Headlightmag.com ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่การประกาศผลสุดยอดรถทดสอบแห่งปี
Headlightmag’s BestDrive 2012
หลังจากที่อุทกภัยเล่นงานเราอย่างหนักจนทำให้ปี 2011 เราทดลองขับรถกันได้เพียงแค่ 20 กว่าคัน
พอเริ่มปี 2012 ทาง J!MMY ตั้งเป้าไว้เลยว่าถ้าโลกไม่แตก จะเพิ่มจำนวนรถทดสอบให้มากกว่าเดิม
เป็นเท่าตัว ซึ่งแปลว่าจะต้องทำเป้าให้ทะลุสิ่งที่เคยทำไว้ในช่วงเปิดเว็บใหม่ๆที่ตกเฉลี่ยปีละ 30 กว่าคัน
แต่กลับกลายเป็นว่าหลังจากก้มหน้าเขียนงาน เงยหน้าก็ขับรถ ทำไปแบบกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์
พวกเราที่ headlightmag มารู้ตัวอีกที เจ้าของเว็บของเราก็กำพวงมาลัยทำ Full Review รถไปแล้ว
61 คัน! เรียกได้ว่าจัดหนักกว่าทุกปีที่ผ่านมา โดยที่รถ 61 คันนั้นก็ได้มีการรวบรวมรายชื่อไปแล้ว
ในกระทู้โหวต BestDrive2012 เวอร์ชั่นคนอ่านที่จัดตั้งขึ้นก่อนหน้านี้
ในจำนวนรถที่เราได้ทดลองขับกันไปในปีนี้ก็มีคละ Segment กันไปทั้งถูกและแพง ประตูน้อย
ไปจนถึงประตูมาก ดูเหมือนว่านอกเหนือไปจาก Supercar และรถระดับอัครมหาเศรษฐีแล้ว
ไม่มีรถอะไรใต้ฟ้าประเทศไทยที่ J!MMY จะลองขับไม่ได้ (ยกเว้นคันที่เจ้าของเขาไม่ให้ขับ)
รถ Ecocar ในปี 2012 นี้จัดเต็มกับ Mirage, Swift, Almera และตบส่งท้ายปีด้วย Brio Amaze
สมการใหม่สำหรับชีวิตที่ต้องการส่วนท้ายของรถ..
รถ B-Segment ปี2012 ออกเงียบเหงาหน่อยเพราะมีแค่ 4 คัน และ 3 ในนั้นก็เป็น Chevrolet Sonic ไปแล้ว
ส่วน C-Segment นั้นจัดมาทั้งหมด 9 คัน โดยมี Civic เจ้าตลาดรากลึกปะทะกับ Ford Focus ที่ยัด
อุปกรณ์มากมายและรูปโฉมที่โดดเด่น Cruze, Elantraและ Sylphy ยืนดูอยู่เงียบๆแต่หนึ่งในนั้น
อาจกลายมาเป็นผู้ชนะก็ได้
D-Segment มาวันนี้ออกจะง่อย เพราะมีเพียงแค่ Camry 3 คันเท่านั้น เนื่องจาก Accord ไม่มีอะไรใหม่น่าสน
และ Teana ก็ไม่ได้มีการปรับปรุงกลไกใดๆใหม่ รถทั้งคู่จะถูกปลดระวางในปี 2013 นี้อยู่แล้ว
แต่ Segment รถกระบะ…อันนี้สิโดน เพราะที่ผ่านมามีหลายท่านชื่นชมในเชิงตำหนิ (ยังไงกันหว่า)
ว่าทดสอบแต่รถหรูบ้างรถเก๋งบ้าง ไม่ลองรถกระบะบ้างเหรอ ปี 2012 เลยจัดเต็มไป 19 คัน! แทบจะทำเรื่อง
ขอรับรางวัลแหนบทองคำไปแขวนบ้านตาจิมเลยด้วยซ้ำ เป็นศึกระหว่างกระบะเก่าแต่เก๋าอย่าง Triton
เผชิญกับกระบะยุคiPad ทั้งฝูง Colorado กระบะเพื่อคนไทย Ranger กระบะใหญ่ไฮเทค BT50 ปิคอัพ
ขับเหมือนเก๋ง และ D-Max ที่ต้องเรียกว่าปิคอัพเอื้ออาทรเพราะที่ได้มาลองขับกันนี่เป็นเพราะผู้อ่านทางบ้าน
คุณ Moo Cnoe เอารถส่วนตัวของเขาเองมาให้ลองขับ!
ส่วนที่เหลืออีกหลายสิบคันนั้นคละกันไป Sport & Specialty มี Mercedes C250CGi Coupe รถดีอีกคันที่
อยากจะถาม MB Thailand เหลือเกินว่าจะเลิกขายทำไม(วะ) และ Toyota 86 ที่มาพร้อมกับ Concept ที่ดึงดูด
ลูกค้าเข้ามาชมและราคาที่ผลักไสไล่ลูกค้าออกไป..ปี 2012 เราได้ทดลองขับกันเฉพาะเกียร์อัตโนมัติรุ่นท้อป
ส่วนตัวเกียร์ธรรมดานั้นเราได้รถมาในช่วงมกราคม 2013 ซึ่งก็แปลว่าเราจะไปวัดผลรถคันนี้กันในปีหน้าครับ
ในภาพรวม รถ Ecocar, B,C,D และ Pickup Truck มีจำนวนทั้งสิ้นรวม 42 คันที่เราได้ขับกันไป
และจากรถทั้งหมด 61 คัน ก็มี 34 คันซึ่งเป็นรถที่ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท..เราคิดว่าส่วนผสมของการทดลองขับ
ในวันนี้ค่อนข้างปรับเข้าไปหาผู้อ่านส่วนใหญ่มากขึ้นครับ
ก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อหา เราต้องขอนำเงื่อนไขบางข้อมาเรียนให้ทราบกันอีกครั้ง (ถึงแม้จะเรียนรู้จากครั้งที่แล้ว
ว่าหลายคน ก็ไม่อ่านอยู่ดีนั่นล่ะ ยกจากปี 2011 ก๊อปมาใส่เลย หลายท่านที่เข้าใจแล้ว ข้ามไปได้เลยนะครับ
1.การให้คะแนน มีการกระจายน้ำหนักไปสู่หัวข้อต่างๆเช่นความมั่นใจในการขับขี่ รูปลักษณ์ วัสดุหรือ
อุปกรณ์ที่ให้ โดยให้น้ำหนักแต่ละข้อเท่ากัน ไม่ได้เน้นหนักไปที่ด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งอาจไม่เหมือนกับการซื้อรถ
ของท่านผู้อ่านหลายท่านที่อาจให้น้ำหนักเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเป็นพิเศษ
2. ความสูงชั้น ความเลอค่า..ภาพพจน์ทางสังคมของแบรนด์ไม่ถูกนำมาพิจารณา รถคันนั้นจะดีได้
ก็ต้องดีด้วยคุณสมบัติและความสามารถของมัน การสักแต่เอาแบรนด์ดีๆมาแปะ ไม่ได้ทำให้เราชอบรถคันนั้น
โดยอัตโนมัติ
3. เราไม่นำเรื่องศูนย์บริการหลังการขาย ความทนทาน ราคาขายต่อ ความยากง่ายในการหาอะไหล่มานับคะแนน
เพราะเรื่องพวกนี้ แต่ละคนอาจพบความพึงพอใจไม่เท่ากัน และอาจมีความสามารถในการ “ช่วยตัวเอง” (ในการ
หาอะไหล่หรือหาศูนย์บริการดีๆ)ไม่เท่ากัน ดังนั้นเรื่องนี้ต้องขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาตามความเห็นของตนเอง
4. เราพิจารณารถแต่ละคันตามสภาพของรถที่เราได้ทดลองขับ ซึ่งจะไม่ได้มีการคำนึงถึงการนำไปดัดแปลง
ทำซ้ำ หรือส่งตามสายเคเบิ้ล เอ้ย! หรือโมดิฟายต่อภายหลังว่าง่ายหรือยาก
ดังนั้น อย่าแปลกใจ หากท่านพบว่ารถญี่ปุ่นสุดสมาร์ทที่ท่านแอบเชียร์อยู่ในใจ อาจไม่ได้คะแนนสูงเท่าที่ควร
เพราะท่านอาจมองเรื่องศูนย์บริการและราคาขายต่อซึ่งเราไม่ได้สนใจ
ว่าแล้วเรามาดูกันเลยดีกว่าครับว่าใคร..คือ Headlightmag’s BestDrive 2012 โดยก่อนจะถึงตัว
