ตามธรรมชาติของงาน LA Autoshow คือเป็นงานที่มีศักดิ์ศรีด้อยกว่า Detroit Autoshow ระดับหนึ่ง เพราะงาน
Detroit เป็นงานที่เปิดศักราชใหม่ของทุกปีทำให้ค่ายรถแต่ละค่ายเปิดตัวรถรุ่นใหม่ในงาน Detroit กันมากกว่า แต่ในช่วง
วิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 เป็นต้นไปก็ทำให้ฟอร์มของงาน Detroit Autoshow ดูด้อยค่าลงไปเพราะค่ายรถต่างพากันงด
ออกบูธกันเยอะ แล้วหันไปเปิดบูธในงานแสดงรถยนต์ที่มีค่าเปิดพื้นที่ถูกกว่าแทน
ดังนั้น งาน LA Autoshow ในช่วง 2-3 ปีที่แล้วค่อนข้างมีฟอร์มงานที่ค่อนข้างยิ่งใหญ่ระดับหนึ่ง อาจเป็นเพราะช่วงเวลา
นั้นมีรถรุ่นใหม่เรียงคิวเปิดตัวกันมากกว่าตอนนี้ด้วย แต่สำหรับปีนี้ดูเหมือนว่างาน LA Autoshow ประจำปี 2012 จะไม่
ค่อยมีรถเปิดตัวในระดับ World Premier เสียเท่าไร คาดว่าหลายค่ายรถน่าจะไปเปิดตัวรถปีหน้าแทน
Acura
Acura ส่ง RLX ซีดานรุ่นเดอะคู่แข่ง Lexus LS โดยตรงถือว่างานนี้ทำการบ้านมาสุดความสามารถจริง ๆ เพราะมันก็
ออกแบบให้มีทั้งแนวหรูหราที่สามารถสะท้อนถึงสมรรถนะได้ดีกว่ารุ่น RL พอสมควร ดีไซน์โดยรวมมีกลิ่นความเป็น BMW
อยู่บ้างโดยเฉพาะไฟท้าย
จุดเด่นที่ทำให้ทุกคนหันมามอง Acura RLX ได้นั่นก็คือเทคโนโลยีระบบบังคับเลี้ยว Precision All-Wheel Steer
(P-AWS) ทำให้ล้อหลังสามารถเลี้ยวได้อิสระแบบแยกล้อซ้ายและล้อขวาได้ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่, เพิ่มความ
มั่นใจในขณะขับขี่
ขุมพลังมีให้เลือกแบบเครื่องยนต์ปกติ V6 24 วาล์ว ฉีดเชื้อเพลิงตรง 310 แรงม้าและแบบ Sport Hybrid SH-AWD ที่
จับคู่เครื่องยนต์ V6 ฉีดเชื้อเพลิงตรงกับมอเตอร์ไฟฟ้าทำให้มีกำลัง 370 แรงม้าเลยทีเดียว
BMW
ดูเป็นค่ายที่เอาจริงเอาจังกับรถยนต์รักษ์สิ่งแวดล้อมเสียจริง ๆ สำหรับค่าย BMW ล่าสุด BMW ส่ง i3 Coupe Concept
เพื่อเป็นการตอกย้ำว่า BMW เอาจริงแน่ ๆ กับรถยนต์ตระกูล I ซึ่งหน้าตาของ i3 Coupe Concept จะไม่แตกต่างจาก i3
มากนักจะต่างกันก็บริเวณครึ่งคันหลังเท่านั้น
BMW i3 Coupe Concept จะติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 170 แรงม้า และมีแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ส่งกำลัง
ไปยังล้อคู่หลัง เก็บประจุไฟฟ้าด้วยแบตเตอรี่ที่ซ่อนไว้ใต้พื้นรถ
Chevrolet
ไป ๆ มา ๆ รถที่เด่นที่สุดในงานคงจะเป็น Chevrolet Spark EV โดยติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าที่กำลัง 130 แรงม้า พร้อม
แรงบิดมหาศาลถึง 542 นิวตัน-เมตร ช่วยสร้างอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ได้เร็วภายในเวลาต่ำกว่า 8 วินาที โดย GM ได้
