของ รัฐบาลญี่ปุ่น

ส่วนอีกคันหนึ่ง เป็นรถยนต์ Mazda PREMACY RE Rotary Hybrid ที่เริ่มปล่อยให้กับ
หน่วยงานราชการต่างๆของญี่ป่น ได้เริ่มเช่าใช้กันไปบ้างแล้ว หลังจากที่เคยอวดโฉมครั้งแรก
เมื่องาน โตเกียวมอเตอร์โชว์ 2007 เป็นเครื่องยนต์ โรตารี แบบที่คุณๆ คงรู้จักกันดีแล้ว ใน
Mazda RX-7 และ RX-8 มาดัดแปลงเช้ื่อมต่อเข้ากับระบบมอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี
ขับใช้งานได้จริง

ส่วนเทคโนโลยีเครื่องยนต์นั้น ปีนี้ มาสด้า นำเครื่องยนต์ตระกูลต่อไปมาเปิดตัวกันครั้งแรก
นั่นคือ ตระกูล SKYTECH นอกจาก เครื่องยนต์ SKY-G 1.3 ลิตร ใน KIYORA แล้ว
มาสด้า ยังนำเสนอเครื่องยนต์ SKY-G 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร มาอวดโฉมกัน
โดยให้สมรรถนะดีขึ้นกว่าเครื่องยนต์ MZR เดิมโดยเฉพาะประเด็นเรื่องแรงบิด 15%

รวมทั้ง เครื่องยนต์ SKY-D ซึ่งเป็นต้นแบบของขุมพลัง ดีเซล เทอร์โบ สำหรับรถยนต์นั่ง
ในเจเนอเรชันต่อไป ที่จะบุกตลาดยุโรป และทั่วโลก ด้วยการติกตั้ง ตัวกรองอนุภาคไอเสีย
DPF (Diesel Particular Filter) ช่วยให้มลพิษลดต่ำลงจากเดิมประมาณ 20 %

ทีนี้ มาถึง รถตลาด รุ่นที่เชื่อว่าหลายๆคนคงรอคอยจะชมกันอยู่แหงๆ เราก็ไปถ่ายมาฝากคุณๆกันด้วย
เริ่มจาก Mazda 2 หรือที่ทำตลาดในญี่ปุ่นด้วยชื่อ DEMIO นั่น มีมาจัดแสดงให้ชมกัน 2 คัน
คือ สีเขียว รุ่น 1.5 ลิตร Sport ตกแต่ง ชุด Aero Part รอบคัน

และ คันสีขาว รุ่น 1.3 ลิตร ที่เห็นอยู่นี้ อย่างไรก็ตาม รถที่ขายในญี่ปุ่น จะยังเป็นโฉมปัจจุบัน
มิใช่โฉม Minorchange ซึ่งจะเปิดตัวในเมืองไทย เป็นประเทศแรกในโลก วันที่ 17 พฤศจิกายน ศกนี้
งานนี้ เท่ากับว่า คนไทยจะไดใช้รถรุ่นใหม่ ก่อนคนญี่ปุ่น กันอีกครั้ง…

รายละเอียดด้านเทคนิคต่างๆ คุณๆคงหาอ่านกันได้ ในอินเตอร์เน็ตทั่วไป และแม้แต่ในบทความเก่าๆของผม
ใน Thaidriver หรือแม้แต่ใน Headlightmag.com ของเรา ดังนั้น จึงขอไม่ฉายซ้ำ แต่แค่อยากจะให้ดูว่า รุ่นล่าสุด
หลังจากที่ผมเคย บ่นไปว่า ห้องโดยสารนั้น ไม่ค่อยน่าใช้เท่าใดนัก มาคราวนี้ เมื่อกลับมาลองนั่งอีกครั้ง
ผมพบอะไรเพิ่มเติมบ้าง?

สิ่งที่ผมพบคือ เบาะนั่งคู่หน้า นั่งสบายตามอัตภาพ สมราคารถระดับนี้ ขณะที่ทางเข้าประตูคู่หลัง
ผมว่ายังมีขนาดเล็กไปหน่อย เมื่อเทียบกับ Toyota Yaris อย่างไรก็ตาม เบาะนั่งด้านหลังนั่น มีความนุ่มนวล
นั่งสบายกว่า Yaris อย่างชัดเจน แบบที่ ทุกคนก็สัมผัสได้ว่ามันเป็นอย่างที่ผมพูดอยู่นี้จริง
พื้นที่วางขา มีให้เยอะพอมควร สำหรับรถระดับนี้ อย่างไรก็ตาม เบาะรองนั่งด้านหลัง
แม้ว่าจะสั้นไปนิด แต่ก็ยังถือว่า นั่งสบายกว่า โตโยต้า ยาริส อย่างแน่นอน

ส่วนแผงหน้าปัด ยังคงเป็น Micky Mouse face Counsole ยังไง ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น
ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงอะไรกันเล้ยยย

 

ฝากระโปรงท้าย และการเก็บสัมภาระ อย่าคาดหวังว่ามันจะดีเด่ถึงขนาด Honda Fit/Jazz
ไม่มีทางครับ แนวทางการทำรถรุ่นนี้ เพื่อออกมาเอาใจคนยุโรปเป็นหลัก มาแนวเดียวกับ
ทั้ง Yaris และ Suzuki Swift เลยทีเดียว

รายการต่อไปที่คาดว่าจะเข้าเมืองไทย ต้นปี 2011 กันแน่นอน นั่นคือ Mazda 3 ใหม่
ในญี่ปุ่น ทำตลาดด้วยชื่อ Axela ไหนๆ มาจอดโชว์ทั้งที ก็ควรจะลองนั่ง ทุกรุ่น ถูกไหมครับ?
ว่าแล้ว ผมกับเจ้ากล้วยก็เดินตรงรี่ เข้าไปที่รถคันสีแดง

ใช่ครับ MazdaSpeed Axela !! เวอร์ชันท็อปสุดร้อนแรง ด้วยเครื่องยนต์ ตระกูล MZR
4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.3 ลิตร DISI พ่วง TURBO  264 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 38.7 กก.-ม. ที่ 3,000 รอบ/นาที พร้อมระบบเฟืองท้าย Torque Sensive LSD
ฯลฯ อีกมากมาย ราคาอยู่ที่ 2,678,000 เยน

เท่าที่ลองสัมผัสมาสั้นๆ เรียกได้ว่า งานนี้ มาสด้า พยายามแก้ไขข้อด้อยในรถรุ่นปัจุจุบัน
ได้แทบจะครบถ้วนเลยทีเดียว

ข้อแรก ตำแหน่งเบาะหน้า นั่งสบาย ตำแหน่งนั่งขับ คล้ายกับรุ่นเดิม เพียงแต่ แผงหน้าปัด ใหม่
มาพร้อมสารพัดจอภาพ อาจหลอกความรู้สึกได้ว่า แตกต่างไปจากเดิม

ประตูทางเข้าด้านหลัง ก็เข้าออกได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม นิดนึง อย่างว่า ระยะฐานล้อมันบีบคออยู่นี่

พื้นที่เหนือศีรษะ เหลือเยอะขึ้นกว่าเดิม ในรุ่นซีดาน สีขาว ส่วนรุ่น 5 ประตูนั้น
ยังพอกันกับเดิม พนักพิงหลังนั่งสบายขึ้นนิดนึง ที่วางแขน ทั้งบนแผงประตู
และแบบพับเก็บได้บนเบาะนั่ง วางได้สบายจริง

ส่วนเบาะนั่งด้านหลังนั้น เบาะรองนั้ง จากที่เคยสั้น ตอนนี้ เปลี่ยนใหม่ให้ ยาวขึ้น ซัพพอร์ต
บริเวณต้นขาด้านหลังได้ดีขึ้น พนักพิงหลัง นั่งสบายขึ้นกว่าเดิมนิดนึง ต้องนานสักพัก
ถึงจะจับสัมผัสได้ ไม่เช่นนั้น นั่งเผินๆ มันแทบไม่ต่างกันเลย

พื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง ไม่มีเวลาดูเยอะนัก พอจะมองเห็นว่า เก็บได้พอกันหรือใหญ่กว่าเดิม
เล็กน้อย ไม่เยอะนัก แต่ถ้าเป็นรุ่นซีดานแล้ว ทางเข้าห้องเก็บของด้านหลัง ทำได้ดีขึ้นกว่า
รุ่นปัจจุบันนิดนึง

และถ้าคุณถามถึงรุ่น ซีดาน เราก็ถ่ายมาให้คุณได้ชมกันอย่างที่เห็นครับ
มีเฉพาะสีขาวคันเดียว และมาพร้อมเทคโนโลยี i-Stop หรือเครื่อยนต์ดับเองได้เมื่อติดไฟแดง
และติดขึ้นเองได้ แค่แตะคันเร่งเบาะๆ

 

บั้นท้าย ออกแบบโดยพยายามแก้ปัญหาเดิมๆ ไปได้เยอะ การเข้าออกจากประตูคู่หลังทำได้ดีขึ้น
ไม่น่าอึดอัดเหมือนรถรุ่นปัจจุบัน แต่ก็ใว่าจะเยอะแยะมากมายนัก ที่พิเศษคือ สวิชต์เปิดฝากระโปรงหลัง
ซ่อนตัวอยู่ที่ แผงไฟเบรกดวงที่ 3 LED สังเกตดีๆจึงจะเห็น

แผงหน้าปัด ออกแบบให้มีจอเยอะขึ้น ดูสปอร์ตพอกับรุ่นเดิม แต่ลดความดุดันจากเดิมลงไปนิดหน่อย
คราวนี้มีจอ Multi Information ที่เคยจับรวมไว้ บนมาตรวัด ย้ายขึ้นมาไว้ข้างบน แยกให้ดูกันชัดๆยิ่งขึ้น

ผมกับน้องกล้วย ลงความเห็นกันว่า รุ่นซีดาน เริ่มน่าสนใจกว่ารุ่นแฮตช์แบ็ก เอาก็คราวนี้ละ! ถ้าเมืองไทย อัดออพชันมาดีๆ สมราคา รับรอง ขายดีกว่าเดิมแน่!

เบาะนั่งด้านหลัง เหมือนรุ่นแฮตช์แบ็ก คือมีส่วนรองนั่ง ยื่นออกมาซัพพอร์ตขาพับ
ดีขึ้น มีพื้นที่วางขามากขึ้นกว่าเดิมนิดเดียว ไม่เยอะนัก

ส่วนฝากระโปรงท้าย นั้น กว้างกว่าเดิม การยกข้าวของ เข้าออกจากห้องเก็บของด้านหลัง ดีขึ้นแน่ๆ
แต่จะมากน้อยแค่ไหน เราต้องรอวันที่รถรุ่นนี้จะเข้าเมืองไทย ประมาณ ต้นปี 2011 ถึงจะได้รู้กัน

นานไปป่าวเนี่ย? พี่ซู และ พี่อุทัย ครับ

นอกจากนี้ ยังมีรถตลาดรุ่นอื่นๆ มาจอดอวดโฉมให้ชมกัน ทั้ง Mazda MX-5 ซึ่งทำตลาดในญี่ปุ่นด้วยชื่อ
Mazda Roadster และ Mazda 6 หรือ Atenza ยอดรถซีดานขนาดกลางชั้นเลิศ ที่ยากจะมีโอกาสมาขาย
ในไทย รถทั้ง 2 รุ่นนี้ เป็น Mazda รุ่นที่ได้ใจผมไปเต็มๆ เสมอมา และไม่เคยเปลี่ยน มันเป็น ฝูงมาสด้า
ที่ดีที่สุด เท่าที่มาสด้าเคยสร้างรถมาด้วยซ้ำ นั่นไม่เป็นการยกยอจนเกินจริงเลย ต้องลองหาโอกาสนั่งขับดู

แต่ที่จะทำให้ผมต้องออกปากด่าจนได้ ก็คงจะเป็น มินิแวน 7 ที่นั่ง หน้าตาประหลาด ราวกับให้ทีม
นักออกแบบ ของบริษัท เครื่องเล่น AJ DVD เขาออกแบบให้ ยังไงยังงั้น รถรุ่นนี้มีชื่อว่า เบียงเต
(Mazda Biante) ราคาตั้งแต่ 2,131,000 เยนขึ้นไป

 

ชิ้นส่วนกระจกหน้าต่างที่พยายามทำให้ยื่นยาวออกมาข้างหน้านั้น แทบไม่ได้ส่งผลดีใดๆ
ให้เกิดขึ้นกับทัศนวิสัยด้านหน้าของรถแม้แต่น้อย เสาหลังคาคู่หน้า ก็ยังคงมาในสไตล์
ของรถมินิแวนเจ้าตลาดทั่วไป ที่ ยื่นล้ำไปข้างหน้า อย่างไร้สาระ และกล่าวอ้างถึงการช่วย
ในเรื่องการรับและกระจายแรงกระแทกจากอุบัติเหตุเป็นสำคัญ…

ภายในห้องโดยสาร ดูเหมือนน่านั่ง แต่เมื่อขึ้นไปนั่ง มันก็ไม่ได้ให้ความแตกต่างใดๆ
ไปมากกว่า รถมินิแวน แบบเดียวกันของค่ายอื่นเท่าใดนัก ประตูคู่หลัง เป็นแบบบานเลื่อน
อันเป็นผลมาจากการวิจัยกลุ่มลูกค้าของมาสด้าพบว่า ลูกค้ากลุ่มนี้ อยากได้รถที่มีประตูบานเลื่อน
มากกว่า แบบปกติทั่วไป  ซึ่งเป็นผลวิจัยมาตั้งแต่สมัยที่เริ่มต้นพัฒนา Mazda Premacy รุ่นปัจจุบัน
เมื่อหลายปีก่อน

บานประตู เปิดกางออกแล้ว จะโน้มไปข้างหน้ารถเล็กน้อย เหมือน Honda FREED 

 เบาะนั่งดูสวย เวลาอยู่ในแค็ตตาล็อก แต่เวลานั่งจริง แม้วัสดุจะดี แต่พนักศีรษะแบบนี้ นั่งไม่ค่อยสบายนัก

 

แผงหน้าปัด ทรง กางเกงในเด็กประถม  พร้อมมาตรวัดตรงกลาง เอาละ มันไม่ใช่ปัญหาหรอก
แต่ งานออกแบบในภาพรวมนั้น มันชวนให้ต้องถามตัวเองว่า
ตกลงเนี่ย รถที่เรานั่งอยู่ มันเป็น Mazda หรือ Toyota กันแน่? 

แต่เมื่อหันมามอง Mazda CX-7 Minorchange ที่เพิ่งเปิดตัวไปในตลาดญี่ปุ่น ก่อนหน้านี้
ไม่นานนัก ก็ค่อยสบายตาขึ้นเยอะเลย นี่แหละ มาสด้า แบบผสมผสาน ที่ผมว่าผมรับได้นะ
วางเครื่องยนต์ MZR 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.3 ลิตร DISI TURBO คล้าย MazdaSpeed Axela
แต่ว่า ลดระดับความแรงลงมาเหลือ 238 แรงม้า (PS) ที่ 5,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 35.7 กก.-ม.
ที่ 2,500 รอบ/นาที ราคา 2,950,000 เยน

บูธมาสด้าปีนี้ ดูเหมือนจะมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่เพียงเท่านี้ และเราได้แต่เดินจากลามาด้วยความรู้สึกที่ว่า
สภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในช่วงตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เป็นต้นมา มันช่างส่งผลกระทบกับบริษัทรถยนต์
มากมายขนาดนั้นแน่เหรอ ผมว่าไม่หรอก แค่พวกเขาพยายามลดต้นทุนลงไปมากกว่า แต่ เพราะ
การลดต้นทุนที่ว่ามันยังส่งผลไปถึงหน้าตาของ พริตตี ประจำบูธ ซะอีกด้วย….ท่านผู้เกิน
Commander CHENG ของเรา เห็นรูปนี้แล้ว เอ่ยปากทันทีว่า “โหย คนนี้นะ แม่กรูสวยกว่า!”

อืมม จริง! เห็นด้วย!

