ตามหลังการเผยโฉม Mitsubishi Triton รุ่นใหม่ด้วยตัวถัง Double Cab 4 ประตู ไปเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้ว
วันนี้ Mitsubishi พร้อมแล้วสำหรับตลาดแค็บเดียวเพื่อการพาณิชย์ และตัวถังเมกะแค็บ ด้วยการส่งทั้ง 2 ตัวถังใหม่ลงเมืองไทย
เป็นแห่งแรกในโลก พร้อม’เปลี่ยนทุกความเชื่อ’อีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 14 เมษายนที่ผ่านมา นับว่าครบกันทั้งไลน์ Triton โฉมใหม่แล้ว
เหลือเพียงตัวถัง PPV ที่จะมาแทน Pajero Sport รุ่นปัจจุบัน ที่จะเปิดตัวตามมาปลายปีนี้
Mitsubishi Triton ตัวถังเมกะแค็บโฉมใหม่ มีชื่อใหม่อย่างเป็นทางการว่า ‘Mega Cab Super Frame’ อันแตกต่างจากรุ่นที่แล้ว
อย่างสิ้นเชิง เพราะบานแค็บสามารถเปิดได้เหมือนบรรดาคู่แข่งเสียที เพื่อความสะดวกในการเข้า-ออกของผู้โดยสารตอนหลัง
หรือการขนของ
จุดเด่นของตัวถัง Mega Cab Super Frame นอกจากจะมีบานแค็บเปิดได้แล้ว ยังถูกเสริมความแข็งแกร่งเพื่อความปลอดภัย
ของผู้โดยสารแบบหน้าถึง 2 ชั้น ด้วยโครงสร้างนิรภัยเหล็กกล้า ‘Super Frame’ ใช้เหล็ก High Tensile Steel ทนแรงดึงสูง
และมีน้ำหนักเบา ไร้รอยต่อตลอดความยาว ช่วยป้องกันการโค้งงอและบิดตัวเพิ่มขึ้น ทำให้สามารถรองรับน้ำหนักการบรรทุก
ได้เป็นอย่างดี ให้ความปลอดภัยของผู้โดยสารมากขึ้น
Mitsubishi ยังอัดอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยเข้ามาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นถุงลมนิรภัยคู่หน้าแบบ SRS
พร้อมระบบกระจกไฟฟ้าตั้งแต่รุ่น Single Cab กันเลย นอกจากนี้ยังมีระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัส รองรับไฟล์ MP3 พร้อม
ระบบนำทาง ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และกล้องมองหลัง แตกต่างกันตามรุ่นย่อย
นอกจากนี้ พื้นที่กระบะท้ายยังถูกออกแบบใหม่ให้มีขอบกระบะหนาพิเศษ ลดขนาดซุ้มล้อ พร้อมเสริมผนังกระบะแบบ 2 ชั้น
เพื่อเพิ่มพื้นที่การบรรทุก ปรับปรุงรัศมีวงเลี้ยวให้แคบเพียง 5.7 เมตร ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง และ 5.9 เมตร ในรุ่นยกสูง
ขุมพลังที่ใช้ในรุ่น Single Cab มาพร้อม 2 ทางเลือกดีเซล ได้แก่ แบบ 4 สูบเรียง เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์
แรงม้าสูงสุด 128 แรงม้า ที่ 4,000 รตน. แรงบิดสูงสุด 240 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500-3,500 รตน. ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ
และแบบเทอร์โบแปรผัน VG Turbo อินเตอร์คูลเลอร์ แรงม้าสูงสุด 178 แรงม้า ที่ 4,000 รตน. แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร
ที่ 2,000 รตน.
ส่วนรุ่น Mega Cab Super Frame ได้ใช้เครื่องยนต์ใหม่ MIVEC Clean Diesel ขนาด 2,442 ซีซี กำลังสูงสุด 181 แรงม้า
ที่ 3,500 รตน. และแรงบิดสูงสุด 430 นิวตัน-เมตร ที่ 2,500 รตน. และยังมีขุมพลังดีเซล เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ 2.5 ลิตร
128 แรงม้า ให้เลือกด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ขุมพลังเบนซินยังไม่ถูกทิ้งไปไหน ยังมีเครื่องยนต์ 4 สูบ ขนาด 2.4 ลิตร แรงม้าสูงสุด 128 แรงม้า เป็นอีกหนึ่งทางเลือก
ให้กับลูกค้าเช่นกัน ทั้งในตัวถัง Single Cab และ Mega Cab Super Frame
สีตัวถังมีให้เลือก 7 สี โดยมีสีตัวถังใหม่ได้แก่ สีเขียว Earth Green ที่ใช้เปิดตัวไปในรุ่น Double Cab ด้วย ตั้งราคาขายเริ่มต้นที่
475,000 บาท และจบที่ 818,000 บาท ในรุ่นท้อป ดังนี้
รุ่น Single Cab
2WD 2.4 GL เบนซิน เกียร์ธรรมดา ราคา 475,000 บาท
2WD 2.5 GL ดีเซล เกียร์ธรรมดา ราคา 512,000 บาท
4WD 2.5 GL ดีเซล เกียร์ธรรมดา ราคา 612,000 บาท
รุ่น Mega Cab ‘Super Frame’
2WD 2.5 GL ดีเซล เกียร์ธรรมดา ราคา 583,000 บาท
2WD 2.4 GLX เบนซิน เกียร์ธรรมดา ราคา 592,000 บาท
2WD 2.5 GLX ดีเซล เกียร์ธรรมดา ราคา 629,000 บาท
2WD 2.5 GLS ดีเซล เกียร์ธรรมดา ราคา 659,000 บาท
รุ่น Mega Cab ‘Super Frame’ PLUS
2.4 GLS เบนซิน เกียร์ธรรมดา ราคา 686,000 บาท
2.4 GLX MIVEC Clean Diesel เกียร์ธรรมดา ราคา 699,000 บาท
2.4 GLS MIVEC Clean Diesel เกียร์อัตโนมัติ ราคา 733,000 บาท
2.4 GLS Navi MIVEC Clean Diesel เกียร์ธรรมดา ราคา 774,000 บาท
2.4 GLS Navi MIVEC Clean Diesel เกียร์อัตโนมัติ ราคา 818,000 บาท