เล็งเห็นถึงปัญหาการชาร์จไฟที่เร็วไม่ทันใจในชีวิตจริง จึงได้พัฒนา SAE Combo Charger ชุดชาร์จไฟบ้านที่เติมกำลัง
แบตเตอรี่ได้ 80% ในเวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น
แต่หากไม่ได้ใช้ชุดชาร์จไฟแบบเร็วดังกล่าว แบตเตอรี่ Li-ion กำลัง 20kWh ของ Spark EV จะสามารถชาร์จไฟเต็ม
ก้อนได้ในเวลาต่ำกว่า 7 ชม. (จากไฟบ้าน 240V) โดยรถยนต์คันนี้มาพร้อมระบบเช็คแบตเตอรี่บนสมาร์ทโฟนและ
แท็บเล็ตผ่านแอพพลิเคชัน OnStar ของ GM
Fiat
หลังจากผนึกกำลังกับ Chrysler แล้ว Fiat เองก็ส่งอาวุธเด็ดถล่มตลาดสหรัฐอเมริกาแบบไม่หยุดยั้งทั้ง 500 รุ่นดั้งเดิม,
500L มินิแวนที่มีเนื้อที่ห้องโดยสารกว้างขวางและล่าสุด 500e ที่ติดตั้งขุมพลังไฟฟ้า ด้วยมอเตอร์ขนาด 100 แรงม้า และ
เก็บประจุไฟฟ้าด้วยแบตเตอรี่ Li-ion โดยยังไม่มีรายละเอียดออกมาว่า รถยนต์คันนี้จะสามารถวิ่งได้ระยะทางกี่กม.เมื่อ
ชาร์จไฟเต็ม ในเบื้องต้นรถคันนี้จะจำกัดการทำตลาดเฉพาะสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
Ford
ในงานนี้เน้นการเปิดตัว Fiesta รุ่นปรับ Minorchange เท่านั้น โดยไฮไลต์เด่นสุดคือ Fiesta ST พลังแรงโดดเด่นจาก
เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร Ecoboost 194 แรงม้า แรงขนาดนี้แต่มันมีอัตราสิ้นเปลืองบนถนนไฮเวย์เพียงแค่ 34 MPG พร้อม
ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวเต็มพิกัด
Honda
Honda Civic Minorchange กลายเป็นดาวเด่นในงานชนิดที่ทุกคนคาดไม่ถึงว่า Honda จะกล้าปรับปรุงรูปโฉมของ
Civic FB ให้ดูมีความสดใหม่มากขึ้นเพื่อลบข้อครหาจากสื่อทุกสำนักและเราก็คาดหวังว่ามันจะช่วยรักษาฐานลูกค้า
ดั้งเดิมของตนให้อยู่หมัด
Honda เน้นการปรับปรุงรูปลักษณ์ตัวรถในจุดที่คนส่วนใหญ่มักจะตำหนิกัน ได้แก่ รูปลักษณ์ด้านหน้าที่ถูกปรับปรุงใหม่
หมดจดชนิดไม่เหลือชิ้นส่วนเดิมเลยทำให้มันดูสปอร์ตขึ้นพอสมควร, บั้นท้ายก็เปลี่ยนแผงไฟท้ายและกันชนท้ายให้ดูสวย
ล้ำสมัยขึ้น
ภายในห้องโดยสารก็ลงทุนปรับปรุงรายละเอียดการตกแต่งเยอะแยะมากมาย อาทิ เพิ่มวัสดุหุ้มกรอบช่องแอร์, ติดตั้งวัสดุ
ครอบทับบริเวณเรือนหน้าจอสัมผัส, เปลี่ยนสวิตช์ปุ่มแอร์อัตโนมัติ, ปรับปรุงแผงข้างประตูใหม่ให้ดูมีมิติมากขึ้น, เพิ่มวัสดุ
บุนุ่มในส่วนที่สัมผัสกับร่างกาย นอกจากนี้ Honda ก็ยังปรับปรุงช่วงล่างให้ดีขึ้น
สรุปแล้ว Honda Civic Minorchange เป็นการปรับปรุงรายละเอียดครั้งสำคัญเพื่อช่วยกอบกู้ชื่อเสียงในอดีตให้กลับมา
มั่นคงในตลาดคอมแพคท์ได้ สำหรับตลาดไทยคงต้องรออีก 1 ปี
Hyundai
ปีนี้ไม่เน้นความอลังการมากนักเพราะส่งรถต้นแบบ Hyundai Veloster C3 Roll Top Concept มาอวดโฉมเพื่อเรียก