ผู้ชนะ ก็จะมาไล่ลำดับจากอันดับ 10 ก่อนเช่นเคย
============================================================
อันดับที่ 10 Lexus GS450h Premium
สารภาพตามตรงครับว่าไม่คิดเลยที่จะได้เห็นรถคันนี้เข้ามาติดอันดับ Top Ten เหตุผลก็เพราะราคาค่าตัว
ของมันที่สูงถึง 7,790,000 บาท ทำให้หลายคนที่เริ่มประทับใจกับตัวรถถอยห่างลี้หนีหายกันไปเสียหมด
กรรมการแต่ละคนไม่มีใครให้คะแนนในเรื่องความคุ้มค่าเทียบกับราคาในระดับที่ดีเลย ส่วนมากจะให้แค่
“แย่กว่าเฉลี่ย” และบางคนก็ถึงกับรับไม่ได้เลยก็มี
แต่ถ้าหากมองกันอย่างยุติธรรมจากอีกมุมหนึ่ง 530d ม้าเผือกอภินิหารที่เราเคยขับกันไปในช่วงที่บอดี้ F10
เปิดตัวใหม่นั้นก็มีราคาระดับ 8 ล้านบาท แล้วยังไง? GS450h มีอัตราเร่ง 0-100 ที่เร็วกว่า อัตราเร่ง
80-120 ก็เร็วกว่า อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงประหยัดกว่า มีพื้นที่สำหรับผู้โดยสารด้านหลังมากกว่า
การเข้าออกจากรถก็ทำได้ง่ายกว่าเล็กน้อยยกเว้นว่าคุณจะตัวผอมชะลูดมากก็อาจจะไม่รู้สึก สิ่งที่ 530d
จะชนะ GS450h ก็มีแค่ช่วงล่างที่เกาะถนนกว่า มั่นคงกว่า สาดโค้งสนุกกว่า พวงมาลัยคมกว่า ตอบสนองดีกว่า
อันที่จริงหากมองจากคะแนนที่ได้จะพบว่าทุกหัวข้อนั้น GS450h จะได้คะแนน “ดีกว่าเฉลี่ย”ไปจนถึงระดับ
ซูเปอร์ไซย่าเลย แต่มาตายเพราะราคาค่าตัวรถ แบบเดียวกับ 530d เด๊ะๆ
ในขณะที่ BMW มีความสปอร์ต ดุดัน เอาจริงเอาจัง และ E-Class มีความหนักแน่นเหมือนเหล็กกล้า
Lexus มีความรู้สึกที่เหมือนมาจากโลกอนาคต แสงสีภายในของ GS450h นั้นน่าจะเหมาะกับการพา
สาวในฝันของคุณไปเดทอย่างยิ่ง และในวันที่เร่งรีบ มันจะเป็นรถที่แผลงฤทธิ์ดึงหลังติดเบาะได้อย่างที่
คุณคาดไม่ถึง มันคือ Camry Hybrid ที่กินสเตอรอยด์ แปลงร่างเข้าสู่ขั้นพลังระดับสูงสุด แต่ใส่สูท Armani
แต่ต้องถามตัวเองก่อนว่าคุณจะยอมจ่ายราคาระดับนี้ หรือหักลบออกไป 1.1 ล้านบาทแล้วซื้อ GS350
ที่วิ่งช้ากว่ากันไม่มาก กินน้ำมันกว่ากันหน่อย แต่ได้อารมณ์กว่าเพราะเกียร์ไม่ใช่ CVT?
อันดับที่ 9 Volvo S60 1.6DRIVe Turbo
“ซุกซน อย่างมั่นใจ ปลอดภัยอย่างชาญฉลาด แรงและประหยัดกว่าที่คาด ในราคาถูกและคุ้มเกินคิด”
ข้างบนนี้ไม่ใช่คำขวัญประจำจังหวัด แต่เป็นบทสรุปง่ายๆสั้นๆที่ J!MMY มีให้กับ S60DRIVe Turbo คันนี้
สูตรผสมของ Volvo ในช่วงปีหลังมานี้ค่อนข้างจับทางได้ง่ายมากคือเอารถมาใส่อุปกรณ์ทางด้านความปลอดภัย
ให้ครบครัน จากนั้นก็ขายในราคาที่ทำให้รถร่วม Segment รุ่นอื่นๆเห็นแล้วเซ็ง ไม่ว่าจะเป็น S80 ซึ่งก็ติดอันดับ
ที่ปีที่แล้ว หรือ S60 1.6 ที่หล่นเข้ามาอยู่ในอันดับที่ 9 ของปีนี้ ต่างก็ดำเนินรอยตามสูตรนี้ทั้งสิ้น
S60DRIVe ประกอบในมาเลย์เซีย (อันที่จริง ณ วันนี้รถเก๋งของ Volvo ไม่มีประกอบในไทยแล้ว) คุณภาพการ
ประกอบตัวรถนั้นด้อยลงกว่าสมัยประกอบในยุโรปแค่บางจุด อัตราเร่งของรถ 1.6 นั้นสร้างความประหลาดใจ
ว่าทำไมพกมา 180 แรงม้า แต่อัตราเร่งช่วงต่างๆรวมถึงความเร็วสูงสุดนั้นแทบไม่ได้เป็นรองรุ่น 2.0 ลิตร 200 แรงม้า
การตอบสนองของช่วงล่างและพวงมาลัยนั้นเข้าใจง่ายๆเลยว่ามันคือจุดกึ่งกลางระหว่าง Mercedes C-Class
รุ่นธรรมดาๆ กับ BMW 3-Series E90 พูดได้เลยว่าเป็น Volvo ที่ขับได้สนุก คล่องตัว อัตราเร่งอาจจะไม่ถึงกับ
หลังติดเบาะแต่ก็พอเพียงต่อการใช้งาน อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงค่อนข้างกลางๆไม่ถึงกับโดดเด่นอะไร
สิ่งที่เป็นไม้ตายของ S60 อยู่ที่ระบบความปลอดภัย รถทดสอบของเราราคา 2.149 ล้านบาท มี City Safety,
ระบบแจ้งเตือนเพื่อหลีกเลี่ยงการชน Collision Warning, ระบบควบคุมความเร็วคงที่แบบแปรผัน พร้อมระบบ
หยุดและออกรถเองอัตโนมัติ, Adaptive Cruise Control พร้อม Queue Assist และระบบ Distance Alert
ระบบกล้องและสัญญาณเตือนขณะถอยเข้าจอด ทั้งหน้า-หลัง Park-Assist Camera & Sensor
เรียกได้ว่าหากตัดทั้งหมดนี้ออกไป S60 ไม่น่าจะเข้ามายืนแท่น Top Ten แน่ๆ ส่วนจุดที่ยังอยากให้ปรับปรุง
คือการขับขี่ที่ความเร็วสูงมากๆยังไม่มันคงเหมือน BMW ตำแหน่งแป้นเหยียบต่างๆค่อนข้างชิดไปทางซ้าย
มากไปนิด และเครื่องเสียง High Performance ซึ่งยังฟังดูแล้วน่าจะดีกว่านี้ได้อีก
อันดับที่ 8 Nissan Sylphy 1.8V Navi
ใหม่สดจาก Nissan และโชคดีที่ส่งให้พวกเราได้ทดลองขับกันทันสิ้นปี (รุ่น 1.6 เพิ่งได้มาขับปี 2013)
Nissan Sylphy เป็นรถที่พวกเราเห็นพ้องต้องกันทั้งทีมว่าถึงรูปทรงจะดูแก่ แต่ก็ยังไม่ได้ทะลุป้ายไปไกล
เป็นทรงที่ภูมิฐานและหากเทียบกับรถรุ่นก่อนๆอย่าง Latio, NEO, Sunny B14 แล้วล่ะก็ ยังไงก็ต้องยอมรับ
ว่า Sylphy มีรูปทรงที่โดนใจที่สุด แต่ถ้าหากไม่พูดถึงเรื่องรูปทรงแล้ว ข้อดีส่วนที่ชัดเจนที่สุดของตัวรถก็คือ
การบริหารจัดการพื้นที่ภายใน ซึ่งกระจายความสบายให้ทั้งคนนั่งแถวหน้าและหลังได้อย่างเหมาะเจาะ
ได้คะแนนรวมจากกรรมการในหัวข้อนี้ในระดับ B+ เบาะนั่งได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นจากสมัย Latio
สามารถรองรับสรีระส่วนหลังได้ดีขึ้น
สิ่งที่ปรับปรุงขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัดอีกประการคืออัตราเร่ง เครื่อง MRA8DE 1.8 ลิตรมีแรงม้าแค่
