North American International Auto Show 2011 : ขึ้นปีก็โชว์เลย
พอถึงวาระดิถีขึ้นปีใหม่ผู้คนในวงการตลาดรถยนต์สหรัฐอเมริกาก็พากันโล่งใจกันไปอีกเปลาะหนึ่ง สังเกตได้จากยอดขายปิดประจำปี 2010 สามารถไต่ระดับที่ 12 ล้านคันได้หลังจากปล่อยให้ลุ้นกันว่าในปี 2010 ยอดขายสหรัฐอเมริกาจะอยู่ในสภาพใดกันแน่ เพราะสภาพเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกายังไม่ถึงกับมีทีท่าที่ชัดเจนมากนัก
แต่ท้ายที่สุดยอดขายรวมประจำปี 2010 ในสหรัฐอเมริกาก็ยังแพ้ยอดขายรวมประจำในประเทศจีนที่ฟันยอดไปกว่า 17 ล้านคัน หากจะพูดให้ช้ำใจก็คือสหรัฐอเมริกาตกเป็นเบี้ยล่างประเทศจีนเสียแล้ว ดังนั้นกำลังอำนาจของบริษัทรถยนต์ส่วนใหญ่จะเทไปยังกลุ่มตลาดประเทศจีนอย่างช่วยไม่ได้
แม้สหรัฐอเมริกาตกอยู่ในสภาพ “อดีต” ผู้นำยานยนต์ระดับโลก (หากวัดกันที่ยอดขายอย่างเดียว) ก็ใช่ว่าจะมัวทุกข์ใจรอคอยโชคชะตาท่าเดียว อย่างไรก็ตามผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำแทบทุกค่ายก็ยังคงเห็นความสำคัญในสหรัฐอเมริกามากอยู่ดี
ดั่งที่จะเห็นจากผู้ผลิตรถยนต์หลาย ๆ ค่ายต่างพากันเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่อวดโฉมกันในงาน Detroit Autoshow หรือเรียกให้เต็มยศกันเลยว่า North American International Auto Show 2011 (NAIAS 2011) แทบทั้งนั้น
คงมีเพียงแค่บางค่ายขอถอนตัวจากการจัดงานดังกล่าวเนื่องด้วยเหตุผลการวางแผนการลงทุนของหลาย ๆ ค่ายที่เริ่มใช้แผน “Play Safe” กันตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นไป และก็ยังไม่แน่ใจในเศรษฐกิจของอนาคตเสียเท่าไร จึงไม่ผิดอะไรนักหากพวกเขาจะต้องรักษาเนื้อรักษาตัวไว้ก่อน
ค่ายรถที่ขอถอนตัวจากการจัดงานดังกล่าว ได้แก่ Nissan, Mitsubishi, Subaru และ Saab แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้จะกลับเข้ามาเปิดบูธภายในปี 2012 ก็เพราะความชัดเจนด้านเศรษฐกิจและอัตราการเติบโตตลาดรถยนต์สหรัฐอเมริกาที่เริ่มผงกหัวขึ้นด้วยตนเอง
Audi
Volkswagen Group เล็งเห็นยอดจำหน่ายรถยนต์ระดับหรูในสหรัฐอเมริกาแต่ระดับ 4 แสนคันต่อปีแล้วคงอดใจไม่ไหวจึงต้องเปิดตัวรถยนต์นั่ง Audi A6 รุ่นใหม่ล่าสุดในงานนี้ที่แรกของโลกหมายจับกลุ่มลูกค้าระดับเดียวกับ BMW 5-Series และ BMW E-Class แม้ว่างานออกแบบทั้งคันแทบจะไม่แตกต่างจากของเดิมมากเท่าไรตามประสา Volkswagen Group
ดีไซน์ที่ทำให้รู้สึกว่ามันคือ Audi ยุคใหม่ก็คือรูปทรงไฟหน้าทรงใหม่พร้อม LED Daylight แบบปีกพญาอินทรีย์ที่เคยเห็นกันมาแล้วใน Audi A1 และ A8 วัสดุตัวถังใช้อลูมิเนียมมากขึ้น ส่วนภายในห้องโดยสารยกชุดมาจาก Audi A7 Sportback แต่ปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนภายในให้ลดความสปอร์ต เน้นความหรูหรามากขึ้น
เครื่องยนต์ Audi A6 มีแบบเครื่องยนต์สันดาปภายใน 5 เครื่องและขุมพลัง Hybrid อีก 1 แบบ ได้แก่ เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 TDI 177 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 38.38 กิโลกรัมเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 8.7 วินาที อัตราสิ้นเปลือง 4.9 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ค่าไอเสีย CO2 แค่ 129 กรัมต่อกิโลเมตร
เครื่องยนต์ดีเซล V6 3.0 TDI 204 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 40.4 กิโลกรัมเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมภายใน 7.2 วินาที อัตราสิ้นเปลือง 5.2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ค่าไอเสีย CO2 139 กรัมต่อกิโลเมตร
เครื่องยนต์ดีเซล V6 3.0 TDI 245 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 50.5 กิโลกรัมเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมภายใน 6.1 วินาที อัตราสิ้นเปลือง 6.0 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ค่าไอเสีย CO2 158 กรัมต่อกิโลเมตร
เครื่องยนต์เบนซิน 2.8 FSI ไร้ระบบอัดอากาศใด ๆ 204 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 28.56 กิโลกรัมเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมภายใน 7.7 วินาที อัตราสิ้นเปลือง 7.4 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ค่าไอเสีย CO2 172 กรัมต่อกิโลเมตร
เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 TFSI 300 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 44.44 กิโลกรัมเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมภายใน 5.5 วินาที อัตราสิ้นเปลือง 8.2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ค่าไอเสีย CO2 190 กรัมต่อกิโลเมตร
และ ไฮไลต์สำคัญที่ทำให้ Audi A6 โดดเด่นมากที่สุดนั่นก็คือขุมพลัง Hybrid แบบ Parallel จับคู่เครื่องยนต์เบนซินสันดาปภายใน 2.0 ลิตร TFSI ให้กำลัง 211 แรงม้า (HP) มอเตอร์ไฟฟ้า 45 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 21.31 กิโลกรัมเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ TipTronic 8 จังหวะ
BMW
เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ น่าจะเป็นนิยามของบูธ BMW ในงานนี้ที่จัดการเปิดเผยโฉม BMW 650i Convertible ครั้งแรกในโลกอย่างเรียบง่ายมาก แม้ว่ารถคันนี้จะต้องเป็นรับใช้พระเอก Mission Impossible 4 ก็ตาม
หลังคาผ้าใบใช้เวลาเปิด-ปิด 19 วินาที เครื่องยนต์กลไกช่วงเปิดตัวมีแค่ 2 ตัวเลือกได้แก่ บล๊อก 6 สูบ3.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ 320 แรงม้า (HP) ที่ 45.45 กิโลกรัมเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 5.7 วินาที และอีกเครื่องยนต์บล๊อก V8 4.4 ลิตร 407 แรงม้า (HP) ที่ 60.6 กิโลกรัมเมตร อัคราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 5 วินาที ทุกรุ่นจับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ส่วนเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะก็แล้วแต่นักขับจะเลือก
อีกคันหนึ่งเด่นด้วยสีส้มเข้มนั่นก็คือ BMW 1-Series M Coupe ที่แม้ภายนอกจะไม่ค่อยเห็นความแตกต่างจากรุ่นมาตรฐานมากนักแต่เครื่องยนต์หล่อมากด้วยเครื่องบล๊อก 6 สูบแถวเรียง 3.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ ที่ BMW เคลมได้เลยว่ารถคันนี้รับแรงบันดาลใจจาก M3 สมัยปี 1988 ซึ่งเป็นรถที่มีขนาดกะทัดรัด ใช้งานได้ทุกวัน พอถึงคราวแรงก็ได้ดั่งใจ
Buick
ใครจะคิดว่า GM ตัดสินใจนำ Buick Excelle GT หรือ Opel Astra Sedan เวอร์ชันหรูเอาใจอาเฮีย อาซ้อตลาดจีนมาขายในตลาดสหรัฐอเมริกากับเขาด้วย คงจะหวังจับตลาดเศรษฐีอเมริกันวัยเยาว์ที่ชอบรถซีดานคอมแพคท์ระดับหนึ่ง
ดีไซน์ Buick Verano ทั้งคันไม่แตกต่างจาก Buick Excelle GT ในตลาดจีนเลยจะต่างกันเพียงแค่รายละเอียดปลีกย่อยบางอย่าง เช่น ลายล้อแมกซ์และรายละเอียดภายในห้องโดยสาร เป็นต้น พกพาเครื่องยนต์ Ecotec 4 สูบ 2.4 ลิตร 177 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 23.23 กิโลกรัมเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำได้ภายใน 8 วินาที ในอนาคต Buick ก็จะเตรียมเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จให้เลือกด้วย
Cadillac
ปีนี้ไม่มีรถใหม่เปิดตัวแต่ก็ขอแย่งซีดานด้วย CTS-V Coupe SCCA Race Car ตกแต่งพิเศษเพื่อผลักดันให้รถเข้าสู่การแข่งขัน America World Challenge GT racing series ช่วงเดือนมีนาคมนี้
Chevrolet
วันนี้ได้ทีประกาศศึกลุยตลาดรถยนต์ซับคอมแพคท์อีกครั้งของ Chevrolet ด้วยการนำ Aveo Modelchange มาเปลี่ยนชื่อเครื่องหมายทางการค้าใหม่เป็น Chevrolet Sonic เอาใจวัยรุ่นความเร็วเหนือเสียงด้วยดีไซน์ Aggressive ที่สุดเท่าที่เคยเจอมาในบรรดารถซับคอมแพคท์ทั้งหมด ฉีกภาพลักษณ์ Aveo เดิม ๆ ที่เป็นรถยนต์นั่งธรรมดา ๆ เรื่อย ๆ เปื่อย ๆ
จุดเด่นของมันคือคุณภาพการขับขี่และการบังคับควบคุมในระดับดีเยี่ยม GM เคลมว่ารถคันถูกพัฒนาช่วงล่างให้มีจิตวิญญาณ Corvette ติดมา แม้จะไม่ใช่ 100% แต่มันก็ทำให้รถคันนี้ขึ้นชื่อด้านการขับขี่ที่สนุกสนานเร้าใจสู้คู่แข่งขันจนขึ้นเป็นหัวหาดได้
Chevrolet ใจป้ำจัดเครื่องยนต์มาให้แรงทั้งนั้น ได้แก่ เครื่องยนต์ท๊อปสุดเบนซิน Ecotec ขนาด 1.4 ลิตร เทอร์โบ 138 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 20.2 กิโลกรัมเมตรรอบที่ระหว่าง 1,850-4,900 รอบ และอีกขุมพลังหนึ่งใหญ่ได้ใจ 1.8 ลิตร ไร้ระบบอัดอากาศใด ๆ 135 แรงม้า 16.87 กิโลกรัมเมตร จุดเด่นเครื่องนี้ก็คือมันสามารถเรียกแรงบิดถึง 90% ในช่วง 2,400-6,500 รอบต่อนาที