เสียงกรี๊ดกร๊าดจากพวกวัยรุ่นอเมริกัน โดยมีจุดเด่นตรงที่หลังคาผ้าใบแบบถลกหลังคาเลื่อนไปด้านหน้าสุดหรือเลื่อนไป
ด้านหลังสุดได้ อีกทั้งยังออกแบบฝากระโปรงท้ายให้สามารถเปิดท้ายแบบรถกระบะได้ทำให้รถต้นแบบคันนี้สามารถ
ดัดแปลงเป็นรถกระบะขนาดย่อมสุดเก๋ได้ ส่วนเครื่องยนต์กลไกก็ติดตั้งเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร เทอร์โบ 201 แรงม้า
Jaguar
Jaguar XFR-S พลังแรงสุดชีวิตด้วยเครื่องยนต์ V8 550 แรงม้า มีอัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 4.4 วินาที
พร้อมทั้งติดตั้งระบบ idle stop ที่ทำให้รถคันนี้ปล่อยไอเสียได้น้อยลงและประหยัดน้ำมันมากขึ้น ส่วนโครงสร้างตัวถังก็
เพิ่มความทนทานในการบิดตัวมากขึ้น 30%
Kia
หลังจากเจอ Hyundai ไปแล้วคราวนี้เราก็ย่างเท้ามาที่บูธ Kia กันบ้างดีกว่า ก็แน่นอนล่ะว่าไฮไลต์เด็ดของ Kia ก็คือการ
เปิดตัว All New Forte (K3 ในเกาหลีใต้) ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาไม่แตกต่างจาก K3 ที่เพิ่งเปิดตัวไป ภาพลักษณ์โดยรวมถือ
ว่าน่าสนใจมากพอสำหรับลูกค้าชาวอเมริกัน(และคนทั่วโลกด้วย) ติดตั้งเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร 148 แรงม้า และเครื่องยนต์
2.0 ลิตรฉีดเชื้อเพลิงตรง 173 แรงม้า ส่วนคันนี้จะมีสิทธิ์นำเข้ามาประกอบชุดคิท CKD ในไทยหรือไม่คงต้องรอดูกันครับ
Mercedes-Benz
งานนี้ก็อวดโฉม Mercedes-Benz Ener-G-Force รถต้นแบบที่บอกทิศทางของ G-Class ตัวใหม่ ตัวรถจะถูกออกแบบ
ภายใต้กรอบความคิด “ยานพาหนะสำหรับตำรวจทางหลวงยุคปี 2025” ซึ่งตัวรถจะต้องสามารถออก
เดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและมั่นคงและที่สำคัญต้องเป็นรถยนต์รักษ์สิ่งแวดล้อมได้ด้วย
ดีไซน์ภายนอกหลัก ๆ ยังคงอัตลักษณ์ของ G-Class รุ่นปัจจุบันเอาไว้เพียงแต่ออกแบบชิ้นส่วนต่าง ๆ ให้ดูล้ำยุคล้ำสมัย
มากขึ้น อาทิ ตำแหน่งของไฟหน้า, กระจังหน้า รวมไปถึงตำแหน่งไฟเลี้ยวที่อยู่เหนือไฟหน้า เป็นต้น แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลง
มากที่สุดคือขนาดหน้าต่างที่มีขนาดเล็กลงมาก นั่นเป็นเพราะว่าต้องการให้ปกป้องอันตรายได้ดีกว่าเดิม (คงเพราะมีเนื้อที่
ตัวถังเพิ่มขึ้นและลดเนื้อที่กระจกลง)
ไฮไลต์สำคัญของรถต้นแบบคันนี้คือด้านบนหลังคาติดตั้งถังเก็บน้ำรีไซเคิลสำหรับแปลงเป็นไฮโดรเจนสำหรับรังเชื้อเพลิง
Fuel Cell โดยมีระยะทางวิ่งสูงสุด 800 กิโลเมตร
Porsche
Porsche ได้ฤกษ์เปิดตัว All New Cayman เป็นครั้งแรกในงานนี้ก็ทำให้บูธ Porsche มีความโดดเด่นมากที่สุดในงานไป