————————————————-

MITSUBISHI MOTORS

ผู้ผลิตรถยนต์ ที่ต้องเผชิญับภาวะตกต่ำที่สุดอย่างต่อเนื่อง เริ่มหายใจคล่องคอขึ้นอีกนิด
หลังจากยอดขายของคอมแพกต์ซีดานรุ่นใหม่ Lancer EX หรือ Galant Fortis และ SUV
รุ่น Outlander ช่วยกอบกู้รายได้เข้ามาให้บริษัทได้บ้าง ขณะที่ตลาดรถเล็ก K-Car ในญี่ปุ่น
ตกต่ำเอาเรื่อง ขนาดว่าต้องออกรุ่น Limited Edition หั่นสารพัดออพชันออกไป เพื่อให้ขายได้
ในราคา 998,000 เยน ราคาเดียวกัน ในหลายๆรุ่น ก็ยังไม่เห็นวี่แวว่าจะดีขึ้นเท่าไหร่
ยกเว้น แผนการทำตลาด รถไฟฟ้า i-MIEV ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานของ K-Car ทรงเมาส์
อย่าง i ที่เดินหน้าต่อไปไม่หยุดนิ่ง

ปีนี้ บูธมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ออกจะดูเหงาไปสักหน่อย เพราะมีรถต้นแบบให้เห็นอยู่เพียงแค่
คันเดียวเท่านั้น เป็นการประหยัดงบประมาณ หลังจากที่ไม่เข้าร่วมงานแสดงรถยนต์ใหญ่ๆ
ทั่วโลก มาแล้วหลายต่อหลายงาน เหมือนจะเก็บเอาของดีมาปล่อยกันในบ้านตัวเองซะอย่างนั้น

รถคันนั้นก็คือ Mitsubishi Concept PX-MIEV อันถือว่าเป็น Plug-in Hybrid Crossover SUV
คันแรกของ Mitsubishi ที่ผสมผสานระบบ Hybrid กับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเข้าไว้ด้วยกัน
พร้อมเทคโนโลยีถ่ายทอดกำลังแยกแกนล้อซ้ายและขวาได้

ภายนอกถูกออกแบบขึ้นภายใต้คำนิยาม 3 ประการ นั่นคือตัวรถต้องดูแข็งแกร่ง,ปลอดภัย
แต่เรียบง่าย (อีกละ ญี่ปุ่นนี่ชอบอะไรที่เรียบง่ายกันจริงจริ๊งงง) เอาน่า ถึงจะดูเรียบ แต่ก็ดูดี
ดูได้นานกว่ารถเอสยูวีทั่วไปที่ใช้เส้นสายแรง ๆ แข็ง ๆ ดูทื่อๆ ไปซะอย่างนั้น ไฟหน้าและไ
ฟท้ายออกแบบมาอย่างเรียบ ๆ แต่มีลูกเล่นไม่ให้จืดตานัก โคมไฟทั้งหมดใช้หลอด LED
ที่ให้แสงสว่างและประหยัดพลังงานไปในตัว


 
สีที่ใช้พ่น PX-MIEV เป็นสีเนื้อเหล็กที่ดูล้ำอนาคตดีนอกจากนี้ล้อแมกซ์และดุมล้อถูกรวม
เข้าไว้ด้วยกันซึ่งออกแบบลายล้อแมกซ์ให้สามารถดักลมเข้าระบายความร้อนที่ดิสก์เบรคได้ดีขึ้น
อีกทั้งช่วยในการลดค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน ตามหลักอากาศพลศาสตร์ได้อีกด้วย

 

มิติตัวถังของ PX-MIEV มีความยาว 4,510 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,830 มิลลิเมตร ความสูง
1,655 มิลลิเมตร ระยะยาวฐานล้อ 2,630 มิลลิเมตร ความกว้างระยะช่วงล้อคู่หน้า 1,570 มิลลิเมตร
ความกว้างระยะช่วงล้อคู่หลัง 1,570 มิลลิเมตร

ห้องโดยสาร ออกแบบมาดูแล้วไม่แตกต่างจาก ห้องโดยสารของรถต้นแบบที่พะแบรนด์มิตซูบิชิ
ในรอบ 2-3 ปีนี้มาเท่าใดนัก มองในอีกมุม มันดูคล้ายห้องบังคับควบคุมเครื่องบินนั่นละ แต่แค่
น่านั่งกว่า แผงมาตรวัดเป็นแบบรวมศูนย์กลางหน้าจอทรงสูงเพื่อให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องชายตามองไปไกล
จนขาดสมาธิขณะขับขี่ได้ จอมอนิเตอร์ขนาบข้างพวงมาลัยคล้ายปีกนกเครื่องบิน และพวงมาลัย 2 ก้าน
แบบไม่เต็มวงเสมือนเรากำลังขับเคลื่อนอากาศยานอยู่จริง ๆ

เบาะนั่งดีไซน์ใหม่โอบกระชับผู้ขับขี่และผู้โดยสารให้ยึดติอยู่กับที่และแผงควบคุมการทำงานอุปกรณ์
และแผงข้างประตูใช้หลอดไฟ LED สีอ่อนช่วยประดับและสร้างความสว่าง

การสร้างบรรยากาศห้องโดยสาร Mitsubishi เลือกใช้แนวคิด cocochi-interior ที่อธิบายได้ว่าห้องโดยสาร
อุดมคติจะต้องเป็นห้องโดยสารที่สะอาด ปราศจากความเครียด ปลอดภัย และคลายความกังวล ทั้งหมดส่งผลดี
ต่อสุขภาพของผู้ใช้รถได้ ทำให้ Mitsubishi ต้องพิถีพิถันในรายละเอียดชิ้นส่วนภายในห้องโดยสารได้แก่
วัสดุหุ้มเบาะจะต้องไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ได้,ลดค่าไอระเหยสารอินทรย์ให้น้อยที่สุด,วัสดุเคลือบสารป้องกัน
แบคทีเรียอันก่อให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์,กระจกตัดรังสี UV-A อันก่อให้เกิดผิวหมองคล้ำและดูแก่ก่อน
วัยอันควรและ เครื่องปรับอากาศ พร้อมระบบฟอกอากาศ และสร้างออกซิเจนในตัว

ระบบส่งกำลังของ PX-MIEV ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซินบล๊อก 4 สูบ DOHC 1,600 ซีซี ระบบแปรผันวาล์ว
MIVEC 116 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 12.73 กิโลกรัมเมตร พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับล้อคู่หน้าและล้อคู่หน้าแบบ
แม่เหล็กไฟฟ้าให้พลัง  82 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 200 นิวตันเมตรหรือ 20.38 กิโลกรัมเมตร

หากวิ่งแบบพลังงานไฟฟ้าเดี่ยว ๆ  ภายใต้สภาวะโหมด 10-15 มาตรฐานญี่ปุ่นจะมีระยะทางวิ่งถึง 50 กิโลเมตร
หากวิ่งแบบ Hybrid ทดสอบผ่านโหมด 10-15 จะทำอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยถึง 50 กิโลเมตรต่อลิตรเลยทีเดียว
เพื่อมิให้กำลังไฟฟ้าขาดตอน ล้อคู่หน้าจึงต้องติดตั้งเจเนเรเตอร์กำเนิดไฟฟ้าไปในตัวเพื่อสร้างประจุไฟฟ้า
ไปเก็บไว้ที่แบตเตอรี่

ระบบการทำงานทั้งหมด Mitsubishi ลงทุนพัฒนาระบบปฏิบัติการ MIEV OS หรือซอฟท์แวร์ควบคุม
การทำงานระบบ Hybrid ของตนเองให้ใช้งานในโหมดต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

EV Mode
ในย่านความเร็วต่ำถึงปานกลางมอเตอร์แม่เหล็กจะนำพลังงานจากแบตเตอรี่ถ่ายทอดกำลัง
ไปสู่ล้อคู่หน้าอย่างเดียว แต่หากคุณเผชิญความยากลำบากผ่านถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะ,
พื้นถนนลื่นเพราะฝน หรือถนนขรุขระเล็ก  ๆ ทำให้ล้อคู่หน้าลื่นไถลระบบจะสั่งการ
ให้เซ็นเซอร์ถ่ายเทกำลังไปยังล้อหลังโดยอัตโนมัติ

Parallel Hybrid Mode

ในการขับขี่ย่านความเร็วสูง จะใช้พลังงานจากเครื่องยนต์สันดาปภายในอย่างเดียว
เท่านั้น แต่หากคุณอยากจะเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ทั้งอัตราเร่งที่เร็วกว่า และ
การทรงตัวที่ดีกว่าเพียงแค่คุณกดปุ่มขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น มอเตอร์ไฟฟ้าด้านหลัง
จะถ่ายทอดพลังงานสู่ล้อคู่หลังทันที อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ คือพลังงานจากเครื่องยนต์
และจากมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยส่งเสริมอัตราเร่งซึ่งกันและกันนั่นเอง

Regenerative Mode

ทุกครั้งที่ชะลอรถหรือลงทางลาดชันนาน ๆ พลังงานจลน์จากกิจกรรมดังกล่าวถูกแปลง
ให้เป็นกระแสไฟฟ้าเก็บเข้าสู่แบตเตอรี่

Charging Mode

คุณสามารถชาร์จประจุผ่านไฟบ้าน 100 โวลต์ และ 200 โวลต์ หรือชาร์จไฟด่วนจากสถานีชาร์จไฟ
ตามจุดต่าง ๆ นอกจากนี้ยังรองรับการชาร์จแบบไร้สาย และตั้งค่าเริ่มต้นให้ชาร์จเมื่อไรและตั้งค่า
เปิดแอร์ตอนไหนก่อนจะออกใช้งานได้อีกด้วย!

Powersupply Mode

Mitsubishi คงมองเห็นแล้วว่าในเมื่อเป็นรถที่มีแบตเตอรี่เก็บประจุไฟฟ้าขนาดเขื่องทำไมถึง
ไม่ทำตัวเป็นตัวจ่ายกระแสไฟฟ้าใช้งานสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าไปซะเลยล่ะ PX-MIEV
จึงจัดให้ตามต้องการแต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้กระแสไฟ 100 โวลต์เท่านั้น

งานนี้ Mitsubishi ยังแนะนำแทคติคประหยัดค่าไฟบ้านให้คุณอีกด้วยเพียงแค่คุณชาร์จไฟเจ้า
PX-MIEV ในตอนกลางคืนซึ่งส่วนใหญ่คิดค่าไฟไม่แพงนักและในตอนกลางวันหากอยาก
จะทำกับข้าวก็ขอยืมใช้ไฟจาก PX-MIEV ไม่ต้องเสียบปลั๊กไฟบ้านให้เสียค่าไฟแพงกว่าครับ

และข้อดีอีกอย่างหนึ่งของโหมดนี้คือคุณสามารถใช้พลังงานไฟฟ้าได้แม้เกิดภัยพิบัติ ทำให้
กระแสไฟฟ้าในบ้านขัดข้อง คงจะมีเพียงภัยพิบัติเดียวที่เป็นข้อยกเว้นคือน้ำท่วมมิดตัวรถ

เฮ้อ ทำไมเราไม่มีรถคันนี้ ใช้ตอนน้ำท่วมบ้าน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาฟะ???

ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อถ่ายทอดสมดุลระหว่างล้อคู่หน้าและล้อคู่หลังของ PX-MIEV ชื่อว่า S-AWD
ทำงานด้วยไฟฟ้ากระจายแรงบิดตามความเหมาะสม เพื่อให้การทำงานสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นจึงติดตั้ง
ระบบ E-AYC (Electric-powered Active Yaw Control) กระจายแรงบิดแยกล้อซ้ายและล้อขวา
ของล้อคู่หลังได้ด้วย

Mitsubishi PX-MIEV บรรจุเทคโนโลยีความปลอดภัยชั้นนำได้แก่ ติดตั้งกล้องรอบคันแสดงผล
ผ่านกระจกหน้ารถยนต์ระดับสายตาผู้ขับขี่,ระบบ DSSS (Driving Safety Support System)
ติดต่อหน่วยงานสำนักตำรวจแห่งชาติญี่ปุ่นได้ทันทีหากต้องการความช่วยเหลือด่วน เป็นต้น
(โอ้ นี่ถ้าเป็นบ้านเรา จะติดต่อใครกันดีละ สำนักงานตำรวจแห่งชาติบ้านเรายังวุ่นกันไม่จบเลยนี่)
 
 
แม้ Mitsubishi จะไม่บอกว่ารถรุ่นนี้เตรียมจำหน่ายเมื่อไร แต่เมื่อพวกเราดูข้อมูลทั้งหมดของ
รถต้นแบบคันนี้ก็คงคาดเดาได้ไม่ยากว่านี่คือว่าที่ Outlander ตัวต่อไปที่จะมาแทนที่รุ่นปัจจุบัน
ภายในไม่เกิน 3-4 ปีนี้แน่นอน

รถคันต่อไปเป็นรถที่ใช้งานเชิงพาณิชย์และเตรียมวางจำหน่ายในไม่นานนักคือ Mitsubishi i-MIEV
Cargo ที่ดัดแปลง i-MIEV เป็นรถขนของเชิงพาณิชย์พลังงานไฟฟ้าล้วน ๆ รายแรกของญี่ปุ่น
รูปร่างหน้าตาครึ่งคันหน้าถอดแบบจาก i-MIEV ร้อยเปอร์เซ็นต์ ยกเว้นตั้งแต่เสา B เป็นต้นไป
จะถูกดัดแปลงให้เป็นรถทรงกล่องบรรทุกของ ดูไม่แตกต่างจากพวกรถ Combi ทั้งหลายในยุโรปนัก

มิติตัวถังยังคงรักษามาตรฐาน K-car ไว้เช่นเดิมทั้งความยาว 3,395 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,475 มิลลิเมตร
ความสูง 1,860 มิลลิเมตร สูงเสียจนรถมินิแวนบ้างรุ่นได้อาย ฐานล้อยาว 2,550 มิลลิเมตร ความกว้าง
ช่วงล้อคู่หน้า 1,310 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หลัง 1,270 มิลลิเมตร

Mitsubishi เคลมว่าออกแบบขนาดตู้บรรทุกของด้านหลัง ให้ยาวถึง 1,180 มิลลิเมตร ความกว้าง
1,350 มิลลิเมตร ความสูง 1,100 มิลลิเมตร เน้นเอาใจธุรกิจ SME ที่อยากนำรถไปดัดแปลงใช้งาน
ได้อย่างหลากหลาย กันสุดขีด สุดฤทธิ์ สุดเดช สุดชีวิต สุดกู่..(แล้วจะเอาเพลงคุณใหม่ เจริญปุระ มาใส่ทำไมเนี่ย?)

ขุมพลัง ไม่ต้องเดากันให้ยุ่งยาก ยกของเก่าที่ทำขายกันไว้แล้ว จาก i-MIEV เวอร์ชันปกติ ท้งดุ้น
มาวางลงไปนั่นแหละ ง่ายดี ประกอบด้วยชุดมอเตอร์ไฟฟ้าแบบแม่เหล็ก 64 แรงม้า แรงบิดสูงสุด
180 นิวตันเมตรหรือ 18.34 กก.-ม. ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง

นอกจากนี้ Mitsubishi ยังจัดแสดงรถยนต์ i-MIEV หรือ เวอร์ชันพลังมอเตอร์ไฟฟ้า ของ i
ในความร่วมมือของหน่วยงาน องค์กรเอกชนต่างๆ มาให้ได้ชมกัน เพื่อยืนยันว่า ค่าย
สามเพชร จะมุ่งหน้าไปทาง ระบบไฟฟ้า EV เต็มตัว

ที่น่าแปลกใจก็คือ แม้แต่ ร้าน Convinience store อย่าง Lawson คู่แข่งของ 7-11 ก็ยัง
ร่วมมืออยู่ในโครงการนี้กับเขาด้วยเนี่ยสิ…

ส่วนรถยนต์รุ่นบ้านๆที่พร้อมจะทำตลาดกันแล้ว มีทั้ง SUV รุ่น Outlander แบบ Minorchange
ตามติดตลาดจีน และส่วนอื่นๆของโลก ที่นำเอา หน้าฉลามของ Lancer EX หรือ Galant FORTIS
มาแปะเข้าไปกันง่ายๆดื้อๆ

รวมทั้ง รุ่นปรับโฉมเล็กน้อยของ Pajero V6 3.8 ลิตร ที่คุณต้องดูให้ดีๆ จึงจะพบความแตกต่าง
อยู่ที่ ชุดไฟหน้า นอกนั้น ก็ไม่ค่อยมีอะไรแตกต่างจากเดิมเท่าใดนัก

และคันสุดท้ายที่ตั้งใจถ่ายมาให้ชมกัน นั่นคือ Lancer EX….

เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน ดูอีกที นี่มัน Galant FORTIS SportBack หรือเวอร์ชัน
แฮตช์แบ็ก 5 ประตู ของ Galant FORTIS ในญี่ปุ่น ซึ่งก็คือ Lancer EX นั่นเอง

เป็นไงครับ อ่านแล้ว งง ดีไหม?

