20 และ 21 พฤศจิกายน 2013
8.30 น.

ภาพเดิมอันคุ้นตา ปรากฎตรงหน้าผม เหมือนเช่นเมื่อ 2 ปีก่อน

ผมกลับมายืนที่นี่อีกครั้งครับ Tokyo Big Sight สถานที่จัดงาน Tokyo Motor Show
ต่อเนื่องกันเป็นครั้งที่ 2 นับตั้งแต่ปี 2011

การย้ายสถานที่จัดงานมาอยู่ที่นี่ บนพื้นที่เมืองใหม่อันเกิดจากการเอาขยะมาถมทะเล
อย่าง Odaiba ทำให้การเดินทางจากใจกลางกรุง Tokyo ไปยังงานแสดงรถยนต์ที่ใหญ่
เป็นอันดับ 2 ของโลก สะดวกง่ายดายกว่าเดิมเยอะ แค่ต่อรถไฟอะไรก็ตาม มาลงที่
สถานี Shimbashi แล้วออกมาขึ้นรถราง Mono-Rail สาย Yurikamome ข้ามสะพาน
Rainbow Bridge มาลงที่สถานี Kokusai-Tenjijo-Seimon ออกจากสถานีปุ๊บ คุณก็
มาถึงสถานที่จัดงานแล้วละ!

เพียงแต่คราวนี้ ผมเห็นภาพข้างล่างนี้ เหมือนกัน 2 วันติดเลย…เพราะจำเป็นต้อง
เข้า – ออก จากงาน ด้วยประตูหลักทางนี้

เหตุผลไม่มีอะไรมากครับ

อันที่จริง ผมร่วมคณะมากับกลุ่มสื่อมวลชนชาวไทย ที่เดินทางมาด้วยความอนุเคราะห์
โดยบริษัท Honda Automobile Thailand จำกัด แต่เนื่องจากว่า เช้าวันที่ 20 อันเป็น
รอบสื่อมวลชนวันแรกของงานนี้ ทางคณะเขามีกำหนดนั่งรถบัสเข้างานกันตอน
9.00 น.

แต่ผมเลือกจะขอแยกเดินทางมาถึงงานนี้ แต่เช้าด้วยตัวคนเดียวก่อน เพื่อมาจับจอง
ล็อกเกอร์สำหรับสัมภาระและเอกสาร ซึ่งทางผู้จัดงาน เตรียมไว้ให้แค่ 1,000 ตู้เท่านั้น
เมื่อเทียบกับปริมาณของสื่อมวลชนที่เข้าร่วมงานแล้ว ขืนไปสาย เห็นที่จะโดนแย่ง
ล็อกเกอร์ไปหมดแน่ๆ

แต่ในเมื่อปีนี้ ผู้จัดงาน ย้ายศูนย์ Press Center จากชั้นบนของอาคารทรงประหลาด
มาไว้ชั้นใต้ดินแทน หลายๆคน เลยหาไม่เจอ ดังนั้น ตู้ล็อกเกอร์จึงยังเหลือพอให้
ผมและน้องๆในทีม The Coup ของเรา ได้จับจองไว้ใช้งาน…

ใช่ครับ อ่านไม่ผิด…ปีก่อนๆ ผมมางานนี้ เพียงคนเดียว แต่ปีนี้พิเศษกว่าปีไหนๆ
ที่ผ่านมา เพราะนอกจากทาง Honda แล้ว คราวนี้ Headlighmtag.com ของเรา
ยังได้รับความอนุเคราะห์ จากทั้ง บริษัท Toyota Motor Thaland จำกัด และ
บริษัท  Nissan Motor Thailand ให้เรา ส่งสมาชิก The Coup Team อีก 2 คน
นั่นคือ น้อง Toyd จาก The Coup Channel และ HOMY DEMIO ผู้สื่อข่าว
ต่างประเทศของเรามาร่วมเข้าชมงาน Tokylo Motor Show ปีนี้ อีกด้วย!

ส่วนวันที่ 21 นั้น ตามกำหนดการของคณะจาก Honda จะไปพักผ่อนกัน
นอกกรุง Tokyo แต่ผมตัดสินใจจะอยู่ในเมืองต่อ เพื่อเข้าชมงานในรอบ
สำหรับสื่อมวลชน วันที่ 2 และเป็นรอบพิเศษ สำหรับผู้ทุพลภาพ กับแขก
รับเชิญพิเศษต่างๆ ร่วมกับ คุณผู้อ่านของเรา คุณ ขวัญ (User : Tonaka)
ซึ่งเรียนด้านวิศวกรรมยานยนต์ อยู่ที่ คิวชู มาช่วยเป็นล่ามให้อีกต่างหาก

จึงเก็บบรรยากาศต่างๆ มาฝากคุณผ้อ่านได้เยอะกว่าปกติพอสมควร
แม้จะนำเสนอล่าช้าไปสักหน่อย แต่เชื่อว่า หลายๆคน คงจะได้รับ
อรรถรสจากบทความนี้ เต็มอิ่มกันเช่นเคย จากการทำงานร่วมกัน
ของ ผมและน้องๆ The Coup Team

อย่ารอช้าเลย…เลื่อนลงไปอ่านต่อกันได้นับจากนี้เป็นต้นไป!

ALPINA

ปีนี้ สำนักแต่งเจ้าประจำสำหรับคนรัก BMW ส่งเวอร์ชันแรงพิเศษรุ่นใหม่ๆ มาเปิดตัว
กัน 3 รุ่นรวดแบบทั้ง World Premiere และแบบ Japan Premiere หลายรุ่น จนต้องทำ
บูธออกมาเป็น 2 ฝั่ง ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

เริ่มจาก ALPINA B4 BiTurbo Coupe บนพื้นฐานของ BMW 4-Series ซึ่งเปิดตัว
ครั้งแรกของโลกในงานนี้ ภายนอกปรับปรุงให้ดุดันขึ้น เปลี่ยนมาใช้ล้ออัลลอย
ลายเอกลักษณ์จาก ALPINA พร้อมยกระดับขุมพลัง เบนซิน 6 สูบ DOHC 24 วาล์ว
3.0 ลิตร พ่วง Turbo คู่ แรงขึ้นเป็น 410 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 600 นิวตัน-เมตร
ต่อเนื่องแบบ Flat Torque ตั้งแต่ 3,000-4,000 รอบ/นาที

ส่วนรุ่นที่เปิดตัวในญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกคือ ALPINA D3 BiTurbo บนพื้นฐานของ
BMW 320d มาพร้อมความแรงในแบบฉบับดีเซล ด้วยเครื่องยนต์ Diesel 3.0 ลิตร
Turbo คู่ 350 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุดถึง 700 นิวตัน-เมตร
มาในรอบต่ำตั้งแต่ 1,500 รอบ/นาที ยาวไปจนถึง 3,000 รอบ/นาที

อีกรุ่นที่เหลือได้แก่ ALPINA B5 BiTurbo Touring บนพื้นฐาน BMW 5-Series
Touring (F11) วางขุมพลังฃเบนซิน V8 DOHC 32 วาล์ว 4.4 ลิคร Turbo คู่ แรง
สะใจถึง 550 แรงม้า (PS) ที่ 5,200 – 6,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดมากถึง 730
นิวตัน-เมตร ที่ 2,800 – 5,000 รอบ/นาที
——————————-

Audi

ค่ายรถยนต์ระดับ Premium จากเมือง Ingolstadt เยอรมันี ยังไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่ถอดด้ามชนิด
เปลี่ยนโฉมทั้งคัน หรือรถยนต์ต้นแบบมาอวดโฉมให้ชาวอาทิตย์อุทัย น้ำลายไหลเหมือนปีก่อนๆ
คราวนี้ เราจึงพบเห็นแค่ Audi A3 e-tron Concept จอดอยู่บนเวที ถือเป็นเวอร์ชันพลังไฟฟ้าล้วน
ที่ถูกนำมาจัดแสดงครั้งแรกในญี่ปุ่น

ส่วน Saloon คันเขื่องที่จอดอยู่ข้างกันนั้น คือ พี่ใหญ่ในตระกูลอย่าง Audi S8 รุ่นปรับโฉม
Minorchange ที่ถูกนำมาจัดแสดงในงานนี้เป็นครั้งแรก เพราะส่วนใหญ่ ในญี่ปุ่นแล้ว S8
มักจะได้รับความนิยมและขายดีกว่ารุ่น A8 ธรรมดา

แต่ไฮไลต์สำคัญของบูธ Audi อยู่ที่ S3 Sedan เวอร์ชันยกระดับความแรงขึ้น
ของรถยนต์คอมแพคท์ซีดานคันใหม่บนพื้นฐาน Audi A3 รุ่นล่าสุด เส้นสายของ
คันจริงถือว่ามีสัดส่วนที่ลงตัวมากกว่าจากที่เห็นในภาพ แต่พื้นที่โดยสารยังคง
คับแคบตามสไตล์ Audi เช่นเคย S3 วางเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC
16 วาล์ว 2.0 ลิตร พ่วง Turbo และ Intercooler TFSI 220 แรงม้า
(HP) แรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตร

นอกจากนี้ Audi ยังขนรถยนต์สมรรถนะสูง รุ่นใหม่ๆ ในตระกูล RS มาจัดแสดงโดยคัดเลือก
เฉพาะสีแดงเพลิง และสีขาว เท่านั้นไม่ว่าจะเป็น Audi RS4 Avant , Audi RS5 Cabriolet ,
Audi RS6 Avant , Audi RS7  รวมไปถึงรถยนต์สปอร์ตอย่าง Audi R8 Spyder V10 และ
รถแข่ง พลังไฟฟ้า R18 e-tron Quattro ขับเคลื่อนสี่ล้อ ของ Audi ที่ใช้ประลองศึกในสนาม
Le Mans มาแล้ว

——————————-

BMW / MINI

ถือว่าเป็นบูธ ที่คึกคักเป็นพิเศษในปีนี้ เพราะอุดมไปด้วยรถยนต์รุ่นใหม่ๆมาเปิดตัวในระดับ
ครั้งแรกในโลก และครั้งแรกในญี่ปุ่นหลายรุ่น

เริ่มต้นด้วยการนำเข้า BMW i ยานยนต์ไฟฟ้าพร้อมเทคโนโลยีวิศวกรรมล้ำอนาคต ไปบุก
ตลาดญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว ทั้งรุ่น i3 และ i8

เริ่มกันที่ BMW i8 รถสปอร์ตประตูปีกนกที่ BMW ตั้งใจทุ่มความพิถีพิถันลงไปในทุกๆ
รายละเอียดของตัวรถ การพยายามใส่ความล้ำยุคลงไปในงานวิศวกรรมถือว่าทำได้อย่างลงตัว
ทั้งการออกแบบครีบบริเวณด้านท้ายทั้ง 2 ข้างให้กลมกลืนกับชุดไฟท้าย รวมถึงภายในห้อง
โดยสาร โดดเด่นด้วย ชุดมาตรวัดดิจิตอลซึ่งถูกออกแบบเพื่อเอาใจนักขับเป็นหลัก

ระบบขับเคลื่อนเป็นแบบ Plug-in Hybrid ผสานเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ 1.5 ลิตร พ่วง Turbo
231 แรงม้า (HP) เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า 131 แรงม้า (HP) จนมีกำลังสูงสุด 362 แรงม้า (HP)
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในระยะเวลาเพียง 4.5 วินาที

ขณะที่ BMW i3 นั้นใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 170 แรงม้า (HP) ติดตั้งอยู่ระหว่างล้อคู่หลัง
เป็นพลังขับเคลื่อน สามารถแล่นได้ระยะทาง 160 กิโลเมตร ต่อการชาร์จไฟเต็ม 1 ครั้ง  
อีกทั้งยังมีรุ่นขยายระยะทาง Extended Millege พ่วงเครื่องยนต์เบนซิน สำหรับ
ทำตลาดในญี่ปุ่นอีกด้วย

แม้รูปทรงของ BMW i3 อาจจะดูแปลกตา แต่การวาง Packaging ของตัวรถ ดีกว่าที่คิด
เพราะไม่ทำให้ผู้โดยสารรู้สึกอึดอัดเลย โดยเฉพาะการโดยสารด้านหลังที่ให้ความรู้สึกโปร่ง
มากกว่าที่คิด รวมทั้งเลือกใช้วัสดุรีไซเคิลในห้องโดยสารเป็นส่วนใหญ่ สร้างสัมผัสระดับ
Premium ล้ำยุคได้อย่างถึงกึ๋น แม้จะเจอว่างานประกอบบางจุดอาจไม่ค่อยเรียบร้อยนัก
และตำแหน่งอุปกรณ์ต่างๆ ยังไม่ค่อย User Friendly มากนัก ก็ตาม

แต่สิ่งที่ถือว่าล้ำหน้าที่สุดของรถคันนี้ อยู่ที่การใช้โครงสร้างตัวถัง แบบล้ำยุค ทั้ง Carbon
Fiber มาผสานกับ พลาสติกแบบแข็งแกร่งเป็นพิเศษ รวมทั้ง แผงพลาสติกแบบรังผึ้ง ที่ฐาน
เสาคู่หน้า A-Pillar เพื่อกระแทกจากการชน อีกต่างหาก

ด้านรถยนต์ต้นแบบ ชาวมิวนิค ส่ง BMW Concept Active Tourer Outdoor คันสีส้ม
(ชื่อรุ่นจะยาวกันไปถึงดาวอังคารเลยไหม?) มาอวดโฉม เพื่อบอกเป็นนัยๆว่า นี่ละ
พัฒนาการล่าสุดของ รถยนต์ที่คาดหมายว่า จะออกสู่ตลาดในนาม 1-Series GT เพื่อ
ต่อกรกับ Mercedes-Benz B-Class เอาใจลูกค้ากลุ่มครอบครัว ยุคใหม่ นั่นเอง

เวอร์ชันต้นแบบคันสีส้มนี้ จะวางเครื่องยนต์ แบบเบนซิน 3 สูบ 1.5 ลิตร พ่วง Turbo
เหมอน BMW i3 แต่เชื่อมต่อด้วย ระบบมอเตอร์ไฟฟ้า พร้อมระบบเสียบปลั๊กเชื่อม
กับไฟฟ้าในบ้านได้ Plug-in Hybrid ให้กำลังในระบบรวม 188 แรงม้า (HP) ให้
อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ต่ำกว่า 8 วินาที

คาดหมายว่า รถคันนี้ จะสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง UKL1 (Unter Klass) ร่วมกับ 1-Series
และ 2-Series ที่ BMW ตั้งใจจะผลิตออกขายทั่วโลกให้ได้กว่า 900,000 คัน นับจากนี้

ด้านรถยนต์ สมรรถนะสูง ตระกูล M จาก BMW M GmbH. ปีนี้ พวกเขา ส่ง BMW M4
อันเป็นตัวตายตัวแทนที่สืบทอดตำนาน BMW M3 แบบ 2 ประตู ออกมาจัดแสดงกันก่อน
ที่เวอร์ชันขายจริง จะพร้อมส่งให้นักเลงรถทั่วโลกกระทืบคันเร่งได้ในช่วงปี 2014 นี้

นอกนั้น BMW M6 ทั้งตัวถัง Gran Coupe และ Cabriolet เปิดประทุน ก็มาอวดโฉม
พร้อมกับเครื่องยนต์ผ่าซีก ที่แสดงเทคโนโลยีภายในตัวเครื่อง ให้ได้ชมกันด้วย

ส่วนรถยนต์รุ่นที่ทำตลาดกันปกติทั่วไป BMW เปิดตัว BMW 4-Series Convertible ตัวถังเปิด
ประทุนบนพื้นฐานของ BMW 4-Series ซึ่งถูกออกแบบรูปลักษณ์เมื่อเปิด-ปิดประทุนได้ลงตัว
ไม่แพ้โฉมที่แล้ว โดยรุ่นที่นำมาเปิดตัวในญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในโลกนั้นเป็นรุ่น 428i Convertible
จอดขนาบค้างและเคียงคู่กับ 4-Series Coupe ใหม่ล่าสุด ทั้ง 2 รุ่น ดัดแปลงขึ้นบนพื้นฐานของ
BMW 3-Series F30 รุ่นปัจจุบันนั่นเอง

นอกจากนี้ยังมี BMW X1 xDrive20d เปิดตลาด SUV รุ่นเล็ก พร้อมขุมพลัง Diesel Turbo
ในญี่ปุ่น ตามติดผู้ผลิตอย่าง Mitsubishi Nissan Mazda เรียบร้อยแล้ว

แถมให้เล็กน้อยสำหรับ BMW 3-Series GT ที่ผมเพิ่งมีโอกาสสัมผัสรถคันจริงเป็นครั้งแรก
ที่ญี่ปุ่น (ทั้งที่เปิดตัวในเมืองไทย ณ งาน BMW xPo 2013 ตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมาแล้ว

พื้นที่นั่งด้านหลัง สบายใช้การได้ เบาะนั่งแข็ง แบบเดียวกับ BMW คันอื่นๆ แต่ พื้นที่วางขา
โล่งสบายใช้ได้เลย ขณะที่ พื้นที่เหนือศีรษะ ค่อนข้างน้อย แถมยังออกแบบให้เพดานหลังคา
มีส่วนรองรับศีรษะผู้โดยสารด้านหลัง เป็นแป้นยื่นลงมานิดนึงอีกด้วย

ฝั่ง MINI เรียกความสนใจจากสื่อมวลชนทั่วโลกได้เป็นอย่างดี เพราะมีการเปิดตัว All New MINI
Hatchback โฉมใหม่ล่าสุด  เจเนอเรชันที่ 3 (นับตั้งแต่ MINI เข้ามาอยู่ในร่มชายคาของ BMW)
เป็นครั้งแรกในโลก ณ งานนี้ พร้อมกัน 2 รุ่นรวด ทั้ง MINI Cooper และ MINI Cooper S

ถึงจะมาพร้อมกับสโลแกน The New Original แต่ต้องยอมรับกันอยู่ดีว่า MINI โฉมใหม่นี้ ไป
ไกลจากอุดมคติของ MINI รุ่นแรกมากแล้ว เพราะขนาดตัวถังใหญ่โตขึ้นจากรุ่นปัจจุบันนิดนึง
ตัวรถดูพองมากขึ้นกว่าเดิมชัดเจน

รูปลักษณ์ด้านหน้าโดดเด่นด้วยโคมไฟหน้าพร้อมหลอดไฟ DRL แบบ LED ทรง(เกือบ)วงแหวน
และกระจังหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมูขนาดใหญ่ โดยรวมแล้วงานออกแบบรุ่นนี้ บางคนชอบ แต่
หลายคน บอกว่า ไม่สวย

อย่างไรก็ตาม เนื้อที่ภายในห้องโดยสารกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นมากอย่างที่คาดไว้ อีกทั้งคราวนี้ BMW
ย้ายชุดมาตรวัดมาไว้เหนือคอพวงมาลัย และสงวนพื้นที่วงกลมบริเวณคอนโซลหน้าไว้สำหรับชุด
เครื่องเสียง และระบบ Infotainment ซึ่งเปลี่ยนมาใช้ปุ่มควบคุมพร้อม Touchpad ด้านบนเหมือน
ระบบ iDrive ของ BMW แล้วเรียบร้อย มีลูกเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยขอบวงกลมบริเวณหน้าจอ
สามารถเปลี่ยนสีได้ เบาะนั่งภายในของรุ่นใหม่ แข็ง และนั่งไม่สบายเอาเสียเลย อาจจะแย่กว่า
รุ่นเก่าเสียด้วยซ้ำ!

