ปีนี้เราก็จะได้พบเห็นกับรถที่เป็นสุดยอดกันเยอะมาก ๆ อย่างคาดไม่ถึง โดยเฉพาะรถสปอร์ตระดับพระกาฬที่ไม่ได้หากัน
ได้ง่าย ๆ (และหาซื้อกันไม่ได้ง่ายด้วยเพราะบางรุ่นจำนวนจำกัด) และรวมไปถึงสุดยอดรถยนต์เทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม
ด้วยเช่นกัน กลับกันรถตลาดที่โดดเด่นสุด ๆ ในงานกลับไม่ค่อยเห็นเด่นชัดเท่าไรนัก เชื่อว่าปีนี้คงจะเน้นรถแปลก ๆ เป็น
สีสันเสียมากกว่า
Audi
Audi ค่ายรถยนต์ 4 ห่วงจากเยอรมนี ได้ฤกษ์เผยโฉม 2013 Audi A3 e-tron เวอร์ชันล่าสุดของ Audi A3 เจเนอเรชั่น
ที่ 3 โดยถึงแม้ว่าจะยังไม่มีแผนเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าล้วนในตอนนี้ แต่ A3 e-tron ก็มาในรูปแบบรถยนต์ plug-in Hybrid
ที่มีความน่าสนใจไม่น้อ
รูปลักษณ์ภายนอก เป็นการนำเอา Audi A3 ตัวถัง Sportback 5 ประตูมาใช้ โดยแทบไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ
นอกจากกระจังหน้าแบบใหม่ ที่ดูเรียบหรูขึ้น และล้ออัลลอยลายใหม่ ที่กลับทำให้ A3 e-tron ดูสปอร์ตมากขึ้นไปอีก
ขุมพลัง plug-in Hybrid ที่ Audi พัฒนาสำหรับ A3 e-tron เป็นการใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ พร้อมเทอร์โบ TFSI
ขนาด 1.4 ลิตร ปรับจูนกำลังใหม่ จนเพิ่มกำลังได้ 150 แรงม้า ผนวกเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 102 แรงม้า
เมื่อรวมพลังของ 2 ขุมพลังนี้ จะสร้างแรงม้าได้มากถึง 204 ตัว พร้อมแรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังผ่าน
ล้อคู่หน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบใหม่ e-S Tronic หรือเกียร์คลัทช์คู่กึ่งไฟฟ้า แบบ 6 จังหวะ (ไม่ใช่ CVT)
สมรรถนะที่ได้ ถือว่าน่าพึงพอใจมาก เพราะมีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 7.6 วินาที และแล่นได้เร็วสูงสุด
ถึง 222 กม./ชม. ในขณะที่มีความประหยัดน้ำมันมากถึง 66.6 กม./ลิตร และปล่อยก๊าซไอเสียออกมาต่ำเพียง 35 กรัม/กม. เท่านั้น!
นอกจากนี้ 2013 Audi A3 e-tron ยังมาพร้อมกับโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ คือ โหมดเครื่องยนต์เบนซิน โหมดมอเตอร์
ไฟฟ้าหรือโหมดลูกผสม โดย Audi กล่าวว่า A3 e-tron สามารถแล่นได้ไกล 50 กม. และแล่นได้สูงสุด 80 กม./ชม.
ในโหมดมอเตอร์ไฟฟ้า เลยทีเดียว
ในขณะที่การเผยโฉมอย่างเป็นทางการจะมีขึ้นในเดือนหน้านี้แล้ว แต่ Audi ก็ยังไม่ประกาศออกมาว่า A3 e-tron
จะเริ่มทำตลาดที่ใดเป็นแห่งแรก และจะเริ่มจำหน่ายในช่วงไหนของปีครับ แต่ที่แน่ๆคือ สำหรับคนไทยที่สนใจรถยนต์
รุ่นนี้ คงไม่มีโอกาสได้หาซื้อกันจากผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการแน่นอนครับ
นอกจากนี้ Audi ยังส่ง A3 G-Tron รถยนต์พลังงานทางเลือกที่ใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติ CNG คือมีคุณสมบัติ ๆ
คล้ายรถ Audi e-Gas แต่ Audi ได้ลงทุนพยายามลดน้ำหนักตัวถังให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เช่น การลดน้ำหนักถัง
บรรจุก๊าซ, การใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์แทรกเข้ามาในแต่ละจุด ทำให้มีระยะทางวิ่งต่อการเติมก๊าซครั้งเดียวได้ถึง 1,300
กิโลเมตรเลยทีเดียว น่าจะส่งมาขายในบ้านเราคงจะดีไม่น้อยเลย
Alfa Romeo
Alfa Romeo แบรนด์รถยนต์งูกินคนจากอิตาลี พร้อมเผยโฉมรถยนต์สปอร์ตคันใหม่ของตนเรียบร้อยแล้ว ในชื่อ
2013 Alfa Romeo 4C หลังจากพรีวิวในเวอร์ชันต้นแบบกันไปแล้วก่อนหน้านี้ พร้อมภาพทีเซอร์เรียกน้ำย่อยชาว
อัลฟิสติโมได้ไม่น้อย โดยถือว่ารถยนต์รุ่นนี้ เป็นการเจริญรอยตาม 8C Competizione รุ่นพี่ที่ประสบความสำเร็จ
ในระดับหนึ่ง โดยอัลฟ่าหวังว่า 4C จะช่วยอุดช่องว่างตลาดรถยนต์สปอร์ตขนาดเล็ก พร้อมสร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์
ได้อีกครั้ง
รถยนต์คันนี้ ถูกออกแบบให้เครื่องยนต์วางกลางลำตัวรถ ดังนั้นสัดส่วนของตัวรถจึงถอดแบบมาจาก 8C Competizione
จนดูเหมือนเป็นการย่อส่วนของรถสปอร์ตรุ่นพี่ลงมา โดยด้านงานดีไซน์จะเห็นได้ว่ามีความเซ็กซี่ เร้าใจ เจืออยู่ทั่วทั้ง
คันรถไม่น้อย โดดเด่นด้วยกระจังหน้าสามเหลี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์ของ Alfa Romeo พร้อมเส้นสายตัวรถที่ใส่เข้ามา
ไม่มากจนเกินไป แต่เน้นไปที่ความอ่อนช้อย แต่ให้ความแข็งแกร่ง คล้ายมัดกล้ามบนลำตัวมนุษย์ โดยตัวรถถือว่า
มีความกะทัดรัดไม่น้อย เพราะมีมิติตัวถัง ความยาวตัวรถเพียง 4,000 มม. กว้าง 2,000 มม. มีระยะฐานล้อ 2,400 มม.
แต่มีความเตี้ยเรี่ยพื้น เพียง 1.18 ม.เท่านั้น
งานวิศวกรรมตัวถัง เป็นการใช้โครงสร้างแบบโมโนคอกเช่นเดียวกับรถยนต์นั่งทั่วไป แต่มีการเปลี่ยนมาใช้วัสดุ Carbon
Fiber ส่งผลให้รถคันนี้มีน้ำหนักตัวต่ำกว่า 1,000 กก.
นั่นทำให้การใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.8 ลิตร พร้อมเทอร์โบชาร์จ ที่ให้กำลัง 237 แรงม้า ช่วยฉุด 4C
จากจุดหยุดนิ่ง ถึง 100 กม./ชม. ในเวลาต่ำเพียง 4.5 วินาทีเท่านั้น ก่อนความเร็วสูงสุดจะหยุดที่ 250 กม./ชม.
