
ในเมื่อภาวะเศรษฐกิจอันเกิดจากการให้กู้เงินเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์อย่างไม่ถูกต้องแล้วเกิดผลกระทบตามมาเป็นลูกโซ่
จนทำให้ยอดขายรถยนต์ในสหรัฐอเมริกาลดลงทำให้ค่ายรถต่างชาติที่มุ่งมาขุมทรัพย์แห่งนี้เจ็บตัวทุกหย่อมหญ้า
ยิ่งใครฝังรากลึกกับตลาดนี้มากเท่าไรก็เจ็บทวีคูณ หนำซ้ำค่ายรถญี่ปุ่นทุกค่ายยังเจอมรสุมที่ควบคุมไม่ได้เลย
คือ การแข็งค่าของเงินเยน
เพราะยิ่งมีการทำธุรกรรมจากฐานญี่ปุ่นมากเท่าไรก็ยิ่งได้กำไรน้อยลงเท่านั้น
คิดง่ายๆคือถ้าขายรถได้เท่าเดิมแต่รายได้น้อยลงนั่นเอง
ลองคิดสิว่าถ้ายอดขายยอดส่งออกลดลงกำไรจะไม่หดหายไปมากกว่านี้รึ?
แล้วไม่มีหนทางหรือคำตอบน่ะมีแน่แต่ขึ้นอยู่กับความกล้าฉีกขนบออกไปหรือเปล่า
โตโยต้าบริษัทรถยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ทั้งในตลาดโลกและญี่ปุ่นประกาศทันทีว่าสิ้นปีงบประมาณ 2008 (มีนาคม 2008) ขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆสิบปี
สาเหตุหลักก็กล่าวไว้ในย่อหน้าที่แล้วทำให้มีมาตรการหยุการผลิต 14 วันในโรงงาน 11 แห่งทั่วญี่ปุ่นในไตรมาสแรกของปี2009
ทำให้ยอดการผลิตลดลงจากปีที่แล้วมากถึง 54%
ฮอนด้าถึงขั้นคิดจะย้ายอาร์แอนด์ดี (Reasearch and Development) ออกนอกญี่ปุ่นกันเลยทีเดียว
นิสสันยักษ์ใหญ่อันดับ 3 เพิ่งประกาศภาวะ financial crisis เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2552 คาดการณ์ขาดทุนถึง 2.9 พันล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ
หรือ 100 พันล้านบาท เมื่อปิดปีงบประมาณมีนาคม 2009 ขาดทุนเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี
ต้องออกมาตรการปลดพนักงานออกทั่วโลก 20,000 คน จำนวน 12,000 คน คือในญี่ปุ่นล้วนๆ
สาเหตุสำคัญเกิดจากค่าเงินเยนที่แข็งมาก 92.8 เยนต่อ 1 เหรียญสหรัฐ
(ผู้เขียนอ้างอิงค่าเงินบาทจากเวบไซต์ xe.com ณ วันที่เขียนต้นฉบับวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2552 เวลาในไทย 10.51 น.)
นาย อเลน ดาซซาน ผู้อำนวยการด้านไฟแนนซ์ของนิสสันให้สัมภาษณ์รายละเอียดเบื้องต้น
เกี่ยวกับการโยกฐานผลิตรถคอมแพคท์ไปยังประเทศเม็กซิโกวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2552
กล่าวว่า “ค่าเงินเยนที่แข็งตัวถึง 90 เยนต่อ 1 เหรียญสหรัฐทำให้เราสูญเงินไป
เราจึงต้องหยุดการผลิตรถบางรุ่นในญี่ปุ่นและยกภาระส่งออกรถคอมแพคท์ไปยังตลาดตะวันออกกลางให้เม็กซิโกส่งออกแทน
ถ้าค่าเงินยังคงที่ 90 เยนต่อดอลล่าร์อยู่ตลอดเราคงต้องทำอะไรสักอย่าง “
ปกตินิสสันญี่ปุ่นรับหน้าที่ส่งออก Tiida ไปยังตะวันออกกลางเป็นภูมิภาคหนึ่งที่ประสบความสำเร็จทำยอดขายหลักหนึ่งของโลก
ขณะที่ฐานการผลิตเม็กซิโกจะประกอบ Tiida/Versa จากโรงงาน 2 แห่ง