130กว่าตัว น้อยมากถ้าเทียบกับคู่แข่งญี่ปุ่นส่วนใหญ่ แต่อัตราเร่งนั้นดีค่อนไปทางอันดับต้นๆ
เกียร์ CVT มันซ่อนเอาความมันส์เอาไว้เสียหมด..ต้องเอานาฬิกามาจับดูถึงรู้ว่าไม่กระจอก ส่วนอัตราการ
สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 15.67 ก.ม./ลิตรนั้นก็ทำเอา Honda Civic สะอึกได้เหมือนกัน พวงมาลัยมีอัตราทดที่ไว
แต่ความคมนั้นยังเป็นรอง Ford Focus ช่วงล่างยังมีความสะเทือนในหลุมใหญ่ๆ แต่พวกกรวดเล็กๆนั้น
เก็บแรงสั่นสะเทือนได้ดีกว่า Tiida/Latio ความสะเทือนในยามโดยสารทางไกลนั้นน้อยกว่า Altis 1.8 และ
อาการช่วงล่างท้ายเด้งก็น้อยกว่า Civic ภายในของรถก็ตกแต่งมาได้ดูเรียบร้อย สวิทช์ต่างๆใช้การง่าย
เข้าใจง่าย คุณเอก Backseat Driver บอกว่า Sylphy นั้นเป็น C-Segment ที่มีคุณสมบัติค่อนข้างดีในทุกด้าน
และน่าจะเป็นรถที่ดีที่สุดใน Segment ส่วน Toyd The Coup ก็ให้ความเห็นว่า Nissan เดินหมากถูกแล้ว
กับรถคันนี้
ถ้ามีสิ่งใดที่จะแนะให้ปรับปรุงได้ ผมคงเสนอให้ทำรุ่น Sylphy SS เอาล้อ 17 ของ Pulsar มาใส่ ตกแต่งให้ดูสปอร์ต
และหาทางเพิ่มแทร็คชั่นคอนโทรลหรือระบบควบคุมเสถียรภาพในการขับขี่ เพราะนี่ล่ะคือจุดอ่อนที่คะแนน
ด้านอุปกรณ์ความปลอดภัยแพ้ให้กับ Ford และ Chevrolet การเก็บเสียง บางส่วนของตัวรถรู้สึกได้ว่าไม่แน่น
และหนาเหมือนสมัยเป็น Latio เอาข้อดีตรงนี้กลับมา และใส่อุปกรณ์ความปลอดภัยอีกหน่อย คะแนนรวม
ที่ได้อาจจะดีกว่านี้ไม่มากแต่ก็เป็นการเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เลือกสิ่งที่พวกเขาอยากได้
อันดับ 7 Ford Focus 2.0 Hatchback
และ
อันดับ 6 Ford Focus 2.0 4 ประตู
ถึงแม้จะมีกระแสต่างๆทั้งหนุนหลังและถีบยอดหน้า Ford อยู่ในเว็บ headlightmag.com แต่ในวันนี้ เมื่อเรา
ตัดสินใจที่จะประเมินรถโดยไม่นำเรื่องความทนทานในระยะยาวและศูนย์บริการมาเกี่ยวข้อง ก็คงไม่เป็นที่น่า
แปลกใจเลยหากเราจะพบ Ford Focus อยู่ในชาร์ท Top Ten และยิ่งไม่น่าแปลกหากทั้งรุ่น 4 และ 5 ประตู
จะมีคะแนนที่ห่างกันเพียงเล็กน้อยแบบนี้
รถทั้งสองคันมีจุดเด่นที่ถือว่าเป็น “ที่สุดของคลาส” ร่วมกัน อย่างแรกเลยคือการปรับช่วงล่างและพวงมาลัย
Focus คือรถที่สามารถเอาดีได้ทั้งการขับไปบนถนนปะบ้างซ่อมบ้างทรุดตัวบ้างของกรุงเทพได้อย่างสบาย
ไม่ส่งอาการสะเทือนเข้าห้องโดยสารมากจนเกินงาม เมื่อขับทางไกลบนมอเตอร์เวย์ ก็ให้ความมั่นใจและมั่นคง
การหักเลี้ยวแบบหักหลบกระทันหันสามารถคุมหน้าและท้ายให้เป็นไปตามสั่งได้ง่ายดาย เมื่อถึงจุดที่รถจะ
แสดงลิมิตของมันออกมา ก็จะมีเสียงยางเตือนมาก่อน เรานึกไม่ออกเลยว่ามีคู่แข่งรายไหนที่สามารถทำแบบนี้
ที่ใกล้เคียงที่สุดก็เห็นจะเป็น Chevrolet Cruze และ Mitsubishi Lancer แต่ทั้งสองก็แพ้เรื่องน้ำหนักและความคม
ของพวงมาลัยอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น การโหมประเคนอุปกรณ์มาให้อย่างไม่ขี้เหนียวก็เป็นจุดที่ชนะใจกรรมการเช่นกัน รถ C-Segment
ราคาเกินล้านไปไม่มาก แต่มีระบบถอยจอดเองได้ มีระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ระบบ Torque Vectoring
Control ควบคุมพลังขับของล้อหน้าทั้งสองข้างเพื่อให้ยิงเข้าออกโค้งได้มั่นๆ มีCruise control มีมูนรูฟ มีระบบสั่งการ
ด้วยเสียง ทั้งหมดนี้คืออุปกรณ์ที่บรรดาคู่แข่งมีให้บ้างและไม่มีบ้าง แต่ทั้งหมด พบได้ใน Focus 2.0 นี้
สมรรถณะของเครื่องยนต์เมื่อทำงานร่วมกับเกียร์ก็เป็นอีกจุดที่เราประทับใจ แต่ไหนแต่ไรมา รถ C-Segment
ที่เราทดลองขับกันไม่เคยมีใครทำอัตราเร่งแซง 80-120 ได้เร็วกว่า 7 วินาทีจนกระทั่งการมาของ Focus 2.0GDIนี้
ตัวอย่างเช่นรุ่น Hatchback ใช้เวลาแซงจุดนี้แค่ 6.7 วินาที กินขาดรถรุ่นอื่นทุกรุ่น เร็วกว่า Altis 2.0 และ Lancer 2.0
เกือบวินาที เป็นตัวเลขที่เร็วพอๆกับรถระดับพรีเมียมอย่าง C250CGi Saloon และ BMW 320d E90 ด้วยซ้ำไป
อัตราเร่ง 0-100 ประมาณ 9.5 วินาทีก็พอๆกันกับ Focus TDCi รุ่นเก่าซึ่งสร้างมาตรฐานไว้อันดับต้นๆของกลุ่ม
ส่วนอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงนั้นเกาะกลุ่มอยู่ใกล้เคียงกับคู่แข่ง จะแพ้ก็แต่ TDCi รุ่นเก่ากับ Prius ที่เป็นไฮบริด
แล้วข้อเสียมีอะไรบ้าง? การจัดพื้นที่ในห้องโดยสารยังไม่พัฒนาสักที รุ่นที่แล้วเป็นอย่างไร รุ่นใหม่ก็ดีขึ้นไม่มาก
ดูสเป็คความยาวของตัวรถแล้วก็ยังแปลกใจว่าทำไมถึงไม่ทำให้ Leg room หลังมันสู้ชาวบ้านเขาได้สักที
ไม่ต้องไปเทียบกับ Sylphy ก็ได้ เอาแค่เจ้าตลาดอย่าง Civic, Altis ก็ทำจุดนี้ได้ดีกว่า Focus ทั้งนั้น แผงคอนโซล
ออกแบบมาได้น่าปวดหัวดีแท้ หลายคนที่ซื้อ Focus มาใช้แล้วอาจจะบอกว่าเดี๋ยวคุณก็ชิน แต่สำหรับทีมงานเรา
หลังจากที่เปลี่ยนรถสลับขับกันมาทะลุร้อยคันไปไกล เราพบว่าในรถระดับนี้ Focus มีคอนโซลที่เข้าใจยากกว่าใคร
ตำแหน่งการติดตั้งไฟส่องสว่าง และโดยเฉพาะเกียร์โหมดบวกลบที่ใช้วิธีกดปุ่มเล็กๆด้านข้างของหัวเกียร์
เป็นจุดที่น่าผิดหวังในฐานะรถ C-Segmentที่เน้นความสนุกในการขับขี่ (ลองจับพวงมาลัยสองมือแล้วพยายาม
เล่น manual mode เร็วๆแล้วจะเข้าใจ) ทำไมไม่ทำ Paddle shift หรือใช้คันเกียร์โยกบวกลบง่ายๆแบบ Fiesta 1.4?