อันเป็นความเร็วที่กล่อง ECU ล็อกไว้
สำหรับใครที่คิดว่านี่ยังเร็วไม่พอ ในปีหน้า Alfa Romeo เตรียมเปิดตัวเวอร์ชัน Racing และ Stradale ที่จะมาพร้อม
เครื่องยนต์กำลัง 266 แรงม้า ออกมาตอบสนองความต้องการ นอกจากนี้ยังมีตัวถังเปิดประทุนเตรียมเปิดตัวตามมา
อีกด้วย ซึ่ง Alfa Romeo 4C ทุกเวอร์ชัน จะถูกผลิตขึ้นในโรงงาน Modena ของ Maserati ซึ่งจะเริ่มเดินสายการผลิต
ช่วงฤดูร้อนนี้
Alfa Romeo 4C มีราคาเริ่มต้นที่ 56,000 ยูโร หรือประมาณ 2.2 ล้านบาท ถือว่าเป็นการประกาศสงครามรถยนต์
สมรรถนะสูงขนาดเล็กจาก Alfa Romeo เลยทีเดียว
Bentley
Bentley ประสบความสำเร็จกับ Continental Flying Spur พอสมควรนับตั้งแต่มันเปิดตัวโฉมแรกในปี 2005 ซึ่งถือเป็น
เวอร์ชัน 4 ประตูของ Bentley Continental GT coupé โดยชูจุดเด่นความเป็นรถทรงสมรรถนะในแทบทุกด้านแต่ใน
ขณะเดียวกันก็ยังไม่ทิ้งมาดหรูหราและความสะดวกสบายในการใช้งานซึ่งหาได้ยากจากรถแนวสปอร์ตซีดานระดับบน ๆ
Bentley เตรียมสานต่อความสำเร็จครั้งใหม่ด้วยการเปิดตัว Flying Spur โฉมใหม่สำหรับรุ่นปี 2014 ถือเป็นการแยกชื่อ
Flying Spur ออกมาต่างหากเพื่อสร้างความแตกต่างจากรถตระกูล Continental ในระดับหนึ่งซึ่งตั้งเป้าให้รถคันนี้เป็นรถ
ที่มีประสิทธิภาพในการขับขี่สูงสุด, ความหรูเต็มพิกัด, มีเทคโนโลยีล้ำหน้า
งานออกแบบก็จะผสมผสานดีไซน์จาก Continental GT และ Mulsanne ที่ดูคลาสสิคแต่ก็ดูสปอร์ตมีประสิทธิภาพสูง
สัดส่วนตัวรถดูกว้างขึ้นและเตี้ยลง หากเทียบกับโฉมเดิมก็พบว่าโฉมใหม่จะมีเส้นสายกลมมนและมีเส้นมัดกล้าที่ชัดเจน
มากกว่า นอกจากนี้สัดส่วนโครงสร้างตัวถังก็แลดูเพรียวบางและสง่างามกว่าด้วย
โครงสร้างตัวถังทนต่อการบิดตัวมากถึง 36,500 นิวตันเมตรหรือดีขึ้น 4% เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม อีกทั้งมีน้ำหนักตัวถังเบา
กว่ารุ่นเดิม 50 กิโลกรัม
ภายในห้องโดยสารแค่มองครั้งแรกก็แทบไม่แตกต่างจากโฉมแรกสักเท่าไรนัก แต่ Bentley บอกว่า Flying Spur โฉมใหม่
จะมีการเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่มากถึง 600 ชิ้น คงมีเพียงแค่แผงกันแดด, มือจับประตู, ที่ท้าวแขนและชิ้นส่วนคอนโซลหน้าที่
ใช้ร่วมกับรุ่นเดิมได้
ในความหรูหราก็ไม่ทิ้งความไฮเทคอย่างแน่นอนเพราะผู้โดยสารตอนหลังจะสามารถใช้งานอุปกรณ์มัลติมีเดียด้วยการ
เชื่อมต่อ Wi-Fi พร้อมฮาร์ดดิสก์ 64 GB, หูฟังไร้สายและหน้าจอขนาด 10 นิ้ว เพิ่มความสะดวกด้วยระบบการสั่งงาน
ควบคุมอุปกรณ์ภายในรถด้วยหน้าจอสัมผัสที่สามารถสั่งให้ควบคุมแอร์หรืออุ่นเบาะนั่งได้
ติดตั้งเครื่องยนต์ W12 6.0 ลิตร 48 วาล์ว ควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ด้วย Boshch ME17 ให้กำลัง 625 แรงม้า
(PS) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตรที่รอบแค่เพียง 2,000 รอบต่อนาที จับคู่เกียร์อัตโนมัติ ZF 8
จังหวะ ขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา ทำความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 4.6 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 322
กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 14.7 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 343 กรัมต่อกิโลเมตร
BMW
BMW เดินหน้าเปิดตลาดใหม่ในกลุ่มพรี่เมี่ยมคอมแพคท์ ด้วยการเปิดตัว 2013 BMW 3-Series GT หรือ Gran
Turismo เป็นครั้งแรกของตระกูล 3-Series หวังเพิ่มทางเลือกการใช้งานให้กับผู้บริโภคที่ต้องการความแปลกใหม่
และความอเนกประสงค์ ด้วยตัวถังที่ผสมผสานหลากหลายรูปแบบด้วยกัน ทั้งยังใช้ชื่อชั้นของ 3-Series เพื่อช่วยให้
ผู้บริโภคเข้าถึงรูปแบบตัวถังนี้ได้ง่ายมากขึ้น หลัง 5-Series GT ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดไว้
ตัวถังรูปแบบ Gran Turismo ของ BMW คือการหยิบเอาข้อดีของรถยนต์แต่ละรูปแบบมารวบรวมไว้ในตัวถังนี้ เพื่อสร้าง
ประสบการณ์การใช้งานได้ดีที่สุดในทุกการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการจับเอาความคล่องตัวจากรถยนต์ซีดาน ความปราด
เปรียวจากรถยนต์คูเป้ และความอเนกประสงค์จากรถยนต์แวกอน และภาพรวมของตัวถังที่คล้ายกับรถยนต์แฮตช์แบก
รวมถึงเพิ่มความสูงตัวถังจากพื้นถนนขึ้นเล็กน้อย ทั้งหมดนี้ช่วยให้ 3-Series GT มาดีไซน์ที่เป็นตัวของตัวเอง
และไม่เหมือนกับรถยนต์พรีเมี่ยมคอมแพคท์คันอื่นๆ โดยภาพรวมของ 3-Series GT จะมีตัวถังที่ยาวกว่ารุ่น Touring
200 มม. และสูงขึ้น 81 มม. พร้อมกับขยายระยะฐานล้อหน้า-หลังเพิ่มขึ้น 110 มม.
ส่วนรายละเอียดด้านการออกแบบ เป็นการดัดแปลงมาจาก 3-Series ตัวถังซีดานทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ด้านหน้า
ที่มาพร้อมกับกระจังหน้าไตคู่ขนาดเขื่อง พร้อมโคมไฟหน้าที่ใหญ่โตขึ้นกว่ารุ่นซีดาน แต่ยังคงมีการเชื่อมต่อเข้ากับ
กระจังหน้าของตัวรถ นอกจากนี้เส้นสายด้านข้างยังคงความคล้ายคลึงกับรุ่นซีดานเอาไว้ แต่เปลี่ยนมาใช้ประตูแบบ
ไร้กรอบกระจกพร้อมกับแนวเส้นหลังคาที่ลาดเทเฉกเช่นรถยนต์คูเป้ นอกจากนี้ด้านท้ายยังมาพร้อมกับฟีเจอร์สปอยเลอร์
หลังแบบยกตัวอัตโนมัติเมื่อความเร็วสูงกว่า 100 กม./ชม. และจะลดเก็บลงเมื่อความเร็วต่ำกว่า 70 กม./ชม.
