ทุกคนในวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกเริ่มจับตาความเปลี่ยนแปลงระหว่าง Fiat Group และ Chrysler Group อย่างใกล้ชิดเพื่อรอดูชีวิตบั้นปลายว่าจะอยู่ยืดกันหรือไม่ เพราะ Chrysler Group แทบจะต้องคำสาปเสมือนเป็นหลุมดำที่ถมไม่เต็มเสียที

ความเปลี่ยนแปลงในช่วงแรกเหมือนจะดูดีขึ้นอย่างมาก Chrysler สามารถปรับตัวพัฒนารถยนต์ให้มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับลูกค้ามากขึ้นและยังได้รับการสนับสนุนจาก Fiat ได้รับรถเทคโนโลยีใหม่ ประหยัดน้ำมัน รักษาสิ่งแวดล้อมเสริมทัพในไลน์อัพ

 

ขณะเดียวกันฝ่าย Fiat ก็ได้รับประโยชน์จากโรงงานในสหรัฐอเมริกาและการเบิกทางบุกตลาดถิ่นลุงแซมอันเป็นปราการที่ Fiat ไม่สามารถเจาะเข้าไปได้เสียที และที่สำคัญยังได้รับรถยนต์จาก Chrysler บางรุ่นเพื่อมาเติมเต็มช่องว่างให้กับแบรนด์รถยนต์ในเครือด้วย

หากดูแค่วิธีการแล้วล่ะก็คงไม่ผิดอะไรนักเพราะใคร ๆ เขาก็กระทำกัน แต่ใช่ว่ากลยุทธ์นี้จะถูกต้อง 100% ไปเสียหมด ที่สำคัญควรต้องเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมด้วย

คอลัมน์รถใหม่ชิ้นนี้น่าจะเตือนสติให้ผู้คนในแวดวงรถยนต์รับรู้แล้วว่า Mr. Sergio Marchionne ผู้นำ Fiat-Chrysler ตัดสินใจอัตนิบาตด้วยการออกประกาศิตซิ่งนรกทำลายล้างแบรนด์ของตนเองที่ฝังรากลึกในประวัติศาสตร์จนเกือบหมด

เรื่องของเรื่องคือ Fiat ต้องเร่งจัดการแบรนด์รถเกือบหรูสุดกู่อย่าง Lancia ให้มีทิศทางเดินในอนาคตมากขึ้นด้วยการนำรถยนต์จาก Chrysler มาประทับตราขายสำหรับตลาดยุโรปโดยเฉพาะ การจะนำรถของเขามาขายไม่ว่าหรอก แต่มันพลาดเพราะดันเอารถ Chrysler มาใส่ในชื่อรุ่นประวัติศาสตร์ยาวนานของ Lancia เสียอย่างนั้น จนน่าจะเรียกว่าโศกนาฏกรรมทางธุรกิจทีเดียว

ความมักง่ายของ Fiat Group ด้วยการนำรถ Chrysler อเมริกันแท้ ๆ มาใส่ชื่อรถหลายรุ่นในตำนานของแบรนด์ Lancia ก็น่าจะบ่งบอกถึงวิธีคิดของผู้นำได้อย่างดีว่า ไม่มีความใส่ใจและพยายามทำความเข้าใจกับแบรนด์ผลิตภัณฑ์ของตนเองอย่างแท้จริง

ถ้าขืนยังเป็นอย่างนี้ต่อไปในอนาคตรับรองได้ว่าชะตากรรมทั้ง Fiat-Chrysler อาจจะไม่ได้อยู่ดีมีสุข แล้วยิ่งตนเองพยายามเลื่อนการเปิดตัวรถใหม่แล้วล่ะก็ยิ่งลำบากแน่นอน

อันที่จริงเราไม่ได้รังเกียจนำรถของพันธมิตรมาประทับตราขาย แต่ค่ายรถส่วนใหญ่มักจะเลือกวิธีการตั้งรถชื่อรุ่นใหม่ 100% ไปเลยจะดีกว่าหรือถ้ายังต้องร่วมมือกันอยู่ Fiat น่าจะอดทนรอให้รถรุ่นใหม่ที่พัฒนาร่วมกันกับ Chrysler แล้วเสร็จน่าจะดีกว่าการรีบร้อนมาทำเป็นรถหยำฉ่าขนาดนี้

