ในที่สุดทั้ง Renault-Nissan และ Daimler AG ต้นสังกัด Mercedes-Benz ก็ร่วมตกลงปลงใจเข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่สร้างประวัติศาสตร์การร่วมมือที่แตกต่างจากยุคก่อน ๆ ที่บริษัทใหญ่กว่าล้วนเข้ายึดครองบริษัทที่เล็กกว่า แต่ปัจจุบันจากรูปแบบบริษัทในเครือกลายเป็นหุ้นส่วนพัฒนาร่วมกันและปล่อยให้แต่ละบริษัทแสดงเอกลักษณ์ด้านการบริหารของตนเองจะดีกว่า
ความตั้งใจของ Renault-Nissan ที่จะควานหาพันธมิตรรายที่ 3 เพื่อประกอบกันและช่วยกันอุดช่องว่างรวมไปถึงเกื้อกูลกันใช้ทรัพยากรร่วมกันได้อย่างลงตัวเริ่มมีแนวความคิดมาตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นไปเพราะทั้งคู่ต่างมองโมเดลการทำธุรกิจรถยนต์ในลักษณะนี้ย่อมดีกว่าการครอบครองกิจการทั้งหมดเสียอีก ดั่งเห็นได้จากการอวสานของ Daimler-Chrysler ที่ยังผูกเอา Mitsubishi มาเกี่ยวหางด้วยแต่ก็ไปไม่รอด
Renault-Nissan เคยตกเป็นข่าวดังมาก่อนในปี 2006 ว่า1 ในผู้บริหารระดับสูง Mr.Kirk Kerkorian แห่ง GM นั่นล่ะอยากจะให้ Mr.Carlos Ghosn เข้ามากุมบังเหียน GM อย่างถึงที่สุด สถานภาพ GM ในตอนนั้นเข้าขั้นทรงกับทรุดแต่ไม่ถึงขั้นตกต่ำนัก แต่การที่จะเข้าไปกวาดล้างระบบใหม่จนถึงขั้นปฏิรูปเห็นทีจะเกินความสามารถของ Ghosn เช่นกัน
ถ้าวิเคราะห์ตามเนื้อผ้าแล้วคงไม่มีใครสามารถให้นักบริการเก่ง ๆ ไปบริหาร GM ได้ ณ ขณะนั้นเพราะโครงสร้างองค์กรที่ภาพภายนอกเหมือนจะแน่นแต่ที่แท้ข้างก็หลวมโพรกเต็มไปด้วยการเอื้อหนุนแบบผิด ๆ ของสหภาพแรงงาน ซึ่งวันที่ GM อยู่ในยุคล่มสลายในปี 2008 ก็ย่อมเกิดความเปลี่ยนแปลงและท้ายที่สุด GM ก็ต้องยอมรับสภาพและแก้ไขในสิ่งที่ถูกที่ควร
ผลงานความร่วมมือที่เป็นที่ฮือฮาในอินเดียครั้งล่าสุดในปี 2008 คือการร่วมมือกับ Bajaj ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ทั้ง 2 และ 3 ล้อ (มีสภาพหน้าตาเดียวกับรถตุ๊ก ตุ๊กในประเทศไทย)สนองการพัฒนารถยนต์ต้นทุนต่ำหรือ Ultra Low Cost Car โดยใช้ความเชี่ยวชาญการพัฒนาชิ้นส่วนต้นทุนต่ำแต่ยังมีประสิทธิภาพโดย Bajaj ขณะที่ Bajaj ก็ได้ผลประโยชน์ด้วยเพราะตนเองก็มีแผนพัฒนารถเล็กออกมาแข่งกับ Tata Nano อยู่ก่อนหน้านั้นแล้วเช่นกัน ความร่วมมือครั้งนี้ทำให้ Bajaj ได้เรียนรู้การพัฒนารถยนต์และการทำงานภายใต้องค์กรระดับมืออาชีพสากลด้วย
วันนี้ (7 เมษายน 2010)ก็ถือวันแห่งประวัติศาสตร์ของ Renault-Nissan และ Daimler AG ร่วมกันแถลงข่าวการจับมือเพื่อสมประโยชน์ทั้ง 3 ฝ่ายโดยฝ่าย Renault-Nissan จะเข้าถือหุ้นใน Daimler AG จำนวน 3.1% และฝ่าย Daimler AG จะเข้าไปถือหุ้นใน Renault 3.1% และ Nissan 3.1% ในกรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยี่ยม
Dr. Dieter Zetsche ผู้อำนวยการบริหารบริษัท Daimler AG และตำแหน่งหัวหน้ายานยนต์ Mercedes-Benz กล่าวรายละเอียดของความมือครั้งสำคัญนี้ว่า “Daimler และ Renault-Nissan Alliance คือการผสมผสานกันเพื่อความสำเร็จข้างหน้า เพื่อเติมเต็มกลยุทธ์ที่ท้าทายและน่าดึงดูดใจให้ร่วมกันพัฒนาร่วมกัน เมื่อรวมทักษะของแต่ละฝ่ายร่วมกันก็ถือเป็นการรวมจุดเด่นซึ่งกันและกันโดยเฉพาะความเชี่ยวชาญในการพัฒนารถเล็กและมีค่าไอเสียที่ต่ำ เมื่อรวมกันแล้วก็ไม่ทำให้คุณค่าแต่ละแบรนด์เสียไป”
