ดูเหมือนว่าแผนธุรกิจระดับโลกของ Nissan ชักเริ่มจะบ้าบิ่นเข้าไปทุกวันจนทำให้เราแอบสงสัยว่า 10 ปีที่ผ่านมา Nissan ไปทำอะไรกันอยู่? จู่ ๆ ถึงได้บุกตลาดแนว Aggressive ก้าวร้าวชนิดไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมอีกต่อไป
แผนงานที่หุนหันพลันแล่นแบบนี้น่าจะเป็นเพราะเป็นการเตรียมแผนงานระยะยาวเอาไว้มากกว่า
หากย้อนกลับไปช่วงที่ Nissan เพิ่งฟื้นจากความตายเมื่อปี 1999 แผนธุรกิจก้าวแรกภายใต้บังคับบัญชา Carlos Ghosn ผู้กุมบังเหียนชะตากรรม Nissan ก็เพิ่งถูกเริ่มขึ้นในปี 2004 บ้างก็ล้มเหลวบ้าง บ้างก็ประสบความสำเร็จ แต่ที่เห็นได้ชัดคือ Nissan ยังไม่มีการเติบโตที่น่าเร้าใจแต่อย่างใด หนำซ้ำยังถูก Honda แซงขึ้นหน้าตาเฉย ทั้ง ๆ ที่ Nissan มีสินค้าให้เลือกมากกว่า
ก้าวแรกที่วางไว้คงไม่ใช่แผนธุรกิจที่ลงตัวเท่าไรเลย Nissan ยังต้องเรียนรู้ความต้องการของลูกค้าและจัดสรรการบริหารงานอีกมากนักกับทุก ๆ ตลาด จนกระทั่งแผนงานระยะกลาง GT 2010 ก็เริ่มมีความชัดเจนแล้วว่า Nissan ได้เรียนรู้ความต้องการของลูกค้าทั่วโลกบ้างแล้วล่ะ
แนวโน้มที่ดีขึ้นเริ่มมาจากการใส่ใจการพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการตลาดโลกภายใต้ต้นทุนการผลิตที่เหมาะสมได้แก่ รถไฟฟ้า Leaf, รถเล็กในโครงการ V-Platform รวมไปถึงรถครอสโอเวอร์ขนาดเล็ก Juke
การเข้าไปสานความสัมพันธ์ในระดับพันธมิตรก็คือนโยบายหลักของ Renault-Nissan ตามวิธีคิดของ Carlos Ghosn ที่เชื่อว่าความสำเร็จที่ยั่งยืนเกิดจากความร่วมมือกันมากกว่าการฮุบกิจการ
ดังที่เราจะเห็นได้จากความร่วมมือกับ Daimler AG ที่กลายเป็นพันธมิตรในลักษณะ Alliance และยิ่งหันมาดูตลาดอินเดียก็ยิ่งเห็นได้ชัดเลยว่า Renault-Nissan ยื่นมือจับกับผู้ผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ทั่วราชอาณาจักรอินเดีย
ยกตัวอย่างที่สัมฤทธิ์ผลแล้วได้แก่ Bajaj จับมือร่วมกันพัฒนารถเล็กคู่แข่ง Tata Nano ราคา 2,500 ดอลลาร์ที่เตรียมอวดโฉมในปี 2012
หรือล่าสุด Nissan ก็จับมือกับ Ashok Leyland เจ้าพ่อรถเพื่อการพาณิชย์ในอินเดียเพื่อช่วยกันผลิตรถเพื่อการพาณิชย์ให้ Nissan ตั้งแต่ปี 2011
แต่ที่ประหลาดไปกว่านั้น Nissan ยังคงร่วมมือกับ Ashok Leyland เพื่อผลิตรถขนาดเล็กระดับ Global Small Car ที่มีระดับราคา 4,500-5,000 ดอลลาร์หรือแค่เพียง 140,000-160,000 บาท งานนี้ Nissan กะจะกวาดตลาดรถเล็กให้หมดทุกระดับหรืออย่างไร?