ชาวอเมริกันคงจะได้เห็น Chevrolet Sonic ในเร็ววันนี้ส่วนตลาดเมืองไทยต้องจับตาให้ดีเพราะมันจะมาในช่วงปี 201
Chrysler
Chrysler โหมกระหน่ำเปิดตัวรถรุ่นปรับปรุงโฉมสารพัดในปีที่แล้วจนเราแทบจะนึกไม่ออกแล้วว่าพวกเขาควรจะปรับปรุงรุ่นไหนให้เข้าท่าก่อนดี คิดไม่ออกบอกไม่ถูก Chrysler จึงขอเปิดตัวซีดานขนาดใหญ่ Chrysler 300 ซึ่งมันก็คือรุ่นปรับปรุงโฉมของ Chrysler 300C นั่นเอง
ดีไซน์ด้านหน้าถูกออกแบบมาในสไตล์ใหม่ แม้กระจังหน้าทรงคล้าย Bentley ไปนิด ไฟหน้าทรงคล้ายรถญี่ปุ่นหลาย ๆ รุ่นไปหน่อย แต่ยังดีกว่าไม่พัฒนาอะไรเลย ไฮไลต์สำคัญที่ Chrysler ภูมิใจนำเสนอคือการปรับปรุงคุณภาพภายในห้องโดยสารให้น่าใช้ยิ่งขึ้น ขุมพลังก็ยกมาจาก Dodge Charger ด้วยเครื่องยนต์ V6 3.8 ลิตร ให้กำลัง 292 แรงม้า และเครื่องยนต์ HEMI 5.7 ลิตร 370 แรงม้า จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะขับเคลื่อนล้อหลัง
Ford
Ford ก็จัดเป็นหนึ่งในบูธแห่งความเด่นในงานนี้ไม่น้อยเลยแม้จะมีเพียงแค่รถต้นแบบอวดโฉม 1 คัน และรถยนต์ต้นแบบพลังงานสีเขียวที่อาศัยเรือนร่างรถตลาดครอบทับเอาไว้ก็ตาม งานนี้ Ford ต้องการทวงความยิ่งใหญ่ในด้านรถพลังงานสีเขียวจาก GM และ Nissan คืนในปีนี้
Ford ตัดสินใจส่ง C-Max รถมินิแวนคอมแพคท์เวอร์ชัน 5 ที่นั่งบุกตลาดสหรัฐอเมริกาภายในปลายปีนี้ หลังจากเงื้อง่ากันมานาน แม้การทำตลาดออกจะพิลึกพิลั่นที่ไม่มีเวอร์ชัน Grand C-Max 7 ที่นั่งให้เลือกก็ตาม Ford คงมองเห็นว่าหากลูกค้าชาวอเมริกันตัดสินใจซื้อมินิแวน 7-8 ที่นั่ง พวกเขาจะเลือกซื้อรถที่มีขนาดใหญ่ระดับ Honda Odyssey จะดีกว่าเป็นไหน ๆ ดังนั้นทางเลือกของ Ford C-Max ในสหรัฐอเมริกาก็คือกลุ่มลูกค้าที่คิดจะซื้อ Ford Focus แต่ต้องการเนื้อที่ห้องโดยสารมาก
นอกจากนี้ Ford ยังอวดโฉม C-Max ในรูปแบบรถพลังงานสีเขียวได้แก่ Energi และ Hybrid จุดเด่นของ Ford C-Max Energi คือเป็นรถ Hybrid ที่มีระบะชาร์จประจุไฟฟ้าลงแบตเตอรี่เพิ่มเติมด้วยตนเอง ทั้งชาร์จที่บ้านข้ามคืนหรือสถานีชาร์จประจุและสามารถนำพลังงานดังกล่าวมา ใช้ทันทีในโหมดรถไฟฟ้าซึ่ง Ford อ้างว่าทำให้ผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องเติมน้ำมันบ่อยครั้งนัก แต่น่าเสียดาย Ford ไม่ระบุสเปคของมอเตอร์ไฟฟ้า, เครื่องยนต์สันดาปและแบตเตอรี่อันใดเลย เราจึงไม่ทราบว่ารถคันนี้มีจุดเด่นตามที่ Ford กล่าวอ้างหรือไม่
ส่วน Ford C-Max Hybrid ก็จะเป็นรถที่มีคุณสมบัติคล้าย C-Max Energi เพียงแต่ไม่มีการติดตั้งระบบ Plug-in เรียกได้ว่ารถคันนี้จะต้องทำงานในลักษณะ Full Hybrid ซึ่ง Ford มีเป้าหมายเซ็ตรถคันนี้ให้มีอัตราสิ้นเปลืองที่ดีกว่า Ford Fusion Hybrid รถซีดาน Hybrid ที่ทำได้ถึง 41 MPG หรือ 17.4 กิโลเมตรต่อลิตร และหากเชื้อเพลิงหมดระหว่างทางรถคันนี้ก็สามารถวิ่งในโหมด EV ได้มากถึง 75 กิโลเมตร เสมือนรถไฟฟ้าเต็มคันไปแล้ว
Ford Vertrek Concept รถรุ่นนี้แหล่ะที่คนไทยควรจับตามองยิ่งนัก เพราะอะไรทราบไหมครับ? เพราะรถคันนี้มันจะเป็น Escape ตัวต่อไปขณะเดียวกันมันก็ยังเป็น Kuga ตัวต่อไปสำหรับตลาดยุโรปเช่นเดียวกัน จึงไม่แปลกใจนักที่หลายคนเห็นแล้วร้องกรี๊ดลั่นทีเดียว
Ford Vertrek Concept ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐาน Global C-Platform อันเป็นแพลทฟอร์มยุทธศาสตร์ระดับโลกที่หมายมั่นปั้นมือให้ตอบสนองทุกความ ต้องการลูกค้าด้วยการส่งรถยนต์รุ่นใหม่บนแพลทฟอร์มนี้ถึง 10 รุ่นจนตั้งเป้าหมายยอดจำหน่ายมากถึง 2 ล้านคันภายในปี 2012
ดีไซน์ของ Ford Vertrek Concept ถูกออกแบบเพื่อตอบโจทย์คนใช้รถทั่วโลกอย่างแท้จริงจน Mr. Derrick Kuzak รองประธานดูแลฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับโลกกล่าวออกมาว่ารถคันนี้ถือเป็นการ ปฏิวัติรถกลุ่มนี้ในตลาดอเมริกาเหนือไปเลย (เพราะส่วนใหญ่รถครอสโอเวอร์มักจะมาแนวบึกบึน) ส่วนตลาดนอกอเมริกาเหนือส่วนใหญ่จะมองรถคันนี้เป็นรถที่สวยงาม
เครื่องยนต์กลไกของ Ford Vertrek Concept ก็ใช้ร่วมกับรถร่วมแพลทฟอร์มอย่าง Ford Focus และ Ford C Max ด้วยเครื่องเบนซิน 1.6 ลิตร Ecoboost ให้ทั้งความประหยัดน้ำมันและลดมลภาวะ ซึ่งภายในปี 2013 Ford จะใช้เครื่องยนต์ชนิดนี้กว่า 80% ของรถยนต์ Ford ทั่วโลกและ อีก 90% จะพบเห็นเครื่องเหล่านี้ในรถยนต์ Ford ตลาดอเมริกาเหนือด้วย
