ในที่สุด Honda City ของข้าพเจ้า ก็ตกรุ่นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อ Honda Automobile Thailand
ประกาศเปิดตัว รุ่นปรับโฉม ไมเนอร์เชนจ์ของ City ใหม่ เช้าวันนี้ (22 กันยายน 2011)

การปรับโฉมครั้งนี้ เป็นไปตามภาพถ่ายที่หลุดออกมาก่อนหน้านี้ คือเน้นการปรับโฉมเพียงแค่
ชิ้นส่วนตัวถังภายนอกให้สดใหม่ยิ่งขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น โดยไม่มีกาสรแตะต้องกับรายละเอียด
ด้านวิศวกรรมแต่อย่างใด ซึ่งก็เหมือนกันกับ Honda รุ่นอื่นๆ ที่มียอดขายดีอยู่แล้ว ในช่วงเวลา
ที่ผ่านมา
การปรับโฉมนั้น มีเพียงแค่การเปลี่ยนกระจังหน้ามาเป็นลวดลายใหม่แบบโครเมียม เปลี่ยนเปลือก
กันชนหน้าแบบใหม่ รวมทั้งเปลี่ยนล้ออัลลอย 16 นิ้ว ของทั้งรุ่น ท็อป SV และรุ่นกลาง V ใหม่ ให้
ดูภูมิฐานขึ้น ส่วนบั้นท้าย เปลี่ยนชุดไฟท้ายเป็นลวดลายใหม่ แต่กรอบไฟท้ายยังเหมือนเดิม และ
เปลี่ยนเปลือกกันชนด้านท้าย ให้ดูสปอร์ตมากขึ้น และมีแผงทับทิมด้านล่าง ที่ทำให้รถแอบดูลงตัว
มากกว่าเดิมอีกนิดนึง
สีตัวถัง มีการเปลี่ยนแปลง ถอดสี แดง ฮาร์บาเนโร และสีน้ำเงินออก เปลี่ยนมาเป็นสีแดงคาร์เนเลียน
มุก (สีโปรโมท เข้มกว่า ฮาร์บาเนโรเดิม พอสมควร) และสีน้ำตาล สปาร์คกลิ้ง เมทัลลิค ตามสมัยนิยม

ภายในห้องโดยสาร มีการเปลี่ยนแผงควบคุมเคื่องเสียงตรงกลาง จากสีเงิน เป็นสีเทาเข้ม บริเวณ
สวิชต์เครื่องปรับอากาศ เปลี่ยนมาเป็นสวิชต์สีดำ ตัดด้วยลายโครเมียม พื้นหลังสวิชต์วงกลม เปลี่ยน
มาเป็นสีดำ มือจับเปิดประตูจากด้านใน เปลี่ยนมาเป็นแบบโครเมียม และเปลี่ยนชุดมาตรวัดความเร็ว
กับมาตรวัดรอบ เป็นสีฟ้า Blue Light ปรับ Font ตัวเลขข้างในให้ดูทันสมัยขึ้นอีกนิด

นอกนั้น อุปกรณ์หลักๆ อันเป็นจุดเด่นก็ยังคงรวมตัวอยู่กันครบเหมือนเดิม ทั้งพวงมาลัยปรับระดับ
สูง – ต่ำ และระยะใกล้ – ไกล พร้อมสวิชต์ ปรับเครื่องเสียงบนพวงมาลัย เบาะหลังปรับเอนได้ 1 ระดับ
และแบ่งพับได้ในอัตราส่วน 60 : 40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ด้านหลัง เบาะผ้าสีเข้มในรุ่น SV และสีเบจในรุ่น
V กับ S ส่วนเครื่องยนต์ ยังคงเป็นรหัส L15 A บล็อก 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,497 ซีซี หัวฉีด PGM-FI
120 แรงม้า (PS) ที่ 6,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.8 กก.-ม.ที่ 4,800 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหน้า
ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ ระบบกันสะเทือนหน้าแม็คเฟอร์สันสตรัต หลังทอร์ชันบีม ระบบห้ามล้อ
ดิสก์เบรก ครบทั้ง 4 ล้อ ในรุ่น V และ SV ส่วนรุ่น S จะเป็นดรัมเบรกที่ล้อคู่หลัง
ที่สำคัญคือ Honda ดำเนินนโยบายใส่ถุงลมนิรภัยคู่หน้า Dual SRS มาให้ เช่นเดียวกันกับ Honda
ทุกรุ่นที่เปิดตัวในเมืองไทย นับตั้งแต่ ปี 2010 เป็นต้นมา

และนั่นจึงทำให้ราคาขายปลีกของรุ่น S เกียร์ธรรมดา อันเป็นรุ่นถูกสุด เพิ่มขึ้น 25,000 บาท เป็น
559,000 บาท (แพงกว่า Mazda 2 Sedan เกียร์ธรรมดา นิดหน่อย) เกียร์อัตโนมัติ 599,000 บาท
รุ่น V เกียร์อัตโนมัติ 646,000 บาท และรุ่นท็อป SV เกียร์อัตโนมัติ 704,000 บาท
ตอนนี้ รถส่งถึงโชว์รูมแล้ว และ Honda จะพร้อมเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตตั้งแต่เดือนกันยายนนี้
เป็นต้นไป สนใจติดต่อสอบถามได้ที่โชว์รูม Honda ทั่วประเทศ
——————————————————————————–