ส่วนที่มาของคะแนนว่าทำไมรุ่น Hatchback ถึงได้อันดับน้อยกว่า อยู่ที่อุปกรณ์ ซึ่งรุ่น 4 ประตูนั้นได้ล้อ 16 นิ้ว
ที่ดูช่างธรรมดา แต่ได้ Blind Spot Information System มาใช้ แถมยังราคาถูกลงอีก 10,000 บาท ซึ่งเรามองว่า
อุปกรณ์ความปลอดภัยนั้นสำคัญกว่าความเท่ห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อนำมาลองขับจริงๆแล้วพบว่า
การบังคับควบคุมของรถ 4 ประตูที่เป็นล้อ 16 นิ้วนั้นไม่ได้ด้อยกว่ากันเลย
ก็อย่างที่เคยบอก ถ้าวันใด Ford ล้างภาพลักษณ์เรื่องบริการหลังการขายในสายตาของลูกค้าได้ เชื่อเหลือเกิน
ว่ายอดขายจะปรี๊ดกว่านี้ แต่ในวันนี้ในเมื่อการนับคะแนนไม่ได้รวมเรื่องนี้เข้าไปด้วย ชัยชนะของ Ford ในครั้งนี้
ก็ต้องปรบมือให้กับความไม่ขี้เหนียวอุปกรณ์และความพยายามของวิศวกรที่ทำรถออกมาได้ดีเช่นนี้นั่นเอง
อันดับ 5 Suzuki Swift 1.2 GL M/T
และ
อันดับ 4 Suzuki Swift 1.2 GLX CVT
ผมเฝ้ารอมาสองปีแล้วว่าเมื่อไหร่จะมีรถติดอันดับ Top Ten ที่เป็นรถประเภทราคาค่าตัวไม่แรงมาก
เป็นรถที่คนส่วนใหญ่สามารถซื้อหามาครอบครองกันได้ ปี 2012 การรอคอยก็ได้สิ้นสุดลงพร้อมกับ
การมาของ Swift แต่ขอบอกหน้าไมค์ตอนแรกว่าไม่มีใครในกลุ่มเราเลยที่คิดว่ามันจะเข้ามาได้ถึงอันดับ
กลางของชาร์ท Top Ten อย่างมากก็แค่แขวนอยู่รอบนอกเหมือนที่ GS450h เป็นอยู่ในเวลานี้เท่านั้น
หลายคนก็คงพูด (และผมทราบครับว่าใคร) ว่าเจ้าของเว็บนี้เชียร์ Suzuki ก็ให้เขาพูดไปเถอะครับ
เพราะทุกวันนี้คนบางประเภทอยู่ได้ด้วยการเปลี่ยน Social (สังคม)ให้กลายเป็น Zaecial (แซะเชียล
สังคมของพวกช่างนินทาแต่เชิญมานั่งคุยกันซึ่งๆหน้าแล้วเรียบร้อยยเรียบร้อย) ซึ่งถ้าสมมติว่าเราไม่แน่ใจ
ในรถคันนี้จริงๆ ทำไมตา Backseat Driver ถึงลองขับเสร็จแล้วก็วิ่งไปจองสีขาวของตัวเองทันที และในทีมเรา
ก็มีสมาชิกในบ้านหรือคนรู้จักที่ไปลองด้วยตัวเองแล้วตัดสินใจซื้อไว้ในครอบครอง 5 คันแล้ว
ทำไม Swift ถึงมายืนตรงจุดนี้ได้? ก็เพราะในการลงคะแนนเทียบกับรถร่วม Segment เดียวกันนั้น
Swift จะได้คะแนนดีกว่าเฉลี่ยไปจนถึงดีเยี่ยมในเกือบทุกหัวข้อ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบภายนอก
และภายใน ไปจนถึงวัสดุที่เลือกใช้ในห้องโดยสาร อุปกรณ์ที่มีมาให้ และที่โดดเด่นที่สุดคือช่วงล่างและ
การขับขี่ ในบรรดา Ecocar ทั้งหมด Swift เป็นรถรุ่นเดียวที่สามารถเปรี้ยวได้หลังเข็มความเร็วเกิน 130
มันให้การทรงตัวที่มั่นคงกว่าเพื่อนร่วมรุ่นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนการหักเลี้ยวกระทันหันที่ความเร็วต่ำ
หน้ารถจะจิกพื้นและเลี้ยวแบบตามสั่งจนบางทีก็เผลอสนุกจนลืมลิมิตของรถไปเหมือนกัน ระบบเบรก
แม้จะไม่หนีมาตรฐาน Ecocar นัก แต่ก็สามารถทนการขับอย่างดุเดือดได้นานกว่าคนอื่น
หากไม่นับเรื่องการขับขี่ Swift ก็ยังมีจุดดีที่เหลืออยู่คือความสบายของที่นั่งแถวหน้า จากหลังคาที่ออก
แบบมาในแนวโปร่ง ตำแหน่งการขับขี่ที่มีความสัมพันธ์กันระหว่างพวงมาลัย ประตู หน้าปัด และ
ความสูงของเบาะ แม้แต่พวงมาลัยก็ยังสามารถปรับระยะเข้า-ออกได้ เจ้าของ Swift บางคนขับมาจะปี
แล้วยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ทั้งหมดนี้บวกกับการเลือกใช้วัสดุภายในที่ทำออกมาแล้วดูดีกว่า Brio กับ Mirage
และบางคนก็บอกว่าดูลงตัวกว่า March ส่วนในหัวข้ออื่นๆเช่นอัตราเร่ง ก็อยู่ในระดับกลางๆค่อนไปทางดี
อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ก็อยู่ในระดับกลางค่อนไปทางดีเช่นกัน แต่แพ้ Mirage ซึ่งใช้วิชาตัวเบา
สร้างอัตราการสิ้นเปลืองที่ได้ตัวเลขดีกว่าแบบชัดเจน
มันคือ Ecocar ที่สามารถให้คุณได้ในสิ่งที่ใกล้เคียงกับรถคลาสสูงกว่า เรามองสิ่งที่ได้เทียบกับราคาค่าตัว
แล้วคิดว่าคุณสมบัติที่ได้มานั้นคุ้มค่ากับจำนวนส่วนต่างของเงิน..แต่มันก็ไม่ใช่รถที่ไร้ข้อติ อย่างแรกก็คือ
ช่วงล่างซึ่งแม้จะประพฤติดีกว่าใครเพื่อน แต่บนถนนที่มีความขรุขระและสั่นสะเทือนต่อเนื่องกันมากๆ
จะมีแรงสะเทือนส่งเข้ามาในห้องโดยสารค่อนข้างมาก และบางครั้งก็ส่งผลถึงตัวรถ ทำให้ความมั่นใจในการ
ขับขี่ยังไม่ถึงกับฆ่ารถใหญ่ได้เต็มปากนัก ลักษณะการตอบสนองของเครื่องยนต์ที่รอบต่ำๆยังไม่ดีนัก