เครื่อง ยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร Duratorq รุ่นใหม่ที่ปรับปรุงอัตราสิ้นเปลืองให้ดีขึ้น รวมไปถึงสามารถลดค่าไอเสีย CO2 ได้ถึง 7% เมื่อเทียบกับเครื่องดีเซลบล๊อกปัจจุบัน ที่สำคัญเครื่องยนต์ทุกรุ่นยังติดตั้งระบบ Idle Stop ที่ Ford เรียกว่า Auto Start-Stop ที่สามารถติดเครื่องได้ภายใน 0.3 วินาที พร้อมพ่วงระบบแบตเตอรี่สำรองไฟที่ชาร์จประจุด้วยการแปลงพลังงานจลน์จากการ เบรคให้เป็นไฟฟ้าได้
GMC
GMC Sierra All Terrain HD Concept รถต้นแบบว่าที่ GM อยากทำอะไรสนุก ๆ เพื่อมาต่อกรกับ Ford F-150 SVT Raptor และ Dodge Ram Power Wagon ซึ่งล้วนเป็นรถกระบะลุยป่าฝ่าดงทรงเท่ห์แบบสุด ๆ พร้อมพละกำลังมหาศาลพร้อมฉุดบ้านเคลื่อนที่หลังโตได้ทันที
งานนี้มาแปลก GMC Sierra All Terrain HD Concept กลับเน้นภาพลักษณ์รถลุยล้ำสมัยแทนที่จะเป็นรถลุยแบบอเมริกันชนที่มีบุคลิกทันสมัยและบึกบึนมากกว่า ดีไซน์ภายนอกเน้นความล้ำสมัยด้วยชุดกระจังหน้าถูกออกแบบราวกับรถต้นแบบพร้อมชุดไฟหน้าล้ำหน้าไม่แพ้กัน, ลายล้อแมกซ์ขนาด 20 นิ้วพร้อมยาง BF Goodrich KM2 ขนาดมหึมาถึง 30 นิ้ว และเพิ่มประสิทธิภาพในการลุยด้วยช๊อคอัพสไตล์ออฟโรดจาก Fox
ขุมพลังก็สุดยอดด้วยเครื่องยนต์ดีเซล Duramax บล๊อก V8 6.6 ลิตร 397 แรงม้า แรงบิดมหาศาลถึง 105.57 กิโลกรัมเมตร ดุดันขนาดนี้คาดว่าอเมริกันชนที่ครอบครอง GMC Sierra ตกแต่งโดยใช้รถคันนี้เป็นแรงบันดาลใจได้
Honda
แม้จะเปิดตัวรถต้นแบบ Pre Production ของ Civic Concept เจเนเรชั่นที่ 9 แค่คันเดียว แต่เชื่อหรือไม่ หลายคนก็ยังอดใจรอการเปิดเผยโฉมของรถคันนี้อย่างรอคอย ก็เพราะ Honda Civic เป็นรถคอมแพคท์รุ่นสำคัญรองจาก Toyota Corolla และยังเป็นรถคอมแพคท์ที่ยึดหัวหาดยอดขายไว้อย่างเหนียวแน่นจนคู่แข่งยากที่จะต่อกรได้ เพราะความ “พอดี” ทั้งด้านการขับขี่, สมรรถนะเครื่อง, อัตราสิ้นเปลืองที่ดี และค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาที่ทำให้หลายคนยังเชื่อมั่นกันมาก
ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญคงมิใช่เพียงแค่รูปลักษณ์เท่านั้น แต่ Honda ยังกำหนดทิศทางกลยุทธ์ใหม่ของ Honda Civic ให้เดินหน้าไปสู่ตลาดมหาชนที่มีความหลากหลายมากกว่าตลาดคนรุ่นใหม่ (เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าตลาดวัยรุ่นน่าจะพอได้)เพียงอย่างเดียว
นับ ต่อจากนี้ไปแนวคิด Civic For All People รถสำหรับทุก ๆ คนจะเริ่มใช้กับ Civic เจเนเรชั่นล่าสุด เสมือนย้อนกลับไปแนวคิดดั้งเดิมของ Honda Civic เจเนเรชั่นแรกตอบสนองผู้ที่จะยานพาหนะทุกรูปแบบ แต่ยังคงรักษาจุดเด่นของรถคันนี้ในด้านความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง, มลพิษต่ำ และความสนุกในการขับขี่ที่ไม่เหมือนใคร
ดีไซน์ Honda Civic Concept ยังคงรักษาแนวคิดการออกแบบจากเจเนเรชันปัจจุบันเอาไว้มากทั้งดีไซน์ฟอร์มและ สัดส่วนตัวรถยังคงรักษาแนวคิด MonoForm เอาไว้เช่นเคย เพียงแต่ปรับสัดส่วนบางจุดเพื่อให้รับกับยานยนต์ยุค 2011
ใน Press Release ไม่ได้ระบุว่า Honda ปรับปรุงชิ้นส่วนหรือประสิทธิภาพเครื่องยนต์อย่างไรบ้าง บอกเพียงแค่เครื่องยนต์สันดาปภายในติดตั้งระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ i-Vtec พร้อมทั้งมีให้เลือกขุมพลัง IMA Hybrid และเครื่องยนต์แก๊ซธรรมชาติเท่านั้น
สำหรับเมืองไทยต้องจับตาไว้ให้ดีคาดว่าน่าจะเปิดตัวได้ภายในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2011 นี้ และเราต้องลุ้นกันว่า Honda จะยังงัดลูกเล่นปรับปรุงโฉมสำหรับขายในแถบเอเชีย (ยกเว้นจีน) และยุโรปอีกหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่า Honda จะไม่จำหน่าย Civic เจเนเรชั่นต่อไปในญี่ปุ่นแน่นอน อีกทั้งยอดขาย Civic ซีดานในยุโรปก็มีแต่เวอร์ชัน Hybrid ยอดขายน้อยนิดพอสมควร นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เดาใจ Honda จะใจป้ำลงทุนขึ้นโมลด์แปลงหน้าใหม่สำหรับไทย/อาเซียนและบางประเทศในเอเชียซึ่งจัดเป็นชนส่วนน้อยหรือไม่?
