Lamborghini ยังประสบปัญหาขาดทุนสะสมระหว่างปี 2009-2011 อันเนื่องจากยอดขายยังไม่เพียงพอที่จะให้เกิดผล
กำไร แต่ในปี 2012 ดูเหมือน Lamborghini น่าจะมีความหวังที่จะเก็บเกี่ยวผลกำไรในปีนี้จากอานิสงค์การขยายตัวใน
ตลาดจีน เมื่อมีแนวโน้มว่าจะดีขึ้น Lamborghini ก็ใส่เกียร์ 7 เดินหน้าตะลุยตลาดเต็มที่อย่างไม่คิดชีวิต
เริ่มจาก Lamborghini Gallardo รุ่นปรับปรุงโฉมจะถูกเปิดตัวในงาน Paris Motorshow 2012 ช่วงปลายปี 2012
และถือเป็นการปรับโฉมฆ่าเวลาระหว่างรอรุ่นเปลี่ยนโฉมที่จะเปิดตัวในงาน Frankfurt Motorshow 2013 แนวทางการ
พัฒนา Lamborghini Gallardo เจเนเรชั่นต่อไปจะถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานแพลทฟอร์ม MSS ที่เบาลงกว่าเดิม 30
กิโลกรัม ถือเป็นคู่แฝดในทางวิศวกรรมเดียวกับ Audi R8 โฉมต่อไป ติดตั้งเครื่องยนต์ที่แรงขึ้น (อาจเป็นไปได้ว่าจะติดตั้ง
เครื่องยนต์ V10) มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 3.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 326 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ประหยัดน้ำมันขึ้น 15%
ภายใน 1 ปีหลังจากเปิดตัว Lamborghini Gallardo เจเนเรชั่นใหม่ Lamborghini ก็จะแนะนำตัวถังคูเป้และเปิด
ประทุนสไปเดอร์ จากนั้นก็จะแนะนำ Lamborghini Gallardo Superleggera เวอร์ชันแรงพิเศษ 590 แรงม้าในปี 2015
และหลังจากนั้นในปี 2017 ก็จะปรับโฉมตระกูล Lamborghini Gallardo ทั้งหมด
ต้นปี 2013 Lamborghini ก็จะแนะนำ Aventador roadster มาพร้อมกับประทุนที่ทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ในงาน
Detroit Autoshow 2013 ติดตั้งเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร 700 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 690 นิวตันเมตร จากนั้นเดือน
มีนาคม 2013 จะแนะนำ Aventador GT concept ภายในงาน Geneva Motorshow 2013 ซึ่งจะเป็นรถต้นแบบที่
ขยายความยาวฐานล้อและติดตั้งบานประตูตู้กับข้าว
ภายในปี 2013 ก็จะมี Lamborghini Sesto Elemento เวอร์ชันขึ้นสายการผลิตจริง มีจุดเด่นที่น้ำหนักตัวถังเบาแค่ 999
กิโลกรัมและติดตั้งเครื่องยนต์ V10 มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในแค่เพียง 2.5 วินาที ทำความเร็วสูงสุด
350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ในปี 2016 ก็จะพบกับ Lamborghini Urus เอสยูวีรุ่นใหม่ถูกสร้างบนพื้นตัวถังเดียวกับ Audi Q7/ Porsche Cayenne
/ Volkswagen Touareg เจเนเรชั่นใหม่ ติดตั้งเครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร เทอร์โบคู่ 600 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 661 นิวตัน
เมตร
ทั้งหมดนี้คือไฮไลต์สำคัญของ Lamborghini ที่จะปรากฏขึ้นในไม่ช้า