Mr.Carlos Ghosn ผู้บริหารระดับสูง Renault-Nissan กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า “ Renault-Nissan Alliance รู้ดีและรู้วิธีการร่วมมือทางธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแบบหุ้นส่วนนั้นเป็นอย่างไร นั่นก็คือคำตอบว่าวิถีของอุตสาหกรรมยานยนต์จะต้องไปในแนวทางนี้ การร่วมมือกันครั้งนี้ระหว่าง Renault-Nissan และ Daimler AG เป็นการขยายเชิงกลยุทธ์และสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนร่วมกัน เราจะต้องทำงานร่วมกันเพื่อขยายและเสริมสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพภายใต้ทรัพยากรร่วมกัน และพัฒนานวตกรรมใหม่ ๆ เพื่อก้าวข้ามไปสู่ทศวรรษหน้า”
ผลจากการการตกลงเป็นพันธมิตรดังกล่าวทั้ง 3 ค่ายจะมีผลประโยชน์ร่วมกันดังต่อไปนี้
สถาปัตยกรรมใหม่สำหรับรถเล็ก
Smart Fortwo,ForFour และ Renault Twingo ตัวต่อไปจะต้องร่วมมือกันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางวิศวกรรมบนแนวคิดสถาปัตยกรรใหม่สำหรับรถขนาดเล็ก หลายท่านคงสงสัยแล้วว่ารถทั้งสองคันนี้ก็ไม่เข้าพวกกันแล้วรถกลุ่มหนึ่งขับเคลื่อนล้อหลัง อีกรุ่นหนึ่งขับเคลื่อนล้อหลัง ดังนั้นจึงได้ข้อสรุปใหม่แล้วว่าแนวคิดของโครงสร้างพื้นฐานรถเล็กต้องเป็นระบบขับเคลื่อนล้อหลังขนาดเล็กซึ่งทั้ง Renault-Nissan ก็ไม่เคยมีพื้นฐานมาก่อนนั่นเอง
สรุปข้อสงสัยแล้วว่า Renault มีความคิดที่จะพัฒนา Twingo เวอร์ชัน 2 ที่นั่งเพื่อให้เป็นรถแนว Urban Community ก็เป็นความจริงจนได้
กำหนดการเปิดตัวรถเล็กภายใต้ความร่วมมือนี้จะเห็นได้ภายในปี 2013 โดยโรงงาน Smart ในเมืองแฮมบัค ประเทศฝรั่งเศส รับผิดชอบการผลิตรถเล็กเวอร์ชัน 2 ที่นั่ง ส่วนโรงงาน Renault เมืองโนโว เมสโต ประเทศสโลวีเนีย รับผิดชอบการผลิตรถเล็กเวอร์ชัน 4 ที่นั่ง ทั้งคู่ยังจะมีเวอร์ชันรถไฟฟ้าให้เลือกด้วย
ระบบส่งกำลัง
การแลกเปลี่ยนเครื่องยนต์กลไกซึ่งกันและกันจะจับจุดไปที่เครื่องยนต์เบนซินและดีเซลที่มีอัตราสิ้นเปลืองประสิทธิภาพสูง
ฝ่าย Renault-Nissan จะส่งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล ทั้ง 3 และ 4 สูบ ให้แก่ Daimler AG ไปติดตั้งในรถยนต์ Mercedes-Benz การร่วมมือกันนี้ต่างก็ Win-Win ฝ่าย Mercedes-Benz ก็นำเครื่องยนต์ที่ Renault-Nissan ส่งมอบให้ไปติดตั้งรถยนต์นั่งขนาดเล็กและรถคอมแพคท์ระดับหรูในอนาคตข้างหน้า ส่วนฝ่าย Renault-Nissan ก็มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นช่วยทำให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำลง
ฝ่าย Daimler AG จะส่งมอบเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลทั้งแบบ 4 สูบและ 6 สูบป้อนให้ infiniti ติดตั้งในรถรุ่นใหม่ด้วย ผลก็คือทำให้ Daimler AG มียอดผลิตเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นด้วย