Hyundai
หลังจากด้อม ๆ อยู่นานสองนานวันนี้ได้เวลาเปิดเผยโฉม Hyundai Veloster ซับคอมแพคท์คูเป้กันเสียที รูปลักษณ์โดยรวมได้รับอิทธิพลจากรถต้นแบบพอประมาณ มองเผิน ๆ เหมือนมันไม่ค่อยลงตัวเท่าไรเพราะ Hyundai พยายามเล่นเส้นสายยุคปัจจุบันให้เข้ากับรถต้นแบบ Veloster ที่มีรูปทรงแข็งแกร่ง
งานนี้มาแปลก Hyundai Veloster กลับกลายเป็นรถสปอร์ต 3 ประตูคูเป้แบบพิสดารอย่างไม่น่าเชื่อ Hyundai ติดตั้งบานประตูหลังฝั่งคนขับ 1 บานสำหรับผู้โดยสารตอนหลังเปิดแบบตู้กับข้าวเหมือนกับ Mazda RX-8 ข้อดีของมันหนีไม่พ้นเพิ่มความสะดวกสบายในการเข้าห้องโดยสารตอนหลัง
ไฮไลต์สำคัญหนีไม่พ้นขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร GDI เทอร์โบ 138 แรงม้าที่ 6.300 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 16.97 กิโลกรัมเมตรที่ 4,850 รอบต่อนาที จับคู่เกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่หรือเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ Hyundai อ้างว่าเครื่องยนต์บล๊อกนี้มีความประหยัดถึง 40 MPG หรือ 17 กิโลเมตรต่อลิตรหรือดีกว่า Honda CR-Z รถสปอร์ต Hybrid เสียด้วยซ้ำ
Hyundai Curb Concept แค่เห็นรูปร่างหน้าตาก็รู้ได้เลยว่ามันคือรถแนวเอสยูวีขนาดเล็กแนว ๆ เดียวกับ Nissan Juke ไม่น้อย แม้จะเป็นรถลุยทรงเหลี่ยม ๆ ดูคล้าย ๆ Kia Soul แต่ Hyundai ยังใส่เส้นสาย Fluidic Sculpture สำหรับจับตลาดคนรุ่นใหม่ในรถคันนี้ด้วย
ติดตั้งเครื่องยนต์สหกรณ์เบนซิน Gamma 1.6 ลิตร เทอร์โบ 170 แรงม้า จับคู่เกียร์คลัทช์คู่ให้อัตราสิ้นเปลือน้ำมันในเมือง 12.7 กิโลเมตรต่อลิตร นอกเมือง 17 กิโลเมตรต่อลิตร
Kia
งานดีไซน์ Kia KV7 ดูเผิน ๆ ก็คล้าย Ford Flex ผสมกับรถอเมริกันหลาย ๆ รุ่นพอสมควรเลยทั้งรูปทรงกล่องเหลี่ยมยาว แถมยังเป็นรถบรรจุผู้โดยสาร 3 แถวเสียด้วย แนวคิดนี้ก็ดูน่าสนใจสำหรับลูกค้าชาวอเมริกันไม่น้อย น่าแปลกรถต้นแบบคันนี้แทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Design DNA ของ KIA ยุคปัจจุบันเท่าไรนัก มันถูกออกบบให้ดูเป็นรถย้อนยุคเล็กน้อย มีเส้นสายเรียบง่ายสะท้อนความเงางามบนพื้นผิวตัวถัง
เมื่อภายนอกออกแบบแนวย้อนยุคแล้วภายในก็ต้องถูกออกแบบ Futuristic Retro ในสไตล์เลาจ์คอกเทลหรูหราให้สมกับเป็นรถต้นแบบดูแล้วมีเสน่ห์น่าจับตายิ่งนัก ส่วนขุมพลังก็ติดตั้งเครื่องยนต์ 4 สูบเทอร์โบให้กำลัง 285 แรงม้า
Lamborghini
แม้ว่า Lamborghini ไม่ได้จัดบูธในงานนี้เราจึงไม่เห็นรถรุ่นใหม่ในงานนี้เลย แต่ Mr. Stephan Winkelmann ผู้บริหารแบรนด์ Lamborghini และ Mr. Maurizio Reggiani ผู้บริหารแผนก R&D กลับพูดข้อมูลเด็ด ๆ เกี่ยวกับรถสปอร์ตที่จะมาแทน Murciélago ซึ่งอาจจะใช้ชื่อ 834 ในงานเสียอย่างนั้น
ดีไซน์ภายนอกของ Lamborghini 834 เต็มเปี่ยมไปด้วยเส้นสายแห่ง Lamborghini ยุคใหม่ ดูโดดเด่นด้วยช่องดักลมหน้าทรงเอกลักษณ์และประตูแบบกรรไกรซึ่ง Mr. Winkelmann ถึงขนาดกล้ายืนยันยันว่ามันเป็นการปฏิวัติแต่สร้างการจดจำ งานออกแบบได้รับแรงบันดาลใจจากวงการทหารมาประยุกต์ใช้
แชสซีส์จะต้องแข็งแกร่งทนต่อการบิดตัวและน้ำหนักเบา โดยเฉพาะโครงสร้างตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์มีน้ำหนักแค่ 229 กิโลกรัม ทนต่อการบิดตัวมากถึง 35,000 นิวตันเมตรซึ่งใช้วัสดุระดับเทพ RTM ที่ Lamborghini คิดค้นร่วมกับ Boeing ผู้ผลิตอากาศยานพาณิชย์ชั้นนำและมหาวิทยาลัยแห่งวอชิงตัน
ขุมพลัง V12 ขนาด 6.5 ลิตร มีกำลังมากกว่าเครื่องรุ่นเดิมที่ติดตั้งใน Murciélago 18% หรือมีกำลัง 700 แรงม้าที่ 8,450 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 70.24 กิโลกรัมเมตรที่ 5,500 รอบต่อนาที ลดค่าไอเสียลง 20% จนได้ค่าไอเสีย CO2 ระดับ 393 กรัมต่อกิโลเมตร
ระบบส่งกำลังใช้เกียร์แบบคลัทช์เดี่ยว 7 จังหวะเอกสิทธิ์ประจำ Lamborghini ผลิตโดย Graziano ซึ่งมีน้ำหนักเบากว่าเกียร์คลัทช์คู่ราว 20 กิโลกรัม
ระบบช่วงล่างเป็นแบบ Pushrod พร้อมแดมเปอร์แนวนอน ระบบดิสก์เบรคหน้าวัสดุคาร์บอนขนาด 400 มม.และล้อหลังขนาด 380 มม. พร้อมระบบเบรคจอดไฟฟ้า ขนาดห้องโดยสารก็กว้างใหญ่ขึ้น ตำแหน่งผู้ขับขี่เหมาะสมขึ้นพร้อมหน้าจอ TFT ขนาดใหญ่
Mini
Mini Paceman มันก็คือ Mini CountryMan เวอร์ชัน 3 ประตูที่ปรับสัดส่วนความสูงตัวรถเล็กน้อยดี ๆ นี่เอง ซึ่งถือเป็น 1 ใน 3 รูปแบบตัวถังใหม่ของ Mini แห่งทศวรรษที่ 22 และที่สำคัญมันยังสามารถต่อกรกับ Range Rover Evoque รุ่น 3 ประตูได้ถนัดถนี่มากขึ้นอีกด้วย
