มรสุมค่ายรถยนต์เมืองเบียร์ Opel ยังไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียที กว่าจะลงตัวแก้ปัญหาเสร็จ
ก็คงใช้เวลาอีกนาน แต่ระหว่างเร่งสะสางปัญหา Opel จำเป็นต้องเปิดตัวรถรุ่นใหม่
ตามแผนการดั้งเดิมเอาไว้ให้ลุล่วงเสียก่อน
ดั่งที่เราเห็นได้จาก Opel Astra Sports Tourer หรือว่ากันง่าย ๆ มันก็คือ
Astra เวอร์ชันแวกอนพกพาบุคลิคความปราดเปรียว แข็งแกร่งเหมือนกับรุ่น
แฮทช์แบค
ประวัติศาสตร์รถแวกอนของ Opel นั้นริเริ่มขึ้นด้วยการแนะนำรุ่น Rekord
caravan ขึ้นในปี 1953 และถือว่า Opel เป็นผู้ริเริ่มนำรถตัวถังแวกอนเข้าสู่
ตลาดยุโรปเป็นรายแรก ๆ
และรถแวกอนที่เคยขึ้นชื่อว่ามีการออกแบบที่สวยงามปราดเปรียวล้ำสมัยนั่นก็คือ
Ascona Voyage ในปี 1971 ซึ่งเป็นรถที่น่าจดจำในช่วงเวลาหนึ่งของแบรนด์ Opel
เมื่อนับนิ้วตั้งแต่รถแวกอนครั้งแรกในยุโรปถือกำเนิดขึ้นก็สิริรวมราว50 กว่าปีจนปัจจุบัน
ตลาดรถแวกอนมีสัดส่วนที่สูงไม่แพ้รถแฮทช์แบคเลยเพราะความอเนกประสงค์ในการบรรทุกของ
ด้านท้ายแต่ยังคงรักษาบุคลิคของรถรุ่นนั้น ๆ เอาไว้ได้
ก็เรียกได้ว่าหากค่ายรถรุ่นใดไม่มีตัวถังแวกอนทำตลาดแล้วล่ะก็คงยากที่จะขอส่วนแบ่งการตลาด
ได้เยอะ ๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้ค่ายรถยุโรปทุกค่ายต้องพัฒนาตัวถังแวกอนกันทุกค่ายไม่มีขาด และแน่นอน
รวมไปถึงผู้เคยบุกเบิกตลาดอย่าง Opel ด้วย
สังเกตได้จากยอดขายรถตัวถังแวกอนในตระกูล Astra มีสัดส่วนการขายมากถึง 25%
และนั่นจึงเป็นที่มาของการเปิดตัวเผย Astra แวกอนโฉมใหม่ในวันนี้
Opel Astra Sports Tourer ถูกออกแบบให้เป็นรถแวกอนที่มีความปราดเปรียว
, กล้าแกร่งมากขึ้นเพื่อให้สมกับเป็น Opel DNA ยุคใหม่เช่นเดียวกับ Insignia
ซีดานรุ่นพี่
โดยยกครึ่งคันหน้ามาจาก Astra แฮทช์แบคทั้งดุ้นส่วนครึ่งคันหลังจะถูกออกแบบ
ให้เป็นท้ายแวกอนให้ดูสมส่วนกลืนกันไปทั้งคันซึ่งมีการลากเส้นสายด้านข้างต่อเนื่อง
เชื่อมถึงกัน
จุดเด่นของมันอยู่ที่เนื้อที่ห้องสัมภาระระหว่าง 500 – 1,550 ลิตร และระบบพับเบาะหลัง
FlexFold แบบใหม่พับเบาะได้ราบเรียบช่วยทำให้เพิ่มความยาวห้องสัมภาระ 1,835 มม.
ซึ่งยาวขึ้น 28 มม.เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นที่แล้ว
เครื่องยนต์บล๊อกใหม่ที่ Opel ภูมิใจนำเสนอเพื่อใส่ใต้ห้องเครื่อง Astra แวกอน
ก็คือเครื่องยนต์ 1.4 ลิตร เทอร์โบมีให้เลือก 120 แรงม้า (HP) จับคู่เกียร์ธรรมดา
6 จังหวะ และ 140 แรงม้า (HP) จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
อีกทางเลือกหนึ่งคือเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร CDTI 160 แรงม้า (HP)
320 นิวตันเมตรหรือ 32.32 กิโลกรัมเมตร จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
และเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 5.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร
ปล่อยค่าไอเสีย CO2 เพียง 134 กรัมต่อกิโลเมตร
ออพชั่น Start/Stop อันเป็นฟังก์ชันที่ช่วยความประหยัดและรักษาสิ่งแวดล้อม
จะเตรียมติดตั้งหลังจากเปิดตัวไม่นานนัก รุ่นย่อยแรกที่จะต้องถูกติดตั้งคือ
รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 1.3 CTDI 95 แรงม้า (HP)
กำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายในงาน Paris Motorshow 2010 เดือนกันยายนนี้
และจะจ่อคิววางจำหน่ายภายในเดือนพฤศจิกายน