ผมเชื่อว่าหลาย ๆ ท่านที่ติดตามข่าวสารในวงการรถยนต์ก็น่าจะทราบดีว่างานมอเตอร์โชว์ปีที่แล้วได้อารมณ์”กร่อย”เข้าขั้น
งานระดับ Big Name ทั้งหลายก็ไม่สร้างสีสันได้เท่ากับงานของปีก่อน ๆ ได้อีกเลย
ก็แน่ล่ะครับปัจจัยทำร้ายความสนุกครึกครื้นก็คือ สภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ด แม้เป็นแผลตื้น ๆ แต่ก็ต้องฉีดวัคซีนป้องกันเสียก่อน
ทำให้ค่ายรถแทบทุกค่ายเน้น Play Safe ตัดงบส่งเสริมกิจกรรมมอเตอร์โชว์เสียจนเฮี้ยนเต้
งดนำเข้ารถต้นแบบรุ่นใหม่ ๆ มาอวดโฉม งดการเปิดตัวรถยนต์ ร้ายแรงที่สุดคืองดร่วมงานแสดงในครั้งนั้นกันเลย

 

ตัดเสียจนกระทั่งฟอร์มของการจัดงานก็เริ่มเรรวน คำว่า International นั้นแทบจะไม่มีอยู่ในหัวสมองผู้บริหารค่ายรถต่างถิ่น
ภาพที่ออกมาคือจัดงานที่ภูมิภาคไหนก็จะมีแต่ค่ายรถภูิมิภาคนั้นแถบนั้นจำหน่าย แทบจะไม่มีผู้ผลิตต่างถิ่นพลัดมาจัดกันเลย
จะเรียกว่าเป็นงาน Local Motorshow น่าจะเหมาะสมกว่าแฮะ

 

แต่ในเมื่อเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขาขึ้นตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมาทำให้ผู้ผลิตรถยนต์เริ่มหันมา”แห่”
จับจองพื้นที่งานสำคัญ ๆ ของปี 2010 หมือนครั้งอดีตกาลราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นอย่างหน้าตาเฉย
แต่ก็ใช่ว่างานมอเตอร์โชว์ทุกงานจะได้รับความสนใจจากผู้ผลิตนัก
โดยเฉพาะงานมอเตอร์โชว์ฝั่งอเมริกาที่ขึ้นต้นปีก็ยังค่อนข้างกร่อยเล็กน้อย
ถ้าไม่นับงาน Detroit Autoshow 2010 ที่ยังพอมีสีสันบ้าง คงมีเพียงงาน Chicago Autoshow 2010
ที่เรียกว่าปีนี้ดับสนิททีเดียว คงเป็นเพราะค่ายรถคงจะต้องทุ่มเทกับงานช้างที่มีผลต่อการตลาดมากที่สุดครับ
คงต้องรอปีหน้าคิดว่างาน Chicago น่าจะผงาดขึ้นเล็กน้อย

แต่ไฮไลต์เด็ดประจำปีนี้และน่าจะลากยาวไปจนปลายปีนี้ได้คือ
งาน Geneva Motorshow 2010 ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่เปล่งรัศมี
กลบงานมอเตอร์โชว์อื่น ๆ เสียสนิทและที่สำคัญปีนี้ถือว่าครึกครื้นและคับคั่งกันมาก
เพราะมีค่ายรถยนต์ใหญ่-เล็กพร้อมใจกันลงทุนออกบูธราวกับมีเศษสตางค์กันเหลือใช้
ทำให้ภาพรวมของปีนี้ดูดีกว่าก่อนเยอะมากกกกกกกก

 

จะไม่ให้คึกคัดได้อย่างไรเพราะค่ายรถใหญ่ใช้เวทีนี้เปิดตัวรถใหม่กันสารพัด
นี่ยังไม่ร่วมค่ายรถระดับเล็กจนถึงระดับอินดี้ทำตามใจฉัน
ที่ส่งรถของตนอวดศักดาให้ชาวโลกรู้ว่า ข้าทำรถเจ๋งไม่แพ้ใคร
และน่าจะเป็นเวทีที่เปิดกว้างให้กับค่ายรถหน้าใหม่ในอนาคตได้อีกด้วย