เครื่องยนต์ของ MINI ใหม่ ในรุ่น Cooper นั้น เป็นแบบเบนซิน 3 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร บล็อกใหม่
พ่วง Turbocharger 136 แรงม้า (HP) ที่ 4,500-6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 220 นิวตันเมตร
ที่ 1,250 รอบ/นาที

ส่วนรุ่น Cooper S เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ที่ใหญ่ขึ้น เป็นขุมพลังเบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร
พ่วงเทอร์โบ 192 แรงม้า (HP) ที่ 4,700 – 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร
ที่ 1,250 รอบ/นาที ทั้ง 2 ขุมพลัง จะจับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ

เวอร์ชันไทย รอเจอกันได้ในช่วงต้นปี 2015 ที่จะถึงนี้ ผ่านการนำเข้าของ BMW Thailand

ปล. อย่าแปลกใจว่า ทำไมตำแหน่งของรถในภาพ ถึงได้ไม่เหมือนกัน เพราะมีการสลับตำแหน่ง
ของ MINI ทั้ง 2 คัน ในรอบ สื่อมวลชนของงาน ทั้ง 2 วัน

——————————-

CITROEN

บูธ Citroen ในปีนี้ เงียบเหงากว่าปีก่อนๆ มีรถยนต์รุ่นใหม่เพียง 3 คัน ที่เข้ามา
อวดโฉมในงาน ไม่ว่าจะเป็น Citroen DS3 Cabrio เวอร์ชันเปิดหลังคาผ้าใบ
ของตระกูล DS3 ที่ถือว่า ขายดีสุด และสร้างรายได้ให้ Citroen มากสุดในยามนี้

รวมทั้ง Cotroen C3 Minorchange ที่จอดอยู่เงียบๆ ทางด้านหลังของบูธ ถือว่า
เป็นการปรับโฉมครั้งใหม่ จนดูดีขึ้น ลงตัวขึ้นกว่ารถรุ่นก่อนหน้านี้

ส่วนรถยนต์รุ่นใหม่ที่ถือว่าเป็นการเปิดตัวครั้งแรกในญี่ปุ่น ได้แก่ Citroen
Grand C4 Picasso รถยนต์มินิแวนขนาดใหญ่ทรงแปลก ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่องาน
Frankfurt Motor Show ไปหมาดๆ ความพิเศษของ Grand C4 Picasso อยู่ที่การ
ออกแบบกระจกบานหน้าใหญ่พิเศษ จนเป็นรถยนต์รุ่นแรกของโลกที่มีกระจก
บานหน้าในสไตล์ Panoramic ขนาดใหญ่อย่างแท้จริง ทำให้ภายในห้องโดยสาร
ตัวรถให้ความโปร่งสบายเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ เบาะนั่งคู่หน้ายังมาพร้อมกับ
ระบบนวดให้ความรู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริง

เวอร์ชันที่ทำตลาดในญี่ปุ่นนั้น จะมาพร้อมกับขุมพลังเบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
1.6 ลิตร พ่วงเทอร์โบ 156 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน-เมตร ที่
1,400-3,500 รอบ/นาที เชื่อมต่อกำลังเข้ากับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ เพียงแบบเดียว

———————————————-

DAIHATSU

ไม่ว่างานนี้จะจัดขึ้นกี่ครั้งกี่ปีผ่านไป ตำแหน่งของบูธนี้ยังคงอยู่ใกล้กับบริษัทแม่คือ Toyota
ตามเคยอยู่ดี ปีนี้ก็เช่นกัน เพียงแต่คราวนี้ การออกแบบบูธ มาในแบบ 2 ชั้น เพื่อให้ผู้เข้าชม
ได้ขึ้นไปมองบรียากาศของบูธ และรถยนต์ต้นแบบ ทั้ง 3 คัน ในมุมสูง จะได้เห็นทุกอย่าง
ครบตามแนวคิดในการจัดแสดงครั้งนี้ว่า PLAY Tomorrow  หรือ เล่นกับพรุ่งนี้ให้สนุก
กันไปเลย

รถยนต์ต้นแบบรุ่นแรก ที่ทำให้รู้สึกว่าอยากจะสนุกแล้วนะ นั่นคือ Daihatsu Kopen
Future Included RMX และ Daihatsu Kopen Future Included XMS  รถ Sport
Roadster คันจิ๋ว ที่ Daihatsu เล็งว่าจะนำกลับมาสร้างใหม่นานแล้ว เพื่อสืบทอดตำนาน
ของ Daihatsu Copen รุ่นเดิม

แต่คราวนี้ Kopen ถูกออกแบบให้พลิกโฉมหน้ากลายเป็นรถสปอร์ตคันจิ๋วที่เอาใจนักขับ
อย่างเต็มที่ พร้อมเส้นสายภายนอกที่ดูโฉบเฉี่ยว และใกล้เคียงกับการผลิตขายจริงมากๆ
ถึงแม้เส้นสายจะคล้ายคลึงกับรถ Sport เปิดประทุน ต้นแบบรุ่นก่อนๆ ของ พวกเขาก็ตาม

Daihatsu Kopen Future Included RMX จะมาแนวโรดสเตอร์จิ๋วท้าชนกับ Honda S660
Concept โดยตรง มีหน้าตาที่คมสัน ดูเผิน ๆ บ้างก็คล้าย Subaru BRZ แอบมาขัดเกลาบ้าง
ภายในห้องโดยสารก็แปลกตากับช่องแอร์กลางช่องเดียว ส่วน Daihatsu Kopen Future
Included XMS  จะมาในลุคครอสโอเวอร์หน่อย (แต่ลุยไม่ได้)

แต่สิ่งที่ทำให้หลายๆคน ชื่นชอบมากที่สุดคือ คุณสามารถถอดสลับเปลี่ยนชิ้นส่วนตัวถัง
ภายนอกที่ทำจากเรซินของเจ้า Daihatsu Kopen Future Included XMS ได้ตามสีที่
ต้องการ เหมือน รถ Smart ในปี 1999 และ รถยนต์ต้นแบบ Mazda MX-04 ในปี
1987

ความเป็นไปได้ในการผลิตจริงมีสูงมากเพราะงานออกแบบทั้งคู่ ดูราวกับว่าพร้อม
จะจำหน่ายจริงอีกไม่นานนัก

Daihatsu Deca Deca Concept

ถึงพวกเราจะรู้ว่าผู้ผลิตรถยนต์ K-Car ไม่เกิน 660 ซีซี ทุกยี่ห้อในญี่ปุ่น มักจะเล่นมุขสร้าง
เปลือกตัวถังใหม่ครอบทับกับพื้นตัวถังเดิมและเครื่องเดิมก็ตาม แต่ความน่าสนใจคงจะ
อยู่ที่ผู้ผลิตจะสรรหามุขในการนำเสนอรถยนต์รูปแบบใหม่ได้อย่างไร?

Daihatsu Deca Deca Concept ก็เป็นหนึ่งในความคิดสร้างสรรค์ที่อยากจะขยายตลาด
K-Car (ที่ตอนนี้แทบจะผลิตรถทุกประเภทตัวถังกันแล้ว) ให้แตกต่างออกไปเรื่อย ๆ  โดย
พวกเขาเรียกกันว่า Super Space มาในทรงกล่องเหลี่ยมมุมเป็นพร้อมบานประตูตู้กับข้าว
ขนาดยักษ์ ดูเผิน ๆ นึกถึง Daihatsu Naked บ้าง จุดเด่นของตัวรถคือมันสูงมากถึง 1,850
มิลลิเมตร พร้อมกับยกระดับความสูงของเบาะให้ใกล้เคียงกับ SUV อีกด้วย ภายในเน้น
เนื้อที่ห้องโดยสารสำหรับการใช้ชีวิต Outdoor

ดูรวม ๆ เหมือนกับว่า Daihatsu อยากจะจับตลาดรถที่พร้อมจะใช้ชีวิตนอกสถานที่ แต่
ยังไม่อยากได้รถยกพื้นสูงเหมือนครอสโอเวอร์ซะเท่าไรนัก ภายในห้องโดยสารก็จะ
มีอุปกรณ์สารพัดรองรับการใช้งานนอกสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นตะขอตามจุดต่าง ๆ หรือ
จุดยึดสิ่งของ เป็นต้น

โอกาสที่จะปั๊มผลิตเป็นคันจริงก็ยังมีความเป็นไปได้สูง เพราะดีไซน์ทั้งคันดูไม่คล้าย
รถยนต์ต้นแบบ หลุดโลกเสียเท่าไรนัก หากคิดจะทำคงต้องรีบหน่อยล่ะ

Daihatsu Deco Desk รถบรรทุกจิ๋วหน้าตาแปลกที่ไม่ได้แสดงศักยภาพในการบรรทุกหนัก
อะไรเลย แต่กลับเป็นรถต้นแบบที่แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาระบบ Fuel Cell ต้นทุนการผลิตต่ำ
และใช้เนื้อที่ติดตั้ง Fuel Cell Stack ไว้ใต้พื้นรถทำให้กินเนื้อที่ประโยชน์ใช้สอยน้อย เหมาะ
สำหรับรถขนาดเคคาร์ตัวน้อย 660 ซีซีขนานแท้

นอกจากนี้ Daihatsu ก็ยังจัดแสดงอุปกรณ์พลังงานที่สร้างขึ้นด้วยแนวคิด Fuel Cell ต้นทุนต่ำ  
ได้แก่ FC. Dock 05c ตู้เก็บพลังงานขนาดเล็กและ FC.Deck 20c ที่สามารถจ่ายพลังงานไฟฟ้า
เข้าสู่เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือนได้

นี่คงจะเป็นแผนต่อไปของ Daihatsu ล่ะสินะ!!

ส่วนรถยนต์รุ่นใหม่ ที่เพิ่งออกสู่ตลาดนั้น ก็มีมาจัดแสดงในงานนี้ให้ทุกคนได้สัมผัสกัน เริ่มด้วย
Daihatsu Tanto โฉมใหม่ เปิดตัวได้ไม่นานนักก็นำมาอวดโฉมในงานนี้เช่นเดียวกัน ถือว่า 
มาถูกจังหวะ เพราะเริ่มมาในช่วงที่คู่แข่งเริ่มตีตื้นเข้ามาได้ อาวุธร้ายสำคัญของ Tanto ใหม่คือ
การเพิ่มความปลอดโปร่งในห้องโดยสารตอนหน้าด้วยการเลื่อนขอบกระจกบังลมร่นไปด้านหน้า
เพิ่มขึ้น งานออกแบบภายใน และการจัดวางอุปกรณ์ที่ดูทันสมัยขั้นและยังเลือกใช้การกัดลาย
วัสดุที่ดูดี

จุดขายสำคัญที่ยังคงมีคือ ไม่มีเสาหลังคาคู่กลาง B-Pillar ในฝั่งซ้าย (ตรงข้ามกับพวงมาลัยขวา)
และยังขยายความกว้างบานประตูหลังเพิ่มขึ้นทำให้การก้าวเข้าออกทำได้สะดวก นอกจากนี้ยัง
สาธิตวิธีการเข็นรถผู้ป่วย/ผู้พิการนั่งบนรถเข็นเข้าไปใน Tanto อีกด้วย เราก็ได้มองและพลาง
คิดในใจว่า ญี่ปุ่นเขาก็ใส่ใจกับคนทุกระดับและทุกคนจริง ๆ

Daihatsu Move เคคาร์แฮทช์แบคทรงหลังคาสูงขวัญใจสาว ๆ ก็เป็นรถที่นั่งสบายทั้งหน้าและ
หลัง มีที่เก็บของกว้างเกินพิกัด คันต่อมา Daihatsu Move Conte เน้นดีไซน์ทรงเหลี่ยมและ
ดีไซน์ที่ง่าย ๆ ไม่ล้ำสมัยเลยสักนิด ตำแหน่งเบาะนั่งไม่ต่างจาก Move เท่าไรนัก ใช้วัสดุที่มี
พื้นผิวถูกกัดลายค่อนข้างดี

Daihatsu Mira CoCoa แฮทช์แบคทรงมาตรฐานที่ออกแบบมาแนว Retro ดูรอบคันแล้วเอาใจ
หญิงสาววัยรุ่นมากกว่าคนหนุ่ม ไม่เชื่อลองหาหนังโฆษณาดูใน Youtube ได้เลย

Daihatsu Mira E:s หากใครคิดถึง Mira ในไทยเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ถ้าได้ลองนั่งคันนี้ก็น่าจะ
ให้อารมณ์ไม่แตกต่างกันมากนัก เพราะมันเป็นรถที่ราคาถูกที่สุดและประหยัดน้ำมันที่สุดของ
Daihatsu ดังนั้น ความหรูหราหรือน่ารักไม่มีให้เห็นในคันนี้แน่ ๆ เสียงปิดประตูทุกบานค่อน
ข้างกลวง ชิ้นงานวัสดุกัดลายด้อยที่สุดในบรรดาเคคาร์ทั้งหลาย แต่ถึงกระนั้นก็อย่าได้ดูถูก
เพราะออพชั่นมีให้เกินหน้าเกินตารถ

———————————————-

HINO

ผู้ผลิตรถบรรทุกและรถบัส เพื่อการพาณิชย์ ในเครือของ Toyota เปิดพื้นที่กว้างให้
ผู้คนได้ขึ้นไปยลโฉม HINO Poncho Mini รถบัสขนาดเล็ก ในแบบ Community
Bus ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า EV (Electric Vehicle) ผ่านทางแบ็ตเตอรีแบบ
Lithium-ion วางอยู่บนพื้นเฟรมแชสซีแบบ Ultra Low Floor ซึ่งสร้างขึ้นบน
โครงสร้างของรถบรรทุกขนาดเล็ก เจเนเรชันต่อไป ที่ HINO นำมาจัดแสดง
ควบคู่กันไปด้วย คาดว่า รถบรรทุกคันขาวเผือกนั่น จะเป็นต้นแบบให้กับ
Hino Dutro / Toyota Dyna โฉมต่อไป อย่างแน่นอน

ไม่เพียงเท่านั้น Hino ยังนำรถบรรทุก 500 Series ที่ผ่านการแข่งขันรายการแรลลี
สุดหฤโหด Dakar Rally มาให้ได้ขึ้นไปลองนั่งกัน เช่นเดียวกับเทคโนโลยีของ
ระบบ Pre Crush Safety มีกล่องเรดาห์คอยอ่าน และวิเคราะห์ลักษณะสายตา
ของผู้ขับขี่ ว่ามีการเคลื่อนไหวช้าลงหรือไม่ มีอาการง่วงนอนหรือไม่ เพื่อเตือน
ไม่ให้คนขับหลับใน และจอดแวะพักตาม Service Area บนทางด่วนในญี่ปุ่น
ได้ทันท่วงที

———————————

HONDA

บูธ Honda ในปีนี้ตกแต่งด้วยบรรยากาศเรียบง่ายเอามาก ๆ เรียกว่ามีแต่พื้นสีขาว ๆ และสีขาว
ถือว่าเป็นการลดโทนความฉูดฉาดจนน่าผิดสังเกต พอหันไปมุมซ้ายสุดของบูธจะพบภาพสกรีนตัว
น๊อตตัวเล็กตัวน้อยพร้อมโปรยประวัติร่ายยาวพอสมควร สรุปใจความว่าเป็นภาพสะท้อนถึงแนวคิด
ของบูธ (และแคมเปญโปรโมตแบรนด์ Corporate Brande ล่าสุด) ในปีนี้ “Live Outside
The Box” สื่อถึงการคิดค้นสิ่งใหม่ด้วยความสร้างสรรค์ที่สุดแม้จะเป็นสิ่งเล็ก ๆ อันเป็นปรัชญา
ของคน Honda ทุกแผนก สินค้าของพวกทั้งหมดจะต้องมีพื้นรากของปรัชญาความคิดนอกกรอบ
เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ จักรยายนต์ เครื่องตัดหญ้า เครื่องยนต์เรือ หรือเครื่องบิน เป็นต้น
ปีนี้ Honda มีรถยนต์รุ่นใหม่และรถยนต์ต้นแบบมาให้เราได้ยลโฉมกันมากมายหลายรุ่น

เริ่มกันที่ Honda NSX Concept เวอร์ชันใหม่ ที่มาพร้อมกับประกาศเปลี่ยนแปลงขุมพลังใหม่
จากแผนเดิม คราวนี้ จะวางเครื่องยนต์ V6 DOHC ฉีดเชื้อเพลิงตรง Twin Turbo จับคู่กับ
มอเตอร์ไฟฟ้า 3 ลูก  สองลูกแรกจะส่งกำลังอิสระล้อหน้าซ้ายและขวา ส่วนลูกสุดท้ายจะ
ผสานกำลังกับเครื่องยนต์เบนซิน  กำหนดออกสู่สายตาชาวโลก เป็นแห่งแรกที่สหรัฐอเมริกา
ในช่วงต้นปี 2015 เป็นต้นไปซึ่งในตอนนั้นก็เป็น จังหวะที่ Nissan GT-R Hybrid ส่งออกมา
ฟัดกันพอดี (แบบเหมาะเจาะจนเกินไป)

ถ้าใครอยากเห็นคันจริง ไปดูได้ที่งาน Motor Expo วันนี้ ถึง 10 ธันวาคม 2013 เพราะทาง
Honda Automobile Thailand สั่งรถต้นแบบรุ่นเดียวกัน อีกคันหนึ่ง เข้ามาอวดโฉมให้
ชาวไทยได้เก็บไปนอนฝันกลางวันกันเล่นๆแล้ว

คันถัดมาเป็น Honda S660 Concept ที่ Honda ประกาศกลางงานนี้แล้วว่า เวอร์ชันจำหน่ายจริง
จะพร้อมทำตลาดญี่ปุ่นแน่นอน ในปี 2015 เพื่อทำตลาดในกลุ่มรถ Sport K-Car ที่จะต้องชนกับ
Daihatsu Kopen รุ่นใหม่ในงานเดียวกันอีก ตัวรถยังคงรักษาเส้นสายต่อเนื่องจากรถต้นแบบ
คันเดียวกัน จาก Tokyo Motor Show 2011 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากรถเปิดประทุนคันจิ๋ว
อย่าง Honda Beat อีกครั้งหนึ่ง จุดเด่นอยู่ที่ภายในแบบ Super Cockpit เน้นการออกแบบ
โครงสร้างที่เบาโปร่งและเน้นเอาใจผู้ขับเป็นหลัก จอดเคียงคู่กันกับ Honda S360 รถยนต์
สปอร์ตเปิดประทุน คันจิ๋วที่ Honda ผลิตออกสู่สายตาชาวโลก เมื่อปี 1962

อีกไฮไลต์สำคัญที่สุดของงานนี้หนีไม่พ้น Honda Vezel เล่นเอาบรรดาสื่อมวลชนทั่วโลกเงิบกับ
ข่าวลือเรื่องชื่อก่อนหน้านั้นที่มีการปล่อยในชื่อ CR-U ไม่ว่าจะใช้ชื่อใดคงไม่สำคัญเท่ากับตัวรถ
เพราะเพียงแค่ HOMY DEMIO เผยภาพเจ้า Vezel เป็นครั้งแรกก่อนใครในเมืองไทย ผ่าน
Fan Page Headlightmag.com ของเราไม่ทันไร ก็มีเสียงตอบรับไปในทางบวกในฉับพลันไม่น้อย
และยิ่งเมื่อได้รู้ว่า Honda Vezel จะได้มีสิทธิ์ประกอบเมืองไทยก็ยิ่งเริ่มมีกระแสพูดถึงมากขึ้น
จนต้องเข้าไปทำความรู้จักกับรถคันนี้สักหน่อย

Honda Vezel เป็นครอสโอเวอร์เอสยูวีที่ผสมผสานคุณลักษณะของความเป็นรถเอสยูวีที่ถูกสร้าง
ขึ้นบนพื้นฐาน Honda Jazz และ City ตัวต่อไป เบาะที่นั่งสูง ใต้พื้นรถสูงและความเป็นคูเป้บั้น
ท้ายลาด บางคนพอได้ฟังว่ามีส่วนผสมความเป็นคูเป้ด้วยก็อาจจะร้องหากันเลยทีเดียว่า ด้าน
หลังมันจะนั่งสบายได้จริงตามที่ Honda เคลมไว้จริงหรือไม่? สิบปากว่าไม่เท่าหนึ่งลองคลำ

รูปลักษณ์ตัวรถก็แทบจะใกล้เคียงกับรถต้นแบบ Honda Urban SUV Concept ที่เคยอวดโฉม
ไปในงาน Detroit Autoshow ต้นปีนี้ (ราวกับว่ารถต้นแบบที่เห็นคือคันโปรโตไทป์ที่ใกล้เคียง
กับคันจริงมากที่สุดนั่นเอง)  ด้านหน้าก็จะมาแนว Exciting H Design!!! (ทำความเครื่องตกใจ
 3 ทีเท่านั้น เกินจากนี้ถือเป็นของเทียม) ที่มาพร้อมกับช่องดักลมขนาดค่อนข้างใหญ่พอสมควร

สิ่งที่น่าสงสัยมากที่สุดคือการวางตำแหน่งการตลาด ในเบื้องต้นใคร ๆ ก็รู้ว่ามันต้องเป็นรุ่นน้อง
CR-V แต่สำหรับการต่อกรกับคู่แข่งเองนั้น Honda ก็ไม่ได้สรุปอย่างตรง ๆ ว่าจะจัดอยู่ในกลุ่ม
รถ Crossover ระดับใด เพราะขนาดตัวถังดูเหมือนน่าจะเท่ากับ Mitsubishi RVR ซึ่งอยู่ใน
พิกัด C-Crossover มากกว่า

สัดส่วนตัวถังได้แรงบันดาลใจจากรุ่นพี่ Honda CR-V, Accord Crosstour มาบด ๆ ผสมๆกัน
คลุกเคล้าออกมากลายเป็นคันนี้ ในเมื่อท้ายลาดเทเสียขนาดนี้หลายคนคงจะกังวลว่านั่งสบาย
หรือเปล่า?

