บทบาทของ Nissan LEAF ยานยนต์พลังไฟฟ้าที่ออกสู่ตลาดคันแรกจากค่าย Nissan อาจไปได้ดีในประเทศญี่ปุ่นบ้านเกิด
แต่ในทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือ กลับไม่สามารถเปลี่ยนใจผู้บริโภคให้หันมามองรถยนต์รักษ์โลกของตนได้มากนัก ส่วนหนึ่ง
อาจเป็นเพราะนิสัยการขับขี่ที่ส่วนใหญ่ต้องขับทางไกล การใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่จำกัดระยะทางจึงยังไม่ตอบโจทย์ได้ แต่อีกปัจจัย
หลักน่าจะมาจากราคาขายที่สูงเกินหน้ารถยนต์พลังน้ำมัน นั่นจึงทำให้ Nissan พยายามหั่นราคาขายลงเพื่อทำให้ LEAF
มีราคาที่จูงใจลูกค้ามากยิ่งขึ้น

alt

แต่การหั่นราคาในครั้งนี้ จะเกิดขึ้นเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ซึ่งจะเป็นผลจากการเปลี่ยนโรงงานผลิต Nissan LEAF
มายังโรงงาน Smyrna ในรัฐเทนเนสซี ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากใช้การนำเข้าจากญี่ปุ่นมาเป็นเวลา 2 ปี ทำให้ราคาขาย
ปลีกตกลงมาเหลือ 28,800 ดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือต่ำกว่าเดิม 6,400 ดอลล่าร์สหรัฐฯ คิดเป็นประมาณ 18% จากราคาเดิม

งานนี้ Nissan ทุ่มเม็ดเงิน 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อเนรมิตโรงงานดังกล่าวให้พร้อมต่อการผลิต LEAF นอกจากนี้
Nissan LEAF รุ่นปี 2013 ยังมาพร้อมกับการปรับปรุงขนานใหญ่ เพื่อทำให้ผู้บริโภคมั่นใจและไว้ใจในการเลือกใช้ LEAF
กันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงระบบขับเคลื่อน ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้า ตัวแปลงกระแสไฟ ฯลฯ จนทำให้มีขนาดเล็กลง 30%
และเบาลง 10% (ประมาณ 80 กก.) และช่วยเพิ่มระยะทางต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง เป็น 228 กม.เลยทีเดียว

การพยายามรุกหนักในตลาดรถยนต์สหรัฐอเมริกาด้วย Nissan LEAF ครั้งนี้ สืบเนืองมาจากความผิดหวังในยอดขายของ LEAF
ในตลาดมะกัน ที่ขายได้เพียง 11,000 คัน จากที่ตั้งเป้าไว้ 20,000 คันในปี 2012 ซึ่ง Nissan เชื่อว่า ความเปลี่ยนแปลง
ในปีนี้ จะช่วยเพิ่มยอดขายให้ LEAF ได้ถึงเป้าหมายโดยแท้จริง