“เมื่อคุณเกิดมาเป็นมวยรองก็จงกระทำในวิถีของตนเอง อย่าไปทำตามแบบผู้นำตลาดเป็นอันขาด เพราะโอกาสที่คุณจะหายใจบนการแข่งขันในตลาดที่รุนแรงมีน้อยลงทุกที เปรียบเสมือนเติบโตภายใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เราต้องคอยแย่งอากาศ น้ำและแสงแดด”
ประโยคข้างบนนี้ผมสรุปรวมรวบมาจากหนังสือของคุณธนา เธียรอัจฉริยะ ผู้พลิกตำราการตลาดในประเทศไทย จากบริษัทด้านคมนาคมที่สะดุดขาล้มจนเสียโฉม(ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง)สามารถกลับมาผงาดสู้กับคู่แข่งขันอีกครั้ง
แต่น่าเสียดายว่าบริษัทมวยรองแทบทุกวงการมักจะมี “วัฒนธรรมองค์กรเต่าล้านปี” ที่เป็นบอนไซแคระแกร็นทางด้านวิสัยทัศน์ และวิธีการคิดที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าได้ นั่นเป็นเพราะบริษัทเหล่านั้นมักเป็นบริษัทต่างชาติที่ไม่อาจเปิดใจให้ทีมงานคนไทยช่วยกันสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าได้
วิธีคิดนอกกรอบนั้นพูดง่าย แต่ยากที่จะปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร วัฒนธรรมบริษัทให้หล่อหลอมไปในทิศทางเดียวกันในระยะเวลาอันสั้น
แต่สำหรับบริษัท มาสด้า เซลล์ (ประเทศไทย) จำกัดช่วงระยะเวลาที่บริษัทแม่เข้ามาดำเนินกิจการด้วยตนเองนานกว่า 10 ปี ก็ถือว่าค่อย ๆ เติบโตไปเรื่อย ๆ ตามกาลเวลาแต่จุดเปลี่ยนสำคัญที่มีความสำคัญมากกับ Mazda ก็คือคุณจอห์น เรย์ ฝรั่งอารมณ์ดี และหน้าตาดี (??) จากดินแดนเมืองจิงโจ้ที่เคยฝากฝีมือการเปลี่ยนแปลงองค์กร Mazda ออสเตรเลียให้ขึ้นเป็น 1 ในกลุ่มผู้นำ 5 อันดับแรกภายใน 10 ปีอย่างมั่นคง
และเมื่อมาประกบกับนักการตลาดฝีมือดีคุณสุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี ที่มีประสบการณ์การทำงานมากว่า 10 ปี ก็จะพอรู้แนวทางแบรนด์ Mazda ในประเทศไทยแล้วว่าควรจะต้อง เดินไปทางไหน
สรุปแล้วว่าวิธีการทำงานของ Mazda ในประเทศไทยถึงจุดที่เรียกว่าเป็นวัฒนธรรมการทำงานที่ดีพร้อมสู้กับการแข่งขันได้แล้ว
“เมื่อเราเป็นมวยรอง เราก็ต้องทำมากกว่าคนอื่น ๆ ที่ทำแค่ครั้งเดียวก็รวยแล้ว มวยรองอย่างเราต้องทำ 4 เท่าถึงเท่ากับผู้นำตลาดครั้งเดียว”
Mazda ก็ถือเป็นบริษัทที่ใช้แนวทางการจู่โจมตลาดด้วยการจัดกิจกรรมการตลาดหลาย ๆ ครั้ง แต่ละครั้งก็ไม่ต้องใช้งบมากมาย อาทิ การจัดแคมเปญการตลาดที่ถี่ยิบ แม้บางครั้งอาจจะดูเหมือนเป็นงานเร่ขายแต่ก็นำเสนอแบรนด์ Mazda ต่อสู่วงกว้าง