 

หัวใจของงานมอเตอร์โชว์ยุคใหม่จะต้องมีเอี่ยวกับการรักษาสภาพแวดล้อมและอนุรักษ์พลังงานเป็นภาคบังคับ
งาน Geneva Motorshow 2010 ก็เช่นกันจะต้องมีแนวคิดและสโลแกนเพื่อให้เข้ากับเทรนด์รถยนต์ในปีนี้เหมือนเคย
ซึ่งพวกเขาแตกต่างจากงานอื่นตรงที่การสื่อสารผ่านภาพโปสเตอร์ที่ไม่ซ้ำซากกับมอเตอร์โชว์ที่อื่นเพราะแทบจะไม่เห็น
ภาพรถยนต์โต้ง ๆ เลย

 

ปีที่แล้วก็ใช้โปสเตอร์ที่มีคนใส่เสื้อสีแดงจี้โพสต์ท่าทำรูปหัวใจเพื่อสื่อนัยยะว่ารถยนต์มิใช่เพียงแค่ยานพาหนะเท่านั้น
แต่มันหมายถึงการรวมหัวใจของผู้ขับขี่ และผู้โดยสารโดยมีรถยนต์เป็นตัวเชื่อมต่อ
สำหรับโปสเตอร์ปีนี้มาแบบง่าย ๆ แต่ดูศิลป์พอสมควรกับเส้นแถบไฟเรืองรอง
และที่สำคัญไม่มีรูปรถให้เห็นเลยสักคัน

 

ความยิ่งใหญ่ของ Geneva Motorshow ปีนี้คือค่ายรถรายหลักทุกค่ายมาพร้อมเพรียงกันไม่มีขาดตกบกพร่องแน่นอน
และยังประกาศศักดาด้วยรถที่เปิดตัวระดับ World Premier และ European Premier กันถึง 100 คัน
สิ่งที่น่าสนใจคือในงานนี้มีการเปิดตัวรถไฟฟ้าและรถพลังงานทางเลือกมากถึง 16 รุ่น ซึ่งถือว่าเยอะใช้ได้
และก็คาดผู้เข้าชมถึงระดับ 7 แสนคันอีกด้วย (ต้องอย่าลืมว่างานระดับนี้ต้องจ่ายค่าตั๋วเท่านั้น ไม่มีบัตรฟรีเหมือนบ้านเรา)

 

เพื่อมิให้เสียเวลาเราต้อง On Tour ณ เดี๋ยวนี้ครับ

 

Alfa Romeo

 

 

 

 

Alfa Romeo ทำเก๋ฉลองครบรอบแบรนด์ 100 ปีโดยให้สำนักออกแบบชื่อดังจัดการออกแบบรถต้นแบบที่จะมาแทนที่ 159,Brera และ Spider โดย Alfa Romeo แบ่งหน้าที่รับผิดชอบให้สำนักออกแบบทั้ง 3 ค่ายออกแบบรถตามคำสั่งดังนี้ ค่าย Bertone ต้องออกแบบรถคู้เป,ค่าย Pininfarina ต้องออกแบบรถเปิดประทุน และค่าย ItalDesign ต้องออกแบบรถซีดานแต่ขอบอกว่าคันหลังนั้นไม่ได้เปิดตัวในงานนี้ได้ทันซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจมาก นอกจากจะมีรถต้นแบบแล้วยังรวมไปถึงรถตลาด Alfa Romeo Giulietta เล็กพริกขี้หนูก็ร่วมอวดสายตาชาวโลกด้วยเช่นกัน

 

AUDI

 