คือที่จะถ่ายมาให้ดูเนี่ย ก็เพื่อให้คุณๆได้เห็นภาพเลยแล้วกันว่า
เวอร์ชันไทย กับเวอร์ชันญี่ปุ่นหนะ คุณภาพวัสดุที่ใช้ในตัวรถหนะ
มันเหมือนหรือต่างกันอย่างไร นั่นเอง เพราะโดยหลักแล้ว ตัวรถ
มันก็เหมอืนๆกัน ต่างกันแค่ว่าบั้นท้ายมี ประตู ที่ 5 โผล่มาแค่นั้นเอง

เบาะนั่งด้านหลังนั้น เจ้ากล้วย BnN เข้าไปนั่งโพสต์เป็นแบบให้
คงพอจะเห็นภาพอะไรได้บ้างนะครับ ผมมองว่า มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับ
เวอร์ชันไทย แบบซีดาน เท่าใดเลย

พื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง นั้น แน่นอนว่า ลึกกว่า ตัวถังซีดานแน่ๆ
แต่ถ้าในแง่ความสูงแล้ว ผมชักไม่แน่ใจว่า มันจะพอให้แบกสิ่งของที่สูง
ได้มากแค่ไหน

นอกจากนี้ แผงหน้าปัดข้างในนั้น ก็แทบจะยกมาทั้งกะบิ วัสดุต่างๆก็เหมือนกัน
อาจจะมีเรื่องความเนี้ยบในการ ทำเสียงปิดประตู ให้เนียน ซึ่งเวอร์ชันไทย
ยังต้องปรับปรุงในจุดนี้ เบื้องต้น ก็เหลือแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวแล้วละ สำหรับ Lancer EX

และรุ่นสุดท้ายของบูธมิตซูบิชิ ก็คือ Delica D:5 อันเป็น ชื่อที่มาจาก การเป็น เจเนอเรชันที่ 5
ของรถตู้รุ่นนี้ ที่คลอดออกมาตั้งแต่กลางทศวรรษ 1960-1970 นานพอไหมละ

รุ่นที่นำมาโชว์นี้ คือ รุ่นตกแต่งพิเศษ สำหรับผู้ทุพลภาพ เป็นรถตู้ทรงกล่อง ที่ยังพอ
มียอดขายไปได้เรื่อยๆ ในวันที่ Space Wagon หรือ ใช้ชื่อในญี่ป่นว่า Grandis
ต้องยุติบทบาทการทำตลาดในญี่ปุ่นไป เช่นทุกวันนี้

กระซิบนิดนึงว่า เพลงโฆษณาของ Delica D:5 นั้น ชื่อเพลง Eternal Landscape
ของวง Scoop On Sombody ฟังแล้ว เลือดลมสูบฉีดดี มองฟ้ากว้าง มองโลกสดใสขึ้นเยอะ
ขอแนะนำให้ ไปหาซื้อมาฟัง หรือดาวน์โหลดมาดู ครับ

————————————————-

 

NISSAN

เป็นอีกบูธ ที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารมาก แน่ละ มันปาเข้าไป 2,235 ตารางเมตร เลยนี่นา
นี่ถ้าเป็นสภาพปกติ บูธของนิสสัน จะกินพื้นที่ของ 2-3 บูธ รวมกันเลยนะนั่น ดังนั้น
การจัดพื้นที่ใช้สอยจึงเน้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด และโปร่งสบายต่อการเดิน มากที่สุด

ไปถึงบูธ ก็เห็นลุง Carlos Ghosn CEO คนดัง กำลังเมาท์แตก ให้สัมภาษณ์อยู่
เลยไม่เข้าไปร่วมฟังดีกว่า ปล่อยแกเมาท์ต่อไปอย่างนี้ละดีแล้ว เวลาฟังแกสัมภาษณ์ที
อย่างกับนั่งฟังเลคเชอร์ วิชาบริหารธุรกิจรถยนต์ ในมหาวิทยาลัยเลยนะนั่น!
ผมชอบฟัง แต่ถ้าจะต้องมายืนฟังแกพูด ทั้งที่ผมมีเวลา 1 วัน ที่จะจัดการทุกอย่างให้เสร็จ
ผมว่า ผมรอไม่ได้แน่ๆ เลยต้องผละออกมาอย่างน่าเสียดาย

 

ว่าแล้ว เราก็หันมาดูรถต้นแบบของ Nissan กันบ้างดีกว่า และนี่ละครับ คันจริงของ Nissan LEAF

iรถรุ่นนี้ ถือเป็นความก้าวหน้าระดับก้าวกระโดด ของ Nissan ในการพัฒนารถยนต์ พลังงานทางเลือก ให้ตอบสนอง
ความต้องการใช้งานของผู้คน ในโลกแห่งความจริง ได้มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทั้งความต้องการในด้านความสะดวกสบาย
ในการขับขี่ การโดยสาร ความสะดวกในการชาร์จไฟ และการบำรุงรักษา อีกทั้งยังควบคุมทุกอย่าง ง่ายดาย

 จุดเด่นสำคัญของ LEAF มีอยู่ 5 ประการ คือ
1. ระบบขับเคลื่อน ที่จะไม่มีการปล่อยมลพิษสู่โลกเลย อย่างสมบูรณ์แบบ (Zero Emission)
2. ราคาเหมาะสม ที่ง่ายต่อการเป็นเจ้าของ
3. การออกแบบที่ดึงดูดใจ
4. สามารถแล่นใช้งานได้ยาวไกล ถึง 160 กิโลเมตร ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง ในโลกของความจริง
5. เชื่อมต่อเข้ากับระบบ จัดการจราจรอัตโนมัติ Advanced intelligent transportation (IT) ได้

ชื่อรุ่น “LEAF” สะท้อนความหมาย ถึงจุดแข็งของตัวรถเอง โดยเฉพาะ การปล่อยอากาศบริสุทธิ์สู่ชั้นบรรยากาศ
LEAF ถือได้ว่า เป็นรถที่ประสบการณ์ใหม่ในการขับขี่ และการเดินทาง ที่บริสุทธิ์ ปราศจากมลพิษอย่างสิ้นเชิง

เมื่อมองจากภายนอก LEAF จะมีรูปลักษณ์เป็นรถยนต์นั่งแฮตช์แบ็ก 5 ประตู 5 ที่นั่ง ระดับ Compact ที่สร้างขึ้น
บนโครงสร้างวิศวกรรมใหม่หมดจด”ทั้งคัน” แบบแรกในโลก ที่พร้อมขึ้นสายการผลิตจริง โดยมีแนวเส้นสาย
ด้านหน้า ที่ชวนให้นึกถึง TIIDA ซีดาน เจเนอเรชันต่อไป รวมทั้งมีบั้นท้ายที่ชวนให้ระลึกถึง Renault Avantime
มินิแวน 2 ที่นั่ง รุ่นล้ำยุคเกินเหตุ และไม่ประสบความสำเร็จนักของเรโนลต์ เมื่อปี 2002

ตัวถังของ ลีฟ มีความยาว 4,445 มิลลิเมตร กว้าง 1,770 มิลลิเมตร (กว้างกว่า Honda Civic FD) สูง 1,550 มิลลิเมตร
และมีระยะฐานล้อยาวถึง 2,700 มิลลิเมตร (เท่า Honda Civic FD รุ่นปัจจุบัน)

ประตูคู่หน้า และประตูคู่หลัง เปิดกางออกได้
สะดวกต่อการเข้าออกจากตัวรถ แต่ครั้น จะให้ผมขึ้นไปลองนั่ง
คาดว่า คนของนิสสัน คงจะห้ามผมเอาไว้ก่อน เลยตัดสินใจ ไม่ลองนั่งก็ได้

เบาะนั่งคู่หน้า นั้น ปรับด้วยกลไกอัตโนมือ
ส่วนเบาะหลังนั้น ไม่ได้แตกต่างไปจากรถยนต์ธรรมดาทั่วๆไป

เบาะหลังสามารถแบ่งพับเก็บได้ เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง
มีพื้นที่เหนือศีรษะที่สูงพอประมาณ อย่างน้อย ก็สูงกว่า Honda INSIGHT ก็แล้วกัน

 

ภายในห้องโดยสาร ของ LEAF ตกแต่งในแนวแปลกตา โดยใช้โทนสีครีมขาวเป็นหลัก ตัดกับพลาสติกเคลือบเงา
สีดำ แผงควบคุมกลาง ออกแบบมา จนชวนให้นึกถึง โทรศัพท์ iPhone ที่แปะเอาไว้กลางชุดแผงหน้าปัดสไตล์โค้งมน
เน้นความสะดวกในการใช้งาน และเพื่อการเชื่อมต่อกับระบบ Advanced intelligent transportation (IT) ที่นิสสัน
กำลังพัฒนาร่วมกับเมืองต่างๆในญี่ปุ่น จัดสร้างขึ้น

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน พร้อมสวิชต์ Multi Function สั่งการ และควบคุมการทำงานชุดเครื่องเสียง
และอุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถ คันเกียร์ มาในรูปแบบ สั้น เล็ก และกระชับมือ ชวนให้นึกถึง คันเกียร์
ที่พบได้ในรถไฟฟ้า Mitsubishi i-MiEV ที่ออกสู่ตลาดสำหรับหน่วยงานองค์กร ไปเมื่อไม่นานมานี้

ชุดมาตรวัดความเร็ว และแสดงข้อมูลของตัวรถ มาในสไตล์ 2 ชั้น แบบเดียวกับ Honda Civic FD
ด้านบนแสดงความเร็วของรถ นาฬิกา เทอร์โมมิเตอร์บอกอุณหภูมิ ส่วนชิ้นล่าง บอกถึงปริมาณไฟฟ้า
ที่เหลืออยู่ และระยะห่างจากสถานีบริการชาร์จไฟฟ้า ที่ใกล้ที่สุด

คันเกยร์ของระบบขับเคลื่อน มีหน้าตาอย่างที่เห็น เบรกมือเป็นสวิชต์ไฟฟ้า ถัดลงมานิดนึง มีที่วางแขนขนาดใหญ่ท่าทางสบายไม่เบา

พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง มีขนาดใหญ่กว่า TIIDA 5 ประตู เล็กน้อย เบาะหลังแบ่งพับได้ 60 : 40
เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ถือเป็นความสะดวกในการใช้งาน ซึ่งรถ EV แบบเก่า ยากนักจะให้ได้ 
เพราะรถรุ่นเก่าเหล่านั้น มักจะติดตั้งแบ็ตเตอรีเอาไว้ ใกล้กับชุดเบาะหลัง จนไม่อาจทำอะไรได้มากไปกว่าการจำใจนั่งโดยสาร

ระบบขับเคลื่อนของ LEAF ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นแบบ High-Response Synchronous AC Motor
ให้กำลัง 80 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร จะถูกติดตั้งอยู่ด้านหน้า และขับเคลื่อนล้อหน้า
โดยใช้กำลังไฟจาก แบ็ตเตอรี แบบบาง Laminated Lithium-ion มีขนาด 24 kWh (กิโลวัตต์ ชั่วโมง)
รวมแล้ว จะให้กำลังได้มากกว่า 90 กิโลวัตต์ การ ชาร์จไฟ 1 ครั้ง จะสามารถแล่นได้ในระยะทางไกลถึง
160 กิโลเมตร (หรือ 100 ไมล์) 

นอกจากนี้ ขณะที่คุณเหยียบเบรกเพื่อให้ระบบห้ามล้อทำงาน ยังสามารถนำพลังงานในการเบรค
ส่งแปลงกลับเป็นกระแสไฟฟ้า ไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ อีกครั้ง ส่วนการชาร์จไฟ จะเป็นแบบ Plug-in
ซึ่งการชาร์จโดยใช้ปลั๊ก ผ่านไฟบ้าน 200 โวลต์ จะใช้เวลารวม 8 ชั่วโมง ตามปกติ แต่หากชาร์จในแบบ
Quick Charge จากหัวเสียบฝั่งซ้าย จะใช้เวลาเพียง 30 นาที จนกระแสไฟฟ้า จะเพิ่มเป็น 80 เปอร์เซนต์
ของความจุแบ็ตเตอรี ทั้งหมด ที่ติดตั้งเอาไว้ ใต้พื้นห้องโดยสาร

ดังนั้น ในเมื่อใช้ไฟฟ้า รถคันนี้ จึง ไม่มีท่อไอเสีย จึงไม่มีการปล่อยมลพิษ ก๊าซไอเสียใดๆ สู่โลกเลย
แม้แต่นิดเดียว!

ขณะนี้ นิสสันยังไม่เปิดเผยราคาขายปลีกของ LEAF จนกว่าจะถึงกำหนดออกสู่ตลาดจริง ในช่วงครึ่งหลังของปี 2010
แต่ คาดว่า ราคาจะอยู่ในระดับเดียวกับรถยนต์ระดับ C-Segment รุ่นที่ตกแต่งมาอย่างดี และอยู่ในระดับที่ผู้คนทั่วโลก
ซื้อหามาใช้งานได้โดยง่าย โดยการทำตลาดจะเริ่มต้นจาก ญี่ปุ่น จากนั้น ตามติดด้วย สหรัฐอเมริกา และยุโรป

และแว่วมาว่า มีเมืองไทย อยู่ในแผนกับเขาด้วย!!!!!

รถต้นแบบอีกคันที่ ไม่เคยเผยโฉมที่ไหนมาก่อนในโลก ก็คือ Nissan LandGlider Concept
ซึ่งเป็นรถยนต์ขนาดเล็ก 4 ล้อ 2 ที่นั่งที่มีตำแหน่งเบาะนั่ง และบุคลิกการขับขี่คล้ายรถจักรยานยนต์
แต่มีรูปลักษณ์ที่ปราด เปรียวลู่ลม คล่องตัวและปลอดภัยมากกว่า

มิติตัวถังมีความยาวแค่ 3,100 มิลลิเมตร ความกว้างที่แทบไม่กว้างเลย ออกแนวผอมกระหร่อง
เพียง 1,100 มิลลิเมตร แต่มีความสูง 1,415 มิลลิเมตร ส่วนระยะฐานล้อนั้นยาวแค่ 2,180 มิลลิเมตร

การบังคับควบคุมใช้ระบบพวงมาลัยไร้สายไฟฟ้าและมีความสามารถในการขับขี่ที่ คล่องตัวเหมือน
จักรยานยนต์ การขับเข้าโค้ง สามารถทำมุมองศาไม่แพ้กันเลย ระบบขับเคลื่อนของ LanGlider คันนี้
ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวที่วางและขับเคลื่อนที่ล้อหลัง พร้อมแบตเตอรี่ Lithium-ion ที่คุณสามารถ
ชาร์จประจุไฟผ่านแท่นชาร์จแบบไร้ สายได้ด้วย

อีกคันหนึ่ง จอดรับแขกอยู่หน้าบูธกันเลยทีเดียว…Nissan Qasana Concept

Qasana Concept ชื่อของมัน อ่านว่า คาซานา เป็นการเผยโฉมให้เห็นถึง รูปลักษณ์
ในอนาคต ของรถยนต์ ประเภท Compact Cross Over ที่ใกล้จะออกสู่ตลาดจริง
ภายใน 2 ปีข้างหน้า มาให้ได้เห็นกันก่อน หลังจากที่เคยอวดโฉมมาก่อนแล้ว
ในงานแสดงรถยนต์นานาชาติ งานอื่นๆ

รถคันนี้ ไม่มีรายละเอียดอะไรให้คุณได้อ่านกันมากมายนัก นอกจากสิ่งที่ผมจะบอกกับ
คุณผู้อ่านตรงนี้ได้แต่เพียงว่า เวอร์ชันจำหน่ายจริงของ Qasana มแผนจะเข้ามาทำตลาด
ในเมืองไทย ภายในอีกราวๆ 2 ปีข้างหน้า และว่ากันว่า รูปลักษณ์น่าจะถอดแบบจากรถคันนี้มาทั้งคัน!

เตรียมรอดูเอาไว้ให้ดี!

ผ่านพ้นจากรถต้นแบบแล้ว มาดูรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่เปิดตัวกันในงานนี้ และเตรียมออกสู่ตลาดญี่ปุ่น
กันใน 1-2 เดือนนี้ เลยดีกว่า รุ่นแรก ก็คือ เจเนอเรชันที่ 2 ของ FUGA , Premium Sedan ขนาดใหญ่
ที่นิสสัน ตั้งใจเอามาประกบกับ Toyota Crown แทนตระกูล Nissan Cedric และ Gloria นั่นเอง

FUGA 2nd Generation เผยโฉมครั้งแรกในงานนี้ ด้วยรูปแบบเส้นสายที่โค้งมน
กว่าเดิมจนฉีกแนวไปเลย  ด้วยขนาดตัวถังที่ใหญ่โตขึ้นกว่าเดิมชัดเจน
ทั้งความยาว 4,945 มิลลิเมตร กว้าง 1,845 มิลลิเมตร (เท่า Lexus LS ใหม่)
สูง 1,500 – 1,510 มิลลิเมตร ตามแต่ละระบบขับเคลื่อน ระยะฐานล้อยาวถึง 2,900 มิลลิเมตร

ขุมพลัง ของ Fuga ใหม่ ในช่วงเปิดตัว จะมีให้เลือก 2 แบบ คือ รหัส VQ25HR
V6 DOHC 24 วาล์ว 2,495 ซีซี 225 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
26.3 กก.-ม.ที่ 4,800 รอบ/นาที

และ เครื่องยนต์ที่เห็นอยู่ในรูปข้างบนนี้ คือ VQ37VHR บล็อก V6 DOHC 24 วาล์ว
3.696 ซีซี แรงทะลุพิกัดรถญี่ปุ่นไปถึง 333 แรงม้า (PS) ที่ 7,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 37.0 กก.-ม.ที่ 5,200 รอบ/นาที

ทั้งคู่จะส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติลูกเดียวกัน เป็นแบบ 7 จังหวะ
7M-ATx  มาพร้อมโหมด บวกลบ ให้ผู้ขับเปลี่ยนเกียร์ได้เอง

แต่ในเมื่อ กระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และพลังงานทางเลือก
กลายเป็นกระแสหลัก อีกทั้ง Toyota เอง ก็เปิดตัว Crown HYBRID
มาดักคออยู่หลายปี Nissan จึงต้องทำอะไรสักอย่างบ้าง ทางออกก็คือ
จับ FUGA ใหม่ มาวางระบบขับเคลื่อนแบบ HYBRID กับ มอเตอร์ไฟฟ้า
เหมือนชาวบ้านเขาบ้างซะที ใช้ชื่อว่า Nissan FUGA HYBRID

ถ้าดูจากข้างนอก ยากจะแยกความแตกต่างระหว่างรุ่นธรรมดากับรุ่น HYBRID ออกได้

จนกว่าคุณจะหันไปเห็นบั้นท้าย ที่มี โลโก้เขียนว่า Pure Drive หรือ HYBRID นั่นละ FUGA HYBRID ละ!