ระดับการตกแต่ง ยังคงมี Sport Line, Luxury Line และ Modern Line ให้เลือกเช่นเดียวกันกับ BMW รุ่นใหม่ทุกรุ่น
อีกทั้งยังมีแพคเกจ M Sport ที่จะใส่ชุดบอดี้คิทแบบสปอร์ตทั่วคันรถ พร้อมกับปรับแต่งระบบช่วงล่างแบบสปอร์ต
และสวมล้ออัลลอยลายสปอร์ตขนาด 18 นิ้ว ให้เลือกใช้กัน
ด้านขุมพลัง เป็นการหยิบยกมาจาก 3-Series ตัวถังซีดานทั้งสิ้น แต่เลือกมาเฉพาะขุมพลังที่มีพละกำลังมากเท่านั้น
จึงมีเพียงเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ พร้อมเทอร์โบ TwinPower Turbo ขนาด 2.0 ลิตร ทั้ง 184 และ 245 แรงม้า
เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ พร้อมเทอร์โบ TwinPower Turbo ขนาด 2.0 ลิตร ทั้ง 143 และ 184 แรงม้า และแรงสุดขีด
กับบล็อกเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง พร้อมเทอร์โบ TwinPower Turbo ขนาด 3.0 ลิตร ให้กำลัง 306 แรงม้า
มาให้เลือกใช้กัน เชื่อมกำลังผ่านล้อคู่หลัง ด้วยเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
การอวดโฉมอย่างเป็นทางการของ 2013 BMW 3-Series GT จะเกิดขึ้นในงาน Geneva Motor Show 2013
ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ช่วงเดือนมีนาคมนี้ ส่วนชาวไทยต้องลุ้นกันว่า บีเอ็มดับเบิ้ลยู ประเทศไทย จะลองสั่งเข้ามา
หยั่งเชิงคนไทยหรือไม่
Chevolet
หลังจากที่ GM ได้เปิดตัว Chevrolet Corvette Stingray ตัวถังคูเป้เมื่อไม่กี่เดือนก่อนไปแล้ว คราวนี้ GM ก็เตรียม
วางแผนสร้างความฮือฮาอย่างต่อเนื่องด้วยการเตรียมเปิดตัวถังเปิดประทุนหลังคาผ้าใบชนิดสายฟ้าแลบในงาน Geneva
Motorshow 2013 ถือว่าเป็นการเปิดตัวรถยนต์ตระกูล Corvette ออกนอกตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกด้วย
Chevrolet Corvette Stingray Convertible จะใช้พื้นฐานงานวิศวกรรมร่วมกับตัวถังดั้งเดิมเพียงแต่ดัดแปลงหลังคา
และคาดว่าจะต้องติดตั้งเครื่องยนต์ V8 6.2 ลิตร 450 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 609 นิวตันเมตร ส่วนความเร็วในช่วง 0-100
กิโลเมตรต่อชั่วโมงน่าจะช้ากว่าตัวถังธรรมดาเล็กน้อย
Citroen
Citroen เริ่มสร้างความแปลกประหลาดให้กับพวกเราอีกแล้ว เพราะ Citroen ดันเปิดตัว C3 โฉม Minorchange สู่
ตลาดบราซิลและอเมริกาใต้ก่อนใครในโลกจนเราไม่แน่ใจว่าโฉมหน้าแบบนั้นจะเป็นโฉมหน้าสำหรับทำตลาดในระดับโลก
หรือไม่ แต่แล้ววันนี้คำตอบที่แท้จริงก็ปรากฏมาแล้ว
Citroen ได้เปิดเผยภาพ C3 Minorchange สำหรับทำตลาดยุโรปมาแล้ว แค่ดูจากภาพก็รู้เลยว่ามันเป็นโฉมเดียวกับ C3
ในบราซิล การปรับโฉมหลักก็มีการเปลี่ยนแปลงชุดกระจังหน้าและกันชนหน้าให้ดูสวยสดใสมากขึ้นพร้อมกันนี้ยังติดตั้งไฟ
Daylight LED เพื่อความทันสมัย ส่วนภายในห้องโดยสารก็เพิ่มวัสดุโครเมี่ยมในบางจุด, เพิ่มจุดบุวัสดุอ่อนนุ่มดูเลอค่าขึ้น
ส่วนอุปกรณ์มาตรฐานก็จะติดตั้ง เซนเซอร์ถอยจอดและกล้องส่องถอยหลัง
เครื่องยนต์มีให้เลือก 3 สูบ 1.0 ลิตร 68 แรงม้าและ 1.2 ลิตร 82 แรงม้า และเครื่องยนต์ VTi 120 แรงม้า
Dacia
Dacia เสือปืนไวเร่งเปิดตัว Dacia Logan MCV ต่อจาก Logan และ Sandero อย่างรวดเร็ว คงเพราะต้องการขยายส่วน
แบ่งการตลาดที่รวดเร็วในยุโรปเข้าทำนองตีเหล็กต้องตีให้ร้อน (เท่าที่จำความได้ Logan MCV รุ่นที่แล้วเปิดตัวตามหลัง
Logan ซีดานราว 2 ปีกว่าซึ่งถือว่าทิ้งห่างนานเกินไปสำหรับการแข่งขันในยุคปัจจุบัน) อีกทั้งในปัจจุบันตลาดรถแวกอนรา
คาไม่แพงก็ยังไม่มีคู่แข่งเลย
All New Dacia Logan MCV จะใช้โครงสร้างตัวถังครึ่งคันหน้าร่วมกับ Logan/Sandero แต่ออกแบบครึ่งคันหลังใหม่
ทั้งหมด มีความยาวตัวถังมากถึง 4.49 เมตร มีเนื้อที่ห้องสัมภาระ 573 ลิตร เมื่อพับเบาะหลังก็จะมีเนื้อที่ถึง 1,518 ลิตร
และภายในห้องโดยสารก็มีช่องเก็บของเบ็ดเตล็ดรวม 16 ลิตร
ติดตั้งเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร 16 วาล์ว 75 แรงม้า, 3 สูบ 90 แรงม้า และเครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตร 90 แรงม้า
Dacia เตรียมอวดโฉม All New Dacia Logan MCV ในงาน Geneva Motorshow 2013 นี้และพร้อมขึ้นโชว์รูมใน
เดือนหน้า
Ferrari
ไฮไลต์เด็ดสุดต้องมาบูธนี้โดยด่วนเพื่อให้ได้สัมผัสกับ Ferrari รุ่น LaFerrari รถยนต์ที่จะทำตลาดแทน Enzo Ferrari ที่
ได้กลายเป็น 1 ในตำนานรถยนต์ระดับซูเปอร์คาร์ไปแล้ว เพราะ Ferrari ค่ายรถยนต์ม้าพยศจากอิตาลี พร้อมเปิดตัว
2013 LaFerrari หรือ Ferrari F70 ที่ถูกพัฒนาขึ้นให้เป็น Enzo Ferrari II นั่นเอง
รูปลักษณ์ภายนอก คล้ายคลึงกับภาพตกแต่งทางคอมพิวเตอร์ก่อนหน้านี้ไม่น้อย แต่ก็มีหลายรายละเอียดที่รถคันจริง
ดูลงตัวกว่า ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ด้านข้างที่ลดทอนเส้นสายอันแข็งทื่อที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่งสูตร 1 ลง
และใส่ความโค้งมน โป่งนูน จนดูมีความอ่อนช้อยอันทรงพลังมากกว่า
LaFerrari มีความยาวถึง 4.7 ม. และกว้าง 1.9 ม. ในขณะที่เตี้ยเพียง 1.1 ม.เท่านั้น โดยมีระยะฐานล้อหน้า-หลัง
อยู่ที่ 2,665 มม. และมีน้ำหนักรวมเพียง 1,255 กก. ถูกออกแบบให้มีการกระจายน้ำหนักหน้า-หลังในอัตราส่วน
41:59 ทำให้รถยนต์คันนี้มีความสมดุลแทบจะสมบูรณ์
หัวใจหลักของ LaFerrari คือระบบขับเคลื่อน HY-KERS อันประกอบไปด้วยเครื่องยนต์เบนซินแบบ V12 ความจุ 6.2 ลิตร
ที่สร้างกำลังได้มากถึง 800 แรงม้า ที่รอบเครื่องยนต์ 9,000 รอบ/นาที และมีแรงบิดสูงสุด 700 นิวตัน-เมตร อีกทั้ง
ยังมีมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 163 แรงม้า เข้ามาช่วยอีกแรง ทำให้ LaFerrari มีกำลังรวมสูงถึง 963 แรงม้า ส่งกำลังผ่าน
เกียร์อัตโนมัติคลัชท์คู่ DCT 7 จังหวะ สร้างอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.เร็วถึง 2.5 วินาที และทำความเร็ว 0-300 กม./ชม.