รูปลักษณ์ด้านหน้านั้น ได้อิทธิพลมาจาก MINI Countryman เต็มๆ ด้วยไฟหน้าทรงวงรีกึ่งเหลี่ยม และกระจังหน้า พร้อมฝากระโปรงหน้าที่ดูตั้งชันคล้ายกับที่อยู่ใน Countryman และเส้นแนวหลังคาที่ลาดเอียงไปทางด้านหลัง สร้างความโฉบเฉี่ยวให้กับภาพรวมของตัวรถ มากขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มสันโป่งมากขึ้นบริเวณซุ้มล้อหน้าและล้อหลัง ซึ่งทั้งหมดนี้ MINI ตั้งใจจะสื่องานดีไซน์ของ Paceman concept ให้มีความสดใหม่ โมเดิร์น และเข้ากับชีวิตคนเมืองมากขึ้น
ด้านรูปลักษณ์ภายในนั้น ถูกออกแบบให้มีแผงคอนโซลแบบใหม่ ที่ปรับงานดีไซน์จากแผงคอนโซลใน Countryman อีกทั้งยังคงมี Center rail system หรือราวเหล็กที่พาดยาวตั้งแต่คอนโซลกลางบริเวณคันเกียร์ไปจนถึงเบาะหลัง โดยสามารถใส่ฟังก์ชั่นต่างๆไม่ว่าจะเป็นที่วางแก้ว, กล่องเก็บแว่นตา, ที่วางโทรศัพท์ ฯลฯ ตามต้องการ
ส่วนรายละเอียดทางวิศวกรรมนั้น MINI Paceman concept มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาดความจุ 1.6 ลิตร พร้อมแรงม้า 211 แรงม้า และแรงบิด 260 นิวตัน-เมตร โดยแรงทั้งหมดจะถูกส่งผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา All4 เช่นเดียวกับที่ใช้ใน MINI Countryman
Mercedes-Benz
งวดนี้ Mercedes-Benz ขอเปิดตัว C-Class Minorchange ที่ผมคิดว่าดูดีกว่ารุ่นตัวก่อนมากนักทั้งดีไซน์ภายนอกถูกปรับโฉมให้มีความโฉบเฉี่ยวและปราดเปรียวขึ้นด้วยโคมไฟหน้าชุดใหม่ดูคล้าย กับ CLS เจเนเรชั่นที่แล้วผสมกับเจเนเรชั่นใหม่ รูปทรงกระจังหน้ายังดูคล้ายทรงเดิม รายละเอียดกันชนหน้าถูกปรับเปลี่ยนเสียใหม่ด้วยการเพิ่มหลอดไฟ LED Daylight บริเวณกันชนหน้า ปรับปรุงขอบสันกันชนหน้าให้ดูซับซ้อนขึ้น ที่สำคัญยังเปลี่ยนวัสดุฝากระโปรงใหม่เป็นอลูมิเนียมเพื่อช่วยลดน้ำหนักตัวรถ
ความสวยงามมิได้ถูกจำกัดเพียงบริเวณด้านหน้ารถเท่านั้น บั้นท้าย C-Class Minorchange ก็ยังพบความเปลี่ยนแปลงระดับหนึ่งนั่นก็คือหันมาเปลี่ยนไปใช้หลอดไฟ LED ดูสวยสดงดงามยิ่งขึ้น
ภายในห้องโดยสารของ C-Class Minorchange เชื่อว่าหลายคนที่เป็นแฟนพันธุ์แท้รถแห่งดวงดาวหรือแม้กระทั่งแม้แฟนพันธุ์ เทียมก็น่าจะชื่นชอบเพราะมันแทบยกดีไซน์ความสวยสปอร์จาก E-Class โฉมปัจจุบันมาเกือบทั้งหมด เพียงแต่ปรับเปลี่ยนเส้นสายบางอย่างให้รู้สึกอ่อนไหวและเข้าหาคนง่ายกว่านี้ ชิ้นส่วนภายในบางชิ้น เช่น พวงมาลัยและชุดควบคุมแอร์อัตโนมัติ ก็ได้รับแรงบันดาลใจจากภายในของ SLS AMG ด้วย
ขุมพลัง C-Class Minorchange ไฮไลต์หนีไม่พ้นเครื่องยนต์เบนซิน V6 ฉีดเชื้อเพลิงตรงเทคโนโลยี BlueDirect ให้กำลัง 302 แรงม้า (HP) แรงกว่าเครื่องตัวเดิม 268 แรงม้า ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง 5% สำหรับตลาดสหรัฐอเมริกาก็ได้เพิ่มทางเลือกใหม่ เครื่องยนต์บล๊อก 4 สูบ ฉีดเชื้อเพลิงตรงพ่วงเทอร์โบชาร์จ มีอัตราสิ้นเปลืองโดยเฉลี่ย 24 MPG หรือประหยัดขึ้น 15% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น C300 ปัจจุบัน
นอกจากนี้ Mercedes-Benz ยังอวดโฉมซูเปอร์คาร์พลังไฟฟ้า SLS AMG E-Cell สีเหลืองเขียวมะนาวเปรี้ยวสะใจ ส่วนใครที่ยังปรามาสขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าอยู่วันยังค่ำ (แม้ว่าจะให้สมรรถนะที่ดีกว่าเครื่องยนต์สันดาปภายในระหว่างตีนต้นถึงตีนกลางอย่างชัดเจนมากก็ตาม) เห็นทีต้องลบล้างความคิดเดิม ๆ แล้วล่ะ
ทีมวิศวกร Mercedes-Benz เขาเก่งมากสามารถพัฒนามอเตอร์ไฟฟ้าให้กับ SLS AMG E-Cell ได้ใกล้เคียงกับเครื่องยนต์เบนซินด้วยพลัง 526 แรงม้า (เครื่องยนต์เบนซิน V8 6.2 ลิตรทำตัวเลข 560 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 89.56 กิโลกรัมเมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้ภายใน 4 วินาที ตามแบบฉบับ AMG ทุกประการ
Mercedes-Benz ติดตั้งอุปกรณ์เกี่ยวกับขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งหลายโดยไม่ต้องดัดแปลงชิ้นส่วน
หรือ โครงสร้างตัวถังใด ๆ เลย โดยเฉพาะการแยกติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธี่ยมโพลิเมอร์บางเฉียบไว้บริเวณหน้าแผ่น ผนังกันความร้อน, บริเวณกึ่งกลางลำตัว และหลังเบาะนั่งซึ่งทั้งหมดมีตำแหน่งจุดศูนย์ถ่วงต่ำเพื่อคุณภาพ
การขับขี่ที่ดี
แบตเตอรี่ลิเธี่ยมโพลิเมอร์ก็ถูกทดสอบอย่างหนักภายใต้สภาวะร้อนจัดและเย็นจัดซึ่งติดตั้งระบบระบายความร้อน
จากลมแอร์และระบบเพิ่มความอบอุ่นจากฮีตเตอร์ให้แก่แบตเตอรี่ได้ด้วย
