Renault เคยขยันออกรถยนต์ระดับ E-Segment ที่ใหญ่กว่าตระกูล Laguna
หรือ Renault 21 มาตั้งแต่ยุค 80 จนถึงยุคปี 2000
ไม่ทราบว่า Renault ไปทำกรรมอะไรไว้ถึงไม่เคยได้รับความสำเร็จ
ในตลาดรถเซ็กเมนต์เอาเสียเลย  

สงสัย Renault คงจะเข็ดกับการพัฒนารถระดับนี้จนวันตาย
ขืนทุ่มทุนลงแรงพัฒนาขึ้นมาใหม่แล้วยังไม่ประสบความสำเร็จอีก
Renault จึงนำรถ D-segment ที่มาจับพัฒนาอีกทอดหนึ่ง
หรือว่าง่าย ๆ มาขยายร่างเล็กน้อยเพื่อทำตลาด E-segment ไปเลย
น่าจะดีกว่า แถมยังช่วยหางานให้ Renault-Samsung เกาหลีใต้
เป็นฐานประกอบส่งออกได้ด้วย

 
 

ถ้าย้อนกลับไปดูประวัติการพัฒนารถระดับ E-segment ของ Renault
ช่วงยุค 80 ขึ้นไปแล้วล่ะก็เราจะพบว่าเส้นทางของพวกเขาไม่ราบรื่นเอาเสียเลย
แค่รถ Renault 25 เปิดตัวในปี 1983ที่มาแทนตระกูล Renault 20/30 ก็มีปัญหาด้านคุณภาพ
ภายใน 3 ปีแรกจนลูกค้าชาวฝรั่งเศสหงุดหงิดใจเป็นที่สุด

ในเมื่อชื่อ Renault 25 ก็ไม่ได้สร้างความประทับเท่าไรให้กับลูกค้านักก็จำเป็นจะต้องหารถรุ่นใหม่
มาแทนที่พร้อมชื่อเสียงเรียงนามใหม่ตามนโยบายการทำตลาดของ Renault ช่วงปลายยุค 80
ที่จะต้องทยอยเปลี่ยนจากรหัสตัวเลขกลายเป็นชื่อเฉพาะแทน

 
 

รถที่จะต้องทำหน้าที่แทน Renault 25 ก็คือ Renault Safrane เปิดตัวในปี 1992
ชื่อใหม่แต่ตัวรถกลับยังอิงเส้นสาย Renault 25 อยู่ไม่น้อย
คาดว่าหากไม่ใช้ชื่อ Safrane ก็น่าจะต้องใช้ชื่อเดิมเหมือนเคย

Renault ลบจุดอ่อนที่มีอยู่ใน Renault 25 ออกไปให้หมดแต่ก็ยังมีจุดอ่อนที่ยังสู้คู่แข่งไม่ได้
คือสมรรถนะยังด้อยกว่าคู่แข่งเห็นได้ซึ่ง Renault พยายามปรับปรุงกันตลอดอายุขัยของมัน
และแน่นอนรถรุ่นนี้ก็ไม่ใช่รถเด่นยอดขายดีเช่นเคย

พอมาถึงช่วงปลายอายุขัย Renault Safrane ในปี 2000
Renault ก็เตรียมฉีกตลาด E-segment ในยุโรปให้กระจุยกระจาย
ที่ว่ากระจุยนั้นไม่ใช่ยอดขายแต่เป็นการสร้างความตะลึงให้โลกรู้ว่า
Renault กล้ามากที่ออกรถแนว Avantgard ล้ำสมัย (แต่ไม่น่าโสภาสำหรับบางคน)
ด้วยรูปทรงที่ต้องบอกเลยว่าค่ายอื่นไม่มีทางกล้าผลิตออกมาจำหน่ายแน่นอน

 
 

รถที่ทำให้ชื่อ Renault เป็นที่ฮือฮาถึงขีดสุดและน่าจะเป็นรถที่น่าจดจำในประวัติศาสตร์
ก็คือ Renault Vel Satis เปิดตัวในปี 2002 รถระดับ E-segment ลูกผสมรถหลากสายพันธุ์ยั้วเยี้ยกันไปหมด
คือมันทั้งสูงและดูต้านลมเหมือนรถมินิแวน, มีบั้นท้ายยื่นเหมือนรถซีดานแต่ที่จริงแล้วเป็นรถท้ายตัด
ผลที่ออกมาดูน่าตื่นตาตื่นใจ แต่หากพิจารณาเรื่องความลงตัวแล้วลูกค้าส่วนใหญ่ก็รับมันไม่ค่อยได้เสียเท่าไร
แม้ Renault จะบอกว่านี่คือตัวแทนรถยุคใหม่ทศวรรษที่ 21 ก็ตาม