ในเวลาเพียง 15 วินาที ก่อนจบความเร็วสูงสุดที่ 350 กม./ชม. ซึ่งระบบ HY-KERS มีน้ำหนัก 140 กก. โดย
Ferrari ได้เลือกติดตั้งแบตเตอรี่ลูกหลักไว้กลางลำตัวรถ เพื่อช่วยสร้างสมดุล
ระบบช่วงล่างที่นำมาใช้ใน LaFerrari ใช้ระบบ Double Wishbone ในล้อคู่หน้า และ Multi-Link สำหรับล้อคู่หลัง
และสวมล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้วในล้อคู่หน้า และ 20 นิ้วในล้อคู่หลัง นอกจากนี้ Ferrari ยังอัดสารพัดเทคโนโลยี
ที่จะช่วยให้การขับขี่สุดยอดซูเปอร์คาร์คันนี้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ เช่น ระบบเบรกคาร์บอนเซรามิกจาก Brembo
ระบบ ESC ช่วยรักษาเสถียรภาพของตัวรถ ระบบ EF1-TRAC ระบบแทรกชันคอนโทรลที่นำมาจากรถแข่งสูตร 1
ผสานเข้ากับระบบไฮบริดของตัวรถ รวมไปถึงช๊อกอัพแม่เหล็กไฟฟ้าและระบบเฟืองท้ายที่พัฒนาขึ้นมาใหม่
2013 LaFerrari จะถูกผลิตออกมาเพียง 499 คันเท่านั้น โดยการส่งมอบจะเริ่มขึ้นในฤดูใบไม้ผลิปีนี้ครับ
Ford
ชื่อของ Courier สำหรับยี่ห้อ Ford แล้วถือว่าเป็นชื่อที่ผูกพันธ์กับ Ford มาพอสมควร (ถึงแม้ว่าชื่อ Courier จะถูก
นำไปใช้กับรถเพื่อการพาณิชย์หลากหลายขนาดเอามาก ๆ ก็ตาม) หากดูจากประวัติศาสตร์ก็พบว่าชื่อ Ford Courier ถูก
กำเนิดในปี 1952 สำหรับรถแวนขนาดใหญ่ในตลาดสหรัฐอเมริกา ต่อจากนั้นชื่อนี้ก็นำไปใส่ไว้ในรถ Ford หลากขนาด
หลากตัวถังเอามาก ๆ จนกระทั่งล่าสุดได้กลายเป็นชื่อของกระบะขนาดเล็กที่สร้างขึ้นบนพื้นฐาน Fiesta รุ่นเก่าไปแล้ว
หากจะดูเฉพาะชื่อ Courier ในยุคปัจจุบันก็ถือว่าเป็นชื่อที่น่าจะอยู่ในหมวดของรถเพื่อการพาณิชย์พิกัด B-Segment
หากจะหวนกลับมาใช้อีกครั้งก็คงจะต้องเป็นรถขนาดเล็กเสียหน่อยถึงจะดูดี
ล่าสุด Ford ก็ได้เปิดตัวรถเพื่อการพาณิชย์น้องเล็กรุ่นใหม่ล่าสุดในชื่อ Ford Tourneo Courier แต่ดูเหมือนว่า Ford
Europe จะพยายามวางตำแหน่งรถคันนี้ให้เป็นรถขนคนที่มีเนื้อที่ห้องโดยสารกว้างกว่ากว่ารถตระกูล Max ทั้งหลาย
Barb Samardzich รองประธานฝ่ายพัฒนารถยนต์ Ford Europe กล่าวว่าพวกเขาพัฒนา Ford Tourneo Courier ให้
กลายเป็นรถของคนชาญฉลาดที่ใช้ชีวิตการขนของ ทุกคนก็จะพบกับความภายในที่กว้างขวางทุกสัดส่วน สามารถใช้งาน
ได้ตั้งแต่ขนเพื่อนพร้อมจักรยานหรือพาลูกหลานติดรถมาด้วย เป็นต้น
Ford Tourneo Courier ถือเป็นรถตู้ที่เล็กที่สุดในตระกูล Tourneo แต่มาพร้อมกับคุณสมบัติเด่นทั้งประหยัดน้ำมัน,
คุ้มค่าเงิน, มีเทคโนโลยีอัจฉริยะและระบบความปลอดภัยขั้นสุดยอด ตัวรถถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐาน Global Small
Platform แบบเดียวกับ Ford Fiesta มีความยาวแค่เพียง 4.16 เมตรแต่ก็รองรับสัมภาระและผู้โดยสารรวม 5 คนได้
สบาย ๆ (มีรุ่น 4 ที่นั่งสำหรับตลาดตุรกีอีกด้วย)
อุปกรณ์มาตรฐานก็มี Ford Sync พร้อมระบบเตือนภัย, Ford Sync Applink, กล้องส่องถอยหลัง, ตัวจำกัดความเร็ว
ส่วนความปลอดภัยก็จัดเต็มทั้งถุงลมด้านข้าง, ม่านนิรภัยและถุงลมหัวเข่าพร้อมระบบเตือนรัดเข็มขัดนิรภัยตอนหลัง
เครื่องยนต์ดีเซลมีให้เลือก 2 รุ่นได้แก่ 1.5 ลิตร TDCI 75 แรงม้าและ 1.6 ลิตร TDCI 95 แรงม้า และยังมีเครื่องยนต์
เบนซิน 1.0 ลิตร Ecoboost ให้เลือกด้วย
กำหนดวางจำหน่าย Ford Tourneo Courier จะต้องรอกันถึงปี 2014 จากโรงงานที่ตุรกีครับ
Honda
รูปลักษณ์ของ Honda Civic Wagon Concept จะอาศัยโครงสร้างตัวถังครึ่งคันหน้าร่วมกับ Honda Civic European
แต่ออกแบบครึ่งคันหลังใหม่ให้เป็นรถแวกอนที่มีความสปอร์ตอย่างสูงสุด (มีความเป็นไปได้สูงว่าบานประตูห้องโดยสาร
หลังอาจจะใช้ร่วมกับรุ่น 5 ประตูได้ด้วย)
จุดเด่นของ Honda Civic Wagon Concept คือการตกแต่งตัวรถรอบคันให้ดูล้ำสมัยและมีบั้นท้ายที่ลาดเอียงพร้อมทั้ง
ออกแบบไฟท้ายใหม่ที่ดูสวยเหนือชั้นกว่ารถแวกอนคอมแพคท์ทั่ว ๆ ไป
เครื่องยนต์กลไกคาดว่าจะเน้นขายเครื่องยนต์ดีเซล 1.6 ลิตร EarthDreams Technology 120 แรงม้า (PS) ที่ 4,000
รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตรที่ 2,000 รอบต่อนาที
Hyundai
ใครที่คิดว่า Hyundai ix35/Tucson Minorchange มันน่าจะมีรูปโฉมเดียวกับ ix35/Tucson FCEV หรือ Hyundai
Santa Fe รุ่นใหม่แล้วล่ะก็ เห็นทีจะผิดคาดเสียแล้ว เพราะงานนี้ Hyundai เลือกที่ปรับปรุงรูปลักษณ์ Hyundai
ix35/Tucson Minorchange ไม่ให้ต่างจากเดิมมากนักซึ่งทำเอาหลายคนผิดคาดกันพอสมควร
รูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนไปของ Hyundai ix35/Tucson Minorchange ก็จะเห็นได้จากโคมไฟหน้าที่ติดตั้ง Daylight
LED ฝังในตัวพร้อมกับหลอด Bi-Xenon, ปรับปรุงซี่กระจังหน้า นอกนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย คงมีเพียงแค่
เปลี่ยนลายล้ออัลลอยใหม่
จุดที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดกลับกลายเป็นภายในห้องโดยสารที่ติดตั้งหน้าจอสัมผัส TFT , ปรับปรุงวัสดุภายในให้มี
คุณภาพขึ้นและเปลี่ยนรายละเอียดบางอย่าง เวอร์ชันยุโรปจะติดตั้งเครื่องยนต์ใหม่รหัส Nu 2.0 ลิตร GDI ที่ Hyundai
ยืนยันว่าทั้งแรงและประหยัดกว่าเครื่องยนต์เก่า Theta II ไฮไลต์คงจะอยู่ที่ระบบพวงมาลัย Flex Steer ที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการบังคับทั้งแบบธรรมดา, สบายและสปอร์ต
Kia
Kia Provo Concept ถือว่าเป็นรถต้นแบบที่มาแปลก ๆ เหมือนกันเพราะเอาแน่ชัดไม่ได้ว่าจะเป็นรถแนวไหนกันแน่ จุดที่
โดดเด่นที่สุดคือด้านหน้าที่แปลกตาจากรถ Kia ทุกรุ่น คือแนวกระจังหน้าจะมีความสูงเท่ากับขนาดไฟหน้า ภายในห้อง
โดยสารจะมีกลิ่นของความเป็นรถย้อนยุคด้วยรูปแบบที่เรียบง่ายแทบจะทั้งหมด แต่ก็ล้ำสมัยด้วยรายละเอียด
Lamborghini
เมื่อต้นเดือนที่แล้ว เคยได้มีข่าวออกมาว่า Lamborghini กำลังซุ่มพัฒนารถยนต์สุดพิเศษ ที่เร็วที่สุดเท่าที่ตัวเองเคย
ผลิตมา เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปีของ Lamborghini และจะทำให้ทุกคนได้ช็อกกับผลงานชิ้นนี้
และดูเหมือนคำกล่าวนั้นจะเป็นจริงไม่น้อย เมื่อ Lamborghini เปิดผ้าคลุม Veneno รถยนต์ระดับสุดยอดซูเปอร์คาร์
ที่มีการผลิตเพียง 3 คันในโลก เท่านั้น
Veneno ถูกตั้งชื่อตามกระทิงที่พุ่งชน José Sánchez Rodríguez นักสู้กระทิงชื่อดังในปี 2014 จนทำให้เขา
บาดเจ็บสาหัส ตัวรถ Lamborghini Veneno นั้น ถือเป็นงานศิลปะคาร์บอนไฟเบอร์ชิ้นเอกเลยทีเดียว
เพราะมีการใช้คาร์บอนไฟเบอร์เป็นวัสดุหลักของตัวรถ ที่จะช่วยเพิ่มความคล่องแคล่วให้กับตัวรถ ด้วยความแข็งแกร่ง
ในน้ำหนักที่เบา อีกทั้งยังถูกออกแบบให้ช่วยเพิ่มแรงกดและลดแรงต้านระหว่างขับขี่อีกด้วย
งานดีไซน์ของตัวรถ มาพร้อมกับเส้นสายเน้นความเฉียบคม พร้อมช่องรับอากาศขนาดใหญ่หลายจุด ช่วยเพิ่ม
ความลู่ลม และโดดเด่นด้วยโคมไฟหน้าทรงตัว Y พร้อมประตูแบบกรรไกร ด้านท้ายมาพร้อมกับครีบรีดอากาศ
ขนาดใหญ่พิเศษ พร้อมปีกสปอยเลอร์ที่ปรับอัตโนมัติตามความเร็วของตัวรถ รวมถึงระบบท่อไอเสียแบบ 4 ท่อ
การออกแบบฝากระโปรงท้ายสำหรับเครื่องยนต์ ถูกออกแบบเป็นพิเศษโดยคำนึงถึงหลักอากาศพลศาสตร์
ด้วยการออกแบบครีบรีดอากาศคล้ายครีบของปลาฉลาม เพื่อช่วยเพิ่มการทรงตัวและเพิ่มแรงกดให้กับตัวรถใน
ย่านความเร็วสูง นอกจากนี้ล้ออัลลอยยังถูกออกแบบใหม่ ให้มีความพิเศษ เฉพาะตัวและไม่เหมือนใคร
ตัวถังภายนอกทั้งหมด จะมาในสีเทา Metallic Grey พร้อมการเผยให้เห็นเนื้อวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ในบางจุด
และจะมีการตกแต่งในโทนสีธงชาติอิตาลี เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ประเทศบ้านของ Lamborghini ส่วนภายในห้อง
โดยสาร มีการออกแบบมาตรวัดใหม่ พร้อมกับเบาะนั่งที่ใช้โครงสร้างเบาะแบบ Forged Composite และ
ตกแต่งด้วย CarbonSkin
ขุมพลังแห่งความพิเศษนี้ เป็นการยกชุดขุมพลังจาก Lamborghini Aventador มาใช้ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เบนซิน
แบบ V12 ขนาด 6.5 ลิตร แต่มีการปรับจูนกำลังใหม่ จนเพิ่มขึ้นสูงเป็น 750 แรงม้า เชื่อมต่อกำลังสู่ล้อทั้ง 4
ด้วยเกียร์ ISR 7 จังหวะ ฉุดรถยนต์น้ำหนัก 1,450 กก.คันนี้ จากจุดหยุดนิ่งถึง 100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.8 วินาที
เท่านั้น! ก่อนจะจบความเร็วสูงสุดที่ 355 กม./ชม.