รถรุ่นแรกที่ถูกเข้าคิวเชือดด้วยฝีมือ Mr. Sergio Marchionne ที่คิดอยากจะเป็น Carlos Ghosn 2 นั่นก็คือ Lancia Thema เกิดมาเพื่อเป็นรถซีดานหรูระดับเดียวกันกับ Saab 9000 ระหว่างปี 1984-1994 จุดเด่นของมันก็คือภายในห้องโดยสารที่ความคลาสสิคสง่างามแบบฉบับรถอิตาเลียนยุคใหม่ซึ่งดีไซน์ยังดูได้นานกว่ารถยุโรปสัญชาติอื่นหลาย ๆ รุ่น และก็มีความกว้างขวางสะดวกสบายมากกว่าคู่แข่งรายอื่น

จุดเปลี่ยนของ Lancia Thema ก็คือการต้องพัฒนาตัวตายตัวแทนในชื่อ Lancia Kappa ในปี 1994 ด้วยความหวังว่ามันน่าจะมียอดขายที่ดีกว่า Lancia Thema แต่แล้ว Lancia Kappa ก็ทำยอดขายได้น่าผิดหวังมาก และน่าจะเป็นคำสาปของ Lancia ว่าพัฒนารถซีดานหรูกลางใหญ่ไม่ขึ้นจริง

การฮึดกลับมาใหม่ในปี 2011 ดูน่าจับตายิ่ง แต่น่าจะเจิดจรัสยิ่งกว่าหาก Fiat Group ไม่คิดสั้นนำ Chrysler 300C มาแปะตรา Lancia Thema จนภาพลักษณ์รถซีดานที่มีความหรูหราสง่างามประดุจท่วงทำนองเพลงที่คัดสรรจากนักประพันธ์เพลงชาวอิตาเลียนเปลี่ยนไปเป็นรถอิตาเลียนตกอัพจนไม่มีเงินแม้กระทั่งซื้อพิซซ่าฮัทจนต้องแปลงโฉมตัวเองเป็นพ่อค้ายาเสพติดพร้อมแก๊งสร้อยคอแท้เทียมส่องแสงวิบวับเสียอย่างนั้น!!

Fiat Group ก็เล่นง่ายมากไม่ปรับโฉมหน้าตาให้กับ Lancia Thema โฉมปี 2011 แม้แต่น้อย พวกเขาพยายามลากสังขารอเมริกันแท้สุดแสนจะไม่เข้ากับชื่อวางจำหน่ายในตลาดยุโรปดื้อ ๆ ขนาดแค่เครื่องยนต์ยังต้องลากนำเครื่องยนต์เบนซิน V6 3.6 ลิตร 292 แรงม้า จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ และเครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร 190/224 แรงม้า ให้เลือกพร้อมจับคู่เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ

Lancia Thema เริ่มวางจำหน่ายในตลาดเดือนตุลาคมนี้

อีกรุ่นหนึ่งที่ถูกทำลายอย่างย่อยก็คือ Lancia Flavia ในอดีตเคยเป็นรถขนาดกลางมีทั้งแบบซีดาน, คูเป้และเปิดประทุนในปี 1961-1975 หลังจากนั้นมาจึงค่อยเปลี่ยนชื่อเป็น Lancia 200 แล้วก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็น Lancia Gamma แล้วก็เป็น Lancia Thema ในตอนหลัง

ถ้าว่ากันง่าย ๆ Lancia Flavia มันก็คือต้นตระกูลของ Lancia Thema คงไม่ผิดเพี้ยนเกินจริงไปนัก แต่ประวัติศาสตร์ของ Lancia Flavia กลับเป็นที่น่าจดจำมากกว่า อีกทั้ง Lancia ก็เคยทำรถต้นแบบ Flavia Concept อวดโฉมในงาน Geneva Motorshow 2003 และหมายมั่นปั้นมือว่าจะโลดแล่นในตลาดไม่นานนัก

แต่แล้ว Fiat Group ทำให้ผิดหวังด้วยการจับนำ Chrysler 200C ทั้งซีดานและเปิดประทุนมาใส่ชื่อ Lancia Flavia ชื่ออ่อนหวานไม่สมกับตัวรถเอาเสียเลย