ข้อมูลนี้ถูกยืนยันโดย Mr.Andrew Palmer รองประธานอาวุโสฝ่ายวางแผนผลิตภัณฑ์ Nissan Motor กล่าวยืนยันแผนงานดังกล่าวว่า ทางเราต้องการบุกตลาดรถขนาดเล็กจึงจำเป็นต้องค้นหาพันธมิตรที่มีศักยภาพมากที่สุด แม้ยังไม่อาจตัดสินใจขั้นสุดท้าย แต่ชัดเจนแล้วว่าพันธมิตรที่ตอบโจทย์ได้คือกลุ่มบริษัท Hinduja Automotive ต้นสังกัด Ashok Leyland
ดังนั้นสิ่งที่ Mr.Palmer พูดมาก็ยืนยันแล้วว่านั้นที่เคยเผยรายละเอียดบางส่วนช่วงต้นเดือนมีนาคมว่า Nissan กำลังเตรียมแผนงานพัฒนารถขนาดเล็กราคา 4,500-5,000 ดอลลาร์ และกำลังเจรจาพูดคุยพันธมิตรที่จะช่วยผลิตรถรุ่นนี้ในประเทศจีนและอินโดนีเซียเพื่อช่วยควบคุมให้รถคันนี้มีราคาต่ำจริง ๆ
รถยนต์ Nissan 4,500-5,000 ดอลลาร์ให้ความสำคัญกับตลาดจีนเป็นหลักรองลงมาคือตลาดอินเดีย (ซึ่งอาจจะได้กลุ่มบริษัท Hinduja Automotive ต้นสังกัด Ashok Leyland ร่วมทุนสร้างโรงงานด้วยกัน) ส่วนโรงงานอินโดนีเซีย, เวียตนาม, บราซิล, โคลัมเบีย และประเทศแถบอเมริกาใต้ ก็จะเป็นฐานผลิตในแต่ละภูมิภาคนั้น
เหตุที่ต้องหันมาบุกตลาดรถเล็กระดับราคา 4,500-5,000 ดอลลาร์ เพราะ Nissan ทราบดีว่าผู้ผลิตรายใหญ่จะหันมาเล่นตลาดนี้มากขึ้นอีก 20% แน่นอน
ตำแหน่งการตลาดรถเล็กราคา 4,500-5,000 ดอลลาร์คันนี้ในอินเดียจะมาแทรกกลางระหว่าง Tata Nano และ Maruti Suzuki Swift ว่าง่าย ๆ ก็คือเป็นคู่แข่งโดยตรงของ Maruti Suzuki Alto ของที่นั่นซึ่งเป็น A-segment ที่ตกรุ่นมาแล้วมีราคาระหว่าง 170,000 – 190,000 บาท
หรือหากเปรียบเทียบแบรนด์ Nissan ด้วยกันเองรถคันนี้จะต้องมีตำแหน่งระหว่างรถ Ultra Low Cost ที่ร่วมมือกับ Bajaj และรถเล็กตระกูล V-Platform อันเป็นรถขนาด B-segment ขึ้นไปซึ่งก็เพิ่งเปิดตัวไปแล้วกับ Nissan March โดยวางตำแหน่งการตลาดรถเล็ก B-car แต่มีราคาต่ำแตะระดับ A-segment ทั่วไป
แต่กว่าจะได้เห็นรถคันนี้น่าจะต้องพ้นปี 2013 เป็นต้นไปและก็น่าจะมีแนวโน้มสูงมาก ๆ ที่จะนำเข้าจากโรงงานอินโดนีเซียหรือไม่ก็เวียตนามเพื่ออุดช่องว่างรถระดับ A-segment ในประเทศไทยที่แม้ว่าจะไม่ได้รับสิทธิภาษีอีโคคาร์ 17% แต่ด้วยเป็นรถราคาต่ำและได้สิทธิภาษีนำเข้าในกลุ่มประเทศอาเซียน 0% ก็น่าจะทำให้รถคันนี้แปะป้ายป้วนเปี้ยนระหว่าง 2-3 แสนกว่าบาท(พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานครบครันที่คนไทยส่วนใหญ่รับได้)ไม่ยากนัก