ภายในห้องโดยสาร เมื่อเปิดประตูเข้ามา บรรยากาศของ Fuga รุ่นก่อน
ก็ชวนให้สัมผัสได้ว่า มีบางสิ่งที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเยอะมาก

เบาะนั่งคู่หน้า ปรับด้วยไฟฟ้า ฝั่งคนขับมีหน่วยความจำมาให้
มีพื้นที่เหนือศีรษะ พอเหลืออยู่บ้าง ให้เดินทางสบายๆ หน่อย

เสียงปิดประตู แน่นอน รถระดับนี้ ใส่ใจกับเรื่องแค่นี้อยู่แล้ว

ทางเข้าประตูคู่หลัง แน่นอน สะดวกสบาย แต่ผมก็ยังแอบเกร็ง
เพราะกลัวว่า จะไปทำให้รถเขาเป็นรอยได้ง่าย

เบาะหลังนั่งสบายมากๆ สบายยิ่งกว่ารถรุ่นก่อนเสียอีก
ที่พักแขนบนแผงประตูที่หนามากๆ รวมทั้ง ที่พักแขน พับเก็บได้
ใช้งานได้จริง ไม่มีปัญหาอะไร

พื้นที่เหนือศีรษะด้านหลัง ยังพอมีเหลืออยู่บ้าง
พื้นที่วางขาด้านหลัง เหลือเฟือ เบาะรองนั่ง ยาวพอจะเพิ่ม
ความสบายในการเดินทางจริงๆ

แผงหน้าปัด ดูหรูหรา ไฮโซ เหมือนเดิม แต่ การจัดวางอุปกรณ์
น่าจะช่วยให้ควบคุมใช้งานได้ง่ายขึ้น กว่ารถรุ่นเดิมอยู่นิดหน่อย 

 

แม้ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางเทคนิค อย่างเป็นทางการ
แต่นิสสัน ก็จัดแจง เผยหน้าตาเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง
มอเตอร์ไฟฟ้า และแบ็ตเตอรี แบบ Lithium-ion ซึ่งเป็น
กำลังขับเคลื่อนสำคัญของรถรุ่นนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

โดยเครื่องยนต์ต้นกำลังจะเป็นตระกูล VQ บล็อก V6
DOHC 24 วาล์ว 3.5 ลิตร ยังไม่ระบุแรงม้า และแรงบิดในตอนนี้ ยังเร็วเกินไป

อย่างไรก็ตาม กว่าที่ FUGA HYBRID จะพร้อมทำตลาดจริง
ต้องรอให้รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน มาตรฐานทั้ง 2 ขนาด
ออกสู่ตลาด ในช่วงต้นปี 2010 นี้ไปก่อน สักระยะหนึ่ง

ถัดจากรถต้นแบบ ก็หันมาดูรถยนต์ที่อยู่ในสายการผลิตจริงกันบ้าง
เริ่มจาก GT-R รถคันโปรดของผม ที่ยากจะหาโอกาสขับจริงๆ ได้สักที
มาคราวนี้ มีการปรับปรุงสเป็กกันเล็กน้อย ประกาศออกมาในวันที่ 21 ตุลาคม 2009
นี่เองละ

นับตั้งแต่เปิดตัวสู่ตาดครั้งแรก เมื่อเดือนธันวาคม 2007 GT-R ก็ฮ็ฮตไม่แพ้
ดาราฮลลีวูดหน้าไหนเลย ที่จะต้องขึ้นรับรางวัลบ้าง เป็นปกนิตยสารต่างๆบ้าง
รมแล้วกว่า 50 รางวัล ยังไม่นับความนิยมจากลูกค่า ด้านยอดขาย ที่ถือว่าไปได้ดี
อยู่ในทุกวันนี้

รายละเอียดการปรับปรุงหลักๆ อยู่ที่ การเพิ่มทางเลือกระบบนำทาง HDD พร้อมระบบ
สื่อสารอัจฉริยะ CARWINGS และช่องเสียบ USB กับ iPod ขณะเดียวกัน มีการ
ปรับปรุงระบบกันสะเทือน ให้ผู้ขับสัมผัสตรงต่อเนื่องากผิวถนนมากขึ้นกว่าเดิม
ช็อกอัพหน้า และสปริงคู่น้า แข็งขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ครีบอากาศด้านล่างของเปลือกกันชนหลัง
จากเดิมที่มีอยู่เฉพาะในรุ่น Spec V คราวนี้มาให้ครบทุกรุ่นแล้ว

ขณะที่รุ่น GT-R Spec V จะมีการปรับปรุงช็อกอัพหลังใหม่ หลังจากปรับปรุงกันมา
สักระยะหนึ่งแล้ว เพื่อให้การเข้าโค้ง มั่นใจมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่เพิ่มความนุ่มนวลกว่าเดิม
อีกเล็กน้อย และคราวนี้จะสวมยาง Dunlop มาให้ โดยที่ยาง Bridgestone ชุดเดิม จะเข้าประจำการ
ในฐานะ Factory Install Option

ราคาเริ่มต้นในรุ่นพื้นฐาน 8,610,000 เยน ถึง 15,750,000 เยน ในรุ่น Spec V

ส่วนรถสปอร์ตรุ่นรอง อย่าง Fairlady Z หรือที่บ้านเรารู้จักกันในชื่อ 370Z ซึ่ง นิสสัน
เพิ่งสั่งนำเข้ามาขายในบ้านเรา เมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้เอง ในญี่ปุ่น เพิ่งออกรุ่นฉลองครบรอบ
40 ปี ของตระกูล Fairlady Z ในงานนี้ สดๆร้อนๆ

อุปกรณ์ที่เพิ่มเติมจากรุ่นปกติ ก็มี 5 รายการ คือ Nameplate 40th Anniversary ทั้งบนตัวถัง
และบนเบาะหนังสีแดง ตัดกับผ้า Suede พรมปูพื้นสีดำ คาดด้วยเส้นสีแดง 2 เส้น
ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว ลายปกติ แต่พ่นรมดำ และสีตัวถังพิเศษ Metal Grey เบอร์ KAV

ส่วนเครื่องยนต์ยังคงเหมือนเดิม วางขุมพลัง V6 DOHC 24 วาล์ว 3,696 ซีซี NEO VVL
336 แรงม้า (PS) ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 37.2 กก.-ม. ที่ 5,200 รอบ/นาที
เชื่อมด้วยเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรืออัตโนมัติ 5 จังหวะ

อีกคันหนึ่งที่ตั้งใจว่าอยากจะเห็น แล้วได้เห็น ในบูธของ Nissan ก็คือ Skyline Crossover
แม้ว่า Nissan จะเคยทำตัวถัง Station Wagon ให้ Skyline มาแล้ว แต่ไหนแต่ไร จนมาเลิกทำ
เอาช่วง หลัง R32 รุ่นปี 1989 เป็นต้นมา แต่ นี่ต้องถือเป็นครั้งแรกจริงๆที่ Nissan ตัดสินใจ
ทำตัวถัง Crossover SUV มาท้าชนกับเจ้าตลาดทั้งหลาย

Nissan ยืนยันว่า ตำแหน่งการตลาด ของ Skyline Crossover จะไม่ชนกับ Nissan Murano
อย่างแน่นอน เพราะลูกค้านั้น เป็นคนละกลุ่มกันชัดเจน ผมไม่ทราบว่าเขาเอาอะไรมาวัด
แต่สำหรับหลายประเทศแล้ว กลุ่มลูกค้าที่ซื้อรถสองรุ่นนี้ ดันเป็นกลุ่มเดียวกันเสียด้วยเนี่ยสิ!
คือกลุ่มคนมีเงิน และอยากได้ Crossover SUV

แต่เมื่อมองกลับไปในตลาดสหรัฐอเมริกา อันเป็นเป้าหมายลักของรถร่นนี้ ผมว่า
ผมพอเข้าใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย เพราะมันถูกนำไปทำตลาดในชื่อ Infiniti EX35 นั่นเอง
แน่นอน แบบนี้ ไม่ชนกับ Murano หรอก แต่ซัดกันแหลก แย่งลูกค้ากันเลยนั่นแหละ

Murano ใช้พื้นฐานงานวิศวกรรมร่วมกับรถขับล้อหน้า ส่วน Skyline Crossover
ใช้พื้นฐานงานวิศวกรรมจากรถขับล้อหลัง ตระกูล Skyline เพียงแค่นี้ หายงงบ้างไหมครับ?

คอนโซลกลาง และพวงมาลัย ดูเหมือนปุ่มเยอะ ใช้งานน่าจะยาก มีระบบนำทาง พร้อมระบบ CARWINGS มาให้

รถรุ่นนี้ พิเศษตรงที่ มีที่แขวนเสื้อพับฝังลงไปกับพนักศีรษะหลังฝั่งผู้ขับขี่ได้อย่างที่เห็น

และถ้ามองลงมา จะเห็นว่าเอาเข้าจริง ยังนั่งไม่ถึงกับสบายนัก ในภาพรวม เบาะรองนั่งสั้นไปหน่อย การก้าวเข้าออกจากรถ ทำได้ไม่ง่ายนัก

ฝากระโปรงท้าย เปิดกางขึ้นได้ แต่ไม่มีสวิชต์ กดปิดด้วยระบบไฟฟ้า อย่างที่ Lexus RX เขามีมาให้ตั้งนานแล้ว

รถตู้ NV200 Vanette จอดอยู่หน้าบูธ 2 คัน
คันสีเทา เป็นรถตู้ ติดตั้งอุปกรณ์เพื่อผู้ทุพลภาพ

พอมองเข้าไปในรถ เอ๋ ทำไมมันมีเสาค้ำสีส้ม ถึง 2 เสา
ปกติ ไม่เคยเห็นในรถเพื่อผู้พิการคันอื่นๆเลยนี่นา

ได้สอบถามกับคุณป้า เจ้าหน้าที่ที่ดูแล บริษัท Autech Japan
ผู้ผลิตและติดตั้งอุปกรณ์กับรถคันนี้ เลยได้รู้ว่า
หน้าที่ของมัน มีไว้ ยึด และให้ผู้นั่งรถเข็น ได้ค้ำยันยึดร่างตนเอง
ไว้ได้ ในวันที่ต้องแบกรถเข็นขึ้นรถตู้ถึง 2 คันรวด นั่นเอง

ว่าแล้ว คุณป้าแกก็เลยสาธิตการนั่งให้ชมกันเป็นขวัญตา

และนี่คือทางเดินที่พับเก็บได้ มองไม่เห็นจากทางด้านหลังของตัวรถ
จนกว่าคุณจะเปิดฝากระโปรงท้าย และดึทางเดินสแตนเลสนั่นลงมาเสียก่อน

ส่วน NV200 Vanette TAXI คันนี้ มีแผนจะออกสู่ตลาดญี่ปุ่นในช่วงสิ้นปี 2010 ที่จะถึงนี้

และปิดท้ายกับบูธนิสสันด้วย ROOX หนึ่งในรถยนต์ ประเภท Kei-Jidosya หรือ K-Car
660 ซีซี รุ่นใหม่ล่าสุดในแบรนด์นิสสัน เปล่าหรอก รถคันนี้ ไม่ใช่ผลงานของนิสสันแท้ๆ
หากแต่มันคือ 1 ในความร่วมมือ OEM กับค่าย Suzuki นั่นเอง โดยฝ่ายหลังจะส่ง Suzuki Palette
ในรูปลักษณ์ใหม่นี้ ให้กับนิสสัน ทำตลาดในชื่อ Nissan ROOX (อ่านว่า รุกซ์…เอ่อ แล้วมี รับ บ้างไหมอ่ะ?)
แต่ถ้าอยู่ในโชว์รูม Suziki แล้ว มันจะถูกทำตลาดในชื่อ Suzuki Palette SW นั่นเอง

—————————————————————–

SUBARU

แม้พื้นที่จัดแสดงจะเล็กกว่าใครเพื่อน คือมีเพียง 1,150 ตารางเมตร แต่บูธของฟูจิเฮฟวี อินดัสตรี
ผู้ผลิตรถยนต์ ซูบารุ อันมีสำนักงานใหญ่ ใจกลางย่านช้อปปิง ชินจูกุ มหานครโตเกียว ก็หนาแน่น
ไปด้วย รถยนต์ต้นแบบ สำหรับงานแสดงรถยนต์ระดับโลกครั้งนี้ กับเขาด้วย

รถยนต์ต้นแบบคันนี้ มีชือว่า Subaru HYBRID Tourer Concept ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของซูบารุ
ในการเตรียมเข้าร่วมศึกส่วนแบ่งยอดขายตลาดรถยนต์ในกลุ่ม ECO ของญี่ปุ่น โดยใช้เทคโนโลยีระบบ
ขับเคลื่อนสี่ล้อ อันเป็นเอกลักษณ์ของค่ายตน ผสมผสานกับ เทคโนโลยี Toyota Hybrid Synergy Drive
จากทางพันธมิตรรายใหม่อย่าง Toyota

บนโครงสร้างตัวถัง แบบ ท้ายตัด ที่แบน ยาว และมีบานประตูเปิดกางขึ้นแบบปีกนก รถต้นแบบคันนี้
มีความยาว 4,630 มิลลิเมตร กว้าง 1,890 มิลลิเมตร สูง 1,420 มิลลิเมตร

 

โดยปกติ รถคันนี้ จะถูกขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง 4 สูบนอน BOXER 2,000 ซีซี ไดเร็กต์อินเจ็กชัน พ่วง Turbo
ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน Lineartronic CVT แบบเดียวกับที่พบได้ใน ชุดเกียร์ของ
Subaru Legacy รุ่นล่าสุด และ Audi A4 ที่ตกรุ่นไปแล้ว คือใช้ชุดโซ่ขับเคลื่อนที่ค่อนข้างจะหนากว่าปกติ

ขณะเดียวกัน เครื่องยนต์ที่ว่า จะถูกเชื่อมเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า ผลิตกำลัง 10 กิโลวัตต์ เพื่อช่วยเหลือเครื่องยนต์
ทั้งในการเพิ่มอัตราเร่ง ขณะขับเคลื่อน หรือ ช่วยปั่นกระแสไฟไปเก็บเอาไว้ใน แบ็ตเตอรี ลิเธียม ไอออน

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีมอเตอร์ไฟฟ้า อีก 1 ตัว พละกำลัง 20 กิโลวัตต์ ติดตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างล้อคู่หลัง
เพื่อช่วยขับเคลื่อน ในขณะใช้ความเร็วต่ำ จะได้ไม่ต้องพึ่งพากำลังจากเครื่องยนต์มากนัก รวมทั้ง
ยังช่วยเสริมกำลังให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ล้อคู่หน้า และเครื่องยนต์ ขณะต้องการอัตราเร่งอย่างฉับพลัน
และด้วยเหตุที่ ไม่ต้องออกแบบให้มีชุดเพลาขับเคลื่อนสำหรับล้อคู่หลัง เพราะแทนที่ด้วยมอเตอร์ไปแล้ว
ดังนั้น ซูบารุ จึงสามารถออกแบบพื้นตัวถังด้านหลัง ให้เป็นแบบ เรียบ Flat Floor สำหรับการวางขา
ขงผู้โดยสารด้านหลัง ได้อย่างสะดวกสบายไปเลย

ไม่เพียงแต่จะเผยโฉม รถต้นแบบเพียงคันเดียว คราวนี้ ซูบารุ ยังแพ็ครถรุ่นใหม่ พิเศษ
ขนขึ้นคอนเทนเนอร์ มาจอดโชว์กันในงานคราวนี้ด้วย และ 1 ในนั้น คือ Subaru Impreza
WRX Sti CARBON 

ชื่อ คาร์บอน ต่อท้าย ไม่ใช่ว่า เป็นเวอร์ชัน ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ รักษ์สิ่งแวดล้อมแต่อย่างใด
หากแต่คุณน้องๆ ที่เคยเล่นเกมส์ Need For Speed Carbon ได้ ก็คงจะนึกออกว่า คำว่า Carbon ในความหมายนี้
มันควรจะแปลว่าอะไร….

ครับ มันก็หมายความว่า เป็นเวอร์ชันพิเศษ ที่แปะหลังคาทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ไว้ด้านบนสุดของตัวรถ
ตกแต่งภายในด้วยผ้า suede แบบเดียวกับรถซูเปอร์คาร์ทั้งหลาย เป็นเวอร์ชันเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ
เอาใจลูกค้าได้หลายกลุ่มมากขึ้นกว่าเดิมนั่นแหละ

 

อีกคันหนึ่งที่ถือเป็น พระรอง ในบูธซูบารุ ประจำปีนี้ คือ “Plug-in STELLA feat. BEAMS”.
อธิบายให้ง่ายๆคือ การนำ รถยนต์ K-Car 660 ซีซี ทรง Tall-Boy รุ่น สเตลลา มาดัดแปลงให้เป็น
ระบบขับเคลื่อนแบบ Plug-in HYBRID นอกจากจะใช้เครื่องยนต์ ทำงานพ่วงกับมอเตอร์ไฟฟ้าตามปกติแล้ว
ยังสามารถเสียบปลั๊กชาร์จพลังไฟฟ้า เข้ากับ เต้าเสียบตามบ้านได้ด้วย โดยจับมือกับ ร้านขายสินค้า BEAMS
ในญี่ปุ่น ตกแต่งทั้งภายนอก และภายในรถคันนี้ เป็นพิเศษ ให้ดูกันเป็นขวัญตา

นอกนั้น ก็ยังมีสารพัดรถยนต์รุ่นที่ทำตลาดอยู่ในญี่ปุ่น มาให้ได้สัมผัสกันถึงที่

ไม่ว่าจะเป็น Subaru Legacy โฉมใหม่ล่าสุด(ซึ่ง ณ วันปิดต้นฉบับอยู่นี้ แว่วมาว่า
เวอร์ชันไทย เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ส่งมาถึงเมืองไทย เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียง
รอการเปิดตัว ในเดือนพฤศจิกายนนี้ สถานเดียว

เวอร์ชันญี่ปุ่นที่นำมาจัดแสดงนั้น มีทั้ง รุ่นที่ทำตลาดอยู่แล้ว อย่าง LEGACY TOURING WAGON
2.5i S Package ตามด้วย LEGACY B4 2.5GT SI-Cruise รวมทั้ง LEGACY OUTBACK 2.5i L Package
และยังมีเวอร์ชันตกแต่งพิเศษ LEGACY B4 GT300 ซึ่งจัดแสดงในงานนี้ และยังไม่ออกสู่ตลาดแต่อย่างใด

ถ้าถามผมว่า Legacy ใหม่ งานออกแบบเป็นอย่างไร ผมก็ตอบด้แต่เพียงว่า
คุณเคยเห็น หญิงญี่ปุ่นวัย 40 (ยังไม่เหี่ยว เพาะประโคมสารพัดเครื่องประทินผิวเต็มพิกัด)
ใส่ชุดราตรียาวสีม่วง แล้วยักคิ้วหลิ่วตาให้คุณไหมครับ?