เมื่อทดลองเข้าไปนั่งในตำแหน่งผู้ขับขี่ก็พอจะสังเกตได้ว่า มันให้อารมณ์เหมือนเรานั่งรถเก๋ง
แบบยกสูงประเภท Subaru XV มากกว่าที่จะเป็นรถที่ออกแบบมาสำหรับเป็น SUV โดยตรง

ดีไซน์และคุณภาพวัสดุภายในห้องโดยสารคือจุดขายสำคัญหลักที่อาจทำให้คู่แข่งในย่านราคา
เดียวกันกระอักเลือดได้บ้าง แผงคอนโซลดูแปลกตาด้วยช่องแอร์ฝั่งคนนั่ง 3 ช่องที่ดูแปลกตา
 เพิ่มความทันสมัยด้วยหน้าจอสัมผัสแบบ Built-in ที่ดูเรียบเนียนไปกับแผงพร้อมกับเรือนปุ่ม
กดแอร์อัตโนมัติแบบสัมผัสด้วยความร้อน ที่น่าจะเป็นเทรนด์ใหม่ของปุ่มกดยุคต่อไป แผงเรือน
เกียร์ไว้ในตำแหน่งสูงเหมือนกับพวกรถพรีเมี่ยม

งานนี้ Honda ลงทุนเพิ่มวัสดุบุนิ่มแผงข้างประตูครึ่งบานและบุวัสดุนิ่มบริเวณมือจับประตู
ทุกบาน สวนทางกับค่ายรถบางค่ายที่มักจะบุวัสดุนิ่มที่ประตูคู่หน้าเท่านั้น

เบาะหลังของ Vezel จัดวางเนื้อที่วางขาและเนื้อที่เหนือศีรษะได้ดีเกินคาด ความสูงระหว่าง
เนื้อที่เหนือศีรษะและเพดานจะมีประมาณ 1 กำปั้นโดยประมาณ อาจะเป็นเพราะว่า Honda
ออกแบบแนวเส้นหลังคาให้มีความโค้งแบบครึ่งวงรีด้วยส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ห้อง
เก็บสัมภาระเหลือเฟือ

Honda Vezel เวอร์ชันญี่ปุ่นจะ 2 ขุมพลังให้เลือก ได้แก่ Sport Hybrid i-DCD และ
เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว 1.5 ลิตร Direct Injection

กำหนดการเปิดตัวในญี่ปุ่นนั้น จะมีขึ้นในวันที่ 20 ธันวาคม 2013 นี้ แต่ในตลาดเมืองไทย
อาจต้องรอกันจนกระทั่งโรงงานแห่งใหม่ ที่ปราจีนบุรี เสร็จสมบูรณ์ ช่วงปลายปี 2014

Honda N-WGN

Honda ตั้งใจเปิดตัวครั้งแรกในงานนี้กันเลยกับเคคาร์ทรงแฮทช์แบคหลังคาสูงเพื่อมาแทนที่
Honda Life โดยเฉพาะ ดีไซน์ตัวรถจะเน้นทรงกล่องเหลี่ยมกันแทบจะทุกมุม แทบจะหาเส้นโค้ง
เว้ากันไม่เจอ แม้กระทั่งมุมสอบของเสาเมื่อมองจากด้านหน้าก็จะเป็นเส้นตรง l__l แบบนี้ เมื่อรู้
ตัวว่าจะต้องออกแบบรถให้เน้นแนวเหลี่ยมสุด ๆ เพื่อให้มีเนื้อที่ใช้สอยมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
จึงทำให้ต้องออกแบบรายละเอียดตัวรถที่ดูซับซ้อนและทันสมัยเพื่อชดเชยกับสัดส่วนตัวถังที่ดูเชย

จุดเด่นของรถคันนี้คือความโปร่งโล่งสบายในที่นั่งตอนหน้า ส่วนหนึ่งเกิดจากแผงคอนโซลฝั่ง
ผู้โดยสารหลบมุมเว้า ตำแหน่งการนั่งและตัวเบาะรองรับร่างกายได้สบายกว่าที่คิด แผงประตู
ข้างหนาค่อนข้างมากแต่ก็มีแอบหลบมุมเว้าให้วางข้อศอกได้

พื้นที่ห้องโดยสารตอนหลังมีเนื้อที่วางขาชนิดเตะฟุตบอลกันได้เลย แต่ก็แอบสังเกตว่าพนักพิง
เบาะก็แทบจะชิดสุดมุมเสาไม่น้อยจนแอบคิดว่าเนื้อที่ห้องสัมภาระคงต้องน้อยตามแต่เมื่อเปิด
ฝาท้ายกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น มันกว้างกว่าที่คิดเยอะ

รายละเอียดเครื่องยนต์กลไก เหมือนกันกับ N One และ N Box ที่ออกขายก่อนหน้านี้
และพร้อมขึ้นโชว์รูมเฉพาะในญี่ปุ่นในทันที ที่อวดโฉมเปิดผ้าคลุมในงานนี้เสร็จแล้ว

รถยนต์อีกรุ่นที่คนไทยจับตามองอยู่ นั่นคือ Honda Fit/Jazz เจเนเรชั่นที่ 3 ที่พกพาความ
ทะมัดทะแมง, ความแข็งแกร่งพร้อมทั้งยกมาตรฐานใหม่ ๆ ให้กับวงการ B-Segment
Hatchback ในหลายด้าน

ภาพที่เห็นก็จะเป็นรุ่น RS ตัวแรงติดตั้งเครื่องยนต์รหัส L15B ขนาด 1.5 ลิตร DOHC
16 วาล์ว ฉีดเชื้อเพลิงตรง Direct Injection ให้กำลัง 132 แรงม้า (PS) ที่ 6,600 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 15.8 กิโลกรัมเมตรที่ 4,600 รอบ/นาที ประหยัดน้ำมันถึง 21.8 กิโลเมตร/ลิตร
จากการทดสอบตามมาตรฐาน JC08 ของรัฐบาลญี่ปุ่น
 
ตัวรถมีความยาว 3,955 มิลลิเมตร (รุ่นเดิมยาว 3,900 มิลลิเมตร) กว้าง 1,695 มิลลิเมตร สูง
1,525-1,550 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,530 มิลลิเมตร ยาวกว่าเดิม 30 มิลลิเมตร ความ
สูงจากพื้นถนนถึงตัวรถเหลือแค่เพียง 135-145 มิลลิเมตร (รุ่นเดิม 145-150 มิลลิเมตร)

มิติภายในห้องโดยสารใหญ่โตขึ้นทุก ยาว 1,935 มิลลิเมตร กว้าง 1,450 มิลลิเมตร สูง
1,260 มิลลิเมตร (รุ่นเดิมยาว 1,825 มิลลิเมตร กว้าง 1,415 มิลลิเมตร สูง 1,265-1,290
มิลลิเมตร)

เมื่อลองนั่งดูก็พบว่าเบาะนั่งหน้ามีตำแหน่งที่ต่ำกว่ารุ่นเดิมอย่างที่วิศวกรท่านหนึ่งเคย
พูดเอาไว้ อุปกรณ์รอบคันเหมือนจะถูกโอบล้อมเข้าหาผู้ขับขี่มากขึ้น (แต่คงไม่โอบล้อม
ประชิดตัวคนขับเหมือนรถยุโรปมากมายขนาดนั้น) เมื่อมองด้วยตาเปล่าก็จะพบว่านำ
เทคนิคการออกแบบจากรถพรีเมี่ยมมาบรรจุไว้ นั่นก็คือ ลายตะเข็บสังเคราะห์ขึ้นรูป
นั่นเอง และปริศนาธรรมของพวกเราก็เฉลยออกมาแล้วว่า Honda ใช้เทคนิคพิมพ์ขึ้น
ลายตะเข็บให้มีลวดลายเล็กมากที่สุด อีกทั้งได้บุวัสดุค่อนข้างนุ่มในแผงคอนโซลฝั่ง
ปู้โดยสารเพื่อสร้างความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง

เบาะนั่งด้านหลังก็มีตำแหน่งการนั่งและมีบรรยากาศที่ใกล้เคียงกับรุ่นเดิม แม้กระทั่ง
ความยาวของเบาะนั่ง ก็เพิ่มขึ้น เพื่อให้นั่งทางไกลได้สบายขึ้น แต่ยังคงรักษาความ
เป็นเอกลักษณ์ของเบาะนั่งหลังแบบ Ultra Seat พับเก็บได้อย่างง่ายดาย

อย่างไรก็ตามคนนั่งชิดซ้ายและขวาอาจจะโดนบีบจากเสา C บ้างเล็กน้อย กำหนดการ
เปิดตัวเจอกันในเดือนมีนาคม 2013 เปิดตัวตามติด Honda City โฉมใหม่เพียงแค่
2 เดือนเท่านั้น งานนี้เป็นการวัดใจ Fit/Jazz โฉมนี้ที่ขายในไทยพอสมควร เพราะไป
เปิดตัวทีหลัง Honda City ที่คนไทยเริ่มได้รับการยอมรับมากกว่าค่อนข้างมากแล้ว

ความเห็นส่วนตัวสั้นๆจาก คุณ J!MMY คือ  :
“รถรุ่นใหม่ แก้ปัญหาเดิมได้หลายจุดมากๆ แต่มันต้องแลกมาด้วยบุคลิกตัวของตัวเอง
ของรถรุ่นก่อน ต้องถูกปรับลดทอน “เสน่ห์” ลงไปพอสมควรเลยทีเดียว”

ส่วนรถยนต์นั่งรุ่นใหม่ๆคันอื่นๆ ก็มีมาจัดแสดงกัน เฉพาะรุ่นที่เพิ่งเปิดตัวในปี 2013 มานี้
รวมทั้งรุ่นที่ขายดี ทั้ง Honda Accord Hybrid และล่าสุดกับ Odyssey ใหม่ล่าสุด
ที่เพิ่งเปิดตัวก่อนงานเริ่มได้ไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น ไปจนถึงรถยนต์สำหรับผู้ทุพลภาพ และ
บรรดาจักรยานยนต์รุ่นใหม่ มาจัดแสดงในงานนี้คับคั่ง

มีทั้ง ยานพาหนะส่วนบุคคล UNI-CUB B (beta) เจเนเรชั่นที่ 2 ต่อจาก UNI-CUB ดั้งเดิม
ที่เคยเปิดตัวในเดือนพฤษภาคม 2012 สามารถบังคับควบคุมได้ด้วยน้ำหนักร่างกาย โดยใช้
ระบบขับเคลื่อนอิสระรอบทิศด้วยเทคโนโลยี Honda Omni Traction Drive System ซึ่ง
เป็นผลที่ต่อยอดจากการพัฒนาหุ่นยนต์ ASIMO

UNI-CUB  β ได้ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเจเนเรชั่นที่แล้วด้วยน้ำหนักที่เบาขึ้น, เล็กลง
มีตำแหน่งที่นั่งเตี้ยลงเหมาะสำหรับผู้ใช้หลากหลายวัยและอายุ มีการออกแบบที่ให้ความ
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับผู้ใช้และอุปกรณ์ บุด้วยวัสดุที่อ่อนนุ่มกว่าเดิมเพื่อลดการเสียดสี
กับยานพาหนะ นอกจากนี้ยังออกแบบให้สามารถตั้งตรงได้เองแม้ไม่ได้ใช้งาน

ขณะที่ งานจัดแสดง ด้านรถไฟฟ้า Honda ก็ส่ง MC-β ยานพาหนะไฟฟ้าขนาดจิ๋ววิ่ง
ระยะทางสั้นสำหรับคนเมืองแบบใหม่ล่าสุด มาจัดแสดง และเปิดโอกาสให้ผู้คนได้
ทดลองขับกันด้วย

Honda MC-β เป็นโครงการที่การพัฒนาที่ขึ้นอยู่ภายใต้กรอบการสนับสนุนโดยกระทรวง
ที่ดิน,โครงสร้างพื้นฐาน, คมนาคมและการท่องเที่ยว รัฐบาลญี่ปุ่น จะมีแผนทดสอบภาค
สนามจริงภายในเดือนนี้ที่อำเภอ Kumamoto , Saitama และ Miyagojima เพื่อสำรวจ
รูปแบบการใช้งานและต้องการให้รถ Micro car เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่จะช่วย
สนับสนุนการวางผังเมืองและแก้ปัญหาการคมนาคมในแต่ละชุมชน

Honda MC-β ถูกพัฒนาเพื่อเน้นให้ผู้อยู่ในรถมีพื้นที่กว้างขวางเป็นหลัก เหมาะสำหรับ
ผู้โดยสารผู้ใหญ่ 2 คนได้แบบสบาย ๆ มีขนาดกะทัดรัดมากเพราะสั้นกว่ารถยนต์ K-Car
660 ซีซี ทั่วไป ถึง 90 เซ็นติเมตร มีรัศมีวงเลี้ยวแคบเพียง 3.3 เมตร โครงสร้างตัวถังเป็น
แบบ Pipeframe เทคโนโลยีเดียวกับรถจักรยานยนต์, ตัวถังภายนอกทำจากวัสดุพลาสติก
มีดีไซน์ทั้งคันที่เป็นมิตรกับผู้คน, ขุมพลังรองรับการชาร์จประจุ AC100V/AC200V
สามารถเข้าไปชาร์จในสถานีชาร์จไฟฟ้าทั่วไปได้

ในงานก็มีรถจักรยานยนต์ที่น่าสนใจมาอวดโฉม บนแท่นหมุนอันโดดเด่นก็จะเป็น
Scooter ขนาดกะทัดรัด Honda Dunk ที่มีชื่อรุ่นชวนให้นึกถึง Honda Life Dunk
ช่วงปี 2002

คันที่สร้างความฮือฮาพอสมควรคือ Honda Gold Wing F6C ติดตั้งเครื่องยนต์ 6 สูบ
1.8 ลิตร ให้กำลัง 116 แรงม้า ดีไซน์ก็จะเป็นสไตล์ลูกครึ่งอเมริกันล้ำสมัยพอสมควร

นอกจากนี้ยังได้จัดแสดงรถจักรยานยนต์คันอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นรถโปรโตไทป์ที่พร้อม
จะผลิต อาทิ CB1300 SUPER BOL D’OR, CB400 SUPER BOL D’OR,  CB400
SUPER FOUR และ  CBR250R ที่คิดว่าน่าจะถูกใจคนไทยไม่น้อย

เมื่อหันมองไปอีกฝั่งก็พบรถต้นแบบ Dunk Custom Concept, Cross Cub Custom
Concept โดยเฉพาะรายหลังนี้ คนไทยน่าจะคุ้นเคยเพราะมันคือนำ Honda Cub รุ่น
ปัจจุบัน (ที่คนไทยรู้จักในชื่อ Honda Dream) มาแต่งในสไตล์ตัวลุยดูแปลกตากว่าที่คิด

Honda ยังจัดรถจักรยานยนต์ที่มีชื่อเสียงด้านการแข่งขันจากทั่วโลกมาจัดแสดง อาทิ
RC142 รถจักรยานยนต์คันแรกที่เข้าร่วมการแข่งัน Isle of Man TT Race ในปี 1959,
RC213V ที่แข่งขันชนะในสนาม 2013 Road Racing World Championship
MotoGP Class, CRF450 RALLY จะเข้าร่วมแข่งในสนาม 2014 Dakar Rally-
Argentina, Bolivia, Chile และ CBR250R Sports base model ที่พร้อมลงแข่ง
ในสนามได้ทุกเมื่อ

——————————-

HYUNDAI

ในเมื่อ ชาวเกาหลีใต้ ถอนตัวจากการทำตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไปตั้งแต่ช่วง
ปี 2011 แล้ว ดังนั้น กิจการในญี่ปุ่นของ Hyundai Motor ยักษ์ผลิตรถยนต์อันดับ
1 จากแดนโสม เกาหลีใต้ จึงเหลือเพียงแค่ การทำตลาด รถบัส Hyundai Universe
เป็นหลักเพียงเท่านั้น พวกเขา ยังอุตส่าห์ มีสปิริต นำรถบัสคันตัวอย่างมาจัดแสดง
ให้ขึ้นไปลองนั่งเปรียบเทียบกับ บรรดาคู่แข่งที่ตั้งบูธอยู่ใกล้ๆกัน

——————————-

ISUZU

พื้นที่ขนาดใหญ่ของค่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ปีนี้ ยังคงตกแต่งคล้ายคลึงกับ
งาน Tokyo Motor Show 2011 อยู่พอสมควร นอกเหนือจากการนำรถบรรทุก
และรถบัส หลายรุ่น รวมทั้ง เครื่องยนต์ต้นแบบรุ่นใหม่ๆ มาจัดแสดงแล้ว

ยังมีการนำ Isuzu MU-X จากประเทศไทย ไปจัดแสดงไว้ ด้านหน้าของบูธ
อีกด้วย ไหนๆก็ไหนๆ เมื่อรถยนต์ ยังส่งไปจากเมืองไทย ฉะนั้น สาวสวย
ที่ยืนข้างรถ ก็เลยต้องเป็นคนไทย!!  คุณภัทริดา ที่ยืนอยู่นี้ บอกกับเราว่า
จะต้อนรับผู้เข้าชมบูธ Isuzu จนถึงวันสุดท้ายของงานเลยทีเดียว!

ไม่เพียงแค่นั้น Isuzu ยังนำเสนอ ตำนานรถย้อนยุคในอดีตของตน ต่อเนื่อง
จากงาน Tokyo Motor Show ปี 2011 โดยนำรถบรรทุก Wolseley ที่ได้รับการ
บูรณะขึ้นมาใหม่บนเฟรมแชสซีเดิม มาจัดแสดงอีกด้วย

รถบรรทุกคันนี้ ผลิตโดย Ishikawajima Shipbuilding and Engineering
Co.,Ltd. ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Isuzu Motor Limited.ในภายหลัง ถือเป็น
รถบรรทุกคันแรกในญี่ปุ่น พวกเขาใช้วิธี ซื้อชิ้นส่วนจาก บริษัท Wolseley
ในอังกฤษ มาประกอบขายที่ญี่ปุ่นจนเริ่มชำนาญ และตัดสินใจ ทำรถบรรทุก
ในแบรนด์ Isuzu ของตนเอง

รถคันนี้มีตัวถังยาว 5,410 มิลลิเมตร กว้าง 1,830 มิลลิเมตร สูง 2,250 มิลลิเมตร
น้ำหนักรวมทั้งคัน เฉพาะหัวเก๋ง และแชสซี 2,000 กิโลกรัม รองรับงานบรรทุก
ได้ 1,500 กิโลกรัม วางเครื่องยนต์ แบบ CP ขนาด 3,079 ซีซี จ่ายเชื้อเพลิงด้วย
คาร์บิวเรเตอร์ กำลังสูงสุด 26 แรงม้า (PS)

——————————-

JAGUAR

ค่ายเสือจากอังกฤษปีนี้ ยังคงรุกตลาดญี่ปุ่นด้วยการเน้นยานยนต์สมรรถนะสูง ทั้งการจัดเอา Jaguar XJR
 และ Jaguar XFR มาจัดแสดงเป็นหลัก (ซึ่งต้องขอชมการออกแบบเบาะคู่หน้าที่โอบกระชับเอาใจ
นักขับได้ดีทีเดียว)

แต่ไฮไลท์ที่ Jaguar เตรียมไว้ ซึ่งถือเป็นไม้เด็ดเลยก็ว่าได้ คือการเปิดตัว Jaguar F-Type Coupe
ครั้งแรกในโลกพร้อมกับ LA Autoshow 2013

Jaguar F-Type Coupe จะเป็นรถสปอร์ตตัวถังอลูมิเนียมทั้งคันที่ได้แรงบันดาลใจงาน
ออกแบบมาจากรถต้นแบบ Jaguar C-X16 concept และ F-TYPE Convertible ที่ซึ่งได้รับ
ตำแหน่ง World Car Design of the Year ประจำปี 2013 และพร้อมจะส่ง Jaguar F-Type
Coupe ทำตลาดอเมริกาเหนือภายในฤดูใบไม้ผลิตปี 2014

F-Type Coupe จะติดตั้งเครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร ซูเปอร์ชาร์จ 340 แรงม้า (PS) มีอัตราเร่ง 0-100
กม./ชม. ภายใน 5.1 วินาที ในรุ่น F-Type มาตรฐาน V6 3.0 ลิตร 380 แรงม้า (PS) อัตราเร่ง
0-100 กม./ชม. ภายใน 4.8 วินาที ในรุ่น F-Type S และเครื่องยนต์ V8 5.0 ลิตร 495 แรงม้า
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 4.0 วินาทีในรุ่น F-Type R

——————————-

LAND ROVER

ฟากค่ายรถยนต์ร่วมชายคา TATA Motors อย่าง Land Rover ใช้พื้นที่ติดกันกับ Jaguar ในการ
แสดงรถยนต์เช่นเคย ในปีนี้ นอกจากจะนำเอา Land Rover Discovery รุ่นปรับโฉม และ
Range Rover Evoque รถยนต์ตรวจการณ์แนวแฟชั่นมาจัดแสดงกันแล้ว

ยังนำเอา Range Rover Sport รุ่นล่าสุด ขุมพลัง HYBRID มาเปิดตัวเป็นแห่งแรกในญี่ปุ่น พร้อม
กั้นรั้วเตี้ยๆ นัยว่าเป็นรถสำหรับการจัดแสดงและยังไม่พร้อมให้มีการขึ้นไปนั่งบนรถยนต์นั่นเอง

——————————-

Mazda

ปีนี้ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ Tokyo Motor Show ตั้งแต่ ปี 1981 ที่ Mazda 
ไม่ส่งรถยนต์ต้นแบบล้ำอนาคต ที่สร้างขึ้นจาก Mock-up จำลอง มูลค่าหลายสิบล้านบาท
มาอวดโฉมกัน เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะ Mazda มองว่า ยังไม่ถึงเวลาที่พวกเขาจะ
เริ่มเผยโฉม รถยนต์ต้นแบบจาก โครงการ SkyActiv เวอร์ชันต่อไป

แต่ปีนี้ ชาว Hiroshima ตัดสินใจ เดินหน้าลุย เผยโฉมรถยนต์รุ่นใหม่ๆ บนพื้นฐานของ
เทคโนโลยี SKYACTIV กันอย่างต่อเนื่อง มีตั้งแต่  Mazda 6 / Atenza ทั้งรุ่นปกติ
Sedan 2.2 Diesel 6MT (คันเกียร์ กระชับดีมากๆ Shift Feeling ใช้ได้เลย) รวมทั้งรุ่น
Wagon 6AT แถมยังมีรุ่น Sedan ที่ติดตั้งอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย อีกมากมายใน
ฐานะรถยนต์ต้นแบบชื่อMazda Atenza ASV-5 (Advanced Safety Vehicle) มา
จัดแสดงอีกด้วย

นอกเหนือจากนั้น ยังมี Mazda 2 / Demio Special Edition ตกแต่งพิเศษ อีก 1 คัน
พร้อมออกสู่ตลาด เดือนธันวาคม 2013 นี้

ส่วนรถยนต์ ที่ขายกันอยู่แล้วในท้องตลาด มีมาจัดแสดง เต็มพื้นที่บูธ อาทิ  Mazda
Axela Sport (SKYACTIV-G เบนซิน 2.0 & 1.5 ลิตร) รวม 3 คัน ; Mazda Axela
Hybrid (SKYACTIV-HYBRID) รวม 2 คัน  Mazda Atenza Sedan and Wagon
รวม 2 คัน ; Mazda CX-5 อีก 2 คัน ; Mazda 5 / Premacy; Mazda Biante Granz
(special needs vehicle); Mazda Roadster (MX-5); and Mazda Flairwagon
Custom (OEM K-Car จาก Suzuki/Nissan) รวมทั้ง เครื่องยนต์ผ่าซีก ตระกูล
SKYACTIV และระบบ Infotainment ใหม่ๆ สำหรับตลาดญี่ปุ่นมาจัดแสดง
ในงานนี้ด้วย