Lamborghini Veneno จะถูกผลิตในจำนวนจำกัด 3 คันในโลกเท่านั้น โดยสนนราคาอยู่ที่คันละ 3 ล้านยูโร
หรือประมาณ 120 ล้านบาท และรถยนต์ทั้ง 3 คันได้ถูกจำหน่ายออกไปเรียบร้อยแล้วครับ
Mercedes-Benz
หลังจากมีข่าวซุ่มพัฒนาเครื่องยนต์ให้มีพลังแรงสยบคู่แข่งของแผนก AMG เพื่อนำมาติดตั้งใน
Mercedes-Benz A45 AMG วันนี้ผลงานนั้นได้ถูกเปิดตัวสู่สาธารณชนเรียบร้อยแล้ว กลางงาน
Geneva Motor Show 2013 ซึ่งงานนี้ค่ายดาวสามแฉกดึง Usher นักร้องอาร์แอนด์บีชื่อดังจาก
สหรัฐอเมริกา เพื่อช่วยสื่อความแรงมีสไตล์ในแบบเบนซ์ได้ชัดเจนมากขึ้น
การโชว์โฉมในงานเจนีวาครั้งนี้ Mercedes-Benz เลือกนำเอารุ่นตกแต่ง Edition 1 มาจัดแสดง
ซึ่งมีการตกแต่งภายนอกให้มีความโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น รวมถึงเปลี่ยนเบาะนั่งใหม่ ให้เป็นเบาะนั่ง AMG Performance
รวมถึงพวงมาลัยแบบสปอร์ตที่นำมาหุ้มหนัง Nappa พร้อมแปะป้าย Edition 1 แสดงความพิเศษ
แต่ทั้งเวอร์ชัน AMG ปกติ และ AMG Edition 1 จะมาพร้อมกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดุดันขึ้นกว่า
A-Class รุ่นปกติอย่างแน่นอน เห็นได้ชัดจากชุดกันชนหน้าแบบใหม่ พร้อมช่องดักอากาศขนาดเขื่อง
เพื่อสอดรับกับเครื่องยนต์ที่สมรรถนะสูงมากขึ้น พร้อมกับการติดตั้งปีกสปอยเลอร์หลังใหม่เพื่อเพิ่มแรงกด
ขณะขับขี่ในความเร็วสูง และสวมล้ออัลลอยสีดำ ดุมล้อแดง ขนาด 19 นิ้ว
ขุมพลังที่นำมาใช้ในฮอตแฮทช์คันล่าสุดจาก Mercedes-Benz คันนี้ คือขุมพลังเบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร
เช่นเดียวกับรุ่น A250 แต่มีการปรับจูนใหม่ จนมีกำลังมหาศาลถึง 360 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด
450 นิวตัน-เมตรเลยทีเดียว
การออกจำหน่ายน่าจะเริ่มต้นขึ้นหลังจากงานเจนีวาจบลง โดยรุ่น Edition 1 จะนำออกมาจำหน่ายจนถึง
เดือนมีนาคมปีหน้าเท่านั้น
Miitsubishi
ในที่สุด Mitsubishi ก็ได้เผยภาพรถต้นแบบคันจริงผ่านสื่อออกมาแล้วทั้ง Mitsubishi CA-MiEV และ GR-HEV
concept (ว่าที่ Triton ใหม่) ก่อนอื่นเราต้องขอไปดู GR-HEV concept ก่อนเพราะว่ากันว่ารถต้นแบบคันนี้คือต้นแบบ
ของ Triton โฉมต่อไปนั่นเอง
ทรวดทรงองค์เอวของ GR-HEV concept จะใกล้เคียงกับ Triton เจเนเรชั่นเดิมเพียงแต่ปรับปรุงงานดีไซน์ให้ดูแข็งแกร่ง
และคมสันขึ้น ด้านหน้าจะได้รับอิทธิพลมาจาก Mitsubishi Pajero และ Outlander ซึ่งจะใช้กระจังหน้าแบบบานเกล็ด
ธรรมดา ส่วนด้านข้างก็จะเพิ่มเส้นสันเอวที่ดูแข็งแกร่ง และได้ต่อเติมบั้นท้ายให้ดูยาวกว่าเดิมมากแต่ก็ดูล้ำสมัยด้วยการ
ออกแบบไฟท้ายสุดล้ำ (เพิ่มเติม : คาดว่ารถคันขายจริงจะต้องลดความยาวตัวถังลงบ้าง มิเช่นนั้นคงจะดูเกะกะมาก
เกินไป)
จุดเด่นของ GR-HEV concept คือ การติดตั้งขุมพลัง Diesel-Hybrid ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แค่เพียง 149 กรัม
ต่อกิโลเมตรและติดตั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Super Select ผนวกกับระบบ S-AWC ที่ติดตั้งระบบควบคุมการทรงตัวไว้ใน
แต่ละล้อทำให้การขับขี่มั่นคงในทุกสภาพถนน
Mitsubishi CA-MiEV ก็ชัดเจนแล้วว่าเป็นต้นแบบของ i-Miev เจเนเรชั่นถัดไปสำหรับตลาดโลก ดีไซน์ในเบื้องต้นก็จะมี
กลิ่นของความเป็น Smart บ้าง (ทั้งที่ปัจจุบันทั้ง Mitsubishi และ Smart ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว) สัดส่วนตัวรถ
จะออกแนวสปอร์ตแฮทช์แบคที่เน้นหลักการอากาศพลศาสตร์เพราะสังเกตจากบั้นท้ายที่ถูกออกแบบให้ลดแรงกดด้าน
ท้าย
จุดเด่นของมันคือ นเทคโนโลยีรถ EV สำหรับเจเนเรชั่นต่อไปที่ทำให้มีระยะทางวิ่งสูงสุดถึง 300 กิโลเมตรเลยทีเดียว
Porsche
งานนี้ Porsche ตั้งใจพัฒนา 911 GT3 ใหม่ ให้เป็น GT3 ที่เร้าใจ แรง และเร็วที่สุดเท่าที่ได้เคยผลิตมา โดยมีการ
กล่าวว่า GT3 ใหม่ จะมีรอบเครื่องยนต์สูงสุดถึง 10,000 รอบ/นาที โดยเริ่มขีดแดงที่ 9,000 รอบ/นาที ซึ่งเครื่องยนต์
ดังกล่าวเป็นเครื่อง 6 สูบนอน 3.8 ลิตร พร้อมกำลังสูงถึง 450 แรงม้าเลยทีเดียว
ตัวรถ จะเป็นนำแชสซีส์จากรุ่น 911 Carrera 4 มาดัดแปลงใช้ พร้อมกับการสวมยางหน้ากว้างพิเศษ ด้วยซีรีส์ 245/20
ในล้อคู่หน้า และ 305/20 ในล้อคู่หลัง โดย Porsche ได้เตรียมเวอร์ชัน Clubsport ให้กับ GT3 ใหม่ สำหรับ
ผู้ที่ต้องการนำ GT3 ที่สมรรถนะสูงขึ้นไปอีกหรือไว้ขับในสนาม
Rolls-Royce
ค่าย Rolls-Royce ได้สร้างความน่าตื่นตาตื่นใจภายในงาน Geneva Motorshow 2013 ด้วยการอวดโฉม Rolls-
Royce Wraith หรือ Ghost Coupe ที่มีข่าวให้ติดตามมานานก่อนเปิดตัวร่วมปีเลยทีเดียว เมื่อมองที่ตัวรถก็พบว่ามัน
สร้างความตะลึงในด้านความงามพอสมควรและยังรวมไปถึงคุณค่าของงานวิศวกรรมที่อยู่ในระดับ The State of The
Art และที่สำคัญ Rolls-Royce ก็ภาคภูมิใจว่ามันเป็นรถยนต์ที่แรงและสมรรถนะดีที่สุดเท่าที่เคยผลิตกันมา
รูปลักษณ์ของ Rolls-Royce Wraith จะใช้โครงสร้างตัวถังด้านหน้าร่วมกับ Ghost เพียงแต่ปรับปรุงรายละเอียดกันชน
หน้าเล็กน้อยเท่านั้น แต่ตั้งแต่เสา A เป็นต้นไปจะไม่เหมือนกับ Ghost เลย เพราะ Rolls-Royce Wraith มันเป็นรถที่มี
สัดส่วนเตี้ยกว่า Ghost อย่างเห็นได้ชัด สัดส่วนด้านท้ายก็จะมาแนว Fastback ที่ตัดกับเส้นขอบผ่านที่ขนานกับพื้น มิติ
ตัวถังก็จะสั้นกว่า Ghost 130 มม. กว้างกว่า 40 มม. เตี้ยกว่า 43 มม. ส่วนฐานล้อก็หดสั้นลงราว 183 มม.