นั่นละ Legacy ใหม่ ในแบบที่ผมเห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นละ

เสน่ห์น้อยลง เอาใจคนสูงวัยมากขึ้น ตัวจริงไม่เลวร้ายเหมือนในรูปถ่าย

แต่ยังไง ผมยังชอบงานดีไซน์ เรียบง่าย แต่ลงตัวสุดๆ ของรุ่นเก่ามากกว่าอยู่ดี
พักหลังนี้ ดีไซน์เนอร์ของซูบารุ ไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่าเนี่ย
ทำไมแต่ละคันมันถึงออกมาได้ ประหลาดๆ กว่าเดิมถึงขนาดนี้? 

Legacy B4 ก็ เป็นเวอร์ชันซีดาน ที่ดูในรูปออกแนวว่าจะคล้ายคลึง Toyota หลายๆรุ่น
แต่พอดูตัวจริง ก็ถือว่าพอรับได้ แต่อย่างว่าละครับ เข้าตามสูตรเดิมที่ผมเคยบอกไว้นั้นแหละ

เมื่อใดที่คุณเห็นว่า รถรุ่นใด สวยที่สุดแล้ว คอยดูเถอะ รุ่นต่อไป มันจะต้องไม่สวย…
แม้ไม่จริงเสมอไป แต่ส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น และ Legacy รถที่เคยหลบข้อจำกัดดังกล่าวได้พ้น
ก็กลายเป็นว่า ตกอยู่ในวังวนที่ผมว่า ในท้ายที่สุดจนได้…

 

กระนั้น รุ่นแวกอน ยกสูง อย่าง Outback ก็ยังดูไม่แย่จนเกินไป
อย่างไรก็ตาม กว่าที่รุ่น Outback จะเข้าเมืองไทยนั้น ท่าทางจะต้องรอกันอีกพักใหญ่

และยังไม่มีใครยืนยันได้ว่า เครื่องยนต์ Boxer Diesel จะตามมาเมืองไทยด้วยหรือไม่

ภายในห้องโดยสาร ของทั้งรุ่น Touring Wagon B4 และ Outback ก็คล้ายกัน
ต่างกันแค่ว่า Outback คันที่จอดโชว์จะมีลายไม้มาให้

ถ้าอยากอ่านเรื่องราวเต็มๆของ Legacy ใหม่ ว่าจะดีกว่าเดิม หรือด้อยกว่าเดิม
มากน้อยแค่ไหน..อดใจรอได้ใน Headlightmag.com เร็วๆนี้ (ทำไมงวดนี้
ผมปล่อยแย็บๆ งานรายการต่อไป ให้ได้อ่านกันเยอะมากเลย)

 

ส่วน คอมแพกต์แวกอน 7 ที่นั่ง รุ่น EXIGA คราวนี้ มีรุ่นพิเศษ 2.0GT tuned by STI ซึ่งเตรียมจะออกสู่
ตลาดญี่ปุ่น ในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ มาจอดอวดโฉมให้ชมกัน  

นอกจากนี้ยังมี FORESTER 2.0XS BLACK LEATHER SELECTION มาจอดโชว์หุ่นอยู่
โดยมี ชุดเกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน Lineartronic (CVT) cutaway model
และ EXIGA 2.0GT ที่ติดตั้งระบบ. EyeSight  มาสาธิตการทำงานให้ชมกันสดๆอีกด้วย

และ EXIGA คันพิเศษ ที่ติดตั้ง เทคโนโลยี Eye Sight PLUS ซึ่งยกระดับจาก Eye Sight
ที่ติดตั้งใน Legacy รุ่นเดิม โดยใช้เทคโนโลยี กล้อง Stereo ในการยิงสัญญาณไปยังรถคันข้างหน้า
เพื่อช่วยผู้ขับขี่ในสถาการณ์ต่างๆ เพื่อหวังผลในการลดอุบัติเหตุ บนท้องถนน และเป็นการ
ป้องกันในลักษณะ Pre-Crash Active Safety

SUZUKI

พื้นที่บูธ Suzuki ปีนี้ แม้จะมีขนาด 1,425 ตารางเมตร แต่ก็ยิ่งใหญ่อลังการ ไม่แพ้คู่แข่งรายใด
และมีจุดเด่นอยู่หลายเรื่อง ทว่า สิ่งแรกที่คุณจะเห็น ณ บูธของซูซูกิ ก็คือ Suzuki ALTO รุ่นแรก
สีแดงๆ จอดอยู่เคียงข้างกับ Alto Concept

คงะสงสัยกันใช่ไหมครับว่า ทำไมซูซูกิ เอารถรุ่นเก่า ยุคคุณแม่เพิ่งคลอด มาจอดอวดโฉมกัน
เหตุผล ไม่มีอะไรมากไปกว่า การฉลองความสำเร็จของรถเล็กรุ่นนี้ ว่ามียอดผลิต ครบ 10 ล้านคัน แล้วนะ

หา!! ALTO เนี่ยนะ!! เฮ้ย บ้าไปแล้ว 10 ล้านคันเลยเหรอ Just kidding??

No ครับ อ่านไม่ผิดหรอก รถรุ่นนี้แหละ ขายดีครบ 10 ล้านคันแล้ว นับตั้งแต่ปี 1979

การฉลองครบรอบยอดขายแบบนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เพราะในปี 1989 ประธานใหญ่ Osamu Suzuki
เคยจัดงานฉลองยอดขายครบ 2 ล้านคัน ด้วยการเชิญลูกค้า หรือเด็กที่ พ่อแม่ตั้งชื่อให้ว่า อะรุโตะ หรืออัลโต
เหมือนชื่อรถรุ่นนี้ มาร่วมปาร์ตีสังสรรค์กัน อย่างที่เห็นในรูปถ่ายนี้นั่นเอง…

ALTO เป็นใคร ทำไมขายดีถึง 10 ล้านคัน? สงสัยใช่ไหมละ?
ใจเย็นครับ รออ่านกันได้ในบทความ “บุกรัง Suzuki ที่ Hamamatsu ย้อนอดีต มองปัจจุบัน ฝันถึงอนาคต”
กันได้ ในเร็วๆนี้ ที่นี่ Headlightmag.com

เอาละ หลังจากผ่านมา 30 ปี ขายไปได้มากถึง 10 ล้านคัน วันนี้ Alto ใหม่ ถึงเวลาจะต้องเปลี่ยนโฉมใหม่
Full Modelchange ผมก็ชักสงสัย แล้วละ ว่ารถเล็กๆ ที่เริ่มดูเหมือนจะตีบตันในการพัฒนาแล้ว
ยังจะสามารถเพิ่มคุณค่าใดๆ ไว้มัดใจลูกค้าได้อีก?

คำตอบก็คือ งานออกแบบ และวัสดุที่ใช้ยังไงละ! ดูเส้นสายของ Alto ใหม่นี่สิครับ รุ่นที่แล้ว มันมาในแนวเหลี่ยม
มารุ่นใหม่ มาในแนวโค้งมน และลงตัวกว่าเดิมเยอะ ทีมวิศวกรพยายามปรับปรุงให้ Alto ใหม่ ลงตัวยิ่งขึ้นกว่าเดิม

ตัวจริงของ อัลโต ใหม่ เวอร์ชันญี่ปุ่น ดูดีกว่ารถรุ่นปัจจุบัน ที่เน้นเหลี่ยมสันไม่เข้าท่า เยอะมากมาย
เส้นสายน่าใช้ ลงตัวกว่ากันชัดเจน รูปลักษณ์ด้านหน้า ได้รับอิทธิพลมาจาก Alto International version
ที่เปิดตัวสู่ตลาดล่วงหน้าไปก่อนหน้านี้ ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ไม่นานนัก 

ในเมื่อขนาดตัวถังภายนอก ยังไม่อาจเพิ่มความยาวให้เกินกว่า 3.395 มิลลิเมตร และความกว้าง 1,475 มิลลิเมตร
ยังไม่อาจเพิ่มให้เกินไปจากที่กฎหมายกำหนดได้ เลยต้องกันมาเพิ่มความสูง 1,535 มิลลิเมตร และขยาย
ระยะฐานล้อเพิ่มขึ้นอีกนิดนึง เป็น 2,400 มิลลิเมตร แทน

 

เปิดประตูเข้าไป เห็นบรรยากาศที่แปลกตาเล็กๆ ไม่คุ้นเคยเท่าไหร่
เพราะวัสดุที่ใช้นั้น ดีขึ้นกว่า รถรุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัด

เบาะนั่งคู่หน้า นั่งสบายพอรับได้ สมกับการเป็นรถยนต์ขนาดเล็ก รุ่นขายดี พื้นที่เหนือศีรษะมีเยอะกว่าที่คิด

บานประตูคู่หลัง เปิดกางออกได้กว้าง เกือบถึง 90 องศา การเข้าออกจากเบาะหลัง
ยังถือว่า พอรับได้ สบายๆ แม้จะไม่ถึงกับประเสริญ เหมือน K-Call ทรง Tall Boy รุ่นอื่นๆ ก็ตาม

เบาะนั่งด้านหลัง มีความสูงไม่ถึงกับมากนัก นั่งไม่เต็มก้น และจัดว่า พอนั่งได้ ในระยะไม่ไกลนัก
พนักพิงหลัง ถือว่า พอรับได้ แต่ ยังไม่ถึงกับได้สัมผัสเต็มก้นนัก เลยไม่อยากเขียนถึงมาก

แผงหน้าปัด มีคอนโซลกลาง เป็นรูปวงกลม ทำให้ดูเหมือนมีอุปกรณ์ติดตั้งมาให้เยอะ และครบครัน
ซึ่งก็ครบจริงๆนั่นละ มีทั้ง วิทยุ CD แบบ Built-in เครื่องปรับอากาศ แต่ชุดมาตรวัด ไม่มีมาตรวัดรอบมาให้
ทัศนวิสัย จัดอยู่ในเกณฑ์ดี

ห้องเก็บของด้านหลัง มีขนาดอย่างที่เห็น อย่าคาดหวังมาก เพราะรถประเภท K-Car นั้น
ต้องพับเบาะหลัง จึงจะมีพื้นที่ห้องเก็บของอยู่ในระดับที่เหมาะสม

ด้านขุมพลัง ก็มีการปรับปรุงใหม่ โดยใช้เครื่องยนต์ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 658 ซีซี ยังไม่ระบุกำลังสูงสุด
แต่เดาได้เลยว่า มันจะไม่เกิน 64 แรงม้า (PS) ตามกฎหมาย K-Car ของญี่ปุ่นไปได้หรอกครับ
ระบบส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้า คราวนี้จะใช้เกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน CVT ซึ่ง เมื่อทำงานด้วยกันแล้ว
ตัวเขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจากการทดสอบตามมาตรฐาน 10-15 โหมด ของรัฐบาลญี่ปุ่น จะได้ 24.5 กิโเมตร/ลิตร!

กำหนดเปิดตัวในญี่ปุ่น จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ และเชื่อว่า จะทำให้ ชื่อของ Alto กลับมา
อยู่ในกระแส ความนิยมของ สาวโสดชาวญี่ปุ่น กันอีกครั้ง

 

อีกคันหนึ่งที่ถือเป็นไฮไลต์สำคัญของซูซูกิ ในบูธครั้งนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก การเปิดตัว สู่ตลาดญี่ปุ่น
อย่างเป็นทางการ ของ Suzuki KISASHI กลางเวทีในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์กันเลย นั่นเอง

 

Kisashi เป็น ซีดานขนาดกลาง ระดับ D-Segment อันมีคู่แข่ง ได้แก่ Volkswagen Passat , Renault Laguna
Peugeot 407 หรือแม้แต่คู่แข่งร่วมชาติ อย่าง Mazda 6/Atenza Toyota Avensis และเท่าที่ดู งานนี้ ซูซูกิ
ตั้งใจจะส่งรถรุ่นนี้ไปบุกตลาดสหรัฐอเมริกา และยุโรป มากกว่าจะทำตลาดในญี่ปุ่นมากนัก

เราจึงได้เห็น Kisashi เวอร์ชันญี่ปุ่น ทำตลาด อยู่บนตัวถังที่มีความยาว 4,650 มิลลิเมตร กว้าง 1,820 มิลลิเมตร
สูง 1,480 มิลลเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,700 มิลลิเมตร ด้วยเครื่องยนต์เพียงแบบเดียว เป็นรหัส J24B
บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,393 ซีซี 188 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 23.5 กก.-ม. ที่
4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน CVT มีให้เลือกทั้งรุ่นขับล้อหน้า 2WD
และรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ อัตโนมัติ แบบ i-AWD

เราจึงได้เห็น Kisashi เวอร์ชันญี่ปุ่น ทำตลาด อยู่บนตัวถังที่มีความยาว 4,650 มิลลิเมตร กว้าง 1,820 มิลลิเมตร
สูง 1,480 มิลลเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,700 มิลลิเมตร ด้วยเครื่องยนต์เพียงแบบเดียว เป็นรหัส J24B
บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,393 ซีซี 188 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 23.5 กก.-ม. ที่
4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน CVT มีให้เลือกทั้งรุ่นขับล้อหน้า 2WD
และรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ อัตโนมัติ แบบ i-AWD

Kisashi เวอร์ชันญี่ปุ่น ตั้งราคาไว้ 2,787,000 เยน ในรุ่น 2WD และ 2997,750 เยน ในรุ่น 4WD
มาพร้อม แอร์ดิจิตอ แยกฝั่ง ซ้ายขวา พวงมาลัยแบบ Telescopic ปรับระดับสูง-ต่ำ และใกล้-ไกล
ากตัวผู้ขับขี่ พร้อมสวิชต์วบคุมเครื่องเสียง  Cruise Control รวมทั้ง แป้เปลี่ยนเกียร์ Shift Padel
เบาะคู่หน้า ปรับด้วยไฟฟ้า เฉพาะฝั่งคนขับ มีหน่วยความจำ 3 ตำแหน่ง แถมมีฮีตเตอร์อุ่นเบาะ
มาให้อีกด้วย

 

เอ้า ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ขอรบกวนพี่เอ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ กิติมศักดิ์เลยแล้วกันครับ
มาดูกันว่า เบาะหลังของ Kisashi เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ…

 

เท่าที่สัมผัสดูในห้องโดยสารนั้น วัสดุที่ใช้ถือว่าดีมากที่สุด เท่าที่เคยเจอมาในซูซูกิ เสียงปิดประตู
ยังจะหนักแน่นกว่า Toyota Mark-X ใหม่เสียด้วยซ้ำ! เบาะคู่หล้ง นั่งสบาย เบาะรองนั่งยาวถึง
ข้อพับ แต่การเข้าออกจากเบาะหลังนั้น อาจยังติดขัดเล็กน้อย เนื่องจากไม่สามารถเลื่อนตำแหน่ง
เบาะหลัง ให้ถอยร่นลงไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว ทัศนวิสัยรอบคัน มาในแนวรถยุโรป ที่มีพื้นที่กระจก
หน้าต่างน้อย คือ ด้านหน้าไม่มีมุมอับมากนัก แต่ด้านหลัง เสาหลังคาค่อนข้างหนา เลยมีมุมอับสายตา
ให้เห็น พอกันกับ Honda Accord G7 ในบ้านเรา นั่นละ

 

ตรงๆนะ ผมอยากลองขับรถรุ่นนี้ บนถนนในเมืองไทย!! เพราะในญี่ปุ่น คราวนี้ อดขับ!
รถทดลองขับ จะส่งถึงโชว์รูมต่างๆในญี่ปุ่น ก็วันจันทร์ ที่ 26 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันที่ผมยังนั่งพิมพ์บทความนี้
ที่บ้าน ให้คุณๆอ่านกันอยู่เลย

ส่วนบั้นท้าย ห้องเก็บของด้านหลัง มีขนาดใหญ่พอ ลึกพอ
แต่ด้วยดีไซน์ไฟท้าย เลยต้องอาศัยการพลิกแพลงเวลาเอาสัมภาระเข้านิดนึง

ใช่ว่าซูซูกิ จะไม่มีรถต้นแบบมาอวดโฉมกันเลย เพราะคราวนี้ พวกเขา เตรียมรถยนต์เทคโนโลยีใหม่ๆ
มาให้ชมกันเยอะใช้ได้ ทั้ง Suzuki Swift Plug-in Hybrid ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ดัดแปลงจาก Swift รุ่นขายจริง
บนขนาดตัวถังยาว 3,755 มิลลิเมตร กว้าง 1,690 มิลลิเมตร สูง 1,510 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,390 มิลลิเมตร
มีไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง แผงหน้าปัดปรับปรุงใหม่ สีขาว ตัดกับภายในสีดำ คอนโซลคันเกียร์
ยกระดับให้สูงขึ้นเป็นพิเศษ เป็นที่วางแบ็ตเตอรี Lithiun-ion และเบาะนั่งแบบผ้าลายตาข่าย

เพื่อให้ สมกับการเป็นรถต้นแบบ ซูซูกิ เลยอัดเทคโนโลยี ลงในรถคันนี้ซะแน่นเอียดเชียว
เริ่มจากระบบขับเคลื่อน ประกอบด้วยเครื่องยนต์ K6A 658 ซีซี 54 แรงม้า (PS) เชื่อมต่อเข้ากับ
Generator แบบ Permanent-magnet, synchronous กำลังสูงสุด 40 kW และ มอเตอร์ไฟฟ้า
แบบ Permanent-magnet, synchronous กำลังสูงสุด 55 kW และแบ็ตเตอรีแบบ Lithium-ion
กำลังไฟ 260V ความจุ 2.66 kWh พร้อมปลั๊กชาร์จไฟ ที่เปลือกกันชนหลัง