แต่พระเอกของบูธ Mazda ปีนี้ นั่นคือ Mazda 3/Axela Modelchange หนึ่งในรถยนต์ที่ผู้อ่าน
ติดตามการรอคอยมากที่สุด และที่สำคัญมันเป็นรถ Mazda C-Segment ที่ใช้เวลารอคอยการ
เปิดตัวในบ้านเรา น้อยที่สุดในบรรดา Mazda ทุกรุ่นที่เคยทำตลาดในเมืองไทยเสียด้วย เพราะ
มีกำหนดจะเปิดตัวให้เห็นกันในเมืองไทยภายในเดือนมีนาคม 2014 ใครที่เป็นแฟน Mazda
คงจะสมหวังเสียที ใน Tokyo Motor Show ปีนี้ Mazda ขนกองทัพ Axela ใหม่ มาให้ทุกคน
ยลโฉมกันจุใจ แทบจะกินพื้นที่เกินกว่าครึ่งหนึ่งของบูธไปแล้ว

บนเวทีขนาดยักษ์ของ Mazda จึงมีแต่รถยนต์ที่หลายคนรอคอย Mazda 3 /Axela Sport
จอดเรียงกันอยู่ 3 คันรวด!แต่ถ้าพินิจดูดีๆจะพบว่า ทั้ง 3 รุ่น มีขุมพลังแตกต่างกัน

นอกจาก รุ่นเครื่องยนต์ SKYACTIV-G 2.0 ลิตร เบนซินแล้ว บนเวทีใหญ่ ยังมี 2 รุ่นย่อยใหม่
ล่าสุด Mazda 3 / Axela SKYACTIV-D 2.2 และ HEV-SKYACTIV ถือเป็นการเปิดตัว
2 รุ่นย่อยใหม่ล่าสุด จากเดิมที่มีแค่เครื่องยนต์ 1.5 และ 2.0 ลิตร อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกในตลาด
ญี่ปุ่น ที่ Mazda จะวางขุมพลัง Diesel Common-Rail Turbo และ Hybrid (เบนซิน + 
มอเตอร์ไฟฟ้า) ให้กับ ตระกูล 3 / Axela กำหนดเปิดตัว ในญี่ปุ่น เดือนมกราคม 2014 นี้

อีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งต้องจับตาให้ดีคือ Mazda 3 / Axela SKYACTIV-CNG Concept ถือเป็น
การเปิดตัวครั้งแรกในโลก (World premiere) อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่ Mazda นำพลังงาน
ทางเลือก แบบก๊าซธรรมชาติอัด CNG (Compressed Natural Gas) มาผสมผสานร่วมกัน
กับเทคโนโลยี SKYACTIV

เหตุทีบอกให้จับตาดูให้ดี เพราะมีแนวโน้มสูงมาก ที่ รถคันนี้ จะถูกส่งเข้ามาประกอบ
และขายที่เมืองไทย ในฐานะ Mazda ขุมพลัง CNG จากโรงงาน คันแรก อย่างแท้จริง!
เพียงแต่ ณ ตอนนี้ Mazda ยังไม่กล้ายืนยันว่า เป็นไปได้หรือไม่

แต่ถ้าอยากดูเวอร์ชันที่ใกล้เคียงกับบ้านเรา คงต้องมาดูรุ่นธรรมดา ทั้ง 1.5 และ 2.0 ลิตร

เมื่อดูเส้นสายคันจริงแล้ว เราพูดได้เต็มปากว่า ในที่สุด Mazda ก็ดำเนินนโยบายปรับไส้กรอก
ให้มีหลายขนาดเหมือนกับค่ายรถยุโรปหลายค่ายเสียแล้ว เพราะ Mazda Axela/3  โฉมใหม่
เล่นถอดหน้ามาจาก Mazda 6/Atenza  โฉมใหม่มาราวกับจับถ่ายเอกสารย่อขนาดลง

แต่สิ่งที่สามารถสะท้อนถึงความเป็น Mazda Axela/3 ที่แตกต่างจากรุ่นพี่ได้ดีที่สุดคือการออกแบบ
เส้นตวัดเหนือซุ้มล้อหลัง ด้วยเส้นที่เปรี้ยวเช็ดพร้อมทั้งลากเส้นขอบกระจก (Waist Line) เฉียง
ตวัดขึ้นเข้าไปอีก ก็ยิ่งทำให้ตัวรถดูทะมัดทะแมงขึ้นกว่ารุ่นปัจจุบันพอสมควร ดูเผิน ๆ ก็คล้าย
เสือชีตาร์กำลังวิ่งล่าเหยื่อ

ภายในห้องโดยสารแลดูคล้าย ๆ 6/Atenza อยู่บ้าง แต่มีการปรับเปลี่ยนงานออกแบบให้เหมาะสม
กับบุคลิกรถ ตำแหน่งการจัดอุปกรณ์และเบาะนั่งเหมือนรถยนต์ยุโรประดั Premium ใช้วัสดุชั้นดี
เหมือนกับ Mazda 6/Atenza ใหม่เปี๊ยบ รุ่น 2.0 จะมี Head-Up Display เน้นเอาใจผู้ขับขี่และ
จุดศูนย์ถ่วงต่ำเป็นหลัก จนผมขอบ่นดัง ๆ ว่ายังมีเนื้อที่ห้องโดยสารหลัง คับแคบและอึดอัด แถมยังมี
พื้นที่วางขา น้อย ไม่เคยเปลี่ยนกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเบาะนั่งคู่หน้าบดบังการมองเห็นของ
ผู้โดยสาร ด้านหลังไม่น้อย แถมการลุกเข้า – ออก (Ingres / egress) ยังทำได้ไม่ดีเท่าคู่แข่ง และ
พอกันกับรถรุ่นเดิมเสียด้วยซ้ำ

มีความเป็นไปได้สูงว่า เมืองไทยจะได้ใช้เครื่องยนต์เทคโนโลยี SkyActiv ขนาด 1.5 ลิตรและ
2.0 ลิตรเหมือนตลาดญี่ปุ่นทุกประการ ส่วนขุมพลัง CNG จะมีเข้ามาหรือไม่ ยังต้องรอดูกัน
ต่อไปอีกพักหนึ่ง อดใจรออีกแค่ 3 เดือนเท่านั้นครับ สำหรับเวอร์ชันประกอบในไทย

——————————-

Mercedes-Benz/Smart/AMG

ค่ายรถยนต์ตราดาวและพี่น้องในเครือ ได้รับพื้นที่การจัดบูธที่ค่อนข้างปลีกวิเวกจากบรรดารถยนต์
นอกประเทศญี่ปุ่นทั้งหมด เพราะเป็นแบรนด์ยุโรปที่จัดสถานที่ในฝั่ง East Hall เพียงแบรนด์เดียว
แต่ก็ยังนำรถยนต์มาโชว์ได้อย่างน่าสนใจ ทั้งแบบ World Premiere และ Japan Premiere

รถยนต์ที่ถูกนำมาเปิดตัวครั้งแรกในโลก ณ งานนี้ ได้แก่ Mercedes-Benz AMG Vision Gran
Turismo Concept ถูกผลิตขึ้นเพื่อร่วมเฉลิมฉลองการครบรอบ 15 ปีของเกม Gran Turismo
(หรือ GT บนแพลตฟอร์ม PlayStation ที่หลายๆคนน่าจะคุ้นเคย) อีกทั้งยังพัฒนาเพื่อใส่เข้า
ไปเป็นรถยนต์ในเกม Gran Turismo 6 ภาคล่าสุดอีกด้วย (และมีการจัดบูธให้เล่นเกมนี้ใน
งานโดยเฉพาะนอกบริเวณ East Hall คนต่อแถวยาวพอควร)

รูปลักษณ์มาพร้อมกับทรงตัวถังแบนเตี้ยแบบคูเป้ 2 ประตู ใช้เส้นสายแบบสะอาดสะอ้านรอบคัน
จนดูแปลกตาไปจากรถยนต์ Mercedes-Benz ในยุคปัจจุบัน พกความแรงมาเต็มเปี่ยม ด้วย
การใช้ขุมพลังเบนซินแบบ V8 ขนาด 5.7 ลิตร สร้างกำลังได้ 577 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด
799 นิวตันเมตร และมีเสียงเครื่องยนต์ที่ Mercedes-Benz จำกัดความว่า เป็นเสียงที่หวาน
เพราะเสนาะหู ให้ความรู้สึกทรงพลังในแบบฉบับ V8

อีกคันหนึ่งที่นำมาจัดแสดงครั้งแรกในญี่ปุ่น ได้แก่ Mercedes-Benz S-Class Coupe Concept
รถยนต์ต้นแบบพรีวิวเวอร์ชันคูเป้ 2 ประตูของ Mercedes-Benz S-Class ที่เพิ่งจัดแสดงไปใน
Frankfurt Motor Show 2013 กันหมาดๆ ก็ถูกขนมาจัดแสดงกันที่ญี่ปุ่นด้วย เป็นการบอกทาง
อ้อมว่า รหัส CL-Class จะถูกยุติบทบาทไป และจะใช้ชื่อ S-Class Coupe แทน คาดว่า
Mercedes-Benz S-Class Coupe น่าจะมีการเผยโฉมเวอร์ชันทำตลาดจริงในปีหน้านี้
ด้วยรูปลักษณ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากรุ่นต้นแบบมากนัก

ด้านรถยนต์ทำตลาดจริง Mercedes-Benz ก็จัด CLA45 AMG น้องเล็กพริกขี้หนูรุ่นล่าสุดของ
ค่ายมาโชว์เป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นเช่นกัน นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกจะดูดุดันและถูกปรับแต่งให้
เน้นความลู่ลม เพิ่มแรงกดบนท้องถนนแล้ว ขุมพลังใต้ฝากระโปรงยังนำเอาเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ
DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร พ่วงเทอร์โบ อัพความแรงให้แตะระดับ 360 แรงม้า (HP) ที่ 6,000
รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร มาตั้งแต่รอบ 2,250 ยาวไปจนถึง 5,000 รอบ/นาที
เชื่อมต่อกำลังสู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MATIC ด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ AMG SPEEDSHIFT
DCT 7 จังหวะ

นอกจากนี้ยังมี Mercedes-Benz S65 AMG Long มาโชว์ตัวครั้งแรกของโลกในงานนี้ กลาย
เป็นรถยนต์พรีเมี่ยมซาลูนฐานล้อยาวที่มีสมรรถนะสูงแห่งค่ายดาวสามแฉก ใช้ขุมพลังเบนซิน แบบ
V12 สูบ DOHC 48 วาล์ว 6.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบคู่ ให้กำลังสูง 630 แรงม้า (HP) แรงบิด
สูงสุดถึง 1,000 นิวตันเมตร!! แรงกระชากวิญญาณกันแบบนุ่มๆเลยทีเดียว

ส่วนรถยนต์รุ่นอื่น Mercedes-Benz ก็นำมาจัดแสดงอย่างครบครัน ทั้ง A-Class, C-Class,
E-Class, ML-Class

แบรนด์ Smart ก็ยังคงทำตลาดในญี่ปุ่นแบบเรื่อยๆมาเรียงๆ แบ่งพื้นที่ในบูธ Mercedes-Benz
จัดแสดง Smart BRABUS electric drive เวอร์ชันพลังไฟฟ้าพร้อมแต่งสปอร์ตเข้มเต็มรูปแบบ
ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 80 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 135 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนล้อคู่หลัง

อีกคันหนึ่งเป็น SMART BoConcept Edition การจับมือร่วมกันกับ BoConcept ผู้ผลิตสินค้า
เฟอร์นิเจอร์แนวโมเดิร์นชื่อดัง มาร่วมตกแต่ง เปลี่ยนแปลงให้ SMART กลายเป็นรถยนต์ที่ดู
เรียบง่าย ทันสมัย มากยิ่งขึ้น ทั้งจากการใช้สีตกแต่ง และเปลี่ยนมาใช้วัสดุที่ดูเรียบหรูมากขึ้น
พร้อมกันนั้น BoConcept ยังผลิตเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก
รถยนต์ SMART ออกจำหน่ายอีกด้วย

——————————-

MITSUBISHI MOTORS

น่าสังเกตไม่น้อยว่าวันรอบ Press Media วันที่ 2 ผู้คนดูจะไม่หลั่งไหลมาบูธนี้กันมากมายเท่าไรนัก
ทั้งที่ใช้พื้นหลังสีแดงสดมาประชันกับบูธ Honda ที่อยู่ติดกันพอสมควร คงเป็นเพราะว่ารถยนต์
รุ่นใหม่ยังไม่มีการเปิดตัวในงานนี้มากเท่า Honda ก็เป็นไปได้ แต่อย่างน้อย Mitsubishi ในปีนี้
ก็ลงทุนเปิดตัวรถต้นแบบเอสยูวีและมินิแวนอเนกประสงค์พร้อมเพรียงกันถึง 3 คัน

คันแรก คือ Mitsubishi Concept GC-PHEV  รถยนต์ต้นแบบระดับ Full Size SUV รุ่นต่อไป
มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา เครื่องยนต์วางหน้าและขับเคลื่อนล้อหลังด้วยระบบ
Plug-in Hybrid PHEV จับคู่เครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร ซูเปอร์ชาร์จ ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ
8 จังหวะ เชื่อมด้วยกับมอเตอร์ไฟฟ้าทรงพลังและแบตเตอรี่ที่มีกำลังไฟเพียงพอต่อการใช้งาน

ไฮไลต์สำคัญคือรางแผงจอสัมผัสคอนโซลกลางจากเรือนเกียร์ที่ยาวต่อเนื่องจรดเบาะผู้โดยสาร
ตอนหลัง หมดปัญหาทุกการเชื่อมต่อและยังสามารถแชร์แผนที่ซึ่งกันและกันได้ด้วย

รถต้นแบบคันนี้มีแนวโน้มที่จะเป็นรถรุ่นเปลี่ยนโฉมของ Mitsubishi Pajero ที่แซยิดจนเริ่ม
จะชราภาพเข้าไปกันทุกวัน

คันต่อมาเป็น Mitsubishi Concept XR-PHEVรถยนต์ต้นแบบ ที่แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของ
Compact SUV เจเนเรชั่นต่อไปที่จะมาแทน RVR หรือ ASX ในตลาดโลก เน้นบุคลิกแนว
สปอร์ต โฉบเฉี่ยวเพื่อการขับขี่อีกระดับ ติดตั้งเครื่องวางหน้า ขับเคลื่อนล้อหน้าพร้อมขุมพลัง
PHEV ด้วยเครื่องยนต์ เบนซิน 1.1 ลิตร MIVEC Direct Injection พ่วง Turbocharger และ
เชื่อมต่อกับ เทอร์โบชาร์จจับคู่ด้วยแบตเตอรี่ เสียบชาร์จกับไฟบ้านได้ในระบบ Plug-in
Hybrid เวอร์ชันผลิตขายจริง คงต้องรอกันจนถึงปี 2015 – 2016

คันจริงก็สวยดีตามอัตภาพ แต่ก็น่าสงสัยม่น้อยเลยว่า มีรายละเอียดบั้นท้ายที่ดูซับซ้อนมาก
ถ้ารถต้นแบบคันนี้จะต่อยอดให้กลายเป็น RVR/ASX ตัวต่อไป ก็อาจจะไม่ใช้ชิ้นส่วนตัวถัง
หรือโครงสร้างบางอย่างร่วมกับ Outlander โฉมใหม่ ถ้าคิดกันดี ๆ ก็คงเป็นไปได้ เพราะ
นับจากนี้ Mitsubishi ตั้งใจดันตลาด SUV และกระบะเป็นหลักอยู่แล้ว

คันที่ 3 คือ Mitsubishi Concept AR รถต้นแบบเอ็มพีวีเจเนเรชั่นใหม่ที่มีเทคโนโลยีความ
ปลอดภัยล้ำหน้าและมีเทคโนโลยีเชื่อมต่อล้ำยุค ฟังก์ชันความปลอดภัยจะมีระบบตรวจจับ
วัตถุอันตรายและระบบตรวจจับสิ่งผิดปกติในตัวรถเพื่อเตือนให้ผู้ขับขี่นำรถเข้ารับบริการ
และแก้ไข

สัดส่วนตัวรถเหมือนกับจะเป็นรถยนต์ Minivan กึ่ง Station Wagon คันเล็กที่จับมายกสูง
มีความเป็นไปได้ไม่น้อยเลยว่ารถตระกูล Spacewagon และ Delica D:5 จะถูกยุบรวมกัน
เป็นรุ่นเดียวโดยผสมผสานข้อเด่นที่โดนใจตลาดรวมไว้ในคันเดียว และที่น่าสงสัยคือ
ดีไซน์โดยรวมจะดูมีกลิ่นรถยุโรปน้อยลงกว่านี้หรือไม่ เพราะเท่าที่ดูจากสายตาเหมือนกับ
รถ Renault ผสมกับ Peugeot พอสมควร

นอกจากนี้ Mitsubishi ยังนำรถต้นแบบ Concept GR-HEV มาอวดโฉมในงานนี้ด้วยก็ชัดเจน
แล้วว่ารถต้นแบบคันนี้คงต้องบ่งบอกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับ Mitsubishi Triton โฉมถัดไป
อย่างน้อย ๆ ที่พอจะเดาทางออกได้คือการออกแบบเอกลักษณ์ด้านหน้าใหม่ นอกนั้นมันยังล้ำ
เกินกว่าจินตนาการถึงคันจริงได้ คำตอบของคำถามคงรอกันอีกไม่นานนัก รถต้นแบบคันนี้
เคยนำมาจัดแสดงในเมืองไทย เมื่องาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคม
2013 ที่ผ่านมา

ไม่เพียงเท่านั้น Mitsubishi Motors ยังขนเทคโนโลยีรถยนต์พัลงไฟฟ้า หรือเกี่ยวข้องกับ
ระบบ เสียบปลั๊กชาร์จจากไฟบ้าน Plug-In-Hybrid และ EV หรือ PHEV ที่ออกขายอยู่แล้ว
ใน Mitsubishi Outlander ใหม่ล่าสุด ทั้งเวอร์ชันขายจริง และเวอร์ชันที่เพิ่งส่งมาแข่งแรลลี
ที่เมืองไทย ช่วงกลางปีที่ผ่านมา เพื่อทดสอบการทำงานของระบบขับเคลื่อน ว่าเป็นไปได้
ด้วยดี

Mitsubishi Outlander PHEV เอสยูวีคันใหม่ที่มาพร้อมจุดขายระบบ Plug-in Hybrid EV โดย
หลักการทำงานคร่าว ๆ ระบบจะเลือกสรรการขับเคลื่อน 3 โหมด อัตโนมัติเพื่อประสิทธิภาพ
ในการใช้งานและประหยัดน้ำมันสูงสุด

โหมด EV จะขับเคลื่อนโดยใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งด้านหน้าและด้านหลัง ลดการ
ปล่อย
มลภาวะและมีแต่ความเงียบขณะขับเคลื่อน

โหมด Series Hybrid ระบบจะส่งกำลังจากเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ระบบจะตัดเข้าสู่
โหมดการขับเคลื่อนนี้ก็ต่อเมื่อประจุไฟฟ้าแบตเตอรี่ลดต่ำตามเกณฑ์ที่กำหนดหรือผู้ขับขี่
ต้องการพละกำลังที่มากกว่าสำหรับเร่งแซงหรือต้องเร่งเครื่องเพื่อขึ้นทางชัน เป็นต้น

โหมด Pararell Hybrid เน้นการขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์เป็นหลักโดยมีมอเตอร์ช่วยบ้างใน
บางเวลา โหมดนี้จะทำงานอัตโนมัติเมื่อผู้ขับขี่ใช้ความเร็วสูงคงที่ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้รีดประสิทธิ
ภาพความประหยัดของเครื่องยนต์สันดาปภายในได้ดีที่สุด

แบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออนมีอัตราการกินไฟ 12 กิโลวัตต์ชั่วโมงสามารถวิ่งในโหมดรถไฟฟ้าระยะ
ทางสูงสุด 55 กิโลเมตรตามมาตรฐานการทดสอบ JC08 ผู้ใช้สามารถเลือกขับเคลื่อนโหมด
EV ได้ตามต้องการ ระบบจะตรวจสอบพลังงานในแบตเตอรี่ หากไม่เพียงพอก็จะสั่งงานให้
เครื่องยนต์สันดาปภายในปั่นกำลังลงสู่แบตเตอรี่

ติดตั้งมอเตอร์ 2 ตัวไว้สำหรับส่งกำลังเพลาล้อคู่หน้าและคู่หลังก็จะทำให้ลดการสูญเสียกำลัง
ไปได้มาก ตอบสนองได้ดั่งใจกว่าเครื่องยนต์สันดาปภายใน ทำงานควบคู่กับระบบขับเคลื่อน S-AWD

เมื่อทดลองนั่งภายในก็พบว่าแม้หน้าตาที่ดูแข็งกระด้างเหมือนรถอเมริกันในช่วงหนึ่ง แต่ก็มีพื้นผิว
สัมผัสที่ให้ความยืดหยุ่นไม่น้อยเลย โดยเฉพาะบริเวณเรืองแผงคอนโซลด้านบนทั้งหมด, แผงข้าง
ประตูด้านหน้า เป็นต้น ตำแหน่งการขับขี่ดูเหมือนจะเน้นให้ผู้หญิงขับขี่มันได้

การพับเบาะหลังก็ทำหน้าที่ไม่แตกต่างจากรุ่นเครื่องยนต์ปกติเลย คือตัวพนักพิงเบาะรองสะโพก
จะวางหลบบนพื้นรถ เมื่อพับพนักพิงหลังลงจะไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งยื่นเป็นติ่งออกมา

จนถึงรถแข่งพลังไฟฟ้า และรถตู่ พิกัด K-Car ที่จะเตรียมวางจำหน่ายอีกไม่นานนัก
คือ Mitsubishi Ek Space ทั้งแบบธรรมดาและ Custom แต่งสปอร์ต เป็นฝาแฝดโดยตรงกับ
Nissan Dayz Roox คู่แข่งของมันก็ต้องแข่งกับ Suzuki Spacia, Honda N-Box และ
Daihatsu Tanto