ภายในห้องโดยสารก็ยกชุดมาจาก Ghost เพียงแต่เปลี่ยนวัสดุหุ้มหนังใหม่, เพิ่มแถบเมทัลลิคและติดตั้งหลอดไฟขนาด
เล็กแบบไฟเบอร์ออพติค 1,340 ดวงให้บรรยากาศเหมือนกับดวงดาวบนท้องฟ้า (Starlight Headliner)
ขุมพลังจะติดตั้งเครื่องยนต์ V12 624 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตรที่ 1,500 รอบต่อนาทีจับคู่เกียร์ ZF 8 จังหวะ
ทำให้มีอัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 4.4 วินาที
หากเศรษฐีท่านใดสนใจก็สามารถสั่งซื้อได้เลย เพราะรถกว่าจะประกอบสำหรับส่งลูกค้าก็ต้องรอช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
นี้ครับ
Subaru
Suzuki Viviz Concept รถต้นแบบครอสโอเวอร์ 3 ประตูที่เราไม่แน่ใจว่าพวกเขาคิดจะทำอะไรกันอยู่ เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่า
ตลาดรถครอสโอเวอร์กำลังมาแรงเอามาก ๆ เลยทีเดียว ติดตั้งขุมพลัง 2.0 ลิตร ดีเซล Hybrid SI-DRIVE โดยมีมอเตอร์
ไฟฟ้าช่วยในการวิ่งความเร็วต่ำจนถึงปานกลาง ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลจะเน้นกำลังขับในความเร็วสูง
Toyota
ในที่สุด Toyota ก็หวนกลับมาเล่นรถยนต์ในกลุ่มตลาดคอมแพคท์แวกอนสำหรับตลาดยุโรปอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายกัน
ไปนานเหลือเกิน มาคราวนี้ก็มาในมาดใหม่ที่ทำให้ทุกคนลืมภาพพจน์เก่า ๆ ของ Corolla Wagon ในอดีตได้นั่นก็คือ
Toyota Auris Touring Sports
Toyota Auris Touring Sports จะใช้ครึ่งคันหน้าและบานประตูผู้โดยสารตอนหลังร่วมกับ Toyota Auris รุ่นใหม่ที่เพิ่ง
เปิดตัวไปหมาด ๆ แล้วออกบั้นท้ายให้ยื่นยาวในสไตล์รถสปอร์ตแวกอน ส่วนบานฝากระโปรงท้ายก็ออกแบบเน้นการใช้
งานเป็นหลัก
Toyota Auris Touring Sports จะมีความยาวตัวถังมากกว่ารุ่นแฮทช์แบค 285 มม. แต่ยังคงรักษาระยะความยาวฐาน
ล้อที่ 2,600 มม. ทำให้มีเนื้อที่ห้องสัมภาระ 550 ลิตร เมื่อพับเบาะหลังลงแล้วจะมีเนื้อที่มากถึง 1,658 ลิตร และที่น่าทึ่ง
คือขอบพื้นห้องสัมภาระจะเตี้ยกว่ารุ่นแฮทช์แบคถึง 100 มม. เลยทีเดียวก็เรียกได้ว่าเห็นหน้าตาสปอร์ตแบบนี้ก็ใช่ว่าจะ
อเนกประสงค์เหมือนคนอื่นไม่ได้ นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบพับเบาะหลังแบบสัมผัสปุ่มกดแค่ครั้งเดียว เบาะหลังก็จะพับให้
ทันที
เครื่องยนต์กลไกก็มีให้เลือกทั้งเบนซิน 1.33 ลิตรและ 1.6 ลิตร, ดีเซล 1.4 ลิตรและ 1.8 ลิตร ปล่อยมลพิษต่ำแค่เพียง 86
กรัมต่อกิโลเมตร ส่วนขุมพลัง Hybrid ต้องอดทนรอสักพักไปก่อน
Toyota มั่นใจว่า Auris Touring Sports จะทำให้ Toyota รักษาส่วนแบ่งการตลาดยอดขายในกลุ่มตลาด C-Segment
ในยุโรป 5% ได้แน่นอน
Toyota FT-86 Open Concept มีรูปลักษณ์ภายนอก คล้ายคลึงกับรุ่นตัวถังคูเป้เกือบทุกประการ มีเพียงส่วนหลังคา
และเสา C-Pillar ที่หายไปถูกแทนที่ด้วยชุดหลังคาผ้าใบ ควบคุมการเปิด-ปิดหลังคาด้วยไฟฟ้า แม้อาจต้องมีการสูญเสีย
ความอเนกประสงค์ในการบรรทุกสัมภาระด้วยการพับเบาะอย่างเช่นในรุ่นตัวถังคูเป้ แต่ Toyota กล่าวว่า ในเวอร์ชันเปิด
ประทุนนี้จะช่วยให้ผู้ขับขี่สัมผัสประสบการณ์ความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ แต่ยังคงมีความสนุกและอรรถรสในการขับขี่
อย่างเต็มเปี่ยม อันเป็นจุดเด่นของ Toyota 86
ส่วนภายในห้องโดยสาร มีการตกแต่งใหม่ ให้ดูแตกต่างและดูสว่างมากขึ้น โดยการใช้โทนสีขาวเป็นหลัก ตัด
กับสีน้ำเงิน Navy และปูพรมห้องโดยสารด้วยโทนสีขาว-ทอง รวมถึงการเปลี่ยนอุปกรณ์บนคอนโซลหน้าเล็กน้อย
ด้วยการตัดระบบอินโฟเทนเมนท์ออกไป และแทนที่ด้วยระบบเครื่องเสียงพร้อมมาตรวัดรายละเอียดต่างๆของเครื่องยนต์
แม้จะยังไม่มีการประกาศตัวเลขสมรรถนะของตัวรถต้นแบบคันนี้ออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ก็เป็นไปได้สูงว่า
Toyota FT-86 Open Concept ยังคงใช้เครื่องยนต์แบบเดียวกับในรุ่นตัวถังคูเป้ ได้แก่เครื่องยนต์เบนซิน
แบบ 4 สูบเรียง ขนาด 2.0 ลิตร D4S กำลัง 200 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 205 นิวตัน-เมตร
Toyota i-Road Concept รถต้นแบบสามล้อยุค Hi Tech เห็นคำว่าสามล้อก็กรุณาอย่าไปคิดถึงรถตุ๊กตุ๊กเมืองไทย
เรา เพราะรถต้นแบบคันนี้มันเข้ายุคสมัยกว่าเยอะด้วยการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 2 กิโลวัตต์สองลูกสำหรับการขับเคลื่อนไป
ยังล้อคู่หน้าและล้อหลัง จัดเก็บประจุไฟฟ้าด้วยแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออน มีระยะทางวิ่งสูงสุดเพียง 48 กิโลเมตร
เลย์เอาท์ของยานพาหนะคันนี้จะดูคล้ายกับรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่มากเพียงแต่มีหลังคา,ประตูและกระจกเหมือนกับ
รถยนต์ มันมีความยาวแค่เพียง 2,350 มม. สูง 1,445 มม. ฐานล้อยาว 1,700 มม.