จุดเด่นเหนือกว่า รถยนต์ Plug-in Hybrid รุ่นอื่นๆ คือ ถ้าผู้ขับขี่ ใช้รถเพียงวันละไม่ถึง 20 กิโลเมตร
เครื่องยนต์ก็ไม่ต้องติดขึ้นมาทำงานเลย เท่ากับว่าไม่ต้องใช้น้ำมันให้เปลืองเลย

คันต่อมา Suzuki SX4 FCV (Fuel Cell Vehicle) สร้างขึ้นบนพื้นฐานของ SX-4 รุ่น 5 ประตู
ที่มีความยาว 4,190 มิลลิเมตร กว้าง 1,730 มิลลิเมตร สูง 1,585 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,500 มิลลิเมตร
นั่งกันได้ 5 คน ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์กระแสสลับ กำลังสูงสุด 68 kW  จากความร่วมมือกับ
General Motors พันธมิตรเก่าแก่ของซูซูกิ  จึงได้เทคโนโลยี Fuel cell: Polymer-electrolyte type
(made by General Motors) กำลังสูงสุด 83kW ถังเก็บ Hydrogen แรงดันสูง ทนได้ถึง 70MPa
เมกะปาสคาล ส่วนตัวเก็บกระแสไฟนั้น กลับเป็น Capacitor ส่วนตัวเก็บกระแสไฟนั้น
แทนที่จะใช้แบ็ตเตอรี กลับไปใช้ Capacitor ประสิทธิภาพสูงแทน

การเติม Hydrogen 1 ครั้ง สามารถแล่นได้ด้วยความเร็วสูงสุด 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง
และในความเร็วเดินทางปกติ สามารถแล่นได้ระยะทาง 250 กิโลเมตร

ส่วนรถบ้าน ที่ขายกันอยู่ทุกวันนี้ มีมาโชว์ ทั้ง Wagon R Stingray, Palette SW ใหม่ล่าสุด
SX-4 และ Swift ใหม่ ที่ใกล้จะเปิดตัวขายจริงจังในบ้านเรา อีกรอบ ในไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้แล้ว

Swift ในญี่ปุ่นตอนนี้ เหลือแค่เครื่องยนต์ 1.2 และ 1.3 ลิตร เท่านั้น แต่เวอร์ชันไทยนั้น
คาดว่า เครื่องยนต์จะใหญ่ถึง 1.5 ลิตร แรงพอจะฟัดเหวี่ยงกับคู่แข่งได้แน่

Swift เวอร์ชันไทย เป็นอย่างไร อดใจรออ่านได้ที่นี่ Headlightmag.com เร็วๆนี้ (เอาอีกแล้ว ปล่อย Teaser กันอีกแล้วๆๆๆ)

ในด้าน จักรยานยนต์ Suzuki ก็ขนมาให้ชมกัน บนพื้นที่บูธของตน เช่นเดียวกัน
กับทาง Honda ไม่มีผิด แน่นอนว่า มีให้ชมกันเกือบจะครบ ทั้งตัวแข่ง ทางเรียบ และวิบาก

 

ไปจนถึง Bandit 1250F ติดตั้งระบบป้องกันล้อล็อก ABS มาให้แล้ว

รวมทั้ง Suzuki Gladius 400 พร้อม ABS เครื่องนต์ V4 DOHC 399 ซีซี
รุ่นนี้ ขอให้ลองเข้าเว็บ Official ของ Suzuki ดูนะครับ เว็บสวยมาก มีเพลง MP3 ให้ดาวน์โหลดฟรีด้วย!
Global-suzuki.com

และใช่ว่า จักรยานยนต์จะไม่มีรถต้นแบบ เขาก็มีเหมือนกันนะ
ไงครับ Burgman Fuel Cell Scooter เป็น สกูตเตอร์ รุ่น เบิร์กแมน
ที่ดัดแปลงให้เป็นรถที่ใช้พลังงาน Hydrogen เข้าไปกระตุ้น Fuel Cell
การเติม Hydrogen 1 ครั้ง สามารถแล่นได้ไกล ถึง 350 กิโลเมตร

ส่วนรถไฟฟ้า 4 ล้อ สำหรับผู้สูงอายุ Senior Car รุ่น MIO (ชื่ออย่างกับ Yamaha บ้านเราเลย)
มีการดัดแปลงเป็นรุ่น Fuel Cell ใช้พลังงานจาก Methanol การเติมเมธานอล 1 ขวด
พาคุณลุงทวด แล่นเอื่อยๆเรื่อยๆ ได้ไกลถึง 60 กิโลเมตร!

รวมทั้ง Scooter รุ่น Genma ซึ่งเป็นรุ่นที่ Suzuki กำลังโปรโมทกันทางโฆษณาโทรทัศน์
ในช่วงที่เราเดินทางไปกันพอดี ราคา 681,450 เยน คันสีขาวฝั่งซ้ายของรูปข้างบนนี่แหละครับ

————————————————————

TOYOTA / LEXUS

พื้นที่ 3,105 ตารางเมตร ของโตโยต้าในปีนี้ แปลกตาไปกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ไม่มีสิ่งปลูกสร้างอะไรที่เกินจำเป็น
ไม่มีชั้น 2 ของบูธให้วุ่นวาย ไม่มีจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ยักษ์ะไรมากมายเกินจำเป็นเลย บรรยากาศ
จึงดูโปร่ง โล่ง แบบแปลกๆ เป็นตัวอย่างการแสดงออกอย่างชัดเจน ว่า สภาพเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบ
กันแบบไม่อ้อมค้อม

เมื่อเทียบกับปีก่อนๆ การณ์กลับกลายเป็นว่า ปีนี้ บูธของ โตโยต้า ไม่ได้อุดมไปด้วยรถต้นแบบ
เยอะมากมายที่สุดในงาน อย่างที่เคยเป็นมา ตรงกันข้าม คราวนี้ กลับเหลือรถยนต์ต้นแบบเพียงแค่
3 คัน เท่านั้น ที่ปะแบนด์โตโยต้า และ มีอีก 2 คัน ที่พะแบรนด์เล็กซัส อันเป็นแบรนด์หรูของตน

แนวความคิดการจัดบูธของ ประจำปีนี้คือ “Harmonious Drive -A New Tomorrow for People and the Planet”
เน้นการนำเสนอรถยนต์ต้นแบบที่ ให้สมรรถนะการขับขี่เป็นเลิศ แต่ยังต้องช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
โตโยต้าเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถบรรลุแนวทางดังกล่าวได้ ด้วยรถยนต์รุ่นใหม่ๆที่บรรจุเทคโนโลยี Plug-in Hybird
และรถไฟฟ้าเพียวๆ หรือ EV

ดาวเด่นประจำบูธ โตโยต้า นั้น แม้จะมีอยู่ 2 คัน แต่ สำหรับแบรนด์โตโยต้าแล้ว จะเป็นคันไหนไปไม่ได้
นอกจาก FT-86 Concept รถสปอร์ตคูเป้ต้นแบบที่แสดงให้เห็นว่า กระแสข่าวที่โตโยต้า และซูบารุ พันธมิตรน้องใหม่
ในเครือ จะร่วมกันพัฒนารถสปอร์ตขนาดกลางขับเคลื่อนล้อหลัง นั้น เป็นเรื่องจริง ไม่อิงนิยาย!

ชื่อรุ่น FT ย่อมาจาก “Future Toyota 86 Concept” นั่นเอง แต่ถ้าสงสัยว่า เลข 86 หนะ มันมาจากไหน?
ย่อหน้าข้างล่าง คือคำตอบ…

ย้อนอดีตกลับไปเล็กน้อย โตโยต้าหนะเคยผลิต รถยนต์คอมแพกต์สปอร์ตคูเป้ เครื่องยนต์วางด้านหน้า
ขับเคลื่อนล้อหลัง มาหลายต่อหลายรุ่น แต่รุ่นสุดท้ายที่ออกสู่ตลาด ก็คือ Corolla LEVIN และ
Sprinter TRUENO รหัสรุ่น AE-86 ซึ่งถูกกล่าวขวัญกันมากในปีที่มันเปิดตัว (1983) ถึงสมรรถนะ
ในด้านต่างๆ ที่ลงตัวอย่างมาก (คนญี่ปุ่น รู้จักมันในนาม ฮาชิโรคุ หรือแปลตรงตัวว่า 86 นั่นแหละครับ)

AE-86 กลับคืนสู่ความนิยมอีกครั้งอย่างคาดไม่ถึง จากความนิยมในหนังสือการ์ตูน Initial D
(ที่ต่อมา ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ นำแสดงโดย เจ โชว์) และกลายเป็น รถยนต์ในใจของ
นักเลงรถรุ่นกระเตาะ ที่เกิดหลังจากรถรุ่นนี้หมดอายุตลาดไป (เมื่อปี 1987) จำนวนมาก

เรื่องที่แทบไม่น่าเชื่อคือ คนของโตโยต้าเอง ก็รู้กระแสดังกล่าวดี และมีดำริจะทำรถสปอร์ต
คูเป้ขนาดกลางขับล้อหลัง ออกมาอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมา โครงการไม่คืบหน้าเท่าที่ควร ยังผลุบๆ
โผล่ๆ มาตั้งแต่ ปี 1999-2001 เพราะตอนนั้น ยอดขายรถสปอ์ตในญี่ปุ่นและตลาดโลก มัน
เหือดแห้งหายไปจนแทบไม่คุ้มต่อการสานต่อรถรุ่นใหม่ ขนาด Celica ที่เคยขายดี ยังมีอัน
เป็นไปในทางเจ๊งบ๊งเมื่อหมดอายุตลาดช่วงปี 2005-2006

การเข้าไปถือหุ้นใน Fuji Heave Industries ผู้ผลิตรถยนต์ ซูบารุ 17% จึงทำให้โตโยต้า
มองเห็นลู่ทางในการสร้างรถยนต์ร่วมกันขึ้นมาได้หลายรุ่น โดยไม่ทิ้งบุคลิกดั้งเดิม
ของแบรนด์ ซูบารุ อย่างที่จีเอ็มเคยทำเละเทะเอาไว้อยู่บ้าง และนั่นคือจุดเริ่มต้น
ที่ทำให้โครงการ FT-86 กลับมาเดินเครื่องเต็มที่ อีกครั้ง แม้จะชะงักไปบ้าง เพราะ
สภาพเศรษฐกิจ เมื่อช่วงต้นปีก็ตาม แต่การเผยโฉม FT-86 ในครั้งนี้ เท่ากับเป็นการ
ประกาศว่า โตโยต้า จะเอาจริงแล้วกับโครงการนี้

 FT-86 Concept ถูกออกแบบขึ้นโดย ศูนย์ Toyota Europe Design Development หรือ ED2
(อ่านว่า อีดี สแควร์) ใน cote d’azure ที่ฝรั่งเศส โดยเน้นให้ตัวรถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ และลู่ลม
ตามหลักอากาศพลศาสตร์ เพื่อผลในด้านการทรงตัวที่ดี เส้นสายภายนอก รับอิทธิพลมาจาก
รถต้นแบบ Toyota FT-HS Concept ที่เคยนำมาอวดโฉมในงานดีทรอยต์ ออโตโชว์ราว 2 ปีก่อน
ไปบ้าง เพียงแต่มีการนำมาดัดแปลงเส้นสาย และย่อขนาดลงมาให้เหมาะสมแก่ยุคปัจจุบัน

ภายในดีไซน์แบบล้ำสมัยแต่ไม่รกรุงรังด้วยแนวคิด Minimalist ไม่สร้างความเวียนหัว
ให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร เน้นสีตกแต่งภายในด้วยสีขาวและสีเทา มีลูกเล่นง่าย ๆ แต่พิสดาร
อยู่ที่ชุดเครื่องเสียง คือใช้ซิปปิดช่องใส่แผ่น CD/DVD/MP3

รายละเอียดทางเทคนิคของรถคันนี้ ที่มีการเปิดเผยออกมาคร่าวๆ ก็คือ มีขนาดตัวถัง
ยาว 4,160 มิลลิเมตร กว้าง 1,760 มิลลิเมตร (พอกันกับ Corolla เวอร์ชันตลาดโลก
Altis ในบ้านเรา และ Auris กับ Blade 5 ประตู เป๊ะ) สูงเพียงแค่ 1,260 มิลลิเมตร
(กะว่าจะเตี้ยติดดินแข่งกับ Mazda MX-5 กันเลยใช่ไหมเนี่ย) ระยะฐานล้อยาว
2,570 มิลลิเมตร

ขุมพลังจะเป็นแบบ 4 สูบนอน แบบ Boxer DOHC 16 วาล์ว 2,000 ซีซี ไม่มีระบบ
อัดอากาศใดๆทั้งสิ้น แม้จะยังไม่เปิดเผยตัวเลขสมรรถนะ แต่ก็พอเดาได้ว่า น่าจะ
แรงพอตัว เพราะมันจะเป็นเครื่องยนต์ บล็อก EJ อันเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบนอน
ระดับบรรพบุรุษสหกรณ์ ของซูบารุ นั่นเองละส่งกำลังสู่ล้อคู่หลังด้วยเกียร์ธรรมดา
6 จังหวะ พร้อมระบบเบรกแบบ ADVICS

คันต่อไป หน้าตาคุ้นๆ หมือนเคยเห็นมาก่อน แต่อันที่จริงแล้ว เปล่าเลย รถคันนี้
มีชื่อว่า FT-EV II เป็นรถยนต์ 4 ล้อ พลังไฟฟ้าเพียวๆ แม้ว่าจะมีเส้นสายคล้ายกับ
เจ้า iQ ที่ออกขายมาแล้วในตลาดโลก เกือบครบ 1 ขวบปี แต่อันที่จริง เรื่องเหลือเชื่อ
ก็คือ  FT-EV II มันมีขนาดเล็กกว่า iQ แถมยังนั่งได้ 4 คนเหมือนเดิม!! เฮ้ iQ ก็ว่าเล็ก
พอแล้วนะ นี่ยังเล็กกว่าอีกเหรอ?

ไม่เชื่อ? มาดูขนาดตัวถังกันดีกว่า FT-EV II มีความยาว 2,730 มิลลิเมตร ยาวพอ ๆ กับ
ระยะฐานล้อของ Toyota Camry เลยทีเดียว กว้าง 1,680 มิลลิเมตร สูง 1,490 มิลลิเมตร
แต่มีระยะฐานล้อสั้นสุดกู่ เพียง 1,900 มิลลิเมตร

อะไรที่ทำให้รถคันนี้เล็กลงได้อีก คำตอบก็คือ การที่ไม่ต้องใช้เครื่องยนต์สันดาปยังไงละ
เปลี่ยนระบบขับเคลื่อนมาเป็นมอเตอร์ไฟฟ้า พร้อมแบ็ตเตอรี Lithium-ion

ด้่วยเหตุที่ตัวรถมีขนาดเล็ก แบ็ตเตอรีจึงมีขนาดเล็กลงไปด้วย ทำให้ ระยะการแล่น
1 ครั้งต่อการชาร์จไฟเต็มที่ จึงแล่นได้ไกลเพียง 90 กิโลเมตร และทำความเร็วสูงสุด
ได้แค่ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เท่านั้น รถคันนี้ จึงเหมาะจะเป็น Personal Commuter
จากฟากเมืองหนึ่ง สู่อีกใจกลางเมือง แค่นั้น

อีกเคล็ดลับสำคัญ ที่ช่วยให้โตโยต้าสามารถพัฒนารถยนต์ 4 ที่นั่งได้ ทั้งที่ใช้ตัวถัง
เล็กแค่นี้ ก็คือ การเปลี่ยนมาใช้ ระบบขับเคลื่อนแบบอีเล็กโทรนิคส์ ไร้สายสมบูรณ์แบบ
ทั้งระบบบังคับเลี้ยว ระบบเบรค ระบบคันเร่ง เอาง่ายๆคือ อุปกรณ์จำพวก By-Wire นั่นละ
อีกทั้งลดเนื้อที่วัสดุอุปกรณ์ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่ดูรื่นตาด้วยแนวคิดการออกแบบ
ภายใน สไตล์ที่เรียกว่า retro-futuristic จนดูล้ำและย้อนยุคในเวลาเดียวกัน

อีกคันที่น่าสนใจ และควรจับตาดูไว้ให้ดีๆ ก็คือ Toyota PRIUS Plug-in HYBRID
เป็นการพัฒนาอีกขั้น ของรถยนต์ Hybrid ในตระกูลโตโยต้า ที่จะยกระดับการพัฒนา
รถยนต์ประเภทนี้ ให้สามารถใช้พลังงานได้หากหลายมากขึ้น ประหยัดมากขึ้น

Prius Plg-in Hybrid ยังคงอยู่ในระหว่างการพัฒนา เข้าใกล้ขั้นสุดท้าย ด้วยเป้าหมาย
ที่จะให้รถคันนี้ สามารถทำอัตราสิ้นเปลืองได้ประหยัดมากถึง 55 กิโลเมตร/ลิตร! หรือเกินกว่า!
(แน่ละ ถ้าไม่ต้องใช้น้ำมันในการขับเคลื่อนเลย ใช้แต่ EV Mode มันก็น่าจะเป็นไปได้หนะสิ)

การชาร์จไฟ 1 ครั้ง ใช้เวลา 180 นาที หากเป็นกระแสไฟแบบ 100V
และ เพียง 100 นาที สำหรับกระแสไฟ 200V

แถมยังตั้งเป้าที่จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ สู่บรรยากาศโลก ต่ำเพียง 42 กรัม / ระยะทาง
1 กิโลเมตร และสามารถแล่นได้ไกลถึง 20 กิโลเมตร หากชาร์จไฟเต็มแบ็ตเตอรี แบบ Lithium-ion
ซึ่งถือเป็นรถยนต์ Toyota รุ่นแกที่ใช้แบ็ตเตอรีแบบนี้ นอนกนั้น เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร มอเตอร์ไฟฟ้า
และงานวิศวกรรมต่างๆ ก็ยกชุดมาจาก Prius รุ่นล่าสุดนั่นเองละครับ