แม้จะเป็นรถที่เน้นขายในญี่ปุ่นเป็นหลักแต่ก็ให้ความรู้สึกถึงความเป็นสากลในหลายจุด ไม่ว่า
จะเป็นแผงคอนโซลทั้งหมดที่ดูบางมุมคล้ายกับ Outlander โฉมใหม่, การกัดลายพื้นผิวแบบ
เดียวกับรถเล็กในตลาดโลกสวนทางกับเคคาร์ค่ายอื่นที่กัดลายพื้นผิวละเอียดกว่า แม้กระทั่ง
ทัศนวิสัยด้านหน้าก็ยังให้ความรู้สึกติดสปอร์ตไม่น้อย ไม่ได้โปร่งสายตาอะไรมากนัก

Mitsubishi Ek และ Ek custom แฮทช์แบคทรงสูงที่มีดีไซน์ปราดเปรียวกว่าคู่แข่งเกินหน้าเกินตา
ความปลอดโปร่งด้านหน้าแพ้ Honda N-WGN อย่างชัดเจน ส่วนความโปร่งด้านหลังกำลังดีแต่
ยังเด่นน้อยกว่าคู่แข่งในกลุ่มเดียวกันพอสมควร แต่จุดเด่นที่ขายได้ดีคือมันประหยัดน้ำมันที่สุดในกลุ่มนี้

——————————-

MITSUBISHI FUSO

หลังขจากที่ กลุ่ม Mitsubishi corporation ขายกิจการรถบรรทุกให้กับกลุ่ม Daimler AG
จากเยอรมันี ไปแล้ว FUSO ยังคงทำตลาดอยู่ในญี่ปุ่น และ ASEAN ต่อไปเรื่อยๆ ในงาน
Tokyo Motor Show ปีนี้ พวกเขาเน้นไปที่การสื่อสารกับกลุ่มเด็กๆ ถึงการมีส่วนร่วมใน
ชีวิตประจำวันทุกๆคน ของรถบรรทุก โดยใช้วิธี ทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ให้ผู้เข้าชมบูธ
เลือก และตกแต่งรถบรรทุกออกมาตามใจชอบ แล้วสั่ง Print ออกมา เพื่อตัดเป็น รถกระดาษ
หรือ Paper-Car ติดกาว แล้วเอาไปตั้งประดับบ้านตามใจชอบ

——————————-

NISSAN

บูธ Nissan เป็นบูธแรกที่เดินเข้าไปในวันงาน Press Media มันก็สามารถสะกดให้เราอยู่ได้ ไม่ใช่
เพราะการจัดตกแต่งบูธสวยงามขนาดนั้น แต่รอบบูธสามารถส่งกลิ่นหอมพิเศษออกแนวอโรมา
หอมหวานจนมีผึ้งมาแอบดอดเข้ามาในบูธได้ การจัดบูธปีนี้ทำออกมาเป็นแบบ ยกระดับ 3 ชั่้น
อุดมไปด้วยสารพัดรถรุ่นใหม่และรถต้นแบบมาอวดโฉมพร้อมกันในคราวเดียว โซนด้านล่าง
จะอวดโฉมรถตลาดและรถต้นแบบ, ชั้นสองจะโชว์ X-Trail ใหม่ (รอบสื่อวันที่สองจะเอา
Dayz Roox เข้าจอดโชว์ตัวด้วย) และชั้นบนเน้นหนักไปทาง Hi-Performance Vehicles กับ
GT-R และรถยนต์ตกแต่งพิเศษตระกูล Nismo ทั้งหลาย

Theme งานจัดแสดงจะเป็นการเฉลิมฉลองการก่อตั้งแบรนด์ Nissan ครบรอบ 80 ปีพอดี เราจึง
เห็นรถคันจิ๋วและภาพนิทรรศการอยู่ริมขอบบูธ รวมทั้ง การนำรถแข่ง Nissan (Prince) R380
และ Datsun Roadster ปี 1933 จาก พิพิธภัณฑ์ที่ Zama มาจัดแสดงให้ชมกัน

เริ่มจากรถยนต์ต้นแบบคันแรก ดาวเด่นของงานกันก่อน นั่นคือ Nissan BladeGlider Concept
รถต้นแบบสุดล้ำอนาคตที่ Nissan ยืนยันแล้วว่าจะพร้อมผลิตจริงในอีกไม่นานนัก ย้ำกันอีกทีว่า
มันจะถูกผลิตขึ้นจริง รูปทรงตัวรถได้แรงบันดาลใจจากเครื่องบินเจ็ตซึ่งเน้นหลักอากาศพลศาสตร์
ที่ดีสุด ๆ ลดความเสียดทานแทบจะทุกจุดจนให้ความรู้สึกการขับขี่ที่เสมือนให้ความรู้สึกว่าเหมือน
มีแม่เหล็กที่ทำให้ตัวรถแนบประชิดไปกับพื้นถนน

Mr.Mamoru Aoki : Executive Design Director, Nissan Global Design Center,
Nissan Motor Co.,Ltd.ผู้อำนวยการบริหารงานออกแบบ แห่งศูนย์การออกแบบรถยนต์สำหรับ
ตลาดทั่วโลก บริษัท นิสสัน มอเตอร์ จำกัดได้เปิดเผยแรงบันดาลใจในการออกแบบ Nissan
BladeGlider คันนี้ว่า มันมีจุดเด่น 2 ประการ ที่นิสสันให้ความสำคัญ  

ประการแรก คือ รูปลักษณ์ที่ลู่ลม ตามหลักอากาศพลศาสตร์ (Aerodynamics) Blade Glider
ได้รับการออกแบบให้มีรูปทรงที่ลูกลมเป็นอย่างมาก เคลื่อนที่ได้คล่องตัวประดุจลื่นไหลไปกับ
ถนน พร้อมๆกับมีแรงกด G-Force ให้ตัวรถอยู่ใกล้ชิดกับพื้นถนนมากที่สุด  และด้วยความที่
Blade Glider เป็นรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า จึงเดินเงียบ ไม่มีเสียง ช่วยกระตุ้น
ความรู้สึกของผู้ขับขี่ รถคันนี้ให้รู้สึกเป็นอิสระ ปลอดโปร่ง (open-air)

ประการที่ 2 รูปทรงของเบลดไกลเดอร์ ในภาพรวมได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องบินเจ็ท มี
รูปร่างคล้ายสามเหลี่ยม พร้อมด้วยที่นั่งคนขับสไตล์ค็อกพิท (คนขับนั่งอยู่ข้างหน้าคนเดียว
ผู้โดยสารนั่งด้านหลัง 2 คน) ก็ยิ่งเสริมความรู้สึกโปร่งโล่งสบายให้แก่คนขับมากขึ้นอีก

รายละเอียดทางเทคนิคในเบื้องต้นทราบแค่เพียงว่ามันจะขับเคลื่อนด้วยการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า
แบบ In-wheel ในล้อคู่หลัง พร้อมกับการใช้แบตเตอรี่ชนิด Li-ion ในการเก็บประจุออกแบบ
ให้ตัวรถมีการกระจายน้ำหนักหน้า-หลังในอัตราส่วน 30:70 ลดน้ำหนักตัวรถด้วยแชสซีส์ที่ผลิต
จากพลาสติกคาร์บอนไฟเบอร์ และได้แรงบันดาลใจทางด้านงานวิศวกรรมมาจากรถแข่งไฟฟ้า
Nissan ZEOD RC ที่สามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงพร้อมจะเข้าสู่สนาม
2014 Le Mans 24 Hours ด้วย

รถต้นแบบฝาแฝด คู่ต่อมาน่าจะยั่วน้ำลายแฟนพันธุ์แท้และพันธุ์เทียมได้มากที่สุดในงานนั่นคือ
Nissan IDx Freeflow Concept และ Nissan IDx Nismo Concept ยิ่งทันทีที่รถ
แล่นออกมาจอดบนแท่น พี่ J!MMY แกก็ยืนนิ่งปลาบปลื้มสักพักใหญ่เลย เพราะเจ้าตัวชื่นชอบ
รถตระกูล Nissan/Datsun รุ่นเก่า ๆ อยู่ ยิ่งพอมาตีความเป็นรถยุคใหม่ ด้วยด้านหน้าที่มีกลิ่น
ความเป็น Bluebird 510 และผสมผสานกับแนวทางการออกแบบรถยนต์ยุคต่อไป จึงเป็น
การตีโจทย์ที่คนรักรถ Nissan ถึงขั้นกรี๊ดลั่นบูธได้

ถึงดีไซน์รถจะอ้างอิงแนวทางการออกแบบยุคเก่าแต่เชื่อหรือไม่ว่า มันเป็นต้นแบบในกรรมวิธี
การสร้างสรรค์รถยนต์แบบใหม่เพื่อค้นหาความต้องการของคนหนุ่มสาวที่แท้จริง ทั้งความน่าตื่น
เต้น รวมถึงการมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์รถของพวกเขาด้วย

รถต้นแบบคันนี้จึงออกมาจับกลุ่มลูกค้าชาวดิจิตอลที่เกิดหลังปี 1990 เป็นต้นไปซึ่งจะเป็นการ
นำข้อมูลจากพวกเขามาเข้าสู่กระบวนการสร้างสรรค์ กรรมวิธีคิดการพัฒนารถแบบใหม่นี้จะเริ่ม
นำไปใช้จริงในอนาคตอันใกล้ที่ Nissan เรียกกันว่า “Co-Creation” (ไม่ใช่ซันซิลแน่นอน) 
เพื่อค้นหาความต้องการของกลุ่มเป้าหมายให้ถึงที่สุดจริงๆ

Nissan IDx Freeflow Concept จะมาแนว Retro Coupe ที่มีความล้ำสมัยในรายละเอียด
ด้วยการออกแบบเสา C แบบ Floating Roof  มีความยาว 4,100 มิลลิเมตร กว้าง 1,700 
มิลลิเมตร สูง 1,300 มิลลิมตร กลุ่มเป้าหมายของกระบวนการพัฒนาจะเน้นการขับขี่ที่ประหยัดน้ำมัน
จึงเลือกวางเครื่องยนต์ 1.2-1.5 ลิตรจับคู่เกียร์ CVT เป็นหลัก

แต่ Nissan IDx Nismo Concept จะมาในมาดสปอร์ตแบบชัดเจนซึ่งเป็นผลลัพธ์มาจากกลุ่มเป้า
หมาย (ที่สามารถนำข้อมูล ไปร่วมพัฒนา) ที่เกิดและเติบโตมากับเกมแข่งรถจำลองจนพวกเขาคิด
อยากจะมีรถแบบนี้ในชีวิตจริง ก็แน่นอนว่าต้องติดตั้งเครื่องยนต์แรงขนาด 1.6 ลิตร เทอร์โบชาร์จ
มีให้เลือกทั้งเกียร์ CVT และเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ

สรุปว่ามันเป็นรถที่โชว์แนวคิดการพัฒนารถจากข้อมูลกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะลึกที่เรียกกันว่า
Co-Creation นั่นเอง แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่า มันอาจจะกลายมาเป็น รถยนต์ ขับเคลื่อน
ล้อหลัง ที่เน้นเอาใจลูกค้าในระดับย่อมลงมากว่า Toyota 86 นิดเดียว….

เดินขึ้นไปดูชั้นบนสุดของบูธ อันเป็นสถานที่สิงสถิตของบรรดาเทพแห่งความแรงประจำค่าย
กันบ้าง รถที่แล่นออกมาจากด้านข้างของบูธเป็นคันแรก ก่อนจะขึ้นทางชันไปจอดบนแท่นหมุน
ในวันที่ 2 นั่นคือ Nissan GT-R Nismo ไฮไลต์เด่นบนแท่นหมุนชั้นบนสุดของบูธ รายละเอียด
เบื้องต้นจะยังคงติดตั้งเครื่องยนต์บล๊อก V6 ความจุ 3.8L Twin Turbo แต่ถูกปรับปรุงสมรรถนะ
ให้แรงขึ้น จากเดิม 545 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิด 627 นิวตันเมตร เป็น 595 แรงม้า
(PS) ที่ 6,800 รอบ/นาที แรงบิด 650 นิวตันเมตร

จุดที่มีการปรับปรุงใหม่ ได้แก่ ระบบไอดี ไอเสีย โดยเปลี่ยนเทอร์โบลูกใหม่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น
ยกมาจากรุ่น GT3-Spec พร้อมระบบ Timing Control ควบคุมการจุดระเบิดในแต่ละลูกสูบให้
แม่นยำยิ่งขึ้น รวมถึงระบบปั้มน้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งหมดนี้เป็นการพัฒนาทำให้การเผาไหม้
เป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น

ล่าสุด อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง ทำได้เพียง 2.5 วินาที และยังทำลายสถิติวิ่งรอบสนาม
Nurburgring ชนะ Lexus LFA ไปอย่างฉิวเฉียด 7 นาที 8.679 วินาที!! ฟังแล้วน่าขนลุกไม่น้อย

บนชั้นเดียวกันก็ยังพบกว่า Nissan March Nismo ตัว 1.5 ลิตร เกียร์ธรรมดาที่มีการตกแต่ง
ภายในไปเยอะมาก แต่กลับไม่มีใครสนใจแม้แต่เพียงเดินเฉียดผ่านเลย (คันเกียร์ เข้าได้
กระชับกว่า March / Almera รุ่นมาตรฐาน นิดนึง เท่านั้น!) รวมทั้ง Nissan Juke Nismo
และ Fairlady Z / 370Z Nismo สำหรับตลาดญี่ปุ่น

คันต่อมาก็เป็นหนึ่งในรถที่คุณผู้อ่านรอคอยกันเยอะดูเลยนั่นก็คือ All New Nissan X-Trail
ก็อวดโฉมกันในรุ่น 5 ที่นั่ง ทั้งที่จริงแล้วตลาดญี่ปุ่นมีรุ่น 7 ที่นั่งให้เลือกด้วย แต่ก็ไม่ได้นำมา
จัดแสดงกัน สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากเวอร์ชันยุโรปคือลายล้ออัลลอยอีกลายหนึ่ง และรวม
ไปถึงเครื่องยนต์ที่จะใช้เครื่องบล็อก MR20DD 2.0 ลิตร ฉีดเชื้อเพลิงตรง

Nissan X-Trail โฉมใหม่ถูกสร้างขึ้นบนชุดโครงสร้างตัวถังและงานวิศวกรรมร่วม CMF เป็น
ครั้งแรกในกลุ่ม Renault-Nissan ก็ทำให้มีการแชร์ชิ้นส่วนร่วมกันในระหว่างรุ่นกันเยอะมาก
เมื่อเข้าไปสัมผัสก็พบว่า Nissan กล้ายกระดับคุณภาพภายในห้องโดยสารให้เทียบเท่ากับรถ
ในระดับ D-Segment กันเลยทีเดียว และหน้าตาแผงคอนโซลแบบนี้ก็ไปโผล่ใน Qashqai ตัว
ต่อไปด้วย

แผงคอนโซลหน้าชั้นบนบุด้วยวัสดุนิ่ม ดีไซน์ชิ้นส่วนภายในที่ดูมีมิติมากกว่า Teana เห็นได้จาก
ช่องแอร์ซ้ายขวาสุดที่จะเป็นช่องยื่นออกมา พวงมาลัยหน้าตาแบบนี้ก็นำมาจาก Teana นั่นเอง
แผงประตูหน้าหุ้มด้วยวัสดุนิ่ม แต่ถึงแผงประตูหลังแล้วกลับไม่ได้บุวัสดุนิ่มบริเวณด้านบนบาน
ประตู ยกเว้นมือจับที่ยังบุด้วยวัสดุนิ่มอยู่

ผม (J!MMY) ยืนยันว่า เบาะนั่งแถว 2 คือ เบาะนั่งแถวกลางที่นั่งสบายสุดในบรรดา SUV
ที่ทำตลาดอยู่ในเมืองไทยตอนนี้ทุกรุ่น แต่ก็เด่นกว่านไม่มากนัก แถมเบาะแถว 3 ดูแล้ว
ถ้าติดตั้งมาให้จริง มีแนวโน้มว่า หุ่นอย่างผม คงปีนเข้าไปนั่งไม่ได้แน่ๆ เพราะดูพื้นที่
ขนาดไม่มีติดตั้งมาให้ ยังเหมาะแค่ไว้เก็บสัมภาระได้เป็นหลักเท่านั้นเลย

ถึงแม้ X-Trail ใหม่จะมีหน้าตาที่ดูดีขึ้น แต่ก็ทำให้หลายคนไม่ค่อยจะเชื่อว่ามันสามารถ
ใช้งานได้ดีเหมือนเดิมหรือไม่ Nissan เลยแสดงโชว์ให้ดูเลยว่าห้องสัมภาระท้ายก็ยังเป็น
แบบ Dual Lid สองชั้นเหมือนเคยสามารถปรับเปลี่ยนยกได้ตามใจเรา ส่วนการพับเบาะ
เพื่อเพิ่มเนื้อที่ห้องสัมภาระยังเป็นแบบพับพนักพิงหลังลงเฉย ๆ ได้เท่านั้นทำให้ไม่
ราบเรียบเท่าไร

นอกจากนี้  Mr.Mamoru Aoki ยังยืนยันว่าได้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของตัวรถให้มีความ
สามารถในการใช้งานที่หลากหลายขึ้น ไม่ได้ลดทอนแม้แต่น้อย

ถึงผู้บริหารชาวญี่ปุ่นจะไม่พูดถึงกำหนดการผลิตในไทย แต่เราก็ขอยืนยันว่าจะได้เห็น X-Trail
ใหม่ในช่วง ต้นปี 2014 ในานะ รถประกอบในประเทศไทย แน่นอน

ในบูธยังจัดแสดงรถยนต์รุ่นใหม่สารพัดไม่ว่าจะเป็น Nissan Note ซับคอมแพคท์แฮทช์แบคที่
สร้างขึ้นบนพื้นฐาน V-Platform ลองสัมผัสคร่าว ๆ แล้วให้อารมณ์เหมือนนั่ง Almera ที่ปราด
เปรียวขึ้นเพราะตำแหน่งเบาะคู่หน้าเหมือนกับ March/Almera เปี๊ยบ รวมถึงการใช้วัสดุและ
การกัดเกรนผิวพลาสติกยังจะเหมือนกันอีก จะดีกว่าหน่อยตรงที่เบาะที่ใช้และแผงมาตรวัดที่มี
พื้นหลังสะท้อนสีช่วยทำให้รถดูมีอะไรมากขึ้น

ที่นั่งด้านหลังคือจุดขายสำคัญของ Nissan Note เพราะมีเนื้อที่ยืดแข้งยืดขาได้สบายไม่แพ้
Almera นอกจากนี้ยังมีเนื้อที่เหนือศีรษะโปร่งกว่า Honda Fit/Jazz ใหม่ระดับหนึ่ง แต่เบาะ
รองนั่งเจ้า Nissan Note ดูจะสั้นไปหน่อยถ้าเทียบกับพื้นที่วางขา

Nissan Note ที่เห็นในขณะนี้เป็นรุ่นปรับอุปกรณ์มาตรฐานความปลอดภัยใหม่เพื่อมาฟัดกับ
Honda Fit/Jazz ใหม่โดยตรง ได้แก่ระบบเตือนการเปลี่ยนเลนและระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน

ถ้าใครอยากได้รุ่นนี้ต้องบอกว่าเสียใจเพราะไม่มีแผนจำหน่ายในไทย

ส่วน Nissan Teana คันสีแดง นั้น คือเวอร์ชันญี่ปุ่น ที่มีกำหนดจะเปิดตัวในญี่ปุ่น ช่วง
ปลายปี 2013 นี้ ตามหลังการเปิดตัวในสหรัฐอเมริกา จีน และเมืองไทย ถูกล็อกประตู
ไม่ให้ขึ้นไปลองนั่ง ด้วยเหตุผลใดก็ไม่ทราบ

Nissan Dayz Roox HighwayStar เคคาร์ทรง Tall Boy จะเริ่มเปิดตัวในปีหน้าซึ่งเป็นฝาแฝด
Mitsubishi Ek Space ตัวรถจะเน้นความสปอร์ตเพื่อฟัดกับพวก Tall Boy แบบ Custom ทั้งหลาย
ส่วนจุดขายยังไม่ชัดเจนมากนักเพราะเนื้อที่ภายในก็กว้างตามอัตภาพ  ต้องรอสเปคเครื่องยนต์
และอัตราสิ้นเปลืองเท่านั้น, Nissan Teana โฉมใหม่มีหน้าตาเหมือนกับบ้านเราทุกประการ,
Nissan Serena Minorchange ปรับโฉมเพิ่มความทันสมัยด้วยไฟ DRL แบบ LED พร้อม
กระจังหน้าใหม่ เพิ่มฟีเจอร์ความปลอดภัยมากขึ้น ภายในปรับปรุงวัสดุหุ้มเบาะและแผงลายไม้
เทียม เพื่อรอต้อนรับการมาของ All New Toyota Voxy/Noah

นอกจากนี้ยังมีรถต้นแบบโปรโตไทป์รถไฟฟ้ามานำเสนอกันเริ่มจาก Nissan Leaf autonomous
drive โชว์เทคโนโลยีระบบขับขี่อัตโนมัติก่อนที่จะเปิดตัวในรถยนต์รุ่นจำหน่ายจริงในปี 2020,
Nissan New Mobility Concept ยานพาหนะส่วนบุคคลฝาแฝด Renault Twizy เหมาะ
สำหรับการใช้งาน Car Sharing ผ่านผู้ให้บริการ Choi-Nobi  เมื่อทดลองนั่งเข้าไปก็พบว่ารถ
ทั้งคันใช้วัสดุรีไซเคิลเยอะมาก และก็ไม่รู้สึกว่าล้ำสมัยเหมือนในรูปมากนัก เพราะสิ่งที่ดูไฮเทค
มากที่สุดคือรูปทรงและเทคโนโลยี EV เสียมากกว่า, Nissan e-NV200 รถตู้พลังไฟฟ้าสำหรับ
องค์กรที่อยากจะช่วยลดโลกร้อน ติดตั้งแผงแบตเตอรี่ใต้ท้องรถ เปลี่ยนชิ้นส่วนภายในห้อง
โดยสารเยอะมาก