หากใครกลัวเข้าโค้งแล้วเสียวหลุดโค้งคงไม่ต้องห่วงครับเพราะ Toyota ติดตั้งระบบ Active Lean ซึ่ง ECU จะคำนวณ
องศาการเอนสำหรับการเข้าโค้งให้เหมาะสมกับความเร็วตัวรถและการขยับเขยื้อนพวงมาลัย
Volkswagen
Volkswagen Golf Variant ถือเป็นรูปแบบตัวถังที่สำคัญพอๆกับตัวถังแฮตช์แบกเลยทีเดียว จากการตอบรับของ
ผู้บริโภคชาวยุโรปที่ชื่นชอบตัวถังแวกอนอันเอนกประสงค์ ประกอบกับตัวรถ Golf ที่มีคุณภาพในราคาย่อมเยา จึงถูก
นำมาเปิดตัวเป็นตัวถังแบบที่ 2 ต่อจากตัวถังแฮตช์แบกกันเลย และ Golf Variant ใหม่นี้ได้กลับมาพร้อมภาพลักษณ์ที่
สปอร์ตเฉียบคม ไม่ต่างจาก Golf ตัวถังแฮตช์แบก โดยรูปลักษณ์ด้านท้ายก็ยืดความยาวออกมาได้ถูกออกแบบโดยอิงเส้น
สายหลักจากตัวถังแฮตช์แบกเช่นกัน แต่มีการออกแบบฝากระโปรงท้ายและโคมไฟท้ายใหม่ พร้อมกับการติดตั้งราวหลังคา
สีเงิน ส่วนรูปลักษณ์ด้านหน้าอิงงานดีไซน์จากรุ่นแฮตช์แบก ไร้การเปลี่ยนแปลงใดๆ
ด้านขุมพลัง เป็นการยกชุดมาจากรุ่นแฮตช์แบกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทอร์โบ TSI ทั้ง 2 บล็อก
1.2 ลิตร (85 และ 105 แรงม้า) และ 1.4 ลิตร (122 และ 140 แรงม้า) รวมถึงขุมพลังดีเซลเทอร์โบ TDI ขนาด 1.6 ลิตร
105 แรงม้า และ 2.0 ลิตร 150 แรงม้า โดยไร้แผนการผลิตเวอร์ชัน GTI หรือ GTD สำหรับรุ่นตัวถังแวกอน
หลังจากเริ่มต้นโครงการ ‘1-Litre Car’ หรือ รถยนต์ 1 ลิตร แล่นได้ 100 กม. เมื่อปี 2002 วันนี้ ถือเป็นวันที่
Volkswagen ค่ายรถยนต์เพื่อประชาชน ประสบความสำเร็จในการเข็นผลงานจากโครงการนี้ออกมาผลิตและขายจริง
ในชื่อ 2013 Volkswagen XL1 โดยเตรียมโชว์ตัวอย่างเป็นทางการในงาน Geneva Motor Show 2013 และขาย
แบบสั่งผลิตโดยเฉพาะ
รูปลักษณ์ภายนอก ถูกออกแบบให้มีความลู่ลมมากที่สุด Volkswagen เลือกที่จะใช้รูปแบบตัวถังแบบคูเป้ 2 ประตู 2 ที่
นั่งพร้อมการปิดซุ้มล้อหลัง และใช้ประตูแบบปีกนก และกระจกมองข้างแบบดิจิตอล ด้วยเหตุผลด้านน้ำหนักและความลู่
ลมผลที่ออกมา ทำให้ XL1 ดูยาวแปลกตา (แต่จริงๆแล้วตัวรถสั้นกว่า VW Polo) และมีสัดส่วนที่ไม่เหมือนรถยนต์ทั่วไป
โดยสามารถสร้างค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศได้ต่ำเพียง 0.189 ถือเป็นรถยนต์ขายจริงที่มีค่า Cd ต่ำที่สุด
ในขณะนี้
ภายในห้องโดยสาร มีการใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์พลาสติก CFRP เป็นส่วนใหญ่ เพื่อช่วยลดน้ำหนักตัวรถ ถึงแม้ว่า
จะถูกออกแบบมาให้มีน้ำหนักตัวรถน้อยที่สุด แต่บรรดาอุปกรณ์ไฮเทคก็ไม่ได้ถูกลดทอนลงไป โดยยังมีพวงมาลัย
คาร์บอนไฟเบอร์พร้อมหุ้มหนังแท้ ระบบนำทาง GPS ระบบปรับอากาศ Climatic พร้อมหน้าจอแสดงภาพแทนกระจกมอง
ข้างบนแผงประตูทั้ง 2 ข้าง
ด้านงานวิศวกรรมตัวถัง เป็นการออกแบบเพื่อสร้างความแข็งแรง แต่ก็ต้องมีน้ำหนักที่เบาอย่างสุดขีดเช่นกัน ดังนั้น
ทีมวิศวกรจึงเลือกออกแบบโครงสร้างโมโนค็อกให้มีน้ำหนักน้อยที่สุด โดยหันมาใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ CFRP และ
แม็กนีเซียมอัลลอยเป็นหลัก ดังนั้น ตัวถังรถจะมีน้ำหนักเพียง 230 กก. และเมื่อรวมกับระบบขับเคลื่อนและอุปกรณ์
ทั้งหมด ตัวรถจะมีน้ำหนักเพียง 795 กก.เท่านั้น
อีกหนึ่งเคล็ดลับที่ทำให้ Volkswagen XL1 จิบน้ำมัน 1 ลิตร แล่นได้ 100 กม. คือขุมพลังที่ Volkswagen คิดใหม่
ทั้งหมดโดยเป็นขุมพลังดีเซลไฮบริด ควบรวมเครื่องยนต์ดีเซล TDI พร้อมเทอร์โบ แบบ 2 สูบ ขนาด 800 ซีซี กำลัง 47
แรงม้า เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลัง 27 แรงม้า เก็บประจุไฟผ่านแบตเตอรี่ Li-ion ขนาดกำลัง 55 kWh เชื่อมต่อกำลังผ่าน
ล้อคู่หลัง ด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ช่วยสร้างอัตราเร่ง0-100 กม./ชม. ในเวลา 12.7 วินาที และประหยัด
น้ำมันได้มากถึง 111 กม./ลิตร ปล่อยก๊าซไอเสียออกมาต่ำเพียง 21 กรัม/กม. โดยเครื่องยนต์จะถูกติดตั้งกลางลำตัวรถ
เพื่อสร้างความสมดุลให้ได้มากที่สุด ในขณะที่แบตเตอรี่จะถูกติดตั้งด้านหน้ารถ
การขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วน จะสามารถแล่นได้ 50 กม. และเมื่อไฟฟ้าในแบตเตอรี่หมด เครื่องยนต์ดีเซล
จะช่วยเพิ่มระยะทางวิ่งได้อีก 499 กม. โดย XL1 มีถังน้ำมันขนาดเล็กเพียง 10 ลิตรเท่านั้น
2013 Volkswagen XL1 จะถูกผลิตขึ้นพร้อมให้ลูกค้าชาวยุโรปจับจองเป็นเจ้าของเป็นจำนวน 50 คัน ก่อนจะสั่ง
ผลิตตามออเดอร์เป็นรายคันไป โดยการส่งมอบน่าจะเกิดขึ้นในช่วงกลางปีครับ
หลังจากปล่อยให้แฟนๆ Volkswagen ชะเง้อคอรอกันมานาน Volkswagen ก็ได้ส่ง
ภาพชุดแรกพร้อมรายละเอียดอย่างเป็นทางการ ของ 2013 Volkswagen Golf GTI รหัสแรงของ Golf รุ่นที่ 7 โดย
เป็นการเปิดตัวตามหลังเวอร์ชัน GTD เพียงสัปดาห์เดียว ก่อนจะเปิดให้ชาวยุโรปจับจองกันเดือนมีนาคมนี้ พร้อมกับ
การนำเสนอรุ่น GTI Performance เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ Golf
รูปลักษณ์ภายนอก เป็นเหมือนกับที่ได้คาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนชุดกันชนหน้า-หลังให้