และข่าวดีสำหรับคนไทยก็คือ มีความเป็นไปได้สูงมากๆ ที่ โตโยต้า อาจจะนำ Prius
Plug-in Hybrid มาทำตลาดในเมืองไทยอย่างจริงจัง ช่วงปี 2011 โดยประมาณ!!
ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องรอให้ Prius รุ่นใหม่ เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยเสียก่อนเถิด

ด้านรถยนต์รุ่นใหม่ งานนี้ โตโยต้า ถือโอกาสเปิดตัว 2 รุ่นรวด รุ่นแรก คือโครงการที่
ถูกเปิดเผยมาตั้งนานแล้วว่า จะเป็น ฝาแฝดกับ Lexus HS250 เพียงแต่ว่า แปะยี่ห้อโตโยต้า
และมีราคาถูกกว่ากันเป็นล้านเยน รถคันนั้นก็คือ SAI อ่านว่า ไซ ซึ่งคำว่า Sai นั้น เขียนได้
2 แบบ ในภาษาญี่ปุ่น แบบแรก แปลว่า พรสวรรค์ แบบที่ 2 แปลว่า สีสัน SAI ถือเป็น
รถยนต์รุ่นที่จะมีแต่เครื่องยนต์แบบไฮบริดให้เลือกเพียงอย่างเดียว และสร้างขึ้น
บนพื้นฐานโครงสร้างวิศวกรรมพื้นตัวถังร่วมกับ Toyota Prius เช่นเดียวกับฝาแฝด
Lexus HS250 นั่นเอง

โตโยต้าตั้งเป้าจำหน่าย SAI จากสายการผลิตของโรงงาน Miyata ของ Toyota Motor Kyushu, Inc.
ให้ได้มากถึง 3.000 คัน/เดือน ดูเป็นเป้าหมายที่โหดไปสักหน่อย เพราะขนาด Nissan Teana
ที่เคยตั้งเป้าระดับเดียวกันตอนเปิดตัว ทุกวันนี้ ขายได้ไม่ถึง 300 คันในญี่ปุ่นเล้ยยย
แถมตั้งราคาตั้งแต่ 3,380,000 – 4,280,000 เยน ก็ถือว่าค่อนข้างโหดเอาเรื่อง และใกล้เคียง HS250 ไม่น้อย

กระนั้น สิ่งที่คิดว่าจะช่วยให้โตโยต้าบรลุเป้าหมายนั้นได้ ก็คงจะมาจากคุณภาพของวัสดุ
ภายในห้องโดยสาร ที่แม้จะไม่หรูหราหนานุ่มเหมือน เวอร์ชัน ฝาแฝดอย่าง Lexus HS250
แต่ด้วยการใช้พลาสติกแบบ Ecological Plastic สังเคราะห์จากพืช และการใส่ใจต่อผิวสัมผัส
ที่มากกว่า Tyota MArk-X ใหม่ล่าสุด อย่างเห็นได้ชัด ตำแหน่งนั่งขับ ที่เอาใจใส่กับ
หลักสรีระศาสตร์ เป็นอย่างดี น่าจะช่วยดึงยอดขายของ SAI ขึ้นมาได้บ้าง

 

ขุมพลังระบบ Hybrid นั้น ดูดีๆแล้ว แทบจะไม่ต่างอะไรจาก Camry Hybrid ในบ้านเราเท่าใดนักเลย
เพราะวางเครื่องยนต์ รหัส 2AZ-FXE บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.362 ซีซี 150 แรงม้า (PS)
ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 19.1 กก.-ม. ที่ 4,400 รอบ/นาที เชื่อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า
ขาด 143 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 27.5 กก.-ม. แต่ยังคงใช้แบ็ตเตอรีแบบ Nickel-Metal hydride อยู่ดี

มาพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบคันไปทั้งคัน ไม่เว้นแม้แต่ จะเพิ่มระบบนำทาง พร้อมระบบ
สื่อสารผ่านดาวเทียมอัจฉริยะ G-BOOK ระบบ Pre-Crash Safety ระบบ Redar Cruise Control
ระบบควบคุมเสถียรภาพ S-VSC (ยังไม่ถึงขั้น VDIM เหมือนใน HS250)

เมื่อขึ้นไปนั่งแล้ว เข้าใจเลยว่า พื้นผิววัสดุนั้น แม้จะเน้นการรักษาสิ่งแวล้อม แต่ทว่า
การรักษาคุณภาพควบคู่ไปด้วยกัน ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ Sai น่านั่ง กว่า Mark-X ใหม่อย่างชัดเจน

 

พูดอย่างนี้แล้ว Mark-X จะไม่น้อยใจเอาเหรอ? ก็ไม่เป็นไร น้อยใจก็น้อยใจไปสิ ครับ
ไม่เห็นเป็นไรเลย เราก็ว่ากันตามจริงอยู่แล้ว ว่า เส้นสายของ Mark-X ใหม่ ดูพริ้วหวาน
ลงกว่าเดิม แต่ มาพร้อมสโลแกนโฆษณาดุดันที่ว่า Samurai X

Mark-X ใหม่ เป็นพัฒนาการต่อเนื่องจาก รถรุ่น Mark-X ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากตระกูล
รถยนต์ซีดานขนาดกลางขับล้อหลังรุ่น Mark-II อันโด่งดังในญี่ปุ่น นั่นเอง

คราวนี้ Mark-X ใหม่ มีเปลือกกันชนหน้า 3 แบบ โดยแบ่งเป็นประเภท Basic
Elegance และ Sporty

วางเครื่องยนต์ 2 แบบ คือ 4GR-FSE V6 2.5 ลิตร และ 2GR-FSE V6 3.5 ลิตร
ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Super ECT มาพร้อม VDIM ถุงลมนิรภัยรอบคัน
รวมทั้ง ถุงลมสำหรับหัวเข่า! ตั้งราคาขายตั้งแต่ 2,380,000 – 3,800,000 เยน

ผลิตขึ้นที่โรงงาน Motomachi โรงงานเก่าแก่อีกแห่งหนึงของโตโยต้า

บอกตรงๆว่า ตอนเข้าไปนั่ง แม้รถจะดูเหมือนหรู แต่เสียงปิดประตู ของ Camry Hybrid บ้านเรา
ยังดีกว่านิดนึงเลย!! นี่ยังไม่นับกับเบาะนั่งด้านหลัง ที่ยังไม่ค่อยประทับใจเท่าใดนักด้วย
ถ้าบอกว่า ภายในของ SAI ทำออกมา ดีกว่า จะมีใครเชื่อผมไหมเนี่ย?

 

สำหรับรายละเอียดด้านเทคนิคต่างๆของ ทั้ง Mark-X ใหม่ และ SAI ให้ Click อ่านกันได้เลย
ในบทความ คอลัมน์ New Cars Worldwide ของ Headlightmag.com ครับ น้อง HOMY DEMIO
เขียนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

ไม่เพียงเท่านั้น บนพื้นที่ของบูธ Toyota ยังนำรถยนต์เคยขายดี อย่าง Toyota Corolla
มาอวดโฉมกันผู้คนจะลืม อีกด้วย เพราะพักหลังมานี้ ยอดขายเริ่มตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย
รุ่นที่มาจอดโชว์ คือรุ่น Fielder Wagon  สีดำ เมื่อเปิดประตูเข้่าไปนั่งดูแล้่ว ผมพบว่า
ทุกตำแหน่ง เหมือนกันกับเวอร์ชันไทย ในชื่อ Altis นั่นละ แต่ต่างที่ เขาใช้ หนังหุ้มเบาะ
ที่ดีกว่าของบ้านเราชัดเจน แค่นั้นเลย

รวมทั้งรถยนต์ Fuel Cell ที่ดัดแปลงมาจาก Toyota Kluger/HighLander

และนอกจากรถยนต์ทั้งหมดที่นำมาจัดแสดงแล้ว Toyota ยังนำรถแข่งสูตร 1 ของทีมตน
มาจัดแสดงให้ดูกัน บนบูธเตี้ยๆ มีฉากหลัง เป็น Toyota iQ รถเล็ก เครื่องยนต์ 1.0 และ 1.3 ลิตร
แขวนไว้หลากสี เต็มฝาผนังบูธอย่างที่เห็น เทคโนโลยีของรถเล็กคันนี้ ไม่ธรรมดาอยู่หลายรายการ
ตั้งแต่การนำ แร็คพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า แขวนไว้เหนือเครื่องยนต์ การจัดพื้นที่ห้องโดยสาร
ให้รองรับผู้ใหญ่ได้ เกือบ 4 คน เลยทีเดียว ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่ใครก็ทำได้ ฯลฯ อีกมากมาย

อีกไฮไลต์สำคัญของบูธโตโยต้า อยู่ที่ โซนของ Lexus แบรนด์ระดับหรูของโตโยต้า ที่ใช้พื้นที่ของตนในงานนี้
เปิดตัว รถสปอร์ตระดับซูเปอร์คาร์ 2 ที่นั่ง คันแรกของค่าย ที่หลายคนรอมานาน นั่นคือ Lexus LF-A

LF-A เป็นรถสปอร์ต 2 ที่นั่ง ที่จัดวางรูปแบบรถ ให้วางเครื่องยนต์ไว้ที่้ด้านหน้า แต่ขับเคลื่อนล้อหลัง (FR :
Front Engine, Rear Wheel Drive) ซึ่งกว่าจะผ่านขั้นตอนสู่การผลิตขายจริงได้นั้น ต้องผ่านอุปสรรคต่างๆ
มากมาย จนแม้แต่คนที่รอดูอยู่วงนอก อย่างพวกเรา ยังแทบจะถอดใจแทนทีมวิศวกรผู้กล้าของโตโยต้าเขาเลย
โครงการนี้เลื่อนแล้วเลื่อนเล่าเฝ้าแต่เลื่อนออกไปนานหลายปี เพียงเพราะคำพูดเดียวของหัวหน้าทีมวิศวกรที่ว่า
เขาอยากทำรถออกมาให้สมบูรณ์แบบที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ การเร่งรีบผลิตและพัฒนา เพื่อปล่อยรถออกมาเร็วๆ
นั่นย่อมไม่ใช่ผลดีแน่ๆ

ตัวรถมีความยาว 4.505 มิลลิเมตร กว้าง 1,895 มิลลิเมตร สูงเพียง 1,220 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2.606 มิลลิเมตร
น้ำหนักตัว เพียง 1,480 กิโลกรัม ออกแบบขึ้นโดยใช้แนวทางการออกแบบ L-Finesse ซึ่คราวนี้ ตัวรถออกมาดูเหลี่ยมสัน
ยังไม่ค่อยลงตัวนัก ทว่า ดูเหมือนโตโยต้า จะทำได้ดีมาก กับการออกแบบห้องโดยสาร เมื่อดูจากคันจริง

ขุมพลังที่วางใน LF-A เป็นเครื่องยนต์ที่พัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด ในรหัส 1LR-GUE ดูแล้วไม่คุ้นตากันละสิครับ
คุณผู้อ่าน แน่ละ มันเป็นขุมพลัง บล็อก V10 DOHC 40 วาล์ว 4,805 ซีซี ผลิตขึ้นจาก aluminum alloy magnesium alloy
และ titanium alloy แถมยังมีขนาเล็กกว่าเครื่องยนต์ V8 เดิม ที่โตโยต้าเคยพัฒนาขึ้นมาทั้งหมด มีน้ำหนักเบากว่า
และช่วยให้อัตราส่วนแรงม้า ต่อน้ำหนักตัวรถ รวมทั้งการกระจายน้ำหนัก ทำได้ดีกว่าที่คาดไว้ ระบบน้ำมันเครื่อง
เป็นแบบ Dry Sump เช่นเดียวกับรถแข่ง

พละกำลังสูงสุด จัดจ้านมหาศาลถึง 560 แรงม้า (PS) ที่ รอบสูงถึง 8,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย 
48.9 กก.-ม.ที่ 6,800 รอบ/นาที ดูตัวเลขแล้ว เครื่องยนต์บล็อกใหม่ล่าสุดของโตโยต้านี้ แรงกว่า Nissan GT-R
อย่างชัดเจน อีกทั้ง ยังมีแรงบิด ที่สามารถกระชากหลังคุณจนติดเบาะนั่ง ในช่วงออกตัวได้ ใกล้เคียงกันกับ
เครื่องยนต์ ดีเซล 3.0 ลิตร เทอร์โบ ของ BMW ที่วางลงใน BMW 330d Coupe E92 ซึ่งเคยผ่านมือผมมาแล้ว
นั่นละ (รายนั้น 51 กก.-ม. ครับ)

ส่งกำลังสู่ล้อคู่หลัง ด้วย เกียร์แบบ Automated Sequential Gearbox หรือ ASG 6 จังหวะ
เลือกรูปแบบการขับขี่ได้มากถึง 4 Mode และใช้เวลาในการเปลี่ยนเกียร์เร็วสุดเพียง 0.2 วินาทีเท่านั้น!!

ระบบกันสะเทือนหน้า เป็นแบบ ปีกนกคู่ Duble Wishbone ส่วนด้านหลังเป็นแบบ Multi Link
ระบบเบรก เป็น ดิสก์เบรก แบบ CCM (Carbon Ceramic Material) ทั้ง 4 ล้อ  ยางคู่หน้า มีขนาด
265/35ZR20 (95Y) ส่วนด้านหลัง มีขนาดใหญ่กว่า คือ 305/30ZR20 (99Y) สวมด้วยล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว

นอกจากนี้ ทีมพัฒนา เล็กซัส ยังพยายามออกแบบให้รถมีน้ำหนักเบา และมีความสมดุลที่ดีกว่ารถทั่วไป
ทั้งการใช้โครงสร้างตัวถังบริเวณห้องโดยสาร เป็นแบบ CFRP (Carbon Fiber Reinforced Plastic)
ที่ช่วยทำให้มีน้ำหนักเบากว่าโครงสร้างแบบ อลูมีเนียมถึง 100 กิโลกรัม! อย่างไรก็ตาม โตโยต้า เอง
ก็ได้พัฒนา การเชื่อมโครงสร้างตัวถัง CFRP เข้ากับโครงสร้างเหล็ก ขึ้นมาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะ
การย้ายตำแหน่งหม้อน้ำ แลเะพัดลมไฟฟ้า ไปไว้ด้านหลัง เพลาขับด้านหลัง ช่วยให้มีการกระจายน้ำหนัก
หน้า- หลัง ในอัตราส่วน 48 : 52 ตำแหน่งผู้ขับขี่ ติดตั้งไว้ ตอนกลางของลำตัว แถมใกล้กับจุดศูนย์ถ่วงของรถ

ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้ LF-A มีสมรรถนะบ้าระห่ำที่สุดเท่าที่ผู้ผลิตชาวญี่ปุ่น จะผลิต
รถยนต์ออกมาขายจริง เพราะตัวเลขสมรรถนะที่โตโยต้าประกาศออกมานั้น อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ทำได้ต่ำมาก เพียง 3.7 วินาที!! และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 325 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตัวเลขทั้งหมดนี้ ทำให้
Lexus LF-A กลายเป็นรถยนต์สำหรับทำตลาดจริง ที่แรง และเร็วที่สุด เท่าที่ญี่ปุ่นเคยผลิตขายออกมา!!
(The Best performance Japanesse Production Car ever!) ทำลายสถิติที่ Nissan GT-R เคยทำเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม ใครที่คิดจะจับจองเป็นเจ้าของ คงต้องแย่งคิวกันหน่อยแล้ว เพราะงานนี้ โตโยต้าประกาศว่า
จะผลิตรถสอร์ตระดับซูเปอร์คาร์รุ่นนี้ ออกมาในช่วงปลายปีหน้า (2010) ที่สำคัญ โตโยต้า จะจำกัดจำนวนผลิต
เอาไว้เพียงแค่ 500 คัน ทั่วโลก เท่านั้น!! และตอนนี้ ราคายังไม่เป็นที่เปิดเผยซะด้วย!

อีกคันหนึ่งที่ปรากฎตัวอยู่ในบูธของเล็กซัส นั้น คือรถต้นแบบ LF-CH สีเหลืองมะนาวแก่ 
รถคันนี้ คือการเผยให้เห็นถึง แนวทางการพัฒนา เล็กซัส สำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีอายุประมาณ
25-30 ปี ที่อยากได้รถยนต์ระดับคอมแพกต์ ในแบรนด์เล็กซัส บุคลิกของรถจะต้องมีความแตกต่าง
ไปจาก พรีเมียมคอมแพกต์ ทั่วไปในท้องตลาด อีกทั้งยังต้องเอาใจวัยรุ่นมากขึ้นกว่าที่เล็กซัส
เคยเป็นมา

เพราะในช่วงก่อนหน้านี้ รายงานวิจัยตลาดในต่างประเทศ ต่างสรุปว่า เล็กซัส
มีภาพลักษณ์ เป็นแบรนด์คนแก่ เป็นแบรนด์ของผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต ช่วง ทศวรรษที่ 1990
แต่เมื่อพวกเขา แก่ชราร่วงโรยไปเรื่อยๆ เล็กซัสก็ตามเอาใจพวกเขาไปเรื่อยๆ โดยลืมใส่ใจกลุ่มลูกค้า
ที่มีอายุอ่อนวัยกว่า แต่ประสบความสเร็จรวดเร็ว และมีเงินไม่แพ้กัน…

นั่นคือ ที่มาของ LF-CH

มิติตัวถังของ LF-Ch Concept ดูจะใกล้เคียงกับ Toyota Auris หรือ Corolla เวอร์ชัน Hatchback อยู่เหมือนกัน
ด้วยความยาว 4,300 มิลลิเมตร กว้าง 1,790 มิลลิเมตร สูง 1,400 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,600 มิลลิเมตร
สวมยางทั้ง 4 ล้อขนาด 225/35R20 (เดี๋ยวนี้ ล้ออัลลอย 20 นิ้วจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ไปแล้วเหรอเนี่ย?)