เลย โดย Porsche Cayman โฉมใหม่ถูกพัฒนาให้ต่ำกว่าและยาวกว่าเดิม เบาขึ้นและรวดเร็วมากขึ้น อีกทั้งเครื่องยนต์ยัง
เต็มไปด้วยพละกำลังและเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพอย่างเต็มพิกัด
2013 Porsche Cayman มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ สัดส่วนและชิ้นส่วนต่างๆ ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ให้ความ
เป็นปอร์เช่ สปอร์ต คูเป้ เด่นชัดมากยิ่งขึ้น ฐานล้อได้รับการขยายมากขึ้น ระยะยื่นจากล้อถึงปลายกันชนสั้นขึ้น ล้อมีขนาด
18 นิ้วและ 19 นิ้ว เพื่อให้รถมีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น และเพิ่มเอกลัษณ์และประสิทธิภาพในการขับขี่ให้มากขึ้นไปอีก
ทุกๆ สัดส่วนของรถได้รับการเน้นย้ำให้เห็นถึงความโดดเด่นด้วยเส้นสายที่แม่นยำ และเน้นให้เห็นว่ารถนั้นต่ำลงพร้อมด้วย
การขยายตัวรถให้กว้างมากขึ้น กระจกบานหน้าได้รับการปรับเปลี่ยนให้เลื่อนไปด้านหน้ามากขึ้น และลายหลังคามีความ
ยาวเรียบไปจนถึงด้านหลัง อีกหนึ่งความโดดเด่นคือส่วนเว้าของประตูที่แนวด้านข้างของประตูรถ ได้รับการออกแบบเป็น
พิเศษตามหลักพลศาสตร์ ส่งผลให้มวลอากาศไหลผ่านได้อย่างดีเยี่ยม จึงทำให้อากาศสามารถส่งผ่านเข้าไปทางช่อง
อากาศด้านข้างของตัวรถ และถูกส่งเข้าไปให้เครื่องยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
หากมองจากด้านหน้านั้นท่านจะได้สัมผัสกับช่องดักอากาศที่โดดเด่น และได้รับการเพิ่มขนาดให้ใหญ่มากขึ้นทางด้าน ข้าง
รถ อีกหนึ่งความเป็นเอกลักษณ์ของสปอร์ตคูเป้เจเนอเรชั่นใหม่นี้คือฝากระโปรงหลังอลูมิเนียมที่ลาดต่ำและกว้างขึ้น ใบพัด
ของสปอยเลอร์หลังได้รับการติดตั้งเข้ากับฝากระโปรงหลังโดยตรง ซึ่งสร้างความแตกต่างกับรุ่นบ็อกซเตอร์ (Boxster) ที่
อยู่ในองศาที่สูงและลึกกว่าได้อย่างชัดเจน รูปลักษณ์โดยรวมของเคย์แมน (Cayman) นั้นโดดเด่น และให้สัมผัสถึงความ
เป็นอิสระที่แตกต่างจากรุ่นเดิม
รถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลาง 2 ที่นั่งเจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุดคันนี้จะเปิดตัวถึง 2 รุ่นหรือเวอร์ชั่นด้วยกัน นั่นคือรุ่น
เคย์แมน (Cayman) และเคย์แมน เอส (Cayman S) โดนในรุ่นเคย์แมน (Cayman) หรือรุ่นธรรมดาจะมีขนาดเครื่องยนต์
2.7 ลิตร และผลิตกำลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 275 แรงม้า (202 กิโลวัตต์) อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลาเพียง
แค่ 5.4 วินาทีเท่านั้น (ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ติดตั้งมาด้วย) ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 266 กม./ชม. อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิง
ต่ำแค่เพียง 7.7 ลิตร/100 กม. และ 8.2 ลิตร/100 กม. ขึ้นอยู่กับระบบส่งกำลังหรือระบบเกียร์ที่ติดตั้งมา
สำหรับรุ่นเคย์แมน เอส (Cayman S) นั้นมีขนาดเครื่องยนต์ 3.4 ลิตร และผลิตกำลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 325 แรงม้า (239
กิโลวัตต์) อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลาเพียงแค่ 4.7 วินาทีเท่านั้น (ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่ติดตั้งมาด้วย)
ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 283 กม./ชม. อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำแค่เพียง 8.0 ลิตร/100 กม. และ 8.8 ลิตร/100 กม.
ขึ้นอยู่กับระบบส่งกำลังหรือระบบเกียร์ที่ติดตั้งมา และทั้งสองรุ่นจะติดตั้งระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ แต่ยังสามารถเลือก
ติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ Porsche Doppelkupplungsgetriebe (PDK) 7 จังหวะได้ ซึ่งหากติดตั้งระบบเกียร์
PDK มาด้วยแล้วจะทำให้รถมีกำลังเครื่องยนต์ที่เร็วขึ้นและประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากกว่า
ปอร์เช่ได้ทำการเพิ่มอุปกรณ์ใหม่ๆ ให้เป็นคุณลักษณะพิเศษกับเคย์แมน (Cayman) ใหม่ล่าสุดคันนี้อย่างครบครัน อาทิ
เช่น ระบบ Adaptive Cruise Control (ACC) ที่ได้รับการติดตั้งเป็นครั้งแรกสำหรับเคย์แมน (Cayman) ระบบนี้จะช่วย
ทำการควบคุมระยะห่างของรถจากทางด้านหน้าเมื่อต้องอยู่ในสภาวะการจราจรที่ติดขัดหรือควบคุมความเร็วของรถ
อีกทั้งยังมีระบบเสียงชั้นนำของโลกอย่าง Burmester Sound System ที่สามารถเลือกติดตั้งได้ อีกหนึ่งอุปกรณ์เสริมที่
โดดเด่นคือระบบ Keyless Entry & Drive System ที่พร้อมจะอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานและผู้ขับขี่อย่างเต็ม
พิกัดอีกด้วย
Subaru
All New Subaru Forester ก็มาอวดโฉมในงานนี้ด้วยเช่นกัน (นัยว่าตลาดอเมริกาเหนือมียอดขายมากที่สุด) ซึ่ง
รูปลักษณ์ภายนอก ถือว่าเป็นการได้รับอิทธิพลงานออกแบบจาก 2012 Subaru XV รถยนต์ยกสูงพื้นฐาน Impreza
มาแบบเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ด้านหน้าทั้งโคมไฟ กระจังหน้าทรง 6 เหลี่ยม ตลอดไปจนถึงเส้นสายด้านข้างและด้านท้าย
ที่คล้ายการนำเส้นสายของ Forester รุ่นปัจจุบัน ผสมเข้ากับ XV อย่างลงตัว โดย Subaru ได้ทำการออกแบบพื้นที่ใต้
ท้องให้สูงจากพื้นถนนเพิ่มขึ้นเป็น 8.7 นิ้ว เพื่อให้ข้ามผ่านสิ่งกีดขวางได้ง่ายมากขึ้น
โดยภาพชุดแรกที่ปล่อยออกมา มีทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบนอน 2.5 ลิตร ที่ให้กำลัง 170 แรงม้า พร้อมแรงบิด