ต้องลากเข็มวัดรอบให้เกิน 4,000 ถึงจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามีเรี่ยวแรง เบาะหลังวางตำแหน่งไว้สูง ทำให้
คนนั่งหลังมีโอกาสหัวติดเพดานได้ ในขณะที่ Mirage นั้นแม้รถจะเล็กกว่าแต่ใช้เทคนิคการวางเบาะต่ำ
ทำให้คนตัวสูงสามารถนั่งได้สบายหัว แต่นั่งนานๆอาจจะปวดหัวเข่าหน่อยแค่นั้น การประกอบและระยะห่าง
ของชิ้นส่วนตัวถังในบางจุดยังต้องปรับปรุง เช่นประตู ไฟหน้า และแก้มหน้า
นอกจากนี้ในรุ่นเกียร์ธรรมดานั้นจะขอติแรงๆตรงที่ไม่ยอมเอา ABS ใส่มาให้ ถูกล่ะ มันไม่ใช่ว่าทุกคันเขาจะมี
แต่ Mirage GLX เกียร์ธรรมดาที่ราคาถูกกว่าเขามีให้ และ Honda เองก็กำลังประกาศให้รถทุกคันในค่าย
มี ABS และถุงลมนิรภัยเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน..เราคิดว่าการมี Push Start/Smart key เป็นเรื่องที่เก๋ แต่การมี
สองอย่างนี้ แล้วต้องยอมแลก ABS ไป ทีมเรามองตรงกันว่าไม่ make sense อย่างแรงครับ
อันดับ 3 Toyota Camry Hybrid
ผมคงต้องขอยืมคำพูดของตาเอก Backseat Driver ในฐานะที่เป็นเจ้าของ Camry Hybrid รุ่นก่อนหน้านี้
และได้มีโอกาสสัมผัสกับ Camry Hybrid ตัวใหม่ล่าสุดมาให้คุณอ่านกัน
“เครื่องรุ่นเก่าว่าแรงฟินแล้ว…รุ่นใหม่ฟินไปอีกขั้น ประหยัดสะใจกว่าเก่า ตัวถังที่ไม่สวยแต่แข็งกว่าเดิม
ขับสนุกและนั่งสบายกว่าชัดเจน แล้วสุดท้ายเบาะหลังฟินๆที่กว้าง นั่งสบาย หลับได้ถึงเชียงใหม่…
จะเอาอะไรอีกกับรถคันละล้านปลายๆ นี่แหละแคมรี่โฉมใหม่ที่ยังใช้แพลตฟอร์มเดิม…
แต่ทำให้ผมอยากเทิร์นไอ้เจ้าHybridสีดำที่ใช้อยู่เป็นรุ่นใหม่อย่างจริงจัง ถ้าพี่โตตั้งใจทำอะไรก็
ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ”
ที่ตาเอกพูดนั้นก็ไม่ได้ผิดไปจากความจริงมากนัก Toyota เก็บเอากระแสตอบรับที่มีต่อรถรุ่นก่อน
มาใช้พัฒนารถรุ่นนี้จนเมื่อได้ลองขับ ผมกับ J!MMY ค่อนข้างมั่นใจว่ามันจะเป็นรถที่ติดอันดับ Top Ten
แน่นอน เครื่องยนต์ 2.5 ลิตรบวกกับพลังมอเตอร์ไฟฟ้านั้น แรง หลอน และเหลือๆ 0-100 จบได้ภายใน
8.54 วินาที 80-120 ก.ม./ช.ม. จบภายใน 6.12 วินาที ทั้งหมดเป็นตัวเลขที่สร้างสถิติใหม่สำหรับรถ
D-Segment ทั้งหมดแล้วยังจิบน้ำมันเพียง 18.57 ก.ม./ลิตรเมื่อวิ่งทางไกล ดีที่สุดในหมู่รถระดับเดียวกัน
ลองคิดดูแล้วกันครับว่ารถบ้านคันยาวเกือบ 5 เมตร แต่พุ่งออกตัว เร่งแซงได้เร็วกว่า Toyota 86GT 6A/T
แถมยังประหยัดกว่า นี่ถ้ารื้อมอเตอร์ออกมาพันทองแดงใหม่ขี้คร้านจะไปไล่ฆ่าพวกรถ Sport Compact
เอาดื้อๆ (อันนี้ล้อเล่นนะ)
หรือคุณจะคิดว่ามีดีแต่แรง? ยิ่งผิดถนัด เพราะ Camry Hybrid ตัวใหม่นั้นแม้จะใช้ Platform เดิม
แต่ก็พัฒนาช่วงล่างจนสามารถวิ่งเร็วๆได้นิ่งและมั่นใจ กระโดดสะพานแล้วท้ายลงพื้นแบบตรงๆมั่นๆ
ไม่มีย้วยซ้ายขวาแบบ Teana และไม่กระเด้งเท่า Accord ความมั่นใจของช่วงล่างในวินาทีนี้มันเป็นรอง
แค่ Skoda Superb ซึ่งมั่นใจเต็มพิกัดราวกับรถเยอรมัน แต่ช่วงล่างของเจ้า Superb ก็แข็งสะเทือนกว่า
พวงมาลัยจากเดิมที่เบาๆยานๆ มีชีวิตชีวาแค่เท่ากับโรโบ้ค้อปถอดแบต ในวันนี้กลับมาเป็นรถคนละคัน
มันมีน้ำหนักที่พอดิบพอดีสำหรับทุกงาน มีระยะการหมุนและอัตราทดที่สนุกใกล้เคียง Accord แต่มี
Feedback สู่มือที่เรียบร้อยกว่าเวลาอยู่บนถนนขรุขระ
ไม่ใช่แค่แรงขึ้น ขับมั่น ขับมันส์ขึ้นเท่านั้น แต่ Camry ใหม่ยังปรับปรุงพื้นที่ห้องโดยสาร จนคนสูง 183
หนัก 145 (น้ำหนักอัพเดทล่าสุด..ยอมบอกก็ได้วะ..) อย่างผมสามารถโดยสารบนเบาะหลังได้อย่างสบาย
แบบที่ใกล้เคียงกับ Teana J32 จนนั่งคันไหนก็ไม่ต่างกันในความรู้สึกผมแล้ว
เราประทับใจที่ Toyota สามารถแก้ไขข้อตำหนิในรถรุ่นเก่าได้ พลิกการตอบสนองจากเดิมที่แรงแต่ไม่มันส์
มาเป็นมันส์ แรง และสบายได้ทั้งที่ใช้โครงสร้างตัวถังของรถรุ่นเดิม การตกแต่งภายในก็ทำได้หรูหราสวยงาม
สมราคา แต่สิ่งที่จะขอตำหนิ ก็คือ VDIM ที่มีมาให้ในรถรุ่นเก่าน่ะจะถอดทิ้งทำไม…และเครื่องเสียง..ฟังแล้ว
ต้องถามว่านี่เครื่องเสียงอะไร ทำไมมันช่าง บูบี้ ไม่มีมิติ ไม่มีความไพเราะ ห่วยจนสงสัยว่ามันมาอยู่ในรถ
ราคา 1.8 ล้านแบบนี้ได้อย่างไร รุ่นเก่ายังมีเครื่องเสียงที่น่าฟังกว่านี้มาก
ท้ายสุด เราคิดว่าถ้าราคามันถูกลงกว่านี้ ให้เขยิบเข้าไปใกล้ๆรถ Non-Hybrid คันอื่นในกลุ่มได้บ้างก็คงดี
เพราะนอกจากเรื่องที่กล่าวมานั้น คงมีแต่เรื่องรูปทรงที่กรรมการนั้น “เสียงแตก” มีทั้งชอบและเกลียด