ฝันร้ายก็ใกล้จบสิ้นกันเสียทีเมื่อนำ Chrysler Town&Country มาจับแปะตรา Lancia Grand Voyager ซะ อันนี้ยังพอเข้าใจเหตุผลได้เพราะมินิแวน Lancia Phedra ที่สร้างบนพื้นฐานเดียวกับ Peugeot 807 มียอดขายที่ต่ำมาก

ใช่ว่างานนี้ Lancia จะไม่มีรถใหม่มาอวดโฉมเอาเสียเลยอย่างน้อยก็มี Lancia Ypsilon Modelchange และ Lancia Delta Minorchange

ถึงแม้ชื่อ Lancia Ypsilon จะไม่คุ้นหูคนไทยก็ตามแต่สำหรับชาวอิตาเลียนและชาวยุโรปบางประเทศได้ยินชื่อเสียงเรียงนามนี้ถึง 15 ปีในฐานะรถซับคอมแพคท์ระดับพรีเมี่ยมที่ยังไม่เคยมีใครกล้าบุกตลาดมาก่อน แม้อาจจะไม่โด่งดังมากนักแต่น่าจะเป็นแรงบันดาลให้คู่แข่งรายอื่นหันมาทำตามได้

ดีไซน์  Lancia Ypsilon Modelchange สามารถค้นหาความเป็นตัวตนได้แล้วจากเจเนเรชั่นที่ 2 ตั้งแต่ปี 2003-2010 ด้วยรูปลักษณ์สุดคลาสสิคพรีเมี่ยมดูมีเสน่ห์ให้อารมณ์น่าพิสมัยทั้ง ๆ ที่ถูกพัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับ Fiat Punto

ด้านหน้า Lancia Ypsilon โฉมใหม่ก็ยังคงรักษาลุคของรถยนต์ในยุค 60-70 ด้วยชุดกระจังหน้า Lancia ยุคใหม่ผสมผสานกับความเป็นรถสมัยใหม่ด้วยไฟหน้าที่ถูกพัฒนาโดย Magneti Marelli ผู้ผลิตชิ้นส่วนรายสำคัญของ Fiat Group

สัดส่วนของรถโดยรวมก็ถือว่ายังผสมแนวคิดฉีกขนบเหมือนกับ Lancia Ypsilon โฉมแรก ด้วยการลากเส้นตัวถังเว้าลึกบริเวณด้านข้าง พร้อมกับเส้นบ่าขอบกระจกจากบานประตูท้ายต่อเนื่องไปยังไฟท้าย, มือเปิดประตูหลังซ่อนเอาไว้บริเวณเรือนกระจกหลัง ส่วนบั้นท้ายได้รับอิทธิพลจาก Lancia Delta เต็ม ๆ

มิติตัวถังมีความยาว 3,840 มม. ความกว้าง 1,670 มม. ความสูง 1,510 มม. ฐานล้อยาว 2,390 มม.

ภายในห้องโดยสารยังคงรักษาแนวคิดวางอุปกรณ์และแผงมาตรวัดศูนย์รวมไว้ตรงกลางเหมือนกับรุ่นที่แล้ว พร้อมติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานมากมาย

หน้าตาคลาสสิคเช่นนี้แต่ก็ติดตั้งเทคโนโลยีอันทันสมัยด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.2 ลิตร 69 แรงม้า, 0.9 ลิตร TwinAir 85 แรงม้า,เครื่องยนต์เบนซิน Dual Fuel LPG 1.2 ลิตร 69 แรงม้าและเครื่องยนต์ดีเซล 1.3 ลิตร MultiJet II 95 แรงม้า

และคันสุดท้าย Lancia Delta Minorchange ปรับโฉมเพียงแค่กระจังหน้าลายใหม่และติดตั้งไฟ Daylight LED เพิ่มเครื่องยนต์ใหม่ขนาด 1.6 ลิตร 105 แรงม้า ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 10.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 186 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ระดับ 120 กรัมต่อกิโลเมตร

รถทั้งหมดทั้งมวลจะเตรียมอวดโฉมภายในงาน Geneva Motorshow 2011 มีนาคมนี้ครับ