เสียดายเรื่องเดียว ทั้งที่ Nissan เพิ่งเปิดตัว Skyline ใหม่ล่าสุด แต่กลับไม่มีมาจอดอวดโฉม
ให้เห็นกันเลย ต้องไปดูกันที่ โชว์รูม Nissan Gallery กลางสี่แยกใหญ่ย่าน Ginza ถึงจะ
ได้สัมผัสตัวจริงกันใกล้ๆ

Peugeot

ปีนี้ค่ายสิงโตผยองดูจะลำพองได้ไม่ออกนัก เพาะชาวญี่ปุ่นไม่ค่อยให้ความสนใจกับ
บูธของพระเอกจากฝรั่งเศสรายนี้เท่าที่ควร แต่ Peugeot Citroen Japan ก็ไม่หวั่น นำ
รถยนต์มาเปิดตัวครั้งแรกในญี่ปุ่นทั้งหมด โดยใช้พื้นที่จัดแสดงแบ่งฟากกันกับ ทาง
Citroen แบรนด์รถยนต์ร่วมกลุ่ม

รถยนต์รุ่นแรก เป็นรถยนต์ครอสโอเวอร์ระดับ Sub-Compact นั่นก็คือ Peugeot 2008 ที่เพิ่ง
เปิดตัวไปหมาดๆในงาน 2013 Geneva Motor Show ที่ผ่านมานำมาเปิดตัวด้วยเวอร์ชันพวง
มาลัยขวาแบบสายฟ้าแลบ ใช้เครื่องยนต์เบนซิน EB2 แบบ 3 สูบ 1.6 ลิตร ให้กำลัง 82 แรงม้าที่
5,750 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 118 นิวตัน-เมตรที่ 2,750 รอบ/นาที ใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ
5 จังหวะ ETG5 รุ่นใหม่ล่าสุด

ตัวรถนั้นต้องบอกว่ามีขนาดใหญ่พอๆกันกับ Nissan Juke เนื้อที่โดยสารตอนหลังถือว่า
ไม่อึดอัดอย่างที่คิดไว้ เพียงแต่เบาะนั่งแข็ง แถมเนื้อที่วางขามีไม่มากนัก โดยรวมแล้ว
งานออกแบบ วัสดุที่ใช้ และทัศนวิสัยของตัวรถ ไม่ได้ถึงกับน่าพิศมัยมากนัก

ส่วนอีกรุ่นหนึ่ง ได้แก่ Peugeot RCZ R เวอร์ชันแรงสุดของรถสปอร์ตรุ่นเดียวประจำค่าย
แม้จะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.6 ลิตร พร้อมเทอร์โบ THP เหมือนกับ
เวอร์ชันปกติ แต่ในรุ่น R ถูกปรับจูนใหม่จนมีกำลังถึง 270 แรงม้า (HP) ที่ 6,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 330 นิวตันเมตร ตั้งแต่รอบ 1,900 ไปจนถึง 5,500 รอบ/นาที

นอกจากนี้ยังมีการปรับสมรรถนะในด้านอื่นๆให้สูงขึ้น ทั้งการติดตั้งลิมิเต็ดสลิป ระบบเบรก
ที่ถูกปรับปรุงขึ้นใหม่ พร้อมคาลิเปอร์เบรกแบบ 4 ลูกสูบและระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะที่
ถูกปรับอัตราทดเกียร์เพื่อดึงสมรรถนะเครื่องยนต์ออกมาได้มากที่สุด

——————————-

Porsche

ปีนี้ค่ายรถสปอร์ตจาก Sttutgart และดูจะได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนทั่วโลกมากเป็น
พิเศษ เพราะนอกจากขนเอา 911, Panamera, Cayenne มาโชว์อย่างครบครันแล้ว
งานนี้ Porsche ยังใช้เวทีในการเผยโฉม Porsche Macan สมาชิกคันล่าสุดในสไตล์
SUV ขนาดย่อมรองจาก Cayenne เป็นแห่งแรกของโลก

Porsche Macan ถือเป็นความพยายามและความคาดหวังของ Porsche ที่จะเพิ่มยอดขายรถ
ยนต์ของตนให้มากขึ้น โดยเล็งเห็นจากความสำเร็จของPorsche Cayenne ที่พิสูจน์ให้เห็นชัด
แล้วว่า ผู้บริโภคยังคงต้องการรถยนต์ตรวจการณ์ระดับพรีเมี่ยมอยู่มาก และยังมีแนวโน้มที่จะโตขึ้น
ได้อีก ในปัจจุบัน Cayenne ขึ้นแท่นรถยนต์ Porsche ที่ขายที่สุดของค่ายไปเรียบร้อยแล้ว

ส่วน Macan นั้น พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานร่วมกันกับ Audi Q5 จึงไม่แปลกใจเลยว่าสัดส่วนโดยรวม
ของตัวรถจะทำให้นึกถึง Audi Q5 อยู่ค่อนข้างมากมีเพียงงานออกแบบของตัวรถที่ใช้เส้นสาย
โค้งมน ผสานความเฉียบคม ในสไตล์ Porsche จนให้ความรู้สึกเหมือน Cayenne ที่ย่อส่วน
แต่มีลุคหนุ่มแน่นมากกว่ากันมาก

Porsche Macan ทำตลาดด้วย 2 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ Macan S ใช้เครื่องยนต์เบนซินแบบ V6
ขนาด 3.0 ลิตร พร้อมระบบเทอร์โบคู่ ให้กำลัง 340 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที และแรงบิด
สูงสุด 460 นิวตันเมตร ตั้งแต่ 1,450 ถึง 5,000 รอบ/นาที ส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
ผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ PDK แบบ 7 จังหวะ

อีกรุ่นหนึ่งคือ Macan Diesel นำเอาขุมพลังดีเซลแบบ V6 ขนาด 3.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบมาติดตั้ง
จนสามารถสร้างกำลังได้ 258 แรงม้าที่รอบ 4,000 ถึง 4,250 รอบ/นาที และมีแรงบิดสูงสุด
580 นิวตันเมตรที่ 1,750 ถึง 2,500 รอบ/นาที ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อและระบบเกียร์อัตโนมัติ
คลัทช์คู่ PDK 7 จังหวะเช่นเดียวกัน

อีกรุ่นหนึ่งที่เปิดตัวครั้งแรกของโลกแบบเงียบๆ ได้แก่ Porsche Panamera Turbo S รุ่นปรับ
โฉม ซึ่งกลายเป็นรุ่น Top of the line ของPanamera ไปในทันที ทรงพลังด้วยขุมพลังเบนซิน
V8 ขนาด 4.8 ลิตร พร้อมเทอร์โบคู่ 570 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร
ตั้งแต่ 2,250 ถึง 5,000 รอบ/นาที ใช้ระบบส่งกำลังอัตโนมัติคลัทช์คู่ PDK แบบ 7 จังหวะ

——————————-

RENAULT

ปีนี้ อดีตรัฐวิสาหกิจผลิตรถยนต์จากฝรั่งเศส ยังคงตั้งบูธใกล้กับแบรนด์รถยนต์ในเครือสัญชาติ
เจ้าถิ่น อย่าง Nissan โดยมีพระเอกประจำบูธ 2 รุ่น ได้แก่ Sub-Compact SUV รุ่นล่าสุด อย่าง
Renault Captur พร้อมฟีเจอร์หลากอรรถประโยชน์ภายในห้องโดยสารทั้งเบาะนั่งหุ้มผ้าพร้อมซิป
ถอดออกไปซักได้ง่าย หรือแม้แต่การติดตั้งยางยืดยึดสิ่งของในบริเวณต่างๆ พร้อมลิ้นชักเก็บของ
ง่ายต่อการทำความสะอาด ทำตลาดด้วยรุ่น 1.2 TCe ขุมพลังเบนซิน 4 สูบ 1.2 ลิตร Turbo 120
แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 190 นิวตัน-เมตร

นอกจากนี้ยังนำเอา Renault DeZir Concept รถยนต์ต้นแบบที่เผยโฉมตั้งแต่ปี 2010 เอากลับ
มาโชว์แสดงทิศทางงานออกแบบอีกครั้ง อีกทั้งยังขนเอารถยนต์ที่ทำตลาดในญี่ปุ่นมาโชว์อย่าง
เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น Renault Lutecia (Clio ในยุโรป), Magane และ Kangoo รวมถึงรถยนต์
ในแบรนด์ RenaultSport ด้วย

SUBARU

บูธดาวลูกไก่ที่แอบมีของดีมาโชว์มากกว่าที่พวกเราคิดเสียอีก นอกเหนือจากนถ Subaru BRZ
รถสปอร์ตขับเคลื่อนล้อหลังขุมพลัง Boxer เวอร์ชันลงแข่งในสนาม มาจอดเป็นนางกวักอยู่
หน้าบูธแล้ว บรรยากาศภายในบูธก็ดูเหมือนจะเน้นการนำ Subaru Levord รถยนต์ตรวจการ
Station Wagon รุ่นใหม่ล่าสุด จับมาหมุนเหมือนปิ้งบนไม้ย่างตามตู้กระจกไก่ย่างห้าดาว
คงกลัวไม่มีใครเชื่อว่า Subaru Levorg คือรถ Brand New ใหม่ล่าสุดจากค่ายนี้

Subaru Levorg เปิดตัวในงานนี้อย่างเป็นทางการและวางตำแหน่งการตลาดเป็น Sport Tourer
สายพันธุ์แท้  ดูเผิน ๆ เหมือนเป็น Impreza Wagon ที่จับมาโมหน้าและท้ายใหม่ แต่ถ้ามองกัน
ตามความจริง Subaru ก็ไม่มีการเปิดตัว Impreza Wagon แต่อย่างใด ถ้าหากพวกเขาคิดอยาก
จะทำรถแวกอนทัวริ่งทรงสมรรถนะขึ้นมาแล้วล่ะก็ พวกเขาก็ต้องนำพื้นฐานบางส่วนจาก
Impreza รุ่นปัจจุบันมาต่อยอดพร้อมทั้งตั้งชื่อใหม่ให้สะท้อนถึงบุคลิคใหม่ที่ต้องการสื่อ

ข้อเท็จจริงที่เราถามมาจากเจ้าหน้าที่ของ Subaru ก็คือ Levorg ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำตลาด
แทรกกลางระหว่าง Impreza และ Legacy พวกเขามองว่า ความต้องการรถยนต์แบบ
Sport Wagon ในญี่ปุ่น ยังมีอยู่มากพอให้ลงทุนทำ Levorg ออกขายกัน

มิติความยาว 4,690 มิลลิเมตร กว้าง 1,780 มิลลิเมตร สูง 1,485 มิลลิเมตร ฐานล้อยาว
2,650 มิลลิเมตร มิติต่าง ๆ อยู่ในระดับ C-Segment ทั่วไป เมื่อลองนั่งคันจริงก็พบว่า
แผงคอนโซลหน้ามีการตกแต่งเพิ่มความพรีเมี่ยมมากกว่า Impreza  ส่วนเบาะนั่งหลัง
ก็จะยกระดับจากเบาะหน้า 10 มิลลิเมตร ทำให้นั่งได้สบายขึ้นโดยที่ยังมีเนื้อที่ศีรษะ
กว้างขวาง

เมื่อเรามองรายละเอียดตัวรถทั้งจากคันจริงและสเปคที่แจ้งมาก็จงอย่าไปเผลอไผลเรียกว่า
เป็น Impreza Wagon เป็นอันขาด เพราะนอกจากมันจะมีรูปลักษณ์ที่ค่อนข้างลงตัวแล้ว
มันยังติดตั้งขุมพลังใหม่ล่าสุดที่จะทำให้การขับขี่เร้าใจ ด้วยเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร สูบนอน
DIT (Direct Injection + Turbocharger + Intercooler) 170 แรงม้า (PS)
แรงบิด 25.5 กก.-ม.จับคู่เกียร์ CVT LinearTronic แต่ประหยัดมากถึง 17.4 กิโลเมตร/ลิตร

แต่ถ้าอยากแรงกว่านี้ต้องเลือกเครื่อง 2.0 ลิตร สูบนอน DIT นำเครื่องยนต์ รุ่น 1.6 ลิตร
มาขยายช่วงชัก ให้กำลังสูงสุด ถึง 300 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 40.8 กก.-ม.จับคู่เกียร์
อัตโนมัติ CVT Sport LinearTronic มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 13.2 กิโลเมตร/ลิตร

เราสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเปิดตัว Subaru Levorg ก็ได้ความว่า รถคันนี้จะยังสงวน
การทำตลาดในประเทศญี่ปุ่นไปก่อน เพราะตลาดแวกอนพลังแรงในที่อื่น ๆ ยังแคบอยู่มาก

ส่วนรถยนต์ต้นแบบนั้น Subaru ขนมาให้เราดูกัน 3 คัน เริ่มจาก Subaru Viviz Evolution
Concept แม้จะมีรูปลักษณ์ทั้งหมดเหมือนกับ Subaru Viviz Concept ที่เคยอวดโฉมมาแล้ว
ในงาน Geneva Motorshow 2012 ความแตกต่างของมันคือ Viviz Evolution Concept
จะติดตั้งเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร DIT เล็กลงกว่าตอน Viviz Concept โชว์โฉม แต่ก็ยังยืนยัน
ว่าแนวทางการออกแบบของ Subaru ยุคใหม่ก็ควรจะดูเจ้าคันนี้ไว้ด้วยเช่นกัน

Subaru Cross Sport Design Concept มองครั้งแรกอาจงุนงง เพราะนึกว่าเป็นรถต้นแบบ
ที่พัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด แต่ถ้ามองหน้ากันให้ลึกซึ้งก็จะพบว่านี่มันคือเจ้า BRZ/86 ที่ถูกจับมา
ต่อตูดขยายหลังคานี่นา!! แค่นั้นยังไม่พอ Subaru ยังจับยกสูงขึ้นอีกเล็กน้อยเพื่อเพิ่มบุคลิก
ทะมัดทะแมง ในแนวทางของ รถ Sport Shooting Break Crossover ที่สมบูรณ์แบบ

แนวทางการแตกรุ่นแตกหน่อให้กับ BRZ/86 นั้น เป็นแนวคิดที่น่าสนใจทีเดียว เพราะตัวรถ
โดยพื้นฐานเอง สามารถต่อยอดไปพัฒนาต่อเป็นรถยนต์รูปแบบอื่นได้ เช่น Shooting Brake
หรือรถแวกอน 3 ประตูที่เน้นความสปอร์ตเอามาก ๆ ดีไซน์ตัวถังผิดแผกไปจากแนวทางเดิม
ของ Subaru ไปพอสมควร  มันไม่เพียงแต่จะเข้า-ออกได้สะดวกเท่านั้น แต่มันยังมีเนื้อที่
ห้องโดยสารและห้องสัมภาระที่พอเพียงอีกด้วย  และรองรับการใช้งานในลักษณะรถแบบ
SUV อีกด้วย

Subaru Crossover 7 Concept นี่คือรถต้นแบบที่เราเชื่อว่าเป็นการดิ้นหนีตายครั้งสำคัญของ Subaru
Exiga ในตลาดญี่ปุ่นและ Tribeca ในตลาดสหรัฐอเมริกาใช่หรือไม่? เพราะ Subaru สหรัฐอเมริกา
ก็ยืนยันกับดีลเลอร์ที่นั่นแล้วว่า Subaru จะต้องมีรถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่งทำตลาดในอีกไม่นานนัก
แล้วยิ่งทางญี่ปุ่นก็อวดโฉมรถต้นแบบคันนี้ด้วยแล้วมันก็เหมือนมีคำตอบของคำถามเหล่านี้ไปในตัว

Subaru Crossover 7 Concept  จะเป็นการจับนำ Subaru Exiga มาปรับปรุงรูปลักษณ์ใหม่ ตกแต่ง
ให้ดูทะมัดทะแมงพร้อมจับตัวรถให้ยกสูงขึ้นและสาดสีภายในห้องโดยสารให้แซมสีส้มเริงร่า
ดูแล้วมีแววว่าเจ้าคันนี้อาจจะส่งไปจำหน่ายในตลาดสหรัฐอเมริกาค่อนข้างมาก

และท้ายสุด คือ Subaru BRZ Premium Sport Package มาพร้อมกับสีตัวถังเทาดำ แต่ภายใน
เป็นสีน้ำตาลเบจอ่อน สวยงาม และทำให้ตัวรถที่เคยดุๆดิบๆ กลับดู Premium ยิ่งขึ้นกว่าเดิม

SUZUKI

บูธ Suzuki ในปีนี้เน้นการเปิดตัวรถและโชว์รถต้นแบบที่พร้อมจะพัฒนาเป็นคันจริงได้ นัยว่า
Suzuki คงจะต้องการกลับมาครองตลาดเบอร์ 1 อีกครั้งให้จงได้ หลังจากเสียแชมป์ให้ Daihatsu
มาหลายปีด้วยการเปิดตัวรถในกลุ่มตลาดใหม่ล่าสุด บรรยากาศการตกแต่งบูธแทบจะไม่แตกต่าง
จาก Honda มากนัก คือจะเน้นการจัดแสดงรถเด่นแบบแถวเรียงหน้ากระดานและมีฉากพื้นหลัง
ที่เรียบง่ายเอามากๆ แต่เป็นจอยักษ์ขนาดยาวแทน

เรามาดูรถต้นแบบกันก่อน Suzuki Crosshiker ต้นแบบครอสโอเวอร์ขนาด A-Segment สุดสวย
ด้วยความยาวตัวถัง 3,650 มิลลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตร สูง 1,540 มิลลิเมตร ติดตั้งเครื่องยนต์
3 สูบ 998 ซีซี Dual Jet Engine รถคันนี้จะเหมาะสำหรับผู้ใหญ่ที่ไม่เคยละทิ้งความสนุกสนาน

งานวิศวกรรมพื้นฐานจะเป็นการต่อยอดมาจากรถต้นแบบ Regina Concept ที่จะเน้นโครงสร้าง
น้ำหนักในระดับเดียวกับรถ K-Car คือเบาแต่มีความแข็งแกร่งสูง เราเชื่อลึก ๆ ว่า Suzuki น่าจะ
แอบซุ่มทำ Big Project บางอย่างที่จะปฏิวัติคุณค่าความเป็นรถ A-Segment ที่สามารถเข้ากับ
พฤติกรรมคนใช้รถยุคนี้ให้ได้ เห็นทีจะต้องติดตามกันต่อไป

คันต่อไป คือ Suzuki X-Lander รถต้นแบบจี๊ปขนาด A-Segment หน้าตาทันสมัย มีความยาว
3,600 มิลลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตร สูง 1,700 มิลลิเมตร ติดตั้งเครื่องยนต์ 1,250 ซีซี แบบ
Dual Jet แนวคิดโดยรวมเหมือนกับนำ Suzuki Jimny มาต่อยอดใหม่ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยขึ้น
และมีแนวโน้มที่จะได้เห็นเวอร์ชันผลิตขายจริงในฐานะ Jimy รุ่นต่อไป ราวๆอีก 2 ปีข้างหน้า

นอกเหนือจากบนเวทีแล้ว ด้านข้างบูธฝั่งขวามือ ยังมี รถยนต์ SUV ต้นแบบ
Suzuki IV-4 Concept ที่ส่งตรงมาจากงาน Frankfurt Motorshow
เมื่อเดือนก่อน การอวดโฉมครั้งนี้คาดว่าน่าจะเป็นการยืนยันแล้วว่า Suzuki
คงจะเอาจริงตลาดกลุ่ม B-SUV อย่างจริงจัง รูปโฉมคันจริงของ IV-4 นั้น
แอบชวนให้นึกถึง Suzuki Vitara โฉมแรกพอสมควร

Suzuki iV-4 Concept มาในแนวคิด “Grab your field” ที่สะท้อน
ประวัติศาสตร์ความเป็น Suzuki SUV สมัยก่อน กับเส้นสายภายนอกดุดัน
ทรงพลังรอบคัน ทุกสัดส่วนมีความบึกและถึก ด้านหน้าเป็นเอกลักษณ์ของ
Suzuki ชัดเจน ด้วยกระจังหน้าทรง 5 ช่องแนวตั้ง, ฝากระโปรงที่เน้น
เหลี่ยมสัน, เทคโนโลยีสำคัญที่ติดตั้งลงในรถยนต์ต้นแบบคันนี้คือระบบ
ขับเคลื่อน 4 ล้อ ALLGRIP ที่เตรียมเปิดตัวสู่ตลาดโลกในอนาคต

ตัวถังภายนอกยาว 4,215 มิลลิเมตร กว้าง 1,850 มิลลิเมตร สูง 1,665
มิลลิเมตร ฐานล้อยาว 2,500 มิลลิเมตร

ส่วนคันนี้ เป็นรถยนต์รุ่นใหม่ ล่าสุด Suzuki Hustler ไม่ใช่ต้นแบบแต่เตรียมออกมาขายจริงแล้ว
ว่ากันตามตรงมันก็เปรียบเสมือนกับ Hummer จับมาย่อส่วนทำหน้าแอ๊บแบ๊ววิ่งเล่นแถวๆ ย่าน
Harajuku เพราะดีไซน์ได้แรงบันดาลใจจาก Hummer แต่ปรับภาพลักษณ์ให้กลายเป็นรถยนต์
แนว Mini Crossover SUV สำหรับใช้ชีวิตนอกเมืองหรือในเมืองเป็นประจำทุกวัน บ่งบอกถึง
Life Style ของคนที่ชอบอิสระ และมีความสุขในสิ่งที่ได้ทำ

Hustler คือ คำตอบที่ว่า ถ้า Suzuki ต้องการจะสร้าง Toyota FJ Cruiser ในเวอร์ชันคันเล็ก
ตามสไตล์ของตนเอง มันจะออกมาเป็นแบบนี้แหละ!