ปีนี้ Audi ภูมิใจนำเสนอ A1 เป็นอย่างมากถึงกับนำเสนอเวอร์ชัน Production และรถต้นแบบไฟฟ้าภายใต้ชื่อว่า A1 E-tron ที่มีเครื่องยนต์ขนาดเล็กปั่นพลังงานเสริมระยะทางเล็กน้อย ๆ คล้ายกับของ Chevrolet Volt ก็ถือว่าเป็นการปูพรมรถขนาดซับคอมแพคท์พรีเมี่ยมที่คู่แข่งถือว่าน้อยพอสมควร และยังแอบเปิดตัว A8 Hybrid ผสมผสานระหว่างเครื่องเบนซิน TFSI 2.0 ลิตร 211 แรงม้าและมอเตอร์ไฟฟ้า 45 แรงม้า ทำอัตราสิ้นเปลืองที่ 16 กิโลเมตรต่อลิตร

 

Bentley

 

งานนี้มีเปิดตัว 1 คันและแอบซุ่ม 1 คัน คันแรกคือ  Bentley Continental SuperSport Convertible ภายนอกคมเข้มด้วยกันชนหน้าพร้อมช่องดักลมขนาดใหญ่ขนาบข้างซ้ายและขวา,ลายล้อ แมกซ์ 10 ก้านขนาด 20 นิ้ว สวมทับด้วยยางระดับเทพ Pirelli Ultra Hight Performance

แรงจัดด้วยเครื่องยนต์ W12 ความจุ 6.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จคู่ที่ให้ประสิทธิภาพถึง 621 แรงม้า (BHP) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 80.8 กิโลกรัมเมตรที่ 2,000 – 4,500 รอบต่อนาที อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 4 วินาที ความเร็วสูงสุดได้ 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

 

คันที่สองคือ Bentley Touring Superleggera Flying Star รถแนว Shooting Brake หรือรถแวกอน 3 ประตูเพราะมันดูไม่ปราดเปรียวเหมือนรถแฮทช์แบคท้ายลาดแต่อย่างใดซึ่งถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นฐาน Continental GTC อีกทีหนึ่ง ซึ่งก็รวมไปถึงเครื่องยนต์ 560 แรงม้าก็ยกมาใส่ในนี้ด้วยเช่นกัน

BMW

 

น่าแปลกใจเหลือเกินที่ BMW ปีนี้กลับขอพักร้อนปล่อยให้ Audi ทำคะแนนแย่งซีนแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีการส่งรถใหม่ซิง ๆ หรือรถต้นแบบใด ๆ ทั้งนั้น มีเพียงรถในสายการผลิตที่มาในรูปแบบของ Hybrid นั่นก็คือ BMW 5-Series Active Hybrid ที่จับคู่เครื่องยนต์สันดาป 6 สูบแถวเรียง เทอร์โบ ประกบคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า 53 แรงม้า จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ก็นับว่าน่ายินดีมากที่ BMW จับระบบ Hybrid มาใส่ในรถขนาดกลางใหญ่นี้ได้ ต่อไปอาจจะได้เห็นรุ่นเยาว์ในอนาคตก็เป็นได้

Bufori

 

รถหน้าตาแปลกนี้เป็นค่ายรถจากออสเตรเลียครับ มันมาในชื่อว่า Bufori Geneva สมชื่อรถคันนี้จริง ๆ เพราะเปิดตัวใน geneva ครั้งแรกมาในมาดรถซีดานหรูขนาดยักษ์เทียบรัศมีกับ Maybach ยัดเครื่องยนต์จาก Chrysler 6.1 ลิตร แรงสะใจเกือบ 600 แรงม้า น่าจะเหมาะกับเศรษฐีรสนิยมลองของแปลกนะครับ

Bugatti

 

ไม่พลาดทุกงานจริง ๆ สำหรับแบรนด์นี้ถึงแม้แบรนด์จะอยู่ในระดับ Super Niche ก็ตามที ปีนี้ก็อวด Bugatti Grand Sport อ๊ะ มันก็รุ่นเดิม ๆ นี่นาแต่เพียงเปลี่ยนเปลือกใหม่ทั้งคันด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ วัสดุน้ำหนักเบามากและทนทานกว่าเหล็กซึ่งเป็นวัสดุแห่งอนาคตเลยทีเดียว เชื่อว่าสมรรถนะคงจะจี๊ดจ๊าดเป็นแน่แท้เพราะน้ำหนักรถที่เบาขึ้นเยอะนั่นเอง