เพื่อส่งตลาดทวีปอเมริกาเหนือ,ละตินอเมริกา,ยุโรป ล่าสุดตลาดใหม่ก็คือตะวันออกกลางแทนที่ญี่ปุ่น
เท่ากับว่าโรงงานโอปามาญี่ปุ่นผลิตป้อนสำหรับตลาดในประเทศเท่านั้น
ผู้เขียนคาดการณ์ว่าแนวโน้มที่จะย้ายฐานการประกอบ Tiida โฉมใหม่จากญี่ปุ่นมายังประเทศไทยทั้งกระบิก็น่าจะมีความเป็นไปได้
ส่วนรายละเอียดการย้ายฐานการผลิต Nissan March มายังประเทศไทย
นั้นเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายฐานการผลิตต้นทุนต่ำ (Leading Competitive Countries) 5 ประเทศอัน
ได้แก่ ไทย อินเดีย จีน เม็กซิโก และประเทศที่ยังไม่ระบุนามอีกแห่งหนึ่ง
เพื่อส่งออกในตลาดโลก 150 กว่าประเทศ การโยกไลน์การผลิต March จากญี่ปุ่นมาประเทศไทยยกกระบิ
(ไม่ประกอบในญี่ปุ่นอีกต่อไป)คือตัวอย่างของแผนการนี้เน้นการลดต้นทุนการผลิตลงได้ 30%
เพราะค่าแรงต่ำและจัดหาชิ้นส่วนภายในประเทศให้มากถึง 90% ในแต่ละฐานการผลิต
ก็ถือว่าเป็นการฉีกขนบของค่ายรถญี่ปุ่นเพราะส่วนใหญ่รถยอดนิยมหรือรถสำหรับขายตลาดโลกมักจะประกอบที่ญี่ปุ่น
และเป็นฐานส่งออกหลักแต่นิสสันกลับฉีกตัวเองด้วยการโยกฐานผลิตรถยอดนิยมไปยังฐานผลิตต้นทุนต่ำ
แทนประเทศพัฒนาแล้วอย่างอังกฤษ,อเมริกา
ที่มีปัญหาด้านต้นทุนสูงมากก็คงเรียกว่าตัดไฟแต่ต้นลมดีกว่าให้คาราคาซังเหมือนในอดีต
ประเทศไทยจะส่งออกไปยังตลาดอาเซียน,ญี่ปุ่น,โอเชียเนีย และเอเชียบางประเทศ
Nissan March โฉมใหม่คือ 1 ใน 3 โมเดลโครงการยักษ์ Global A-platform project
ที่ช่วยแก้ปัญหารถขนาดเล็กของนิสสันจากเดิมมีขายกันแค่ญี่ปุ่นและยุโรปประมาณ 58 ประเทศให้กลายเป็น
รถยนต์สำหรับตลาดโลกวางจำหน่ายในทุกประเทศที่มีแบรนด์นิสสันขายกว่า 150 ประเทศทั่วโลก
โดยให้ฐานการผลิต ไทย อินเดีย จีน รับผิดชอบป้อนตลาดโลก
นอกจากโมเดลนี้ยังมีรถอีก 2 โมเดลคือซับคอมแพคท์ซีดานตลาดเดียวกับ วีออส,ซิตี้และอาวีโอ
และรถเล็กท้ายตัดอีก 1 รุ่น วางขายทั่วโลกด้วย
เป็นการออกสินค้าที่เข้ากระแสนิยมในปัจจุบันที่คนหันมาเล่นรถขนาด A-B segment มากขึ้นไปเรื่อยๆยากที่สร่างซาในระยะสั้นๆ
ดังนั้น ประเทศไทยในฐานะบริษัทลูกของนิสสัน มอเตอร์ญี่ปุ่นอย่างเต็มตัวจึงมีรถใหม่มาจำหน่ายเพิ่มอีกมากภาย
ตั้งแต่ปีนี้จนถึงปี 2012 จะมีรถรุ่นใหม่ทั้งโมเดลเชนจ์และโมเดลใหม่10-13 รุ่น (ไม่นับไมเนอร์เชนจ์ และตัด X-trail,Murano ทิ้งได้เลย))
มีรถใหม่ประกอบในประเทศอย่างต่ำ 7 รุ่น
ถ้าลองนับแล้ว Product Portfolio เมื่อถึงตอนนั้นจำนวนจะพอๆกับเจ้าตลาดอันดับ1คือโตโยต้าเลยทีเดียว
หรือเหนือกว่าเมื่อเทียบกับฮอนด้าที่จะต้องมีสินค้าขาย 7 รุ่น
ทำให้นึกถึงสมัยสยามกลการในยุคถาวร พรประภาที่มีโมเดลให้เลือกหลากความต้องการ
เพียงแต่ว่ายุคนี้ความต้องการมันหลากหลายและซับซ้อนขึ้นมากก็เท่านั้นเอง