เมื่อต้นเดือนที่แล้ว เคยได้มีข่าวออกมาว่า Lamborghini กำลังซุ่มพัฒนารถยนต์สุดพิเศษ ที่เร็วที่สุดเท่าที่ตัวเองเคย
ผลิตมา เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปีของ Lamborghini และจะทำให้ทุกคนได้ช็อกกับผลงานชิ้นนี้
และดูเหมือนคำกล่าวนั้นจะเป็นจริงไม่น้อย เมื่อ Lamborghini เปิดผ้าคลุม Veneno รถยนต์ระดับสุดยอดซูเปอร์คาร์
ที่มีการผลิตเพียง 3 คันในโลก เท่านั้น
Veneno ถูกตั้งชื่อตามกระทิงที่พุ่งชน José Sánchez Rodríguez นักสู้กระทิงชื่อดังในปี 2014 จนทำให้เขา
บาดเจ็บสาหัส ตัวรถ Lamborghini Veneno นั้น ถือเป็นงานศิลปะคาร์บอนไฟเบอร์ชิ้นเอกเลยทีเดียว
เพราะมีการใช้คาร์บอนไฟเบอร์เป็นวัสดุหลักของตัวรถ ที่จะช่วยเพิ่มความคล่องแคล่วให้กับตัวรถ ด้วยความแข็งแกร่ง
ในน้ำหนักที่เบา อีกทั้งยังถูกออกแบบให้ช่วยเพิ่มแรงกดและลดแรงต้านระหว่างขับขี่อีกด้วย
งานดีไซน์ของตัวรถ มาพร้อมกับเส้นสายเน้นความเฉียบคม พร้อมช่องรับอากาศขนาดใหญ่หลายจุด ช่วยเพิ่ม
ความลู่ลม และโดดเด่นด้วยโคมไฟหน้าทรงตัว Y พร้อมประตูแบบกรรไกร ด้านท้ายมาพร้อมกับครีบรีดอากาศ
ขนาดใหญ่พิเศษ พร้อมปีกสปอยเลอร์ที่ปรับอัตโนมัติตามความเร็วของตัวรถ รวมถึงระบบท่อไอเสียแบบ 4 ท่อ
การออกแบบฝากระโปรงท้ายสำหรับเครื่องยนต์ ถูกออกแบบเป็นพิเศษโดยคำนึงถึงหลักอากาศพลศาสตร์
ด้วยการออกแบบครีบรีดอากาศคล้ายครีบของปลาฉลาม เพื่อช่วยเพิ่มการทรงตัวและเพิ่มแรงกดให้กับตัวรถใน
ย่านความเร็วสูง นอกจากนี้ล้ออัลลอยยังถูกออกแบบใหม่ ให้มีความพิเศษ เฉพาะตัวและไม่เหมือนใคร
ตัวถังภายนอกทั้งหมด จะมาในสีเทา Metallic Grey พร้อมการเผยให้เห็นเนื้อวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ในบางจุด
และจะมีการตกแต่งในโทนสีธงชาติอิตาลี เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ประเทศบ้านของ Lamborghini ส่วนภายในห้อง
โดยสาร มีการออกแบบมาตรวัดใหม่ พร้อมกับเบาะนั่งที่ใช้โครงสร้างเบาะแบบ Forged Composite และ
ตกแต่งด้วย CarbonSkin
ขุมพลังแห่งความพิเศษนี้ เป็นการยกชุดขุมพลังจาก Lamborghini Aventador มาใช้ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เบนซิน
แบบ V12 ขนาด 6.5 ลิตร แต่มีการปรับจูนกำลังใหม่ จนเพิ่มขึ้นสูงเป็น 750 แรงม้า เชื่อมต่อกำลังสู่ล้อทั้ง 4
ด้วยเกียร์ ISR 7 จังหวะ ฉุดรถยนต์น้ำหนัก 1,450 กก.คันนี้ จากจุดหยุดนิ่งถึง 100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.8 วินาที
เท่านั้น! ก่อนจะจบความเร็วสูงสุดที่ 355 กม./ชม.
Lamborghini Veneno จะถูกผลิตในจำนวนจำกัด 3 คันในโลกเท่านั้น โดยสนนราคาอยู่ที่คันละ 3 ล้านยูโร
หรือประมาณ 120 ล้านบาท และรถยนต์ทั้ง 3 คันได้ถูกจำหน่ายออกไปเรียบร้อยแล้วครับ
ที่มา : Worldcarfans