สูงสุด 236 นิวตัน-เมตร และรุ่นเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 4 สูบนอน 2.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยีหัวฉีดเชื้อเพลิงตรง
ให้แรงม้าสูงสุดถึง 250 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ซึ่งจะมาพร้อมกับกระจังหน้าลายพิเศษ
และกันชนหน้าใหม่ แต่ช่องระบายอากาศบนฝากระโปรง อันเป็นเอกลักษณ์มาตั้งแต่รุ่นแรก กลับถูกตัดออกไป ไม่มีในโฉมนี้
พลังจากเครื่องยนต์ทั้งหมด ที่ถูกเชื่อมเข้ากับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือ เกียร์อัตโนมัติ Lineartronic CVT ซึ่งซูบารุ
กล่าวว่า ทั้งเครื่องยนต์และเกียร์ถูกพัฒนาให้ทำงานได้ดีมากขึ้นจากรุ่นเดิม จนสามารถสร้างอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน
เชื้อเพลิงได้ดีกว่ารุ่นปัจจุบัน แต่ยังไม่มีการเผยตัวเลขที่แน่ชัดออกมาในขณะนี้
Toyota
All New Toyota Rav4 มีรูปลักษณ์ภายนอก ถูกอัพเดทด้วยสไตล์ Keen Look อันเป็นเอกลักษณ์งานดีไซน์ล่าสุดของ
ค่าย Toyota ที่จะให้ความปราดเปรียว ดูมีความเคลื่อนไหว ผสมผสานกันอย่างลงตัว ในรูปลักษณ์ด้านหน้า มาพร้อมกัน
ชนดีไซน์ใหม่และกระจังหน้าทรงรอยยิ้ม คล้ายกับใน Toyota Avanza รุ่นปัจจุบัน และ Toyota Yaris รุ่นใหม่ เพิ่มความ
ลงตัวด้วยชุดโคมไฟหน้าที่สานต่อเส้นสายของกระจังหน้า จนดูต่อเนื่องกัน
ในขณะที่รูปลักษณ์ด้านข้าง ดูมีความปราดเปรียวมากขึ้น ด้วยเส้นแนวหลังคาที่ลาดลงกว่ารุ่นก่อน และจบที่ด้านท้าย
ด้วยเส้นสายแนวเหลี่ยมสัน เพิ่มความบึกบึน เรียกได้ว่างานดีไซน์ภายนอกของ RAV-4 ใหม่ ดูแข็งแกร่ง โฉบเฉี่ยวมากกว่า
รุ่นปัจจุบันไม่น้อย
ส่วนห้องโดยสารภายใน มีการออกแบบโดยผสมผสานรูปแบบ Floating Design เข้ากับความบึกบึนอย่างลงตัว
เพิ่มความซับซ้อนด้วยเลเยอร์ต่างๆบนคอนโซลมากขึ้น และใช้โทนสีเมทัลลิกมากกว่าเดิม นอกจากนี้บรรดาของเล่น
ยังเข้าประจำการอย่างครบครันไม่ว่าจะเป็นระบบ Infotainment พวงมาลัยหุ้มหนังมัลติฟังก์ชัน ระบบอุ่นร้อนเบาะนั่ง
คู่หน้า เสริมความหรูหราด้วยการเดินด้ายเย็บบริเวณครึ่งบนของคอนโซลกลาง
สำหรับขุมพลัง เป็นการยกชุดมาจาก Toyota Camry ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 2.5 ลิตร
ที่ให้กำลัง 178 แรงม้า และบล็อกเบนซิน แบบ V6 ความจุ 3.5 ลิตร 268 แรงม้า เชื่อมต่อกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ
ลูกใหม่แบบ 6 จังหวะ พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และสำหรับลูกค้าชาวยุโรป จะมีเครื่องยนต์ดีเซลออกมาให้เลือกใช้
อย่างแน่นอน