และที่สำคัญทีมพีอาร์อารมณ์ดีอย่างพี่อุทัยที่ขยันส่งข่าว แวะพบพูดคุยกับพี่ ๆ น้อง ๆ นักข่าวอย่างสนิทใจ ต้องยอมรับว่าการส่งข่าวพีอาร์ของ Mazda นั้นถี่กว่าของค่ายอื่น ๆ มาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับผู้รับผิดชอบงานพีอาร์ว่า “เคยกระทำตัวน่ารักต่อผู้สื่อข่าวหรือเปล่า” ถ้าไม่บริษัทคุณก็คงจะไม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากสื่อด้วยกันหรอกครับ
และเส้นเชือกสุดท้ายที่บรรจบเข้ากับ Mazda เข้าไว้ด้วยกันจนพร้อมไต่กันโตก็คือ Mazda 2 แฮทช์แบคทรงสปอร์ตที่เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 2009 ก็ค่อย ๆ ไต่ยอดขายจนทำให้แบรนด์ Mazda มียอดขายรวมที่น่าพึงพอใจมาก
แต่วันนี้ตลาดรถยนต์เมืองไทยจะต้องจดจำไว้ในประวัติศาสตร์รถยนต์ในเมืองไทยแล้วว่า Mazda สามารถนำพา Mazda 2 แฮทช์แบคขึ้นสู่อันดับ 1 ด้วยยอดขาย 1,404 คัน ในตลาด B-segment Hatchback ในเดือนกุมภาพันธ์ 2010 แทนที่ Honda Jazz ได้อย่างราบคาบ!!! ส่วน Toyota Yaris คงได้แต่มองตาปริบ ๆ
ใครที่คิดยังดูถูก Mazda ว่าเด็ก ๆ กระจอก คงต้องถอนคำพูดใหม่เสียแต่บัดนี้
ความสำเร็จของ Mazda 2 ทำให้มียอดขายรวมในเดือนกุมภาพันธ์ถึง 2,308 เติบโต 218 เปอร์เซ็นต์ แบ่งเป็น Mazda 3 มียอดขาย 524 คัน Mazda BT-50 มียอดขาย 370 คัน Mazda MX-5 มียอดขาย 2 คัน และ Mazda CX-9 มียอดขาย 8 คัน (ยังแปลกใจว่ารถรุ่นนี้ขายดีมากถึงเพียงนี้)
เพื่อเป็นการตอกย้ำความสำเร็จ Mazda 2 แฮทช์แบค ในวันที่ 15 มีนาคม 2010 Mazda ก็เตรียมเปิดตัว Mazda 2 ซีดานซึ่งทาง Mazda ก็มั่นใจว่าน่าจะได้รับการตอบรับที่ดี ซึ่งขณะนี้มาสด้าได้มอบนโยบายต่างๆ เตรียมความพร้อมให้กับผู้จำหน่ายในการประชุมประจำปีผู้จำหน่ายผู้จำหน่ายทั่วประเทศเมื่อเร็วๆ นี้ รวมทั้งการกำหนดกลยุทธ์เพื่อแข่งขันกับคู่แข่งในตลาด การวางตำแหน่งสินค้าไว้อย่างชัดเจนและตรงกลุ่มลูกค้ามากที่สุด ตลอดจนความพร้อมในการสื่อสารการตลาดแบบครบวงจรในเร็วๆ นี้
นอกจากนี้ มาสด้ายังเตรียมงานเปิดตัวรอบสื่อมวลชนไว้อย่างยิ่งใหญ่อลังการใจกลางกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 15 มีนาคมนี้ ณ ห้องรอยัลพารากอนฮอลล์ 3 (Royal Paragon Hall 3) ชั้น 5 สยามพารากอน ร่วมนับถอยหลังเพื่อสัมผัสความหรูหราที่ผสานความสปอร์ตโฉบเฉี่ยวอย่างมีสไตล์ กับ มาสด้า2 สปอร์ตซีดานใหม่ กับแคมเปญ “New Mazda2 Life Continues เพราะชีวิตท้าทาย…ไม่ได้มีแค่สไตล์เดียว” ได้ที่ www.mazda2life.com นี่คืออีกหนึ่งความท้าทายที่จะทำให้คุณโดดเด่นมีสไตล์กว่าใครบนท้องถนนทุกเส้นทาง” สุรีทิพย์ กล่าวเพิ่มเติม
สำหรับค่ายรถยนต์รายใดที่ไม่อาจจะปรับตัวเพื่อลูกค้าหรือยังงี่เง่ากันตามประสาแบบ Square Head คนหัวเหลี่ยมคิดทื่อ ๆ อนาคตก็อาจจะต้องสูญเสียตำแหน่งให้กับ Mazda ก็ได้นะครับ