มีความแตกต่างจากรุ่นธรรมดา และมีคล้ายคลึงกับรุ่น GTD เช่น ช่องดักอากาศขนาดใหญ่ พร้อมกระจังหน้าลายรังผึ้ง
ให้ความสปอร์ตดุดันมากขึ้นชัดเจน รวมไปถึงการคาดขอบแดง ยาวตั้งแต่โคมไฟหน้าซ้ายไปจนถึงโคมไฟหน้าขวา
เน้นรูปลักษณ์ในแบบ GTI ให้ชัดเจนขึ้น
ส่วนด้านข้างมาพร้อมชายล่างทรงสปอร์ต และด้านท้ายมาพร้อมชุดกันชนหลังทรงสปอร์ตพร้อมครีบรีดอากาศ และชุดไฟ
ท้ายLED ที่มีรายละเอียดภายในโคมแตกต่างจากรุ่นธรรมดา เสริมความสปอร์ตมากขึ้นด้วยท่อไปเสียโครเมี่ยมคู่ และสวม
ล้ออัลลอยลายมาตรฐาน ‘Brooklyn’ ขนาด 17 นิ้ว พร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีแดง
ห้องโดยสารมีความคล้ายคลึงกับรุ่น GTD ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเบาะนั่งบัคเกตซีท ทรงสปอร์ต หุ้มด้วยผ้า ‘Clark’ อันเป็น
เอกลักษณ์ของ GTI และตกแต่งแสงสว่างภายในห้องโดยสารด้วยแสงสีแดง เปลี่ยนพวงมาลัย 3 ก้านให้เป็นทรงสปอร์ต
มากขึ้นกว่า GTI รุ่นเดิม พร้อมกับหัวเกียร์หุ้มหนังและหน้าจอมาตรวัดที่มีโลโก้ GTI ตกแต่งห้องโดยสารให้มีความสปอร์ต
ในแบบ GTI เป็นพิเศษ รวมถึงแป้นคันเร่ง-เบรกแบบสเตนเลสสตีล
หัวใจของความแรงครั้งนี้ ยังคงเลือกใช้เครื่องยนต์เบนซินรหัส EA888 ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบ TSI ที่มี
การปรับปรุงจนมีพละกำลังมากขึ้นจากรุ่นเดิม 10 แรงม้า เป็น 220 แรงม้า พร้อมแรงบิด 350 นิวตัน-เมตร เชื่อมต่อ
กำลังสู่ล้อคู่หน้า ด้วยเกียร์ธรรมดาหรืออัตโนมัติ DSG แบบ 6 จังหวะ
และเป็นครั้งแรกที่ Volkswagen ตั้งใจพัฒนารุ่น GTI Performance เพิ่มขึ้นมา โดยจะมีความพิเศษที่มีการเพิ่มพละ
กำลังของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นเป็น 350 แรงม้า แต่มีแรงบิดเท่ากัน และมีการเพิ่มขนาดจานดิสก์เบรกให้ใหญ่ขึ้นทั้งล้อคู่หน้าและหลัง
โดยในรุ่น GTI จะมีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 6.5 วินาที ในขณะที่รุ่น GTI Performance จะทำได้เร็วกว่าที่
6.4 วินาที ในขณะเดียวกัน ในรุ่น GTI เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ จะสามารถสร้างความประหยัดได้ถึง 16.6 กม./ลิตร
ถือว่าประหยัดขึ้นกว่ารุ่นเดิมถึง 18% ในขณะที่รุ่นเกียร์อัตโนมัติ DSG จะทำได้ 15.6 กม./ลิตร ส่วนความเร็วสูงสุดนั้น
รุ่น GTI จะอยู่ที่ 246 กม./ชม. และรุ่น GTI Performance อยู่ที่ 250 กม./ชม.
Volkswagen e-Co-Motion Concept จะเป็นรถตู้ต้นแบบขนาดเล็กที่มีความคล่องแคล่วสูง, ทัศนวิสัยเยี่ยมและ
ออกแบบเบาะนั่งตามหลักสรีระศาสตร์พร้อมทั้งจัดวางตำแหน่งเบาะให้ลุกเข้า/ลุกออก/เดินเข้าหากันได้อย่างสะดวก อีกทั้ง
ยังออกแบบให้พื้นตัวรถเตี้ยตลอดทั้งคันจึงทำให้การขนของเป็นเรื่องที่ง่ายดาย
มิติตัวถังภายนอกมีความยาว 4.55 เมตร กว้าง 1.90 เมตร สูง 1.96 เมตร มีเนื้อที่ภายในห้องสัมภาระ 4.6 ลูกบาศก์เมตร
หรือรองรับน้ำหนักบรรทุก 800 กิโลกรัม
จุดเด่นของรถต้นแบบคันนี้มีคือพื้นตัวถังแบบ 2 ชั้น ชั้นล่างสุดจะติดตั้งระบบที่เกี่ยวข้องกับระบบส่งกำลังได้แก่ แบตเตอรี่
และเกียร์ เป็นต้น ส่วนชั้นบนก็จะเป็นพื้นที่บรรทุกของ
Volvo
ตอนแรกเราดู Volvo ว่าน่าจะเป็นค่ายรถหรูที่ติ๋ม ๆ หงิม ๆ ค่อย ๆ เปิดตัวทีละเล็กละน้อยตามประสาค่ายรถที่ทุนไม่หนา
มาก แต่กาลกลับกลายเป็นว่า Volvo กลับเร่งแผนธุรกิจของตนเองให้มาแนว Aggressive มากยิ่งขึ้น คงเพราะ Geely
ต้นสังกัด Volvo ยุคใหม่เริ่มอัดฉีดเงินมากขึ้นประกอบกับสำนักงานใหญ่ในสวีเดนก็ต้องเริ่มกระตุ้นตัวเองมากยิ่งขึ้น(มิ
เช่นนั้นอาจจะเป็นเหมือนอย่าง Saab) และถ้ามองให้ลึกมากกว่านั้น ชื่อชั้น Volvo ในตลาดโลกไม่ได้ขี้เหร่มากนักเมื่อ
เทียบกับเพื่อนร่วมสัญชาติอย่าง Saab ยังไง ๆ แบรนด์ Volvo ก็ยังเป็นที่น่าจดจำอยู่อีกมากโดยเฉพาะจุดเด่นด้านความ
ปลอดภัย
ล่าสุด Volvo ก็ถล่มอาวุธลูกเล็กลูกล่าสุดด้วยการอวดโฉมรถยนต์รุ่นปรับโฉม Minorchange หมดยกแผง (เฉพาะรถที่มี
อายุการตลาดมากและไม่รวม C30 ที่เลิกประกอบไปแล้ว) ได้แก่ S60, V60, XC60, V70, XC70 และ S80
การเปลี่ยนรูปลักษณ์ในครั้งนี้จะสะท้อนความเป็น Volvo ยุคใหม่ที่มีความเรียบหรู, มีเส้นสายที่สะอาดตามากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันมันก็ยังดูดีในแบบ Scandinavia design ไว้เช่นเคยซึ่งความเปลี่ยนแปลงหลักจะอยู่ตรงที่ชุดกระจังที่มีลาย
บานเกล็ดที่ดูหรูขึ้นและกันชนหน้าที่ดูเรียบง่ายขึ้นพร้อมทั้งเน้นลูกเล่นกรอบไฟตัดหมอก
เมื่อพิจารณาในแต่ละรุ่นก็พบว่า Volvo S60/V60/XC60 จะมีความเปลี่ยนแปลงจากรุ่นเดิมตรงชุดกระจังหน้า, เปลี่ยน
โคมไฟหน้าจาก 4 ดวงก็เปลี่ยนเป็นโคม 2 ดวงที่ดูโฉบเฉี่ยวเร้าใจน้อยลง, กันชนหน้าขึ้นโมลด์ใหม่หมดซึ่งลดเส้นสายที่
ซับซ้อนจากรุ่นเดิมพอสมควร
Volvo S60/V60 จะติดตั้งระบบ active Four-C ที่สามารถปรับเปลี่ยนช่วงล่างได้ตามใจผู้ขับขี่ ส่วน XC60 จะติดตั้ง
ระบบ Corner Traction Control
Volvo XC70 จะเปลี่ยนกระจังหน้าที่มีลายตะแกรงรังผึ้งพร้อมกันชนหน้าใหม่และเปลี่ยนรายละเอียดไฟท้ายใหม่, V70/S80
จะเปลี่ยนด้านหน้าให้ดูเรียบหรูมากยิ่งขึ้น