การเข้าออกตัวรถจะคล้าย ๆ กับรถยนต์ทรง Tall Boy พอสมควร เพราะตัวรถเป็นแบบ
Crossover ยกพื้นสูงนิดหน่อย แต่ตำแหน่งเบาะนั่งถือว่าอยู่ในระดับพอ ๆ กับรถยนต์
กลุ่ม K-Car Hatchback จุดเด่นของมันจะอยู่ที่งานออกแบบภายในห้องโดยสาร เน้น
ความทนทานในการใช้งานเป็นหลัก ยิ่งเห็นมือจับประตูหลังนี่ก็พอทำเนาได้ว่า กลุ่ม
ลูกค้าเป้าหมายของรถคันนี้ต้องใช้ชีวิตกลางแจ้งบ่อย

มิติตัวถัง ยาว 3,395 มิลลิเมตร กว้าง 1,475 มิลลิเมตร สูง 1,665 มิลลิเมตร ติดตั้งเครื่องยนต์
เบนซิน 3 สูบ 660 ซีซี พร้อมระบบ ene-CHARGE และระบบ idle stop จับคู่เกียร์ CVT
น้ำหนักตัว 790 กิโลกรัม

กำหนดการเปิดตัวยังไม่ได้ระบุชัดเจน แต่คาดว่าจะได้เห็นในช่วงต้นปี 2014 อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่ Hustler จะวางขายจริง Suzuki ก็ทำรุ่นตัวถังพิเศษ ออกมาสำรวจ
ตลาดกันต่อเนื่องอีกรุ่นเลย นั่นคือ Suzuki Hustler Coupe รถต้นแบบที่ดัดแปลงมาจากเจ้า
Hustler รุ่นใหม่ล่าสุด ชูเอกลักษณ์เด่น ด้วยบั้นท้ายลาดและหักลงมาทั้ง ๆ ที่ลุคออกแนว
ลุยเล็กน้อย เหมาะสำหรับเด็กรุ่นใหม่ที่ต้องการ Crossover เท่ห์ ๆ ออกสปอร์ตนิด ๆ
ยังไม่มีกำหนดการผลิตขายขจริงออกมาในตอนนี้

ส่วนรถยนต์รุ่นต่างๆ ทั้งหมดที่ขายอยู่ในญี่ปุ่น ก็ถูกขนมาจัดแสดง
กันต็มพื้นที่บูธ ไม่ว่าจะเป็น Alto ECO เวอร์ชันประหยัดสุดๆ ของ
Alto 660 ซีซี ในญี่ปุ่น ที่รุดหน้านำเกมด้านประหยัดน้ำมัน โดยทำได้
ถึง 35 กิโลเมตร/ลิตร (ตามการทดสอบโหมด JC08 ของรัฐบาลญี่ปุ่น)
เกทับ Daihatsu Mira e:S แชมป์เก่า 32 กิโลเมตร/ลิตร ไปอย่างสบายๆ

Suzuki Swift รุ่นปรับโฉม Minorchange นอกจากติดตั้งเครื่องยนต์ใหม่
Dual Jet 1.2 ลิตร พร้อมชุดเครื่องเสียงใหม่ OEM โดย Panasonic แล้ว
ยังติดตั้ง Cruise Control มาให้ด้วย คันจริง วัสดุก็เหมือนกับเวอร์ชันไทย

ส่วน Swift Sport นั้น ยังครองความเป็นเทพประจำพิกัด B-Segment
ด้วยความแรงระดับ 136 แรงม้า (PS) คันเกียร์ธรรมดา มาในสไตล์
รถแข่ง กระชับไม่แพ้คันเกียร์ธรรมดาของ Toyota 86 เลยทีเดียว

ในกลุ่ม K-Car คันจิ๋ว มีทั้ง Suzuki Spacia / Spacia Custom รถตู้
ทรง Tall Boy ที่ประกบกับ Daihatsu Tanto กันอยู่ Suzuki Wagon R
ไปจนถึง Suzuki Lapin Chocolat สีชมพู หวาน เอาใจสุภาพสตรีเต็มขั้น
ทั้งภายนอกและภายใน แถมชุดเครื่องเสียงต่อเชื่อมกับโทรศัพท์ Smart
phone พร้อมระบบนำทาง GPS Navigation System ได้อีกด้วย

ไปจนถึง Suzuki Jimny Mini Off road 660 ซีซี ที่ขายกันมาตั้งแต่
ปี 1998 และปรับโฉมมาเรื่อยๆ ตอนนี้ คันเกียร์ เป็นแบบ Gate Type
และเพิ่มชุดเครื่องเสียงชั้นดีมาให้ ในราคาสุดคุ้ม

แต่ที่หลายคนละเลย ทว่า ผมกลับสนใจ นั่นคือ Suzuki Carry
เวอร์ชันญี่ปุ่น ซึ่งต่างจากรุ่น 1,300 ซีซี ของบ้านเราซึ่งนำเข้า
จากอินโดนีเซีย ตรงที่ ตัวถังเล็กกว่า ใช้เครื่องยนต์ 660 ซีซี
เพิ่มเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันในปี 2013 มานี้เอง มีเกียร์อัตโนมัติ
มาให้ มีห้องโดยสารที่ นั่งสบายขึ้นกว่ารุ่นก่อน และผลิตขาย
เฉพาะในญี่ปุ่น เท่านั้น

ที่เหลือ Suzuki จะมีจักรยานยนต์หลายรุ่นมาจัดแสดง ทั้งรุ่นต้นแบบ
และรุ่นจำหน่ายจริง อย่าง Hayabusa เวอร์ชันใหม่ สำหรับปี 2014
ก็ถูกนำมาปรากฎตัวในบูธกันแล้ว

TESLA MOTORS

แบรนด์รถยนต์ที่เกินความคาดหมาย ได้แก่ Tesla Motors ที่ใจกล้า ขอนำรถยนต์มาเบิกตลาด
รถยนต์ไฟฟ้าพรีเมี่ยมให้กับชาวญี่ปุ่นโดยจัดแสดงบนพื้นที่ขนาดย่อมใกล้กับบูธของ Honda
และ Mercedes-Benz จัดเอา Tesla Model S ทั้งโครงสร้างพื้นตัวถัง และตัวรถคันจริง
มาโชว์

ตัวรถคันจริงนั้น ต้องบอกว่าแตะระดับพรีเมี่ยมอย่างแท้จริง ทั้งคุณภาพงานประกอบ และการจัด
แพคเกจจิ้งตัวรถที่ทำให้มีเนื้อที่สัมภาระมากอย่างน่าประหลาดใจส่วนภายในห้องโดยสารมี
ความไฮเทคแบบเต็มที่ เพราะแผงคอนโซลหน้าใช้หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ และมีฟีเจอร์ควบคุม
ตัวรถต่างๆมากมาย และใช้ง่ายเสมือนสมาร์ทโฟน

แต่ปัญหาอยู่ที่เนื้อที่โดยสารตอนหลัง เมื่อหลังคาเทลาดอย่างมาก จนทำให้พื้นที่เหนือศรีษะ
อาจจะไม่เหลือมากเท่าที่ควร

TOYOTA / LEXUS

Toyota ยักษ์ใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น มาพร้อมคอนเซปท์การจัดแสดง ‘FUN TO DRIVE. AGAIN.’
ตอกย้ำเจตนารมณ์ที่รถยนต์ Toyota จะต้องมีความสนุกในการขับขี่ “ถ้ารถยนต์ Toyota ขับไม่สนุก
มันก็ไม่ใช่รถยนต์อีกต่อไป”

ดังนั้น การจัดแสดงรถยนต์ในครั้งนี้ จึงเน้นนวัตกรรมและการย้ำจุดยืนรถยนต์ควรเป็นหนึ่งเดียว
กับผู้ขับขี่ นอกจากนี้ Toyota ยังเนรมิตส่วนหนึ่งของพื้นที่จัดงานให้กลายเป็น ‘TOYOTOWN’
อันเป็นแคมเปญโฆษณาในญีปุ่่น เริ่มต้นเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โชว์เรื่องราวสมมติในเมือง
ที่มีรถยนต์ Hybrid เป็นตัวเอก ประกอบด้วย ดารานักแสดงชื่อดังในญี่ปุ่น มากมายหลายคน ที่
เคยมาเป็น Presenter ให้กับ Toyota มาแล้ว ไม่เว้นแม้แต่ Doraemon แมวหุ่นยนต์ขวัญใจเด็กๆ
ที่ยังคงรับหน้าที่เดียวกัน ต่อเนื่องมาจนถึงปีนี้ นอกจากนั้นแล้ว ยังจัดการโชว์รถยนต์ต้นแบบ
รุ่นใหม่ล่าสุดถึง 3 รุ่น เปิดตัวครั้งแรกในโลกพร้อมกันในงานนี้

Toyota FCV Concept รถยนต์ซีดานแห่งอนาคต มาจากการตระหนักว่าท้ายที่สุดแล้ว รถยนต์
ในอนาคตอีก 100 ปีข้างหน้า จะใช้พลังงานเซลล์เชื้อเพลิงเป็นพลังงานหลัก Toyota
จึงแสดงวิสัยทัศน์นั้นผ่าน Toyota FCV Concept รูปทรงของตัวรถ ดูคล้ายส่วนผสมระหว่าง
Toyota Vios โฉมปัจจุบัน และToyota Prius โดยเด่นด้วยช่องรับอากาศด้านหน้าขนาดใหญ่
และเส้นสายด้านข้างที่ชัดเจน ทำให้ตัวรถดูโฉบเฉี่ยวและไดนามิกมากกว่า Toyota แบบเดิมๆ

ระบบขับเคลื่อนเซลล์เชื้อเพลิง ใช้ Toyota FC Stack ที่มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา ในการเก็บ
ประจุไฟฟ้า โดยสามารถเดินทางได้อย่างน้อย 500 กม.ต่อไฮโดรเจน 1 ถัง อีกทั้งยังมีความ
สามารถในการช่วยจ่ายไฟให้แก่บ้านเรือนได้อีกด้วย

อยากให้จับตาดูรถยนต์ต้นแบบรุ่นนี้ให้ดี เพราะถึงแม้จะถูกผลิตขึ้นมาเพื่อแสดงวิสัยทัศน์เรื่อง
รถยนต์ Fuel Cell  แต่ด้านงานดีไซน์แล้ว รถยนต์ต้นแบบคันนี้อาจกำลังบอกใบ้ทิศทางงาน
ออกแบบของ Toyota Prius โฉมใหม่ ก็เป็นได้

Toyota JPN TAXI Concept มาจากแนวคิดที่ตระหนักว่า ในหลายเมืองใหญ่ของญี่ปุ่น รถยนต์
แท็กซี่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของภูมิทัศน์ของเมืองไปแล้วดังนั้น หากมีการพัฒนารถยนต์แท็กซี่
แนวใหม่ให้ทันสมัย สะดวกสบายกับผู้โดยสารทั้งเด็กเล็กไปจนถึงคนสูงอายุ และมีรูปทรงที่
สวยงาม ช่วยทำให้ภูมิทัศน์ของเมืองสวยงามไปด้วย

รถยนต์ต้นแบบรุ่นนี้ จึงมาพร้อมกับรูปทรงท้ายตัด หลังคาสูงโปร่ง พร้อมประตูแบบบานเลื่อนทำ
ให้ง่ายต่อการเข้า-ออกตัวรถ และเลือกใช้พลังงานก๊าซธรรมชาติ (LPG)ทำให้มีความประหยัดใน
การใช้งาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่แนวโน้มที่รถยนต์ต้นแบบคันนี้จะถูกนำมาผลิตจริงเพื่อ
เป็นรถยนต์แท็กซี่นั้น ยังไม่มีการประกาศใดๆออกมาครับ

คันซ้ายสุดบนเวทีกลาง นั่นคือ Toyota 86 Open Concept เวอร์ชันต้นแบบของ 86 ที่ Toyota
อยากผลิตออกขายในลำดับถัดไป แต่ เจอผู้บริหารของ FHI Subaru ขวางไว้ว่า การลงทุนทำ
หลังคาด้านหลัง งบประมาณสูงจนไม่คุ้มถ้าต้องทำขาย…ไว้มารอดูกันต่อไปว่า Akio Toyoda
CEO ผู้บ้า(ชอบ)รถ ของเรา จะทำอย่างไรกับเรื่องนี้?

Toyota FV2 Concept เป็นยานยนต์ต้นแบบที่ผลิตขึ้นมาเพื่อแสดงแนวคิดว่ารถยนต์ควรเป็น
หนึ่งเดียวกันกับผู้ขับขี่ พร้อมกับผุด ‘Toyota HEART PROJECT’ โครงการวิจัยการสื่อสาร
ระหว่างรถยนต์และผู้ขับขี่ โดยตัวรถจะทำการเข้าถึงอารมณ์ ความทรงจำ และความคิดของ
ผู้ขับขี่ ทำการวิเคราะห์และสื่อสารผ่าน เสียงและรูปภาพ อธิบายโดยเข้าใจง่ายคือ คล้าย
ระบบ Siri ที่สามารถสื่อสารโต้ตอบกับมนุษย์ได้ แต่คราวนี้มาอยู่ในรถยนต์และสื่อสารในเรื่อง
อารมณ์เป็นหลักนั่นเอง

โดยงานนี้ Toyota ลงทุนผลิตแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน ‘Toyota FV2’ เพื่อทำให้หลายๆคน
ได้เข้าถึงแนวคิดนี้ได้ง่ายๆ พร้อมให้ดาวน์โหลดแล้วผ่าน iOS App Store และ Google Play
Store บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์

ส่วนคันสีขาวที่จอดอยู่ใกล้ๆกัน นั่นคือ Toyota i-Road ยานยนต์แบบ Personal
Communicator ที่ถูกพัฒนาต่อเนื่องมาตั้งแต่ รุ่น PM ในปี 2003 จนถึง i-Real ใน
ปี 2011 มาวันนี้ i-Road อยุ่ในระดับที่สามารถขับขี่ได้จริงบนถนนญี่ปุ่นได้แล้ว

มิติตัวถังของ I-Road มีความยาว 2,350 มิลลิเมตร กว้าง 850 มิลลิเมตร สูง 1,445
มิลลิเมตร น้ำหนักตัวของ Toyota I-Road รวมแบตเตอรี่แล้วจะอยู่ที่ 300 กิโลกรับ
เท่านั้น

จุดเด่นอยู่ที่ นั่งได้ เพียงคนเดียว ขับขี่ง่ายเหมือนรถยนต์เกียร์อัตโนมัติทั่วไป
แต่มีแค่ 3 ล้อ โดยล้อหลัง จะเป็นล้อหมุนทิศทาง หมายความว่า ถ้าหมุนพวงมาลัย
ทางใด ล้อหลังจะหันทิศไปในทางตรงกันข้าม เพื่อบังคับให้รถ เลี้ยวได้ตามทิศที่
คนขับต้องการ เช่นเลี้ยวพวงมาลัยทางซ้าย ล้อจะหมุนไปทางขวา

ขุมพลังของ Toyota I-Road คือมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ที่ถูกติดตั้งอยู่ที่ล้อคู่หน้า มอเตอร์
แต่ละตัวให้แรงม้าสูงสุด 3 แรงม้า (PS) หรือ 2 กิโลวัตต์ ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 45
กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ถ้าเป็นเวอร์ชั่นญี่ปุ่นจะอยู่ที่ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง

แบตเตอรี่ของ I-Road เป็นแบบ Lithium-Ion ใช้เวลา 3 ชั่วโมง ในการชาร์ตไฟเข้า
แบตเตอรี่จนเต็ม ตัวแบตเตอรี่ถูกติดตั้งไว้ใต้เบาะหน้า โดยที่ทางโรงงานเคลมไว้
ว่าสามารถขับขี่ได้ระยะทางไกลที่สุด 50 กิโลเมตร หรือ 31 ไมล์ แต่ในด้านการ
ใช้งานจริงบนท้องถนน ทาง Toyota คาดว่าระยะทางจะเหลือเพียง 40 กิโลเมตร

เตรียมรออ่านประสบการสั้นๆ หลังการลองขับ i-Road ได้ ในบทความที่นี่ เร็วๆนี้

รถยนต์ต้นแบบยังไม่หมดเท่านี้ เพราะ Toyota เล่นแปลกด้วยการส่ง NOAH Concept และ
VOXY Concept 2 คู่หู Minivan รุ่นยอดนิยม คู่แข่งกับ Honda StepWGN และ Nissan
Serena มาจัดแสดงให้ดูกันก่อนเปิดตัวขายจริง

จุดเด่นอยู่ที่รูปลักษณ์ที่ลดความอนุรักษ์นิยมลง อีกทั้งห้องโดยสารยังถูกออกแบบให้โปร่งและ
นั่งสบายมากกว่ารุ่นปัจจุบัน รวมถึงเลือกใช้ขุมพลังไฮบริด 1.8 ลิตร บล็อกเดียวกันกับ Prius
แต่ก็ยังมีเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรให้เลือกใช้ด้วยเช่นกัน รถตู้ทั้ง 2 รุ่นจะพร้อมเปิดตัว
เวอร์ชันขายจริงในช่วงต้นปีหน้านี้ และทำตลาดในญี่ปุ่นทันที

จากสัมผัสที่ได้ขึ้นไปลองนั่งสั้นๆ บอกเลยว่า เบาะนั่งคู่หน้า นั่งไม่สบายนัก เพราะแม้ว่า
ปีกข้างจะกระชับลำตัวขึ้นกว่ารุ่นเดิม แต่พนักพิงหลังตรงกลาง ค่อนข้างจมลงไปมาก
ต่อให้นั่งขับไม่นาน ก็อาจปวดหลังได้ ดังนั้น อาจต้องหาหมอนมารองบริเวณกลางหลัง
สักหน่อย จึงจะช่วยให้นั่งขับได้นานๆ

ส่วน Toyota Aqua รถยนต์ Sub-Compact Hybrid 1.5 ลิตร ขายดีที่สุดในญี่ปุ่น ก็ถูกนำมา
ดัดแปลงกัน หลากหลายเวอร์ชัน ภายใต้ฝีมทือของบริษัท Kanto Auto Works ในเครือของ
Toyota เอง ไม่ว่าจะเป็น Toyota Aqua Air เวอร์ชันเปิดประทุนสีชมพูแสบสันต์, Toyota
Aqua Cross โชว์แนวคิดยก Aqua ให้สูงขึ้นเล็กน้อยในสไตล์ Crossover Hybrid รวมทั้ง
Toyota PremiAqua แต่งหน้าใหม่ด้วยลุคหรูหรา และ Toyota Aqua G Sport  (ไม่ใช่
G Spot) โชว์ศักยภาพการแต่งสปอร์ตโดยสำนักแต่ง G’s มาให้ดูเป็นอาหารตา

นอกจากนี้ยังมีรถยนต์รุ่นใหม่ที่นำมาโชว์ตัวในงานนี้เป็นครั้งแรก ยังมี Toyota HARRIER SUV
เคยได้รับความนิยมอย่างสูงแต่ต้องจำกัดการทำตลาดเฉพาะในญี่ปุ่นมาตั้งแต่ 2008 – 2012 วันนี้
Toyota ตัดสินใจพัฒนา SUV รุ่นนี้กลับมาทำตลาดอีกครั้ง และเปิดตัวโฉมใหม่ ในชื่อ Harrier
Hybrid เน้นความหรูหราเป็นหลัก

มิติตัวถังความยาว 4,720 มิลลิเมตร กว้าง 1,835 มิลลเมตร สูง 1,660-1,690 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ 2,660 มิลลิเมตร มีขุมพลังให้เลือก 2 แบบ ได้แก่ 3ZR-FAE บล็อก 4 สูบ
DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Dual VVT-I Valvematic 151 แรงม้า (PS)ที่ 6,100  
รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 19.7 กก.ม.ที่ 3,800 รอบ/นาที เกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน 
Super-CVT รุ่นขับเคลื่อนสองล้อมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 16 กิโลเมตร/ลิตร รุ่นขับเคลื่อน
4 ล้อ อัตราสิ้นเปลือง 15.2 กิโลเมตร/ลิตร (ตามมาตรฐานการทดสอบ JC08 ของญี่ปุ่น)

ขุมพลัง Hybrid จับคู่เครื่องยนต์สันดาปภายใน 2AR-FXE บล็อก 4 สูบแบบ Atkinson Cycle  
DOHC 16 วาล์ว 2.5 ลิตร Dual VVT-I Valvematic 152 แรงม้า (PS)ที่ 5,700 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 21.0 กก.ม.ที่ 4,400-4,800 รอบ/นาที ผนวกกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ลูกรุ่น 2JM 143
แรงม้า (PS) แรงบิด 27.5 กก.ม. และรุ่น 2FM 68 แรงม้า (PS) แรงบิด 14.2 กก.ม.มีเฉพาะรุ่น
ขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ E-Four เชื่อมเกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน E-CVT มีอัตราสิ้นเปลือง
21.8 กิโลเมตร/ลิตร (JC08)

บรรยากาศในห้องโดยสารตกแต่งด้วยวัสดุชั้นดี ระดับเดียวกันกับ Lexus RX รุ่นปัจจุบัน
การใช้หนังสีแดงไวน์มาช่วย ยิ่งเพิ่มความหรูล้ำขึ้นไปอีกระดับ เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน เบาะนั่ง
ด้านหน้า ออกแบบมาได้สบายกำลังดี ส่วนเบาะหลัง ทำได้ดีไม่แพ้กันเลย แต่เบาะรองนั่ง
แถวหลัง ยังสั้นไปนิดนึงเท่านั้น ตำแหน่งวางแขน ทำได้ดีทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

การออกแบบภายในก็จะเริ่มเข้าสู่ยุค Layer ที่มีความซับซ้อนด้วยความเว้า, ความโค้ง
จนน่าจะเป็นเทรนด์ใหม่ของการออกแบบภายในห้องโดยสาร โดยรวมแล้วเชื่อว่า Celeb.
และบรรดาเศรษฐีเมืองไทย ก็อาจจะแลมองมันอีกครั้งก็ได้ 

ถือเป็น Crossover SUV ที่น่าจับตาดูมากๆ เพราะคนญี่ปุ่นเองก็ให้การตอบรับดีตามคาด

หันไปมองอีกมุมหนึ่งก็เห็น Toyota SAI Minorchange ยิ่งเพ่งก็ยิ่งเห็นถึงความพยายาม
ของ Toyota ในการปรับปรุงให้มันดีขึ้นพอสมควร เมื่อทดลองนั่งภายในห้องโดยสาร
ก็พบว่าเบาะนั่งหน้า ถูกปาดซะแอ่นโค้งเอามิใช่น้อยเลย น้อง Toyd แห่ง The Coup
Channel ของเรา ได้ไปลองขับมาแล้ว ติดตามอ่านรายละเอียดของรถคันนี้ได้ คลิกที่นี่

ส่วนของแปลกในบูธ Toyota นั้น ยังไม่หมดแค่รถยนต์ต้นแบบ และรถยนต์รุ่นใหม่ๆ
เพราะคราวนี้ Toyota ตัดสินใจ นำ Crown Athlete รุ่นล่าสุด ที่พ่นสีชมพู Metallic
สีเดียวกับประตูวิเศษ Dokodemo-Door ของ Doraemon เพื่อใช้ถ่ายภาพยนตร์โฆษณา
รถยนต์รุ่นนี้ เมื่อปลายปี 2012 จนสร้างความฮือฮาไปทั่ว เกาะญี่ปุ่น มาออกขายจริงกันเสียที
ภายในใช้เบาะหนังสีครีม แผงหน้าปัดสีดำ แต่โลโก้มงกุฎประจำรุ่นบนพวงมาลัย สัญลักษณ์
Crown ที่พรมปูพื้น และสวิชต์ติดเครื่องยนต์ ถูกพ่นเป็นสีชมพู Momotaro Pink ล้วนๆ!
ราคาก็ไม่แพงเท่าไหร่ครับ..แค่ 6,000,000 เยน เท่านั้นเอง!!!