นี่ยังไม่นับรวม Renault Avantime มินิแวนระดับบน ๆ ที่พยายาทำบั้นท้ายให้เหมือนรถคูเป้
ก็ร่วมวงสังฆกรรมรถแปลกในสายตาของลูกค้าไปอีกเช่นกัน

ผลก็คือ Renault ต้องยุติบทบาท Vel Satis ภายในปีที่แล้วส่วน Avantime ลาโลกอย่างรวดเร็ว
เพียงแค่ 3 ปีเท่านั้นนับตั้งแต่เปิดตัว

 
 

Renault ไม่ประสบเร็จในการทำตลาดรถระดับนี้มาแล้วเกือบ 30 ปีแล้ว
ขืนให้ Renault ลงทุนลงแรงทำรถเซกเมนต์นี้อีกครั้งก็ดูไม่น่าคุ้มค่าที่จะเสี่ยงเท่าไร
หนำซ้ำตลาด E-Segment กำลังจะตายจากยุโรปในไม่ช้า
เพราะรถระดับ D-Segment ที่ขายในยุโรปปัจจุบันหลาย ๆ รุ่น
มีขนาดใหญ่โตเทียบเท่ากับ E-segment ไปเสียแล้ว
บางค่ายถึงกับต้องยุบรถ 2 เซกเมนต์นี้กลายเป็นรถรุ่นเดียวกันไปเลย

แต่ถ้าอยากจะบุกตลาดรถซีดานระดับบนสุด ๆ เพื่ออุดช่องว่างแล้วล่ะก็
Renault ก็ไม่ต้องลงทุนลงแรงมากเพียงแค่ให้ Renault-Samsung
พัฒนารถซีดานรุ่นใหม่ขึ้นมาบนพื้นฐาน Renault Laguna มีขนาดตัวถังใหญ่โต
ขึ้นเล็กน้อยโดยที่ไม่ต้องพัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด

ทำให้ Renault-Samsung เกาหลีใต้มีรถซีดาน SM5 รุ่นใหม่ทดแทนรุ่นเก่า
ที่หยิบยืมรถมาจาก Nissan Teana J31 และช่วยผลักดันให้ Renault-Samsung
เป็นฐานการส่งออกซีดานรุ่นเดอะคันนี้ในนาม  Renault Latitude ไปยังตลาด
ที่มีความต้องการซีดานหรูไปในตัว

เรียกได้ว่ายิงกระสุนนัดเดียวได้นก 2 ตัวทีเดียว

 
 

รูปร่างหน้าตาก็ถือว่าเป็นฝาแฝดกับ Renault-Samsung SM5 ที่จำหน่ายในเกาหลีใต้
จะแตกต่างเล็กน้อยบ้างตรงชุดกระจังหน้าสำหรับ Renault Latitude โดยเฉพาะ
(สังเกตดี ๆ มันดูเหมือนกระจังหน้ารถ Volkswagen ที่ขายในบราซิลหลายรุ่น)
, แผงหลังคาสีดำทำให้รถดูปราดเปรียว นอกนั้นก็ไม่แตกต่างกันมากนัก

หรือถ้ามองอีกนัยหนึ่งมันก็คือ Renault Laguna ที่จับมายืดความยาวเล็กน้อยดี ๆ นั่นเอง
เพราะ Renault ไม่ต้องการพัฒนารถรุ่นใหม่แบบ 100% ให้เปลืองเงินนัก

มิติตัวถัง Renault Latitude มีความยาว 4.89 เมตร ความกว้าง 1.83 เมตร และสูง 1.49 เมตร
เมื่อเปรียบเทียบ Renault Laguna ก็ถือว่าใหญ่กว่าทุกมิติ (แต่รูปร่างกลับไม่ต่างกันเลย)
ด้วยความยาว 4.69 เมตร ความกว้าง 1.81 เมตร และสูง 1.44 เมตร

อุปกรณ์อำนวยความสะดวกก็ติดตั้งให้เหมาะสมกับ Flagship Sedan ด้วย
เครื่องปรับอากาศปล่อยประจุพร้อมส่งกลิ่นน้ำหอมได้แบบแยกคู่, ระบบปรับอากาศแบบแยก 3 โซน
, เบาะคนขับติดตั้งเครื่องนวดในตัว, ติดตั้งเครื่องเสียง Bose ระดับพรีเมี่ยม เป็นต้น

Renault ตั้งใจทำตลาด Latitude ในภูมิภาคเอเชีย, อาฟริกา, รัสเซีย, ตุรกี, กล่มประเทศติดอ่าว, ออสเตรเลีย
และเมกซิโก

รายละเอียดทางเทคนิคยังไม่อาจเปิดเผยตอนนี้ได้ คาดว่าคงจะรอเปิดเผยในงาน Moscow Motorshow 2010 ช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้ ส่วนชาวยุโรปตะวันตกก็เตรียมสัมผัสได้ในงาน Paris Motorshow เดือนกันยายนนี้