Porsche
ปีนี้ Porsche คัมแบ๊กอีกครั้งในงานนี้เพื่อมาเปิดเผยโฉม รถสปอร์ต Hybrid 2 ที่นั่งเครื่องยนต์วางกลางเวอร์ชันมอเตอร์สปอร์ตที่ใช้ชื่อว่า Porsche 918 RSR อันเป็นรถสปอร์ตคูเป้ที่ถูกสานต่อมาจาก Porsche 918 Concept รถสปอร์ตเปิดประทุนซึ่งเคยอวดโฉมมาแล้วในงาน Geneva Motorshow ประจำปี 2010 มาแล้ว
เมื่อเราเห็นรูปร่างหน้าตาของ Porsche 918 RSR ก็แทบอยากจะบอกว่านี่ล่ะน่าจะเป็นรถยนต์เวอร์ชันที่ใกล้เคียงกับเวอร์ชันผลิตขายจริงพอสมควร เชิ้นส่วนหลาย ๆ ชิ้นน่าจะถูกดัดแปลงเพียงเล็กน้อยเพื่อพร้อมจำหน่ายได้ ในเมื่อ Porsche ตั้งใจอวดโฉมรถต้นแบบคันนี้แล้วมันก็แทบแสดงเจตจำนงต่ออนาคตรถสปอร์ตคันนี้มากพอดู
จุดที่แตกต่างระหว่าง Porsche 918 RSR และ Porsche 918 Concept ที่ชัดเจนคือรูปแบบตัวถัง รถต้นแบบ Porsche 918 RSR มาในมาดคูเป้ทรงเอกลักษณ์ Porsche ส่วนอีกคันหนึ่งจะเป็นแบบเปิดประทุน ที่เหลือก็จะเป็นการตกแต่งสีสันภายนอกเท่านั้นเอง
ขุมพลังของ Porsche 918 RSR ยกมาจาก Porsche 911 GTR R Hybrid ผสานกำลังจากเครื่องยนต์สันดาปภายใน V8 ขนาด 6.2 ลิตร 563 แรงม้าที่รอบสูงสุดถึง 10,300 รอบต่อนาทีกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ตัวละ100 แรงม้า จนสามารถรวมกำลังกันได้มากถึง 763 แรงม้า
Toyota
หลังจากรอให้มรสุมคลื่น Recall Effect สงบเสียก่อน พอขึ้นปีปุ๊บ Toyota ก็ได้เวลาเผยโฉม Prius V รถยนต์ Hybrid เวอร์ชันมินิแวน 5 ที่นั่งสานต่อความสำเร็จตระกูล Prius ที่มียอดขายในตลาดสหรัฐอเมริกาแตะ 1 ล้านคันแล้วซึ่ง Toyota คาดหวังยอดขาย Prius ให้เป็นเบอร์ 1 อเมริกันภายใน 10 ปีข้างหน้า
ความหมายของ V ที่ต่อท้ายชื่อคือ Versatile ความอเนกประสงค์และความยืดหยุ่นได้ หากเราคิดกันไปไกลคำย่อนี้ก็น่าจะมาจาก Verso อันเป็นชื่อรุ่นมินิแวนในตลาดยุโรปก็เป็นไปได้ เพื่อบ่งบอกว่าภายในห้องโดยสาร Prius V ใหญ่โตกว่า Prius รุ่นมาตรฐานถึง 50% ทีเดียว
Toyota Prius V จะใช้โครงสร้างตัวถังพื้นฐานและแพลทฟอร์มร่วมกับ Toyota Prius รุ่นมาตรฐาน อันเป็นวิสัยทัศน์ในการพัฒนารถยนต์ของ Toyota ยุคปัจจุบัน
ดีไซน์ภายนอกมีความเป็น Prius รุ่นมาตรฐานระดับหนึ่งแต่ Toyota พยายามปรับเปลี่ยนดีไซน์ของชิ้นส่วนต่าง ๆ ให้มีความแตกต่างเล็กน้อย ได้แก่ รูปทรงโคมไฟหน้าถูกออกแบบดูละม้าย Toyota Wish เจเนเรชั่นที่แล้วพร้อมลูกรอยหยักมุมบนเหมือนลูกศร, ชุดกระจังหน้าได้รับอิทธิพลจากรถยนต์ Toyota ตระกูล Verso ทั้งหลาย
สัดส่วนตัวถัง Toyota Prius V ถูกเพิ่มความสูงกว่า Toyota Prius รุ่นมาตรฐานเล็กน้อยเพื่อหวังเนื้อที่ห้องโดยสารเหนือศีรษะและเนื้อที่ห้องสัมภาระ เมื่อมองด้านข้างตัวรถก็ชัดเจนแล้วว่าตัวรถมีความยาวมากกว่า Toyota Prius รุ่นมาตรฐานระดับหนึ่ง แต่เห็นอย่างนี้อย่าดูถูกเชียวว่าจะต้านลมเพราะมันมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานแค่ 0.29
ไหน ๆ Toyota Prius V เกิดมาเพื่อเป็นรถอเนกประสงค์เต็มพิกัดแล้วเรื่องความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารก็ต้องมากตามไปด้วย ตำแหน่งเบาะนั่งทุกที่ถูกยกระดับให้สูงขึ้นกว่าเดิม เนื้อที่ห้องโดยสารตอนหลังกว้างมากถึง 965 มม. เนื้อที่ห้องสัมภาระก็ใหญ่จุใจถึง 34.3 ลูกบาศก์ฟุต
ภายในห้องโดยสาร ตกแต่งในสไตล์คล้ายคลึงกับ Prius รุ่นมาตรฐาน อย่างไรก็ตาม เบาะนั่งคู่หน้า แทบจะ
เรียกได้ว่า ยกจาก Prius รุ่นมาตรฐาน มาติดตั้งกันดื้อๆ เลย มีเข็มขัดนิรภัย ELR 3 จุด แบบลดแรงปะทะ
และดึงกลับอัตโนมัติ Front Pretensioner & Load Limiter มาให้ ตรงกลาง มีพื้นที่วางแขน และช่องวาง
แก้วน้ำขนาดใหญ่มาให้ 1 ตำแหน่ง พร้อมถาดวางของอเนกประสงค์ ติดตั้ง อยู่บนพื้นรถ
จุดขายสำคัญของ PRIUS V คือ การเป็นรถยนต์ Toyota รุ่นแรก ที่ติดตั้ง ระบบ Entune Multimedia system ซึ่งนอกจากจะมีระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS ที่สามารถ Upgrade ข้อมูลแผนที่ ได้แบบ ไร้สาย รวมทั้ง ระบบความบันเทิงในรถต่างๆแล้ว ยังช่วยให้ผู้ขับขี่ สามารถใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ ได้หลากหลายยิ่งขึ้น
กว่าเดิม
ขุมพลังของ Prius V นั้น ยกมาจาก Prius รุ่นมาตรฐานเลยเกือบทั้งดุ้น เป็นเครื่องยนต์ รหัส 2ZR-FXE
บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,797 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 80.5 x 88.3 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด
13.0 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ EFI พร้อมระบบแปรผันวาล์ว Dual VVT-i และแน่นอน
จุดระเบิดแบบ Atkinson Cycle ให้พละกำลังสูงสุด 99 แรงม้า (PS) ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
14.5 กก.-ม. หรือ 142 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที
ทำงานร่วมกับ มอเตอร์ไฟฟ้า รุ่น 3JM ให้กำลังสูงสุด 82 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 207 นิวตันเมตร
หรือ 21.1 กก.-ม. ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน CVT ที่ฝังอยู่ในมอเตอร์ ไปในตัว
อย่างไรก็ตาม สมรรถนะในภาพรวม จะต้องมีการปรับปรุงจาก Prius รุ่นมาตรฐานเล็กน้อย แต่ในด้าน
แบ็ตเตอรี ยังคงเป็นแบบ Ni-Mh นิกเกิล เมทัล ไฮดราย จาก บริษัท Primearth ซึ่งเป็นโรงงานผลิต
แบ็ตเตอรี รถยนต์ Hybrid ที่ตั้งขึ้นด้วยความร่วมมือจาก Toyota และ Panasonic (Matsushita Electric)
ไฮไลต์สำคัญในบูธ Toyota ก็คือการเผยโฉมรถต้นแบบ Toyota Prius C Concept ว่าที่รถ Hybrid ขนาดคอมแพคท์ในอนาคตและยังช่วยเสริมไลน์ Prius ให้แข็งแกร่งตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ อันที่จริงตัวรถ Toyota Prius C ก็ไม่ถือว่าจะมาแข่งขันกับ Honda Fit/Jazz Hybrid โดยตรงนัก เพราะดีไซน์ตัวรถเหมือนจะเน้นความอเนกประสงค์ “เล็ก ๆ “ ในคราบซับคอมแพคท์แฮทช์แบคกึ่งแวกอนอย่างที่พวกเราเห็นกัน
Toyota Prius C Concept ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นน้องเล็กตามชื่อย่อตัว c นำมาจากคำว่า City หมายจับกลุ่มเป้าหมายคนหนุ่มสาวที่ยังเป็นโสดหรือใช้ชีวิตคู่ที่ต้องการรถยนต์รักษาสิ่งแวดล้อม, ประหยัดน้ำมัน และให้ความสนุกสนานในการขับขี่
กำหนดการเปิดตัว Toyota Prius C Concept เวอร์ชันขึ้นสายการผลิตจริงจะเกิดขึ้นช่วงครึ่งแรกของปี 2012
Volkswagen
การเอาจริงของ Volkswagen ในตลาดสหรัฐอเมริกาครั้งนี้ก็ทำให้พวกเราจับตามองการเติบโตของแบรนด์นี้พอสมควร เพราะความคาดหวังของยอดขายในถิ่นลุงแซมเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การไต่ขึ้นเป็นค่ายรถยนต์เบอร์ 1 ของโลกแทนที่ Toyota แน่นอน
Volkswagen จึงลงทุนพัฒนา Passat โฉมใหม่สำหรับตลาดอเมริกาโดยเฉพาะ ปล่อยให้ตลาดยุโรปใช้ Passat รูปร่างเก่า ๆ (แต่หน้าตาใหม่) กันต่อไป
Volkswagen Passat US Version ถูกออกแบบโดยทีมวิศวกรในประเทศเยอรมนี โดยนำข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าชาวอเมริกันมาเป็นพื้นฐานในการพัฒนาโดยเฉพาะ ทั้งขนาดตัวถัง การบังคับควบคุมและการขับขี่
ดีไซน์ภายนอก Volkswagen อ้างเป็นมันเป็นรถที่มีสัดส่วนสมดุล มีเอกลักษณ์ไร้กาลเวลา สะท้อนความโดดเด่นในการออกแบบสไตล์ Volkswagen DNA โดยมี Mr. Walter de Silva ผู้กุมบังเหียนการออกแบบแบรนด์ Volkswagen ทั้งหมด
ภายในห้องโดยสาร Volkswagen เคลมว่าการออกแบบดูมีราคาค่างวดเหมือนรถที่มีราคาแพงกว่ามาก ดีไซน์ดูสะอาดตา, สมส่วนและเหมาะสมต่อการใช้งานจริง ส่วนประกอบภายในห้องโดยสารมีคุณภาพเทียบเท่ากับรถราคาแพงของตนเอง อาทิ การประดับโครเมี่ยมบางส่วน เป็นต้น
จุดเด่นของภายในห้องโดยสารที่สามารถนำมาเกทับคู่แข่งได้นั่นก็คือ เนื้อที่วางขาผู้โดยสารตอนหลังกว้างที่สุดในรถระดับเดียวกัน คงเพราะได้อานิสงฆ์จากฐานล้อที่ยาวระดับ 2,800 มม. จนทำให้มีขนาดตัวถังใหญ่ยาว 4,860 มม. ไม่แตกต่างจากคู่แข่งรายอื่นมากนัก
เครื่องยนต์กลไก Volkswagen จัดชุดเต็มสำหรับชาวอเมริกันจริง ๆ ด้วยเครื่องยนต์รุ่นล่างสุดเบนซิน 5 สูบ 2.5 ลิตร 170 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 24.24 กิโลกรัมเมตร จับคู่เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะและเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะให้เลือก
เครื่องยนต์เบนซิน V6 3.6 ลิตร 280 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 35.24 กิโลกรัมเมตร มาพร้อมกับเกียร์ DSG 6 จังหวะ ทำอัตราสิ้นเปลืองได้ 28 MPG หรือ 11.9 กิโลเมตรต่อลิตร
ที่สำคัญ Volkswagen เล็งเห็นการขยายตัวตลาดรถยนต์นั่งดีเซลในสหรัฐอเมริกาแล้วจึงส่งเครื่องยนต์ ดีเซล 2.0 ลิตร TDI 140 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 32.32 กิโลกรัมเมตร เครื่องตัวนี้มีอัตราสิ้นเปลืองน่าพอใจมากถึง 18.28 กิโลกรัมเมตร หรือหากคิดระยะทางวิ่งสูงสุดเฉลี่ยต่อน้ำมัน 1 ถัง รถคันนี้สามารถวิ่งได้ถึง 1,287 กม. แม้จะวิ่งได้ไม่ทั่วไทย แต่แค่นี้ก็ประหยัดมากแล้ว