แต่ถ้าคิดว่า Pink Crown นั้นแปลกแล้ว ขอยืนยันว่า นั่นยังไม่พอ เพราะ Toyota ยังนำ
Toyota Corolla Fielder HYBRID Jeans มาจอดอยู่ใกล้ๆกัน นี่คือรถคันเดียวกับที่ใช้
ถ่ายทำภาพยนตร์โฆษณา ชุดล่าสุดที่มี Takuya Kimura เป็น Presenter (อีกตามเคย)
นอกเหนือจาก ความแปลกใหม่ ในฐานะ Corolla รุ่นแรก ที่วางขุมพลัง Hybrid 1.5 ลิตร
จากรุ่น Aqua แล้ว ยังแปลกตาด้วยการกรุผ้ายีนส์รอบคัน! อันที่จริง ถ้าคนไทยเราทำแบบนี้
ก็ไม่ยากครับ ดูจากขอบประตูต่างๆ ที่ผมถ่ายรูปมาให้ดู จะพบว่า ใช้วิธีแปะผ้ายีนส์ ขึงให้ตึง
แล้วติดรั้งด้วยเทปกาวเท่านั้น! แต่…ถ้าฝนตกแล้วผ้าเปียกโคลน…จะถอดมาซักคงไม่ง่ายแน่ๆ

ด้านบูธ Lexus ปูแนวคิด ‘Amazing in Motion’ เน้นอารมณ์และความประณีตในงานศิลปะ ยกเอา
หุ่นกระบอกไม้ขนาดโต ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตแบบเดียวกันกับที่อยู่ในแคมเปญโฆษณาทาง
โทรทัศน์ในญี่ปุ่น เอามาเป็นส่วนประกอบของบูธในปีนี้อีกด้วย

ส่วนรถยนต์นั้น นำมาเผยโฉมเป็นที่แรกในโลกถึง 2 รุ่น เริ่มจากรุ่นแรกที่เป็นกระแสฮือฮาในกลุ่ม
สื่อมวลชน ได้แก่ Lexus RC หรือตัวถังคูเป้ 2 ประตู บนพื้นฐานของ Lexus IS งานนี้ถือว่า
ชนกับ BMW 4-Series ใหม่ ที่จัดแสดงอยู่ในบูธถัดไปเข้าอย่างจงใจ

รูปลักษณ์คันจริง ถือว่าออกแบบมาได้ลงตัวกว่าที่คาดไว้ ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้า Spindle Grille
ที่มีความลงตัวมากกว่ารุ่นอื่นๆ รวมทั้งโคมไฟหน้า LED ที่ออกแบบรายละเอียดภายในโคม
ได้สวยงามราวกับรถยนต์ต้นแบบ แต่กรอบไฟหน้ายังดูแปลกๆ พยายามทำออกมาให้สอดรับ
กับเส้นสายเหนือซุ้มล้อคู่หน้า แต่ยังดูขาดเกินไปสักหน่อย แต่ในภาพรวมแล้ว ถือว่าเป็น
รถยนต์ Coupe ที่มีสัดส่วนสวยงาม ลงตัว มากที่สุดรุ่นหนึ่ง

ในระยะแรก จะทำตลาดด้วยเครื่องยนต์ 2 บล็อก ได้แก่ Lexus RC350 เครื่องยนต์เบนซินแบบ
V6 DOHC 24 วาล์ว 3.5 ลิตร 310 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิด 375 นิวตันเมตร
ที่ 4,800 รอบ/นาที และ Lexus RC300h เป็นขุมพลังไฮบริดผสมระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน
4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.5 ลิตร เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า จนมีกำลังสูงสุด 220 แรงม้า (PS) ยกมา
จาก Lexus IS ใหม่ ทั้งคู่ ให้เลือกใช้กัน

อีกคันหนึ่งได้แก่ Lexus LF-NX Concept เป็นร่างจำแลง ของรถยนต์ Premium Compact
Crossover SUV ที่ใกล้จะเปิดตัวในเร็วๆนี้ ถือว่าพัฒนาต่อยอดจากการเผยโฉมครั้งแรกในงาน
Frankfurt Motor Show เดือนกันยายนที่ผ่านมา Toyota แย้มออกมาแล้วว่า จะใช้ขุมพลังแบบ
4 สูบ DOHC 2.0 ลิตร พ่วง Turbocharger ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ และถือเป็นครั้งแรกที่
Lexus หันมาจริงจังกับเครื่องยนต์ ที่พ่วงระบบอัดอากาศหลังเน้นเครื่องยนต์ Hybrid
อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน

UD TRUCK (Nissan Diesel)

ตั้งแต่ Nissan Diesel ตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ชื่อ UD Truck และรับเอาเทคโนโลยีจากพันธมิตร
ผู้เชี่ยวชาญด้านรถบรรทุก อย่าง Scania มาช่วย ก็ยิ่งเสริมความแข็งแกร่งในการบุกตลาดกลุ่ม
รถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์มากขึ้น แต่ในงานปีนี้ หลักๆแล้ว เน้นการโชว์เทคโนโลยีของ
รถบรรทุกรุ่นใหม่ๆ และ เครื่องยนต์ Diesel Turbo เจเนอเรชันต่อไปเป็นหลัก

Staff ในบูธ ทุกคน ตั้งแต่ระดับสูง จนถึงพนักงานแนะนำสินค้า ถูกจับแต่งตัวเป็นนักฟุตบอล
นัยว่า เพื่อสื่อถึงการเป็น Teamwork ร่วมกันกับลูกค้า และสร้างความเป็นหนึ่งในองค์กร

VOLKSWAGEN

Volkswagen ดูจะเอาใจใส่กับตลาดญี่ปุ่นไปไม่น้อย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะในภาพรวมของรถยนต์
ต่างชาติ Volkswagen ก็เป็น 1 ในแบรนด์รถยนต์ที่ชาวญี่ปุ่นให้การต้อนรับเป็นอย่างดีเสมอมา

ปีนี้บูธ Volkswagen มาพร้อมกับแนวคิด ‘Find Your E-Motion’ ขนเอายานยนต์พลังไฟฟ้า
มาโชว์เต็มๆ จึงจัดการเปิดตัว Volkswagen TwinUp! เป็นครั้งแรกของโลกต่อยอด VW Up!
รถเล็กรุ่นดังอีกครั้ง หลังจากจับเอาขุมพลังไฟฟ้ามาใส่จนกลายเป็น Volkswagen e-Up! มาแล้ว
(นำมาจัดแสดงในงานนี้เป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นเช่นกัน)

ครั้งนี้ Volkswagen เล่นง่ายด้วยการยกชุดขุมพลังจาก Volkswagen XL1 รถยนต์ประหยัด
สุดยอดด้วยสถิติ 111 กม./ลิตร มายัดลง Volkswagen TwinUp! โดยชื่อ TwinUp! มา
จากการมี 2 ขุมพลัง ได้แก่ เครื่องยนต์ดีเซล 2 สูบ 0.9 ลิตร TDI พร้อมเทอร์โบ ผนวกเข้ากับ
มอเตอร์ไฟฟ้า จนสามารถสร้างอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยได้ 90.9 กม./ลิตร ใกล้ๆกันกับ
 XL1 เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังสามารถแล่นด้วยพลังไฟฟ้าได้ไกลถึง 50 กม.อีกด้วย

ในเมื่อ e-Up ก็คือการนำ Up รุ่นมาตรฐาน มาเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนเป็นไฟฟ้า นั่นแปลว่า
ขนาดตัวถัง และภายในห้องโดยสาร ย่อมไม่แตกต่างจาก Up รุ่นเครื่องยนต์สันดาป จึงต้อง
ขอทดลองนั่งกันสักหน่อย เพื่อที่จะพบว่า ภายในนั้น ประกอบด้วยแผ่นเหล็ก พ่นสีเดียวกับ
ตัวถังรถ เหมือนยุคสมัยของ VE Beetle รุ่นแรก อยู่มาก ทั้งหน้าปัด และบานประตู เหมือนกัน
เบาะหลังมีพื้นที่ Leg Room ไม่เยอะนัก แต่เบาะนั่งด้านหน้า ถือว่า นั่งพอสบายตามอัตภาพ
เบาะรองนั่งคู่หน้า สั้น แต่พื้นที่เหนือศีรษะค่อนข้างโปร่ง น่าเสียดายที่ VW ใจไม่กล้าพอที่จะ
ส่ง Up มาลุยตลาด ECO Car เมืองไทย ตั้งแต่ 3 ปีก่อน

และเพื่อไม่ให้เสียเที่ยว Volkswagen จึงยกเอา XL1 มาจัดแสดง และเปิดโอกาสให้ชาวญี่ปุ่น
ได้ทดลองนั่งกันด้วย ยอมรับเลยว่า การเข้า – ออกรถคันนี้ อาจไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะประตู
เป็นแบบปีกนกยกขึ้นมาทั้งบาน ตอนมุดลงไปนั่งหนะ ไม่เท่าไหร่หรอกครับ แต่ตอนลุกขึ้น
ต้องระวังหัวไปโขกกับบขอบด้านล่างของานประตู กันอย่างจริงจังเลยทีเดียว เพราะตัวรถ
เบามาก การที่คุณลงไปนั่ง หรือลุกขึ้นยืน ก็จะส่งผลต่อตัวรถได้ชัดเจน

ขณะเดียวกัน ทัศนวิสัย รอบคัน ก็ถือว่า พอรับได้ กระจกมองข้าง ใช้กล้องที่ติดตั้งอยู่
ด้านข้างลำตัวรถ ส่งภาพมายังจอมอนิเตอร์ขนาดเล็ก ที่บานประตูทั้ง 2 ฝั่งแทน เหมือน
รถยนต์ต้นแบบเลยทีเดียว ถือเป็นรถยนต์ผลิตขายจริงรุ่นแรก ที่ใช้กล้องแทนกระจก
มองข้างแบบนี้

นอกจากนี้ยังมี Volkswagen Golf R เวอร์ชันแรงที่สุดของ Golf  รวมทั้ง Golf GTi ใหม่
และ Golf Variant ตัวถังแวกอน  มาเปิดตัวพร้อมทำตลาดครั้งแรกในญี่ปุ่น รวมถึงรุ่น
e-Golf  เวอร์ชันไฟฟ้าล้วนมาโชว์เป็นครั้งแรกด้วยเช่นกัน

จากความรู้สึกที่ได้สัมผัส VW Golf โฉมใหม่แล้ว เนื้อที่โดยสารภายในยังคงใกล้เคียง
กับรุ่นปัจจุบันแต่รายละเอียดการตกแต่งต่างๆถูกปรับปรุงขึ้นชัดเจนจนเนี้ยบใกล้เคียงกับ
รถยนต์ระดับ Premium แล้ว แต่ข้อเสียที่ถือว่าน่าเสียดายนั่นคือ การวางตำแหน่งเสาหลังคา
คู่หน้า A-Pillar โน้มไปข้างหน้ามากขึ้น ทำให้ต้องติดตั้งกระจกหูช้าง เพิ่มเข้ามา และทำให้
ทัศนวิสัย บริเวณกระจกมองข้าง เกิดมุมอับสายตาเพิ่มข้นโดยไม่จำเป็น

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ Volkswagen ยังนำเอา CrossUp! มาเปิดตัวและทำตลาดครั้งแรกใน
ญี่ปุ่นเช่นกัน ซึ่งถึงแม้ตัวถังจะมีขนาดเล็ก แต่เนื้อที่โดยสารตอนหลังถือว่าพอใช้ได้ และน่าจะ
อยู่ตรงกลางระหว่าง Honda Brio และ Nissan March อย่างไรก็ตาม การยกสูงขึ้นเล็กน้อย
แม้จะทำให้ทัศนวิสัยดีขึ้น แต่ก็ไม่มากเท่าไรนัก

Volkswagen Beetle ยังมีมาอวดโฉมในงานนี้เช่นกัน ด้วยการตกแต่งเวอร์ชันเปิดประทุน
ในชื่อ Cabriolet 50’s ตกแต่งตัวถังด้วยสีดำขลับพร้อมกับล้ออัลลอยสีดำและฝาครอบล้อ
สีโครเมี่ยม ให้ความรู้สึกของรถยนต์ย้อนยุคได้เป็นอย่างดี

ส่วนบริเวณด้านในสุด จัดแสดง Volkswagen Polo WRC ตัวแข่งที่ดัดแปลงมาจาก Polo GTi
เพื่อลงทำศึก ในการแข่งขัน World Rally Cross ฤดุกาล 2014 สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดคือ แม่สาว
พริตตี้ ที่คอยเดินมาโพสต์ท่า อยู่รอบคันรถ บดบังมุมถ่ายรูปอยู่ตลอดเวลา อย่างน่ารำคาญ
ขนาดขอให้เธอช่วยหลบไปนิดหน่อย เธอยังไม่ยอมหลบ ยังคงไปยืนอยู่ด้านหลังรถ
สงสัยคงอยากปรากฎตัวในรูป บนนิตยสารในเมืองนอกเยอะๆกระมัง

———————————-

Volvo

ผู้ผลิตรถยนต์จากสวีเดินที่เหลืออยู่เพียงรายเดียว ยังคงตกแต่งบูธของตน
ให้ดูเรียบง่ายแต่มีชั้นเชิงในสไตล์ Scandinavian Design ได้เป็นอย่างดี

แม้ยังไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่ที่วางแผนทำตลาดในญี่ปุ่น แต่ Volvo นำเอา
รถยนต์ที่ขายอยู่ในญี่ปุ่น ทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็น S60, V40, V40 XC,
V60 และ XC60 มาตกแต่งด้วยอุปกรณ์ R-Design จอดอวดโฉม ด้วย
สีแดงเพลิงกันอย่างครบครัน

แต่ไฮไลต์สำคัญ อยู่ที่ การนำ Volvo Concept Coupe รถยนต์ต้นแบบ
2 ประตู ที่เพิ่งอวดโฉมสู่สายตาชาวโลกไปในงาน Frankfurt Motor
Show ที่เยอรมันี เมื่อ เดือนกันยายน 2013 มาให้ชาวอาทิตย์อุทัยได้ชม
ถึงทิศทางงานออกแบบยุคต่อไปของพวกเขา

Volvo Turcks

ไม่มีอะไรแตกต่างไปจาก Tokyo Motor Show ปี 2011 พวกเขายังคงนำรถบรรทุกรุ่นใหญ่ยักษ์
และขุมพลังตระกูลปัจจุบัน มาให้ดู และปีนขึ้นไปลองนั่ง กับประสบการณ์หลังรถบรรทุกกัน
เหมือนเช่นเคย

YAMAHA

ตามปกติแล้ว บูธของผ้ผลิตรถจักรยานยนต์อันดับ 2 และผู้ผลิตเครื่องดนตรี อันดับ 1 ของญี่ปุน
รายนี้ ไม่เคยมีรถยนต์ 4 ล้อ มาจัดแสดง นับตั้งแต่พวกเขาลองทำรถสปอร์ตรุ่นพิเศษ ในช่วง
ปี 1989

แต่ปีนี้ Yamaha มีรถคันจิ๋ว ที่เรียกเสียงฮือฮาจากสื่อมวลชนฝรั่งอั้งม้อได้อย่างดี เพราะ
เจ้า MOTIV.e ผลงานรถยนต์ขนาดจิ๋ว ของ Gordon Murray วิศวกรรถแข่ง Formular 1
ผู้โด่งดังจากสหราชอาณาจักร ที่เห็นอยู่นี้ มาปรากฎตัวอยู่ในบูธของ Yamaha ได้ ด้วย
เหตุผลเดียวนั่นคือ มันถูกติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าจาก Yamaha เข้าไป นั่นเอง

มอเตอร์ ขนาด 15 กิโลวัตต์ สามารถทำงานได้สูงสุดถึง 25 กิโลวัตต์ ให้แรงบิดสูงสุด
ส่งตรงยังล้อคู่หลัง ที่ 658 นิวตันเมตร และสามารถลากให้พีคสุดได้ถึง 896 นิวตันเมตร
ใช้แบ็ตเตอรี ที่ลดเวลาชาร์จจนเต็มเปี่ยม เหลือแค่ 3 ชั่วโมง จากปลั๊กชาร์จทั่วไปในญี่ปุ่น
เพื่อเดินทางได้ประมาณ 100 ไมล์ ให้อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ต่ำกว่า 15 วินาที

Tokyo Motor Show ปีนี้ ปิดฉากลงไปแล้ว เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2013 ที่ผ่านมา ด้วยยอด
ผู้เข้าชมงาน รวม 902,800 คน ถือว่าเพิ่มขึ้นจากปี 2011 (842,600 คน) ประมาณ 7%
ผู้จัดงานมองว่า ประสบความสำเร็จอย่างดี และช่วยกระตุ้นให้เกิดความสนใจในการ
ใช้รถยนต์ กลับมาสู่ชาวญี่ปุ่นรุ่นใหม่ๆ อีกครั้ง

การพึ่งพากระแสของ Tokyo Motor Show ที่จะช่วยฉุดรั้งให้ญี่ปุ่น ยังคงรักษาตัวเลข
ทั้งยอดขาย การเจริญเติบโต และภาพลักษณ์ อุตสาหกรรมยานยนต์ ในประเทศตน
คือเรื่องสำคัญยิ่ง เพราะอุตสาหกรรมนี้ เคยเป็นหนึ่งในแห่งรายได้สำคัญ ที่ค้ำจุน
ให้ระบบเศรษฐกิจญี่ปุ่น รุดหน้า และประคองตัวอยู่ได้ ท่ามกลางปัญหาต่างๆที่
รุมเร้าเกาะเล็กๆ แต่อัดแน่นด้วยประชากรนับร้อยล้านคนอย่างตอนนี้

ตลอดช่วงตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา Tokyo Motor Show อาจจะดูเหมือนลดขนาดงานลง
ตามสภาพเศรษฐกิจของญี่ปุ่น แต่งานนี้ ยังคงอุดมไปด้วยความฝันของผู้คนในแวดวง
อย่างเต็มเปี่ยม

ฝันที่จะเห็นการพัฒนารถยนต์ ไปสู่ยุคต่อไป ปลอดภัยขึ้น เป็นมิตรต่อโลกและสังคมมากขึ้น
ฝันที่จะเห็นการเติบโตอีกครั้งของอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่น ให้กลับมารุ่งเรืองเหมือนก่อน
และ ฝันที่คนญี่ปุ่นรุ่นใหม่ จะเติบโตไปพร้อมกับรถยนต์ ในทศวรรษหน้า

ฝันของพวกเขาเหล่านี้ เป็นฝันที่เราควรแก่การเดินทางกลับมาดูความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

ในอีก 2 ปีข้างหน้า….2015

—————————-///————————-

ขอขอบคุณ / Special Thanks to

Honda Motor Co.,Ltd.
Honda Automobile (Thailand) Co.,ltd.

Nissan Motor Company
Nissan Motor (Thailand) Co.,ltd.

Toyota Motor Corporation
Toyota Motor (Thailand) Co.,Ltd.

เอื้อเฟื้อการเดินทางให้กับ เรา ทั้ง 3 คน เป็นอย่างดียิ่ง

——————————————————-

J!MMY , TOYD , HOMY DEMIO
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน ทั้ง 3 คน
ภาพถ่ายทั้งหมด เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
8 ธันวาคม 2013

Copyright (c) 2013 Text & Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
December 8th,2013

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!