รายละเอียดเพิ่มเติมที่โตโยต้าประกาศออกมา ไม่มีอะไรมากไปกว่า การที่เวอร์ชันขายจริงของรถคันนี้
จะติดตั้ง เครื่องยนต์ HYBRID แบบเต็มพิกัด ซึ่ง อย่างว่าละครับ รถต้นแบบคันนี้ ยังเป็น Mock-up ดังนั้น
เรายังคงไม่ทราบข้อมูลอะไรมากมายนักจนกว่าจะถึงวันขายจริงของรถคันนี้ ที่คาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงปี 2011

 

นอกนั้น ในบูธของ เล็กซัส ก็ยังมีรถยนต์รุ่นผลิตจำหน่ายจริง ใหม่ล่าสุด มาอวดโฉมกันอีก 2 รุ่น นั่นคือ
รุ่นปรับโฉมแบบ Minorchange ของลีมูซีนหรูสุดประทับใจของผมอย่าง LS และ RX450h ที่เราเตรียม
จะนำมาทำรีวิวกันในเมืองไทย ในเดือนหน้า

——————————————————

อีกมุมหนึ่งที่ อยากให้คุณได้ชมกันคือ การจัดแสดง ทำเนียบรถยนต์แห่งปีของญี่ปุ่น
Japan Car of the Year ซึ่งปีนี้ ถือว่า จัดกันมาครบรอบ 30 ปีแล้ว (นับตั้งแต่ 1980)
และจะมีรถยนต์ รุ่นที่คว้ารางวัลอันดับ 1 มาจัดแสดงกันให้ดูอย่างครบถ้วน จนจุใจ
เต็มพื้นที่บูธอย่างที่เห็นนี้

รถยนต์แบบแรกที่คว้ารางวัลดังกล่าวมาครอบในประวัติศาสตร์ ในฐานะ รถยนต์ยอดเยี่ยม
ของญี่ปุ่น ประจำปี 1980-1981 คือ Mazda Familia Hatchback หรือที่บ้านเรารู้จักกันดีในชื่อของ
Mazda 323 ขับล้อหน้า รุ่นแรก นั่นเอง

 


รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 1981 – 1982 คือ
Toyota Soarer รุ่นแรก

รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 1982 – 1983 คือ
Mazda Capella ขับล้อหน้ารุ่นแรก หรือที่บ้านเรา รู้จักในชื่อ Mazda 626
และ ฝาแฝด ของรุ่นนี้ คือ Ford Telstar รุ่นแรก

รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 1983 – 1984 คือ
Honda CIVIC และเวอร์ชันฝาแฝด Honda BALLADE

รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 1984 – 1985 คือ
TOYOTA MR-2 รุ่นแรก

รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 1985 – 1986 คือ
Honda ACCORD เจเนอเรชัน 3 / ACCORD AERO DECK
และฝาแฝด Honda VIGOR เจเนอเรชัน 2

รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 1986 – 1987 คือ
Nissan PULSAR เจเนอเรชัน 3 พร้อมกับเพื่อนพี่น้องร่วมตระกูล
ทั้ง Nissan PULSAR EXA , Nissan LANGLEY และ
Nissan LIBERTA VILLA



รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 1987 – 1988 คือ
Mitsubishi GALANT VR-4



รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 1988 – 1989 คือ
Nissan SILVIA S13 (รุ่น ART FORCE SILVIA)



รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 1989 – 1990 คือ
Toyota Celsior / Lexus LS400 รุ่นแรก



รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 1990 – 1991 คือ
Mitsubishi DIAMANTE รุ่นแรก

รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 1991 – 1992 คือ
Honda Civic 3 ประตู และ Honda Civic FERIO 4 ประตู
(ซีวิค รุ่น EG นั่นเอง)



รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 1992 – 1993 คือ
Nissan MARCH รุ่นที่ 2 (รหัสรุ่น K11)

รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 1993 – 1994 คือ
Honda Accord รุ่นที่ 6

รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 1994 – 1995 คือ
Mitsubishi FTO

รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 1995 – 1996 คือ
Honda CIVIC 3 ประตู และ CIVIC FERIO 4 ประตู รุ่นที่ 6
รหัสรุ่น EK หรือที่บ้านเราจำได้ดีในชื่อ ซีวิค ตาโต



รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 1996 – 1997 คือ
Mitsubishi Galant และ Mitsubishi Legnum Wagon 

รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 1997 – 1998 คือ
Toyota PRIUS รุ่นแรก



รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 1998 – 1999 คือ
Toyota ALTEZZA / Lexus IS รุ่นแรก

รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 1999 – 2000 คือ
Toyota Vitz (หรือ Yaris รุ่นแรกที่ไม่มีขายในบ้านเรา)
รวมทั้งฝาแฝดร่วมตระกูล ทั้ง Toyota PLATZ 4 ประตู
และ Toyota FunCarGo

รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 2000 – 2001 คือ
Honda CIVIC 5 ประตู / CIVIC FERIO 4 ประตู และ Honda Stream
(เขาถือว่าเป็นรถในตระกุล Civic ES เหมือนกัน แต่ต่างตัวถังกัน เท่านั้น)

รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 2001 – 2002 คือ
Honda Fit หรือ Jazz รุ่นแรก ในบ้านเรา

รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 2002 – 2003 คือ
Honda Accord รุ่นที่ 8 (เวอร์ชัน ญี่ปุ่น – ยุโรป คนละตัวถังกับบ้านเรา)

รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 2003 – 2004 คือ
Subaru LEGACY รุ่นที่เพิ่งตกรุ่นไป

รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 2004 – 2005 คือ
Honda LEGEND รุ่นที่ 4

รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 2005 – 2006 คือ
Mazda Roadster / MX-5 รุ่นที่ 3

รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 2006 – 2007 คือ
Lexus LS460 รุ่นที่ 4

รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 2007 – 2008 คือ
Honda FIT / JAZZ รุ่นที่ 2

รถยนต์ยอดเยี่ยม ของญี่ปุ่น ประจำปี 2008 – 2009 คือ
Toyota iQ

——————————————————————

สีสันโดยรอบของงาน

ปีนี้ค่อนข้างกร่อย ถึงขนาดว่า บูธของ TOMY TAKARA ผู้ผลิตของเล่นรายใหญ่
ถึงกับย้ายบูธเข้ามาจัดใน Hall ใหญ่ เรียกเด็กและผู้ใหญ่ ได้เพียบเลย
เพราะถจำลองของ TOMICA นั้น ผ่านไปกี่สิบปี ก็ยังครองใจผู้คนทั่วไป
รวมทั้งผมด้วย ยังไม่นับ รถจิ๋ว ไถถอยหลัง อย่าง Choro Q อีกด้วย

 

แต่ TOMY เอง ก็พยายามทำนวัตกรรมของเล่นใหม่ๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ
เช่น TOMICA HYBRID จะมีมอเตอร์ปั่นไฟเล็กๆ อยู่ข้างใน ถ้าคุณ
เอารถเหล็กเหล่านี้ ไถขึ้นหน้าถอยหลัง มันจะมีไฟหน้า หรือไฟบน
หลังคารถตำรวจ ติดขึ้นมา ให้เพลิดเพลินกันทั้งเจ้ากล้วย

และทั้งผม กับเขาด้วย….

อีกบูธหนึ่ง ที่ไม่น่าพลาด คือ Sony Playstation เกมส์ Gran Turismo
ที่เดินทางมาถึงภาค 5 แล้ว ลองเข้าไปเล่นดูได้ครับ

นอกจากนี้ยังมีบูธของ สถานีวิทยุ TOKYO FM Satellite มาจัดรายการกันสดๆ ถึงในงาน
ให้คุณๆได้มกันด้วย ซึ่ง ถ้าเปรียบเทียบกับ การจัดห้องส่ง สถานีวิทยุ ของคลื่น A-Time Media
ที่จัดออกอากาศ

——————————————————

เดินชมงานกันมาเหนื่อย พอถึงเที่ยง ก็ควรจะหาข้าวกิน
โดยปกติแล้ว ผู้จัดงาน จะจัดให้มี ข้าวกล่อง 4 แบบ แจกฟรี ให้กับสื่อมวลชน
อยู่ตรงฝั่งตรงข้ามห้อง Press Room แค่เอาบัตร Press ที่ฝัง U-Chip อยู่ด้านหลัง
ไปแปะที่เครื่องอ่าน คนละ 1 กล่อง เลือกกันได้ว่า จะกินอาหาร ฝรั่ง จีน มุสลิม หรือญี่ปุ่น

แต่มาญี่ปุ่นทั้งที ก็ควรจะทานอาหารญี่่ปุ่นกันหนะสิ
รสชาติ พอกินกันตายได้ ปลาซาบะชืดไปนิด แต่นอกนั้น พอทนกินแก้หิวครับ

ถ้าคิดว่า อาหารแบบนี้ ไม่ถูกปาก ร้านขายอาหาร ใน Makuhari Messe ยังมีอีกเยอะ
ให้คุณได้เลือกทานกัน ในราคาที่ ปานกลาง ค่อนข้างแพง เมื่อเทียบกับร้านตามถนน
ข้างนอก ในกรุงโตเกียว นิดหน่อย

ส่วนบริการส่งพัสดุนั้น ปีนี้ ก็ยังมี DHL มาเป็นสปอนเซอร์ให้กับพวกเราเช่นเคย
สื่อมวลชน ไม่ต้องจ่ายตังค์ครับ เพราะว่า ทางผู้จัดงาน ได้กำหนดให้ 1 กล่อง
มีน้ำหนักได้ไม่เกิน 20 กิโลกรัม ซึ่งเมื่อแพ็คเอกสารลงกล่องแล้ว ก็มาวางชั่งน้ำหนักที่นี่

จากนั้น ก็เอาบัตร Press ฝัง U-Chip ไปแปะกับเครื่องอ่าน ข้อมูลชื่อ ที่อยู่ เบอร์ติดต่อ อีเมล์
ที่เราลงทะเบียนไว้ จะขึ้นมาทั้งหมด ถ้าเรายืนยันให้ทาง DHL ส่งเอกสารตามนั้น ก็บอกทาง
เจ้าหน้าที่เขาไป  ทุกอย่างก็เรียบร้อย เขาจะออก Airway Bill มาให้เรา ดูตัวเลข สามารถ
Track หาตำแหน่งล่าสุด ของพัสดุเราได้ ว่าอยู่ที่ไหน

ใช้เวลาในการส่ง นั้น ถ้าก่อน เที่ยง ก็จะได้รับพัสดุทั้งหมด ในเวลาไม่เกิน 1-2 วัน
แต่ถ้า หลังจากนั้น เช่นอย่างที่ผมกับกล้วย ไปใช้บริการ คือ บ่าย 4 โมง พัสดุ จะมาส่ง
ในเช้าวันที่ 26 หรือเอาง่ายๆคือ 5 วันหลังจากเราส่งพัสดุนั่นเองครับ

—————————————-

ท้ายสุด ก่อนที่จะลาจาก ไหนๆ ก็กลับมาเยือน Makuhari Messe กันแล้ว สิ่งที่ผมตั้งใจว่าจะต้องทำ
ยังเหลืออีกสิ่งเดียว ก็คือ การกิน Soft Cream….

มันก็คือ ไอศกรีม นั่นละครับ เพียงแต่ขนาดของมัน จะใหญ่โตมากกกกกกกกก กินคนเดียวนี่
อิ่มไป 3 ชั่วโมงแน่ๆ โคนละ ประมาณ 300 เยน ซื้อเสร็จแล้ว ก็ควรจะนั่งกินให้เรียบร้อย เพราะคนญี่ปุ่น
จะมองว่า คนที่เดินไปกินไป คือคนที่ไม่มีมารยาท  

และโชคดีอะไรขนาดนั้นก็ไม่ทราบ เราเป็นลูกค้าคนสุดท้าย ของร้าน ในวันนี้พอดี..เกือบอดกินแล้วไหมละ!

ที่นี่ มีขาย 2 จุด อยู่ที่ร้านอาหาร ตรงกลาง Hall และ ร้านขายของชำ เกือบจะปลายสุด ของ Hall รสชาติ พอกัน
ถ้าแวะมา Makuhari Messe ไม่ต้อง โตเกยวมอเตอร์โชว์หรอก จะงานไหนก็ตาม อย่าลืมนะครับ ซื้อสักโคนนึง
กินก่อนเดินกลับ ช่วยเพิ่มความอิ่มเอมอารมณ์ได้เลยทีเดียว

เพราะถ้าจะหา Soft cone แบบนี้ในเมืองไทย คุณต้องเดินทางไปถึง Central World ในส่วนของ ISETAN
Super Market นั่นเลย แล้วโคนนึง ราคาก็พอกัน กับที่ญี่ปุ่นนั่นแหละ เผลอๆ แพงกว่านิดนึงด้วยซ้ำ!

—————————————-

18.00 น. เวลาในญี่ปุ่น
ตรงกับบ้านเรา 16.00 น.

เมื่อใดที่เพลง โอ แลงซาย หรือ ที่คนไทยคุ้นกันดีว่า “สามัคคีชุมนุม” ดังขึ้นที่ไหน
แสดงว่า สัญญาณแห่งการสิ้นสุดงาน เดินทางมาถึงแล้ว

แม้ว่า คราวนี้ เราจะใช้เวลาเดินชมงานกันเพียงแค่วันเดียว แต่ก็ถือว่า คุ้มค่าเป็นที่สุด
เพราะทั้งผม และเจ้ากล้วย BnN เก็บบรรยากาศของงานได้ครบถ้วน ถ่ายรูปทุกคันที่ต้องถ่าย
ได้ลองนั่งรถทุกคันที่อยากจะนั่ง จำรายละเอียดกันได้ครบถ้วนเท่าที่เวลาจะเอื้ออำนวย
ถือว่า ภาระกิจการรายงานบรรยากาศของ โตเกียวมอเตอร์โชว์ ที่เราจัดเตรียมให้คุณผู้อ่าน
ครั้งนี้ สมบูรณ์แบบอย่างน่าพอใจ

ถึงจะเป็น โตเกียวมอเตอร์โชว์ ที่เหี่ยวเฉาที่สุดเท่าที่เคยจัดกันมา แต่ก็ไม่ถึงกับเลวร้าย
จนไม่น่าไปดู เพราะแต่ละค่าย ต่างก็พยายาม งัดของดีมาประชันกัน เท่าที่งบประมาณ
จะอำนวย เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มุ่งเน้นไปในแนวทาง การขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อสิ่งแวดล้อมของโลกที่ดีขึ้น ยังคงเป็นกระแสหลักที่เราจะได้เห็น

อย่างไรก็ตาม มีแนวทางที่ผุดขึ้นมาให้เราได้เห็นกันอีกครั้ง หลังจากเคยหายไป ในช่วง
ต้นยุค 2000 นั่นคือ การเริ่มพัฒนารถสปอร์ตรุ่นต่อๆไป เพื่อคงไว้ซึ่งความรื่นรมณ์ในการขับขี่
อันเป็นคุณลักษณะสำคญ ที่ทำให้รถยนต์ แตกต่างจากสินค้า consumer products ประเภทอื่นใด
ในโลก ความสนุกและรื่นรมณ์จาการขับขี่ นี่แหละ ที่ยังคงเป็นมนต์เสน่ห์สำคัญ ดึงดูดให้ผู้คน
ที่ลุ่มหลงในรถยนต์ ยังคงไม่คิดจะถอนตัวในวังวนนี้ซะที

ไม่รู้ว่า จะมีโอกาสกลับมาเห็น ช่วงเวลาขาขึ้น ของ อุตสาหกรรมรถยนต์โลก
ในโตเกียวมอเตอร์โชว์ 2011 หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ความอิ่มอกเอมใจ จากทุกภาพที่ได้เห็น
จากทุกสัมผัส ของรถทุกคัน ยังคงติดแน่นอยู่กับความจำของผม ต่อไป แม้ว่าประโยคสุดท้าย
ของบทความนี้ จะเพิ่งมาถึง…ก็ตาม

—————————————-///—————————————-

Spacial Thanks :
ขอขอบคุณ :

บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด

โดย คุณ วนรัชต์ ตั้งคารวะคุณ (พี่เอ)
ประธานกรรมการบริหาร

คุณวิชา เจ็งเจริญ
Senior Manager
Automotive Bussiness Department

และ คุณชลธี คชา
ผู้จัดการทั่วไป

บริษัท ITOCHU Corporation จำกัด
Mr. Toshiyuki Yamanoi
ผู้จัดการแผนก
Europe & Asia Section
Automobile Department No.1
Automobile Division
Machinery Company

Mr.Kimio Oku
เจ้าหน้าที่แผนก
Europe & Asia Section
Automobile Department No.1
Automobile Division
Machinery Company

ผู้ประสานงานในด้านต่างๆให้กับคณะของเรา ตลอดทริปในครั้งนี้ 

คุณ ชนัญชิดา ทองคำสุก (พี่อ้อย)
ผู้จัดการ AIS Future World สยามพารากอน
ที่เอื้อเฟื้อเครื่องโทรศัพท์ สำหรับการเดินทางในญี่ปุ่นครั้งนี้

 

J!MMY , HOMY DEMIO , BnN
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย เป็นผลงานของผู้เขียน และผู้เขียนร่วม
ยกเว้น ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย บางส่วน เป็นของ บริษัท ผู้ผลิต
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
26 ตุลาคม 2009

Copyright (c) 2009 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
October 26th,2009