 

Citroen

 

Citroen DS High Rider เตรียมจะแปลงร่างเป็น DS4 ในไม่ช้านักจับกลุ่มลูกค้า Premium กว่า C4 เล็กน้อยโดยรวมก็จับเส้นสายของรถต้นแบบในอดีตมาลงร่าในคันนี้พอสมควร

Ferrari

 

ค่ายม้าออกศึกคึกคะนองเริ่มฮิตเทรนด์รถซูเปอร์คาร์ Hybrid กันบ้างแล้วครับเพราะเพียงแค่จูนกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าก็ให้พลังงานที่ดีกว่าเครื่องยนต์เทอร์โบธรรมดาเสียอีก ซึ่ง Ferrari ภูมิใจเสนอชื่อรุ่นนี้ว่า 599 HY-Kers ชื่อฟังแล้วแปลก ๆ ดีแต่อย่าได้ดูถูกเชียวรถคันนี้ถ่ายทอดเทคโนโลยีมาจาก F1 ล้วน ๆ ทั้งโครงสร้าง และระบบขับเคลื่อน สมรรถนะก็ใช้เครื่องยนต์สันดาป V12 ผนวกกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่แรงจัดถึง 100 แรงม้า!!

 

Fisker

 

Fisker ส่งรถยนต์สำหรับคนมีกรรมเบาดุจปุยนุ่นนั่นก็คือ Karma รถสปอร์ตที่มีโครงสร้างตัวถัง Advanced Aluminium Spaceframe ยังไม่พอรถคันนี้ยังเป็น Plug-in Hybrid กับเขาด้วยการจับคู่เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเทอร์โบชาร์จผนวกกับมอเตอร์ไฟฟ้าประสานกำลังได้ 403 แรงม้าเชียว แต่กว่าจะวางจำหน่ายได้ต้องรอถึงปี 2012 ครับ

 

Ford

 

หลังจากสร้างความตื่นตะลึงไปกับ All New Ford Focus ในงาน Detroit Autoshow 2010 ทั้งตัวถัง 4 ประตูซีดานและ 5 ประตูแฮทช์แบค ด้วยดีไซน์ที่สวยงามสไตล์ Kinetic Design ยุคใหม่และนวตกรรมเครื่องยนต์ Ecoboost แม้จะเอาใจคนอเมริกันจนแทบจะประเคนกันถึงที่ Ford คงกลัวคนยุโรปน้อยใจก็เลยเปิดตัว Focus Estate อีกตัวถังหนึ่งในตระกูลในมาดรถแวกอนขนของที่ชาวยุโรปชื่นชอบ ถือว่าสวยไม่แพ้ใครเลยครับ 

 

Gumpert

 

สุดยอดยนตรกรรมปรากฏตรงหน้านี้แล้วก็คือเจ้า Apollo S ที่มีสมรรถนะถึง 715 แรงม้า 

Honda

 

ค่ายนี้มาแปลกแหวกแนวเสียหน่อยแทนที่จะส่งรถยนต์รุ่นใหม่แต่ใช้เวทีนี้เปิดตัวยานพาหนะส่วนบุคคลแบบใหม่นามว่า 3R-C ที่น่าจะได้ขนานนามว่ารถจักรยานยนต์ 3 ล้อแห่งโลกอนาคตซึ่งยานพาหนะคันนี้ก็ถือเป็น 1 ในวิวัฒนาการของ Honda ที่ต้องการข้ามขีดจำกัดของมวลมนุษยชาติให้ได้ ดังที่เราจะเห็นจากหุ่นยนต์ Asimo รวมไปถึงอุปกรณ์ยานพาหนะ