ความร่วมมือไม่มีที่สิ้นสุดทั้ง Renault-Nissan และ Daimler AG ยังเตรียมพัฒนาเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลยุคใหม่ การผลิตร่วมกันเริ่มแรกยังไม่สรุปจนกว่าจะหาเครือข่ายผลิตที่สมดุลจนสมประโยชน์ทั้ง 3 ฝ่ายได้
พื้นที่การพัฒนาเครื่องยนต์ร่วมกันก็จะขับเคลื่อนไปตามจุดเด่นของแต่ละแบรนด์และสินค้านั้น ๆ ซึ่งอาจจะเป็นในแนวทางที่คล้าย ๆ กับการพัฒนาเครื่องยนต์ของฝั่ง BMW และ PSA Group ที่ใช้พื้นฐานเครื่องยนต์เหมือนกันแต่ต่างกันเทคโนโลยีที่ตนเองมีครับ
ความร่วมมือเกี่ยวกับรถเพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็ก (LCV)
Renault-Nissan และ Daimler AG ยังได้ตกลงร่วมมือเกี่ยวกับการทำตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็กหรือ LCV อีกด้วย
Mercedes-Benz ก็เตรียมที่จะพัฒนา LCV ในระดับล่างสุดหรือ Entry-Level โฉมใหม่โดยใช้พื้นฐานวิศวกรรมจาก Renault และจะผลิตในโรงงาน Renault ในเมืองมาเบิร์ก ประเทศฝรั่งเศส โดยมีกำหนดทำตลาดภายในปี 2012 ผลลัพธ์ก็คือช่วยเพิ่มให้ทั้งคู่ทำกำไรมากขึ้นอันเกิดจากยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น และยังลดต้นทุนการผลิตอีกด้วย
นอกเหนือไปจากความร่วมมือกันผลิตรถเพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็กแล้ว ก็ยังมีการแลกเปลี่ยนเครื่องยนต์สำหรับรถเพื่อการพาณิชย์ขนาดกลางอีกด้วย Renault-Nissan จะจัดส่งชุดเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็กรวมถึงชุดส่งกำลังไปให้ Mercedes-Benz ติดตั้งในรถตู้ Vito แล้วจัดจำหน่ายให้เป็นรถรุ่นระดับล่างเพื่อช่วยเพิ่มยอดขายให้มากขึ้นกว่าเดิม
การแลกเปลี่ยนหุ้น
กลยุทธ์ความร่วมมือแบบซื้อหุ้นข้ามซึ่งกันและกัน เชื่อว่าเป็นกลยุทธ์การบริหารอย่างยั่งยืนและสมประโยชน์ทั้งหมด โดยมีหลักการการแลกหุ้นแบบ 3.1/3.1/3.1 ดังต่อไปนี้
-Daimler ถือหุ้นใน Renault 3.1% ของจำนวนหุ้นที่ออกใหม่
-Daimler ถือหุ้นใน Nissan ที่มีอยู่ใน Renault 3.1%
-Renault ถือหุ้นใน Daimler 3.1%
-Renault และ Nissan จะถือหุ้นทุนคืนฝ่ายละ 1.55% ใน Daimler
-Renault ได้ตกลงที่จะดำเนินการแลกเปลี่ยนหุ้น 1.55% ของ Daimler ให้กับทาง Nissan
โดยที่ Nissan จะตอบแทนโดยยอมให้ Renault ถือหุ้นในบริษัทตนเองเพิ่มอีก 2%
ทั้งนี้ จะทำให้ทั้ง Renault และ Nissan ต่างก็มีหุ้นจำนวน 1.55% ของ Daimler อยู่ในมือ
ผู้จัดการความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครั้งนี้คือ Renault-Nissan B.V โดยมีเหล่าคณะกรรมการร่วมชุดใหม่ที่เห็นชอบในความร่วมมือครั้งนี้ โดยแต่งตั้งให้ Mr.Carlos Ghosn และ Dr. Dieter Zetsche เป็นผู้บริหารระดับสูงของทั้ง 3 บริษัทร่วมกัน
โอกาสสำหรับความร่วมมือ
ทั้ง 3 บริษัทมีข้อพันธะผูกพันธ์กันแล้วว่าจะต้องร่วมมือกันพัฒนาในโครงการอันเป็นประโยชน์ร่วมกัน,ทั้ง Infiniti และ Mercedes-Benz มีโอกาสศึกษาซึ่งกันและกันอันทำให้เกิดการแชร์ชิ้นส่วนต่าง ๆ ของตัวรถ รวมไปถึงความร่วมมือกันทำงานในระดับภูมิภาคได้แก่ สหรัฐอเมริกา,จีน และญี่ปุ่น ท้ายที่สุดทั้ง Renault-Nissan และ Daimler ก็สามารถขยายโอกาสพัฒนารถไฟฟ้าในอนาคตร่วมกันครับ