นอกจากหัวข้อนี้ไป เราหาที่จะหักคะแนนมันได้น้อยเต็มที สมแล้วกับความพยายามของ Toyota ที่พวกเรา
บอกเสมอว่า “ถ้าคุณตั้งใจจะทำรถให้มันดี พวกคุณก็ทำได้ และทำได้ดีเสียด้วย”
อันดับ 2 Mercedes-Benz C250CGi Coupe AMG Edition 1
เราคิดกันอยู่นานว่าจะเอารถคันนี้รวมเข้าไว้ในการประเมินคะแนนของเราหรือเปล่า เพราะในปัจจุบันนั้น
ได้ข่าวว่า Mercedes Thailand ไปเน้นทำตลาดรุ่น C180 Coupe ด้วยราคาฆ่าเกรย์ที่ 2.99 ล้านบาทแทน
และไม่มีข้อมูลของ C250CGi Coupe อยู่ใน Price list มาได้สักพักแล้ว ..ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็น่าเสียดาย
เพราะนี่เป็นหนึ่งในรถไม่กี่คันที่ J!MMY ขับเสร็จแล้วจะต้องโทรมาหาผมด้วยน้ำเสียงที่เหมือนเพิ่งโดนงูจงอาง
ไล่ฉก “ไอ้แพน ต้องลอง ต้องลอง แกต้องลองให้ได
จากนั้น ผมก็ได้มีโอกาสลองแล้วก็เข้าใจว่าทำไม นี่หรือคือรถที่แชร์แพลทฟอร์มใช้กันกับ C-Class Saloon
และ E-Class Coupe? ทำไมการขับขี่มันช่างแตกต่างจาก Mercedes-Benz 4 สูบที่ผมเคยสัมผัสมาแทบจะทั้งหมด
แต่ไหนแต่ไรมา ค่ายดาวสามแฉกมักถนัดทำรถอยู่สามแบบคือรถที่วิ่งตรงๆแล้วมั่นใจ หนักแน่น แต่หาความ
สนุกในการขับขี่ไม่เจอ เช่น W124, W140 และรถยุคก่อนปี 94 ทั้งหลายแหล่ ประเภทที่สองคือรถที่เหมือนจะสนุก
แต่ยังขับแบบอั้นๆเรียกได้ว่าสนุกไม่เท่า BMW ละกัน เช่น E250CGi Avantgarde และรถส่วนใหญ่ในตระกูล
ส่วนประเภทที่สามคือรถที่ขับแล้วอุทานว่านี่หรือวะเบนซ์ ทำไมมันไม่นิ่งแน่นอย่างที่ควรจะเป็น..E250 Coupe
Elegance, E250CDi Elegance และ C-Class W203 บางรุ่นเป็นแบบนั้น
ส่วน C250Coupe AMG คันนี้น่าจะเป็นเบนซ์แบบใหม่คือประเภทซน ซ่า บ้า แต่มั่นและนุ่ม เป็นเบนซ์ที่พวงมาลัย
ไวและปรับน้ำหนักมาได้ดีจนเกือบนึกว่าไปถอดของ BMW มา ผมขับมันซิกแซกหลบบรรดารถช้าเลนขวา
รถพวกคิดจะเบรกหลบยุงก็เบรก พวกนึกจะหักตูก็หักออกมาขวาง ถ้าเป็นเบนซ์รุ่นอื่น ผมจะหงุดหงิด แต่
C250Coupe ทำให้มันเป็นเรื่องสนุกได้ ช่วงล่างนุ่มกว่า 320d E90 แต่มั่นคงกว่า ไม่มีสวิทช์ปรับความแข็ง
ของช่วงล่าง แต่เราคิดว่ามันไม่จำเป็นแล้วสำหรับรถคันนี้ ทุกอย่างเป็นไปตามความบ้าของคุณ ถ้าคุณขับแบบ
เซฟ มันจะเกาะไปกับคุณ ถ้าคุณเข้าเร็ว หักแรง ตบคันเร่งส่ง ท้ายก็จะออกให้คุณรับผิดชอบแก้งานของคุณเอง
ยิ่งไปกว่านั้น อุปกรณ์ที่ติดให้มากับรถ ไม่ว่าจะเป็นชุดแต่ง AMG Edition 1 ล้อขอบ 18 นิ้ว ไปจนถึงภายใน
ที่แซมด้วยวัสดุสีขาวเงา มีอุปกรณ์พร้อม จอ COMAND ที่ยังใช้ยากเหมือนเดิม แม้จะปรับปรุงแล้ว
เบาะนั่งหุ้มวัสดุ Artico (หนังเทียมแบบดีๆหน่อย) เบาะไฟฟ้าพร้อม Memory ปรับได้หลายทิศทาง
แม้จะไม่มีออพชั่นเบาะนวดก็ตาม เครื่องเสียง Harman Kardon Logic 7 และหลังคาแบบ Panoramic
คืออาจจะไม่อู้ฟู่เหมือนเกรย์บางเจ้า แต่ก็ไม่ถือว่าเหนียวออพชั่นแล้วล่ะครับงานนี้
เราพยายามมองหาจุดที่อยากตำหนิในรถคันนี้ และก็ยังพบอยู่บ้าง เช่นการทำงานของเกียร์และคันเร่งไฟฟ้า
ซึ่งยังไม่ไวแบบ BMW เวลากดคันเร่งบางครั้งกดน้อยไปก็ได้พลังน้อยกว่าที่คาด ไม่สัมพันธ์กับความลึก
และความไวในการกด บางครั้งมีดีเลย์เกือบวิ แม้จะเข้าโหมด S แล้วก็ยังรู้สึกว่าไม่แสนรู้และไวเหมือน
พวก BMW นอกจากนี้ก้าน Cruise Control ก็อยู่ในตำแหน่งที่ประหลาดมหัศจรรย์ ทำเอาคนขับที่ไม่ชิน
ชอบเอามือไปเหนี่ยว นึกว่าก้านไฟเลี้ยว บางคนอาจจะบอกว่าเดี๋ยวก็ชิน ผมก็จะบอกว่าชินกับเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
ก็ไม่ใช่เรื่องดีนักหรอก
แต่สรุปคะแนนออกมา C250AMG Coupe ก็เป็นรถที่ได้คะแนนงามๆจากดีไซน์ที่ทุกคนชอบทั้งนอกและใน
การตอบสนองของเครื่องที่บวกกับเกียร์ลูกใหม่แล้วดีขึ้น แม้จะยังติดนิสัยเดิมบ้าง..บวกกับช่วงล่างที่เอานิ่ง
ก็ได้ เอาฮาก็ได้ ทำให้มันตอบสนองความต้องการของการใช้งานได้หลากหลายแบบ คุณลองนึกดูว่าคุณอาจจะ
เลือกซื้อ C-Class C200 รุ่นถูกสุด แล้วก็เอาเงินที่เหลือไปซื้อ Toyota 86 ก็ได้ หรือคุณจะเลือกเอารถทั้งสอง
มาปั่นรวมกัน และอัดออพชั่นกับความหรูและปรับจูนช่วงล่างใหม่ คุณก็จะได้ C250 Coupe คันนี้แหละครับ
Mercedes-Benz ที่ทีมงานทุกคนยกนิ้วให้และอยากได้ไว้ในครอบครอง!
ถึงได้งงว่า..แล้วจะเลิกขายทำไม?
อันดับ 1 BMW 320d F30 Sport
และแล้วก็เป็นอีกครั้งที่ BMW ครองอันดับ 1 ใน BestDrive หลังจากที่ 525d คว้าไปในการจัดครั้งที่ก่อนหน้านี้
เราทราบอยู่แล้วว่าควรจะต้องลองมองภาพจากมุมกว้างบ้างว่านี่มีแต่ headlightmag.com หรือเปล่าที่คิดว่า
320d ควรได้ตำแหน่งที่ 1 ไปครอง ดังนั้นผมจึงลองทำโพลล์เล่นๆให้คนอ่าน headlightmag.com ได้ลองโหวต
ไม่ใช่ว่าโหวตเก็งผลว่าใครจะชนะ แต่ให้โหวตโดยใช้ความคิดวิเคราะห์ของตัวผู้อ่านเองว่ารถคันไหน
สมควรได้..ผลจากการโหวตก็บ่งบอกได้ แม้จะมีผู้เข้าร่วมโหวตประมาณ 500 คน แต่การที่ 24% ของคนโหวต
หรือเกือบ 1 ใน 4 ยกให้ 320d เป็น BestDrive ในใจของพวกเขานั้นก็คงบอกแล้วว่าเราไม่ได้ทึกทักไปเองคนเดียว
แล้ว 320d ในวันนี้เป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับ 320d ในสมัยที่เป็นตัวถัง E90? สิ่งแรกที่พัฒนาอย่างเห็นได้ชัดคือ
การปรับรถให้ใช้งานได้ง่าย การจัดพื้นที่ภายในตัวถัง แต่ไหนแต่ไรมา BMW ทำรถที่นั่งไม่สบายเท่าชาวบ้าน
มีดีแค่เบาะได้รูปทรงรับกับร่างกายดี แต่ 320d รุ่นใหม่นั้นผมประหลาดใจมากที่สามารถลุกเข้าออกจากรถได้
อย่างง่ายดายอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อนจาก 3-Series เบาะนั่งด้านหลังก็มีพื้นที่วางขามากกว่าเดิมนิดหน่อย
มันกลายเป็นรถที่คนตัวใหญ่ขับได้ แล้วยังมีมาดของรถที่ดูเป็นสปอร์ต ปราดเปรียว เปรี้ยวกว่าเพื่อน
ใน Segment เดียวกัน
ขุมพลังที่ใช้ยังเป็นเครื่องดีเซล 2.0 ลิตร 184 แรงม้า ดูเผินๆเหมือนไม่มีอะไรต่างจากเดิม แถมช่วงเร่งออกตัว
ยังมีอาการหน่วงจนทำให้เวลา 0-100 เพิ่มจากรุ่นเก่ามาอยู่ที่ 9.2 วินาที ฟังดูเหมือนช้า แต่อันที่จริงการ
แสดงออกของพละกำลังนั้นยิ่งไหลลื่นกว่ารุ่นเก่า โดยเฉพาะช่วงเร่งแซง 80-120 ก.ม./ช.ม. นั้นลดลงมาจาก
จาก 6.8 เหลือ 6.13 วินาที เร็วกว่า C-Class Coupe คันข้างบน (6.64วิ) และไล่ตามหลัง Mini Cooper Coupe
ตัวเล็กแสบๆอยู่แค่ 0.34 วินาทีเท่านั้น และให้ตายเถอะถ้าคุณขับ Toyota 86 เกียร์อัตโนมัติ 200 แรงม้า วิ่งอยู่
80 แล้วกระแทกคันเร่งแล้วดันพบว่ามีรถบ้านพรีเมียมเครื่องดีเซล วิ่งขนาบข้างคุณแบบทิ้งไม่ออก
เป็นใคร ใครก็เหวอรับประทาน เกียร์ชุดใหม่นี่แสบสันต์จริงๆ แถมยังทำงานประสานกับเครื่องได้อย่างดี
สั่งเท่าไหร่ได้เท่านั้น ไว และกะง่าย
ข้อมูลอีกอย่างที่ได้ยินแล้วแทบจะล้มตึงคืออัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 320d F30 ไม่เพียงแต่ทำอัตราสิ้นเปลือง
ได้ดีที่สุดในบรรดา D-Segment ด้วยกัน ชนะเบนซ์ดีเซล ชนะรถรุ่นเก่า ชนะ Volvo ขับหน้าเครื่อง 1.6 ลิตร
ชนะ Lexus CT200h ซึ่งใช้ขุมพลังไฮบริด…แต่ด้วยตัวเลข 20.68 ก.ม./ลิตร มันโค่นกระทั่ง Honda CR-Z
ที่เป็นไฮบริดตัวเล็กๆไปด้วยซ้ำ (20.08 ก.ม./ลิตร) ถูกล่ะว่าถ้าวิ่งกันในเมืองที่รถติดๆ พวก Ecocar 1.2 ลิตร
กับไฮบริดมีโอกาสชนะอยู่แล้ว แต่การที่รถดีเซลตัวหนักตันห้าสามารถทำตัวเลขวิ่งทางไกลได้ขนาดนี้
ก็เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มากแล้วและทำให้เราเชื่อได้สักทีว่ายังมีศักยภาพในเครื่องดีเซลที่รอการพัฒนาได้อีกเยอะ
ถ้าจะให้หาจุดตำหนิในรถคันนี้ ก็คงมีเพียงสิ่งเดียวคืออุปนิสัยที่เปลี่ยนไปของช่วงล่าง จากเดิมนั้น
E90 320d เป็นรถที่มีบุคลิกคม ปราดเปรียว และมีความเป็นสปอร์ตซีดานอยู่ในสายเลือดอย่างชัดเจน ชัดจน
กระทั่งมันสะเทือนเกินไป เลยปรับให้อยู่ในจุดที่พอดิบพอดีในรุ่นไมเนอร์เชนจ์
แต่ทว่าใน F30 BMW เลือกที่จะปรับช่วงล่างเข้าไปหาความสบายมากขึ้น จนทำให้ช่วงล่างมีความนุ่มนวล
วิ่งบนทางตรง มอเตอร์เวย์ และรูดฝาท่อกับรอยปะชุดใหญ่ที่เพิ่งเกิดใหม่บนถนนงามวงศ์วานได้อย่างไร้ที่ติ
แน่นอนว่าลูกค้าส่วนใหญ่จะรักในสิ่งที่มันเป็นอยู่ในปัจจุบัน แรง ประหยัด สบาย แต่กลุ่มลูกค้าเดิมที่ติดใจ
ในบุคลิกของ BMW แท้ๆนั้นอาจต้องทำใจบ้าง เพราะนี่คือ BMW เก๋งเตี้ยคันแรกตั้งแต่พวกเราลองขับกันมา
ที่พอเข้าโค้งหนักๆแล้วตัวถังมีอาการโยนจนส่งผลต่อความมั่นใจในการขับ มันไม่คมและมั่นใจเหมือน E90
แต่กระนั้น คะแนนในการบังคับควบคุมที่ได้ก็ยังอยู่ในระดับที่ดีกว่าเฉลี่ย และอยู่ในระดับที่ยังมั่นใจกว่า
C-Class Saloon ทั้งหลายอยู่เล็กน้อย
ข้อเสียที่มีไม่มาก พัฒนาการที่ดีขึ้นกว่ารถรุ่นเก่าในหลายจุด บวกกับราคาที่ 2.899 ล้านบาท ซึ่งอาจจะ
แพงกว่ารถรุ่นเดิม แต่ก็ยังถูกกว่า Mercedes-Benz C250CDi ที่เราเคยลองกันมา และเมื่อมองประสิทธิภาพ
โดยรวมของมัน เทียบกับ Lexus CT200h เราก็พบว่า BMW นั้นนั่งสบายกว่า ขับมันส์กว่า แรงกว่า และ
วิ่งทางไกลก็ประหยัดกว่า โดยที่ค่าตัวต่างกันราว 3 แสนบาท เรามองว่าสิ่งที่ได้มาเมื่อแลกกับเงิน 3 แสนนั้น
ถือว่าเหมาะสมกันดี
ดูเหมือนว่าจะเป็นอีกครั้งที่ BMW สามารถสร้างรถที่ทำให้ทีมงาน headlightmag.com ยอมเทคะแนนให้
ด้วยคุณสมบัติต่างๆกับราคาที่ไม่ต้องถูกล็อตเตอรี่พวกเราหลายคนก็สามารถซื้อได้
ตามแนวคิดของ BestDrive เรามองหารถที่สามารถตอบโจทย์รอบด้านได้ดีที่สุด มีความโดดเด่นเหนือ
รถคันอื่นๆใน Segment เดียวกันอย่างชัดเจน และมีราคาที่สมเหตุผลกับสิ่งที่จ่ายไป ดังนั้นถ้า 320d ได้อันดับหนึ่ง
เราคิดว่าก็เป็นสิ่งที่มันสมควรได้แล้วด้วยประการทั้งปวง
จบบริบูรณ์
Bonus Piece: Things you might not want to know
คำถามนอกรอบ ที่หลายคนอาจจะถาม แต่เราจะชิงตอบก่อน
1. ทำไมไม่มีรถกระบะใน Top Ten เลยสักคัน?
– คำตอบง่ายๆก็คือ เพราะยังไม่มีคันไหนตอบสนองได้แบบโดนใจกรรมการ แน่นอนว่ามีโอกาสทำให้ดีขึ้นได้มาก
กว่านี้ รถกระบะที่ได้คะแนนมากที่สุดคือ Mazda BT50 Pro 3.2 A/T ซึ่งอยู่อันดับที่ 12 ในคะแนนรวม สามารถ
ทำคะแนนดีกว่านี้ได้หากอัตราสิ้นเปลืองจะเด่นขึ้นมามากกว่านี้หรือไม่ก็ให้เครื่องที่ใหญ่โตกว่าใครเขาสามารถ
สร้างตัวเลขได้ดีกว่านี้ ส่วน Ford Ranger 3.2 Wildtrak สุดเลิฟของหลายๆคน ให้อุปกรณ์ติดรถมาเพียบแปล้
แต่ยังมีช่วงล่างที่สะเทือนกว่า BT50Pro ในขณะที่เมื่อลองเล่นบทบู๊จริงๆก็ไม่ได้ดีกว่ากันมากนัก และมันก็ตามมา
ในอันดับที่ 14 ถือว่าใกล้ความจริงแล้วที่สักวันกระบะ 1 ตันจะเข้ามาติดชาร์ท Top Ten เพราะเรื่องที่ต้องปรับนี่
ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย ยกเว้นหน้าตาของ BT50 ซึ่งทุกคนยกนิ้วโป้งทิ่มลงพื้นหมด
ส่วน Colorado นั้นได้คะแนนดีในแง่ของอุปกรณ์ความปลอดภัย และทัศวิสัยการขับขี่เมื่อมองไปด้านหน้า
แต่จนแล้วจนรอดช่วงล่างและการตอบสนองที่ยังเหมือนกระบะยุคก่อนของมัน ทำให้สู้ Ranger ไม่ได้เมื่อ
รวมคะแนนออกมา ตรงกันข้าม กระบะยุคเก่าอย่าง Triton กลับทำคะแนนรวมได้ดีกว่าเพราะราคาที่ถูก
เมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้มา แม้จะขาดอุปกรณ์ความปลอดภัยอย่างที่ Colorado ตัวท้อปๆมีกัน
2. Toyota 86 อยู่ลำดับที่เท่าไหร่ ในเมื่อเห็นทีมงานดูจะโปรดปรานกันทุกคน?
– อยู่ลำดับที่ 24 ซึ่งอยู่ในดงเดียวกับ Jazz Hybrid และ Ford Ranger 2.2 ลิตรทั้งหลาย นี่เป็นอีกตัวอย่าง
ที่แยกให้เห็นระหว่างความชอบส่วนตัวของคนให้คะแนน กับการให้คะแนนแบบมีหัวข้อกับตัวเลขเข้ามาเกี่ยวข้อง
จากทั้งหมด 11 หัวข้อ มีประมาณ 3 ข้อที่ความพอใจของผู้ให้คะแนนมีส่วนเกี่ยวข้องได้ เช่นการออกแบบ
ภายนอกและภายใน กับหัวข้อที่ให้คะแนนความชอบในภาพรวมระดับบุคคล เมื่อถามความเห็นส่วนตัว
กรรมการทุกคนมีความ “อยากได้” 86 มากกว่า Camry Hybrid แต่เมื่อรวมคะแนนกับหัวข้ออื่นๆเช่น
อัตราเร่ง การสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง อุปกรณ์ต่างๆที่ให้กับราคาที่คิดมากนั้น Camry กลับมาชนะ 86 ซึ่ง
ต้องตกมาอยู่ลำดับนี้เพราะอัตราเร่งตีนต้นดันแพ้รถผู้ใหญ่ของค่ายตัวเอง และราคาที่วางมา 2.79 ล้าน
เมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้มา เราพบว่ามันแพงเกินไป หากรถคันนี้ราคา 2.2 ล้าน 86 ก็จะมีโอกาสได้ตำแหน่งสูงกว่านี้
3. รวมที่สุดในแต่ละด้าน สำหรับรถทดสอบปี 2012
แพงที่สุด – Lexus GS450h 7.79 ล้านบาท (แชมป์แพงสุดตลอดกาลคือ LS460 ราคา 11.08ล้าน
ตกลงนี่ Lexus จะเน้นขายรถแพงแล้วใช่มะ)
ราคาย่อมเยาที่สุด – Mitsubishi Mirage GLX เกียร์ธรรมดา 426,000 บาท และถูกที่สุดตั้งแต่
เราเปิดเว็บนี้มา
0-100ก.ม./ช.ม. ไวที่สุด – Lexus GS450h 6.67 วินาที (แชมป์ตลอดกาล คือ Subaru Impreza WRX STi
(5.84 วินาที)
0-100ก.ม./ช.ม. เต่าที่สุด – Nissan Almera 1.2 CVT 16.21 วิ..เสียใจด้วย แต่นาฬิกามันบอกอย่างนั้น
80-120 ก.ม./ช.ม.ไวที่สุด – GS450h 4.72 วินาที (ยังไม่โค่นแชมป์อย่าง MTM S3 3.41 วินาที)
80-120 ก.ม./ช.ม. เต่าที่สุด – Almera CVT 12.24 วิ ดีที่ยังเร็วกว่า Kia Soul (12.78 วินาที)
รถโต ล้อโต เครื่องเล็ก ทำได้ขนาดนี้ก็ถือว่าใช้เครื่องคุ้มแล้ว
Top Speed เร็วที่สุด – Lexus GS450h 253 ก.ม./ช.ม. (MTM S3 ยังเร็วที่สุด ที่ 275 ก.ม./ช.ม.)
Top Speed ช้าที่สุด – Honda Brio Amaze (145 ก.ม./ช.ม. เพราะโดนจำกัดความเร็ว ถ้าไม่งั้นน่าจะไปได้อีก)
ประหยัดเชื้อเพลิงที่สุด – BMW 320d 20.68 ก.ม./ลิตร
ดูดเชื้อเพลิงหนักสุด – Mitsubishi Pajero Sport V6 3.0 9.75 ก.ม. ต่อลิตร เอ่อ ..ปีที่แล้ว
ตำแหน่งนี้ก็เป็นของรุ่น 2.5VG Turbodiesel 4WD 10.23 ก.ม./ลิตร…ตกลง Mitsubishi จะเอาดีทั้ง
รถประหยัดและรถสูบน้ำมันเลยใช่มั้ยครับ!
5. คะแนนนำในหัวข้อต่างๆ (เมื่อเทียบกับรถที่ Segmentหรือราคาใกล้เคียงกันนะจ๊ะ อย่าลืม)
ด้านการออกแบบภายนอก รถที่ได้คะแนนสูงที่สุดคือ Suzuki Swift CVT
ด้านการออกแบบภายใน รถที่ได้คะแนนสูงที่สุดคือ Mercedes-Benz C250 Coupe
ด้านความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร -> ครองตำแหน่งร่วมกัน Camry Hybrid และ Honda Brio Amaze
..Amaze เว้ยเห้ย!
ด้านวัสดุและอุปกรณ์ติดรถยอดเยี่ยมเมื่อเทียบกับราคาตัวรถ -> Focus 2.0 4Dr และ Ranger 3.2 Wildtrak
ด้านแนวโน้มในการเสริมสร้างความปลอดภัยในการขับขี่ -> Volvo S60 และ Volvo V60
ด้านความมันส์ที่ได้จากอัตราเร่งและความแรง แน่นอน…Lexus GS450h มันไปแบบหลอนๆดูนาฬิกาแล้วยิ่งหลอน
ด้านความประหยัดเชื้อเพลิง ..BMW320d only
ด้านความสบายจากช่วงล่างในการวิ่งบนถนนและความนุ่มนวล -> BMW320d ทีนี้เข้าใจหรือยังว่าทำไม
แฟน BMW พันธุ์Hardcore อาจจะไม่ปลื้ม..
ด้านความมั่นใจในการขับขี่ -> Mercedes-Benz C250 Coupe..นี่ตกลง BMW กับเบนซ์จะสลับ DNA กันเหรอ?
ด้านความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับเม็ดเงินที่จ่ายลงไป -> Volvo S60
เมื่อให้ทีมกรรมการเลือกรถคันที่ตัวเองโปรดปรานโดยใช้ความชอบส่วนตัวแบบไม่ต้องมีเหตุผล
รถคันที่ได้คะแนนสูงสุด ..ครองตำแหน่งร่วมกันเลยระหว่าง C250Coupe และ Lexus GS350 F-Sport
.