กรุงเทพฯ – บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้าสานต่อความเป็นผู้นำตลาดรถหรู เผยโฉมยนตรกรรมใหมล่าสุด The new E-Class ครั้งแรกในอาเซียน
และรถยนต์ต้นแบบ Concept Style Coupé พร้อมด้วยขบวนรถเมอร์เซเดส-เบนซ์อีก 22 รุ่นครบทุกเซ็กเม้นท์ ซึ่ง The new E-Class จะเปิดตัวในงานนี้ถึง 3 รุ่นด้วยกัน
ได้แก่ E 200 Executive, E 300 BlueTEC HYBRID Executive และ E 300 BlueTEC HYBRID AMG Dynamic โดย The new E-Class มาพร้อมกับเครื่องยนต์
เบนซินใหม่ และเครื่องยนต์ดีเซลไฮบริดที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี BlueTEC HYBRID ที่ให้สมรรถนะและขุมพลังมากขึ้น พร้อมระบบช่วยเหลือด้านความปลอดภัย
รวมถึงการออกแบบดีไซน์รูปลักษณ์ใหม่ตอกย้ำให้รถยนต์ E-Class ใหม่ยังคงครองความเป็นผู้นำในตลาดรถหรูอย่างต่อเนื่อง
ดร. อเล็กซานเดอร์ เพาฟเลอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำตลาดรถยนต์หรูในประเทศไทย เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังคง
มุ่งมั่นนำเสนอรถยนต์ที่หลากหลายและตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์และความต้องการของผู้บริโภค โดยในปีนี้เราได้จัดเตรียมพื้นที่สำหรับการจัดแสดงสุดยอดยนตรกรรมที่เปี่ยมไป
ด้วยดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรูหรา สง่างามมีระดับ และประหยัดพลังงาน ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ไว้อย่างยิ่งใหญ่ในฐานะที่เมอร์เซเดส-เบนซ์
เป็นผู้นำนวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคต โดยไฮไลท์พิเศษของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในปีนี้ คือ การเปิดตัว The new E-Class สุดยอดยนตรกรรมหรูซีดานให้คนไทยได้ยลโฉมกัน
เป็นครั้งแรกในอาเซียน มาพร้อมกับเครื่องยนต์ใหม่ทั้งเบนซินและดีเซลไฮบริด ซึ่งเป็นครั้งแรกของรถยนต์พรีเมี่ยมในไทย พร้อมกับการนำเสนอรถยนต์ต้นแบบ Concept Style Coupé
ซึ่งนับเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในกลุ่มรถยนต์พรีเมี่ยมคอมแพ็คคาร์ในสไตล์คูเป้สี่ประตูในประเทศไทย ซึ่งเราหวังว่าทุกท่านคงตื่นตาตื่นใจและเพลิดเพลินไปกับการสัมผัส
ยนตรกรรมใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยดีไซน์อันล้ำสมัย และยังคงไว้ซึ่งความหรูหราในแบบฉบับของเมอร์เซเดส-เบนซ์”
เมอร์เซเดส-เบนซ์ The new E-Class ยนตรกรรมหรูที่ได้รับการปรับโฉมใหม่ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและภายใน เน้นความเป็นสปอร์ตมากขึ้นรูปลักษณ์ภายนอกด้านหน้าที่
ปรับเปลี่ยนมากที่สุดคือแผงกระจังหน้าและโคมไฟคู่หน้า โดยกระจังหน้าในรุ่นตกแต่งแบบ Executive เป็นแบบลาย 3 แถบพร้อมตราสัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์บนฝากระโปรงหน้า
และในรุ่นที่ตกแต่งแบบ AMG Dynamic จะเป็นกระจังหน้าลาย 2 แถบพร้อมตราสัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์ดวงใหญ่ตรงกลาง ส่วนลายเส้นนูนด้านข้างได้รับการดีไซน์ใหม่
ให้เกิดพริ้วไหวและมิติด้านข้างสวยงาม ทำให้สัดส่วนรถดูยาวและหรูหราขึ้น พร้อมกับโฉบเฉี่ยว ปราดเปรียวในขณะเดียวกัน ที่โดดเด่นคือการนำไฟแบบ LED มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ
ไฟหน้าเป็นแบบ LED High Performance ไฟท้ายแบบ LED fibre-optic โคมไฟคู่หน้าได้รับการออกแบบใหม่หมด โดยรวมชุดไฟ LED ทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว
อาทิ ไฟต่ำ ไฟสูง ไฟเลี้ยว และไฟ daytime ทำให้เกิดลายเส้นกราฟฟิคสวยงามสะดุดตามากขึ้นซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกด้วยเช่นกันที่โคมไฟแบบ LED ได้รับการออกแบบให้อยู่
รวมในกรอบเดียวกัน และยังคงเป็นการสื่อถึง “ไฟคู่หน้า” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ดั้งเดิมของ E-Class ไว้เหมือนเดิมอีกด้วย
ภายในห้องโดยสารมีการปรับให้มีความผสานกลมกลืนสวยงามเข้ากับรูปลักษณ์ภายนอกที่ปรับเปลี่ยนไป โดยการคัดสรรค์วัสดุชั้นดีมีคุณภาพสูงมาใช้ให้ดูหรูหราขึ้น ส่วนเบาะหุ้มหนัง
พร้อมด้วยพนักพิงศีรษะคู่หน้าแบบ NECK-PRO head restraints รวมถึงแผงคอนโซลหน้าพร้อมลายไม้แบบ high-gloss brown eucalyptus, high-gloss brown burr walnut
หรือ high-gloss black ash wood นาฬิกาได้รับการดีไซน์เป็นแบบอนาล็อกอยู่ระหว่างช่องระบายความเย็นเครื่องปรับอากาศ ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติแบบ THERMATIC
นอกจากนั้นยังมีระบบมัลติมีเดีย COMAND Online ควบคุมการทำงานของวิทยุและดีวีดี สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต พร้อมcontroller และระบบนำทาง (navigation system)
ในรุ่น E 300 BlueTEC HYBRID Executive และ E 300 BlueTEC HYBRID AMG Dynamic เพื่อให้ความเพลิดเพลินบันเทิงใจขณะขับขี่ รวมทั้งระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่
ผ่านบลูทูธ เพื่อให้ความสะดวกสบายในการสื่อสารมากยิ่งขึ้น
เมอร์เซเดส-เบนซ์ The new E-Class มาพร้อมกับเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยใหม่ที่ผสานความสะดวกสบายและความปลอดภัยเข้าไว้ด้วยกันซึ่งเรียกว่าระบบ
“Intelligent Drive” เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้รับความปลอดภัยสูงสุด ด้วยระบบการช่วยเหลือและระบบความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ จึงทำให้ The new E-Class
เป็นยานยนต์ที่มีความปลอดภัยมากที่สุดคันหนึ่งในเซ็กเม้นท์นี้ โดยระบบดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากแนวคิดการปกป้องก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุเข้าไว้ด้วยกันภายใต้ระบบควบคุมอัจฉริยะ
เพียงหนึ่งเดียวที่ทำงานสอดประสานกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบปกป้องก่อนเกิดเหตุ (PRE-SAFE® system) เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด 5 ที่นั่งทั้งคู่หน้าและคู่หลัง แบบผ่อนแรงและรั้งกลับ
อัตโนมัติ พนักพิงศีรษะคู่หน้าแบบ NECK-PRO head restraints ที่ช่วยลดอาการบาดเจ็บกรณีที่ถูกชนจากด้านหลัง ถุงลมนิรภัยด้านหน้า 2 ตำแหน่ง พร้อมเซ็นเซอร์วัดแรงปะทะ
และการคาดเข็มขัดนิรภัย ถุงลมนิรภัยด้านข้าง 4 ตำแหน่ง ม่านถุงลมนิรภัยป้องกันศีรษะ ถุงลมนิรภัยบริเวณสะโพก 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ซึ่งช่วยเสริมการปกป้องให้มี
ประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเกิดอุบัติเหตุ นอกจากนั้นยังมีระบบความปลอดภัยอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST) ระบบช่วยเตือน
การขับรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping Assist) และระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Active Parking Assist)
The new E-Class มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินใหม่ แถวเรียง 4 สูบ ที่ทรงพลังเต็มไปด้วยสมรรถนะและประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น โดยมีหัวฉีดชนิด piezo ซึ่งฉีดเชื้อเพลิง
เข้าห้องเผาไหม้โดยตรง ด้วยแรงดันเชื้อเพลิงสูงสุดอยู่ที่ 200 บาร์ และเป็นเทคโนโลยีแบบเดียวกันที่ใช้กับเครื่องยนต์ V6 และ V8 รุ่นใหม่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยได้นำมาใช้กับ
เครื่องยนต์ 4 สูบเป็นครั้งแรก นอกจากนี้เทคโนโลยีที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ใหม่นี้รวมถึงจังหวะการฉีดเชื้อเพลิงและจุดระเบิดแบบหลายครั้งติดต่อกันตรงสู่ห้องเผาไหม้ทำให้การเผาไหม้
สมบูรณ์ขึ้น ระบบช่วยอัดอากาศด้วยเทอร์โบชาร์ทเจอร์ เพลาลูกเบี้ยวที่สามารถปรับองศาการเปิด-ปิดของวาล์วไอดีและไอเสีย รวมถึงการควบคุมแรงดันของปั๊มน้ำมันเครื่องยนต์
ให้เหมาะสมกับรอบเครื่องยนต์ ส่งผลให้เครื่องยนต์ใหม่มีสมรรถนะเพิ่มขึ้นโดยจะมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 16.39-17.24 กม. /ลิตร หรือคิดเป็น 2.31-2.43 บาท/กม.
(คำนวณจากราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 95 ณ วันที่ 11 มีนาคม 2556) และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 135-142 กรัม/กม.
ในขณะที่เครื่องยนต์แบบดีเซลไฮบริด ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทยเป็นเจ้าแรกของรถยนต์หรูที่นำ เทคโนโลยี BlueTEC HYBRID มาเปิดตัวในตลาดรถยนต์ในไทย
โดย BlueTEC HYBRID เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งเป็นการผสมผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์ดีเซลกับมอเตอร์ไฟฟ้า
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานและให้ประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น ด้วยเครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็กลง การออกสตาร์ทที่เงียบ และช่วยลดการสันดาปของเครื่องยนต์
โดยมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง 23.81-24.39 กม./ลิตร หรือคิดเป็น 1.23-1.26 บาท/กม. เท่านั้น (คำนวณจากราคาน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 11 มีนาคม 2556)
และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 107-110 กรัม/กม. โดยเครื่องยนต์ทั้งแบบเบนซินและดีเซลไฮบริดถ่ายทอดผ่านกำลังเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 7 จังหวะ
(7G-TRONIC PLUS) พร้อมด้วยฟังก์ชั่น ECO Start/Stop โดยใช้พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบ DIRECT SELECT พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย
สำหรับราคาขายนั้น ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการออกมาในขณะนี้ โดยคาดว่า Mercedes-Benz จะเปิดเผยพร้อมกันในงาน บางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ 2013
ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 มีนาคม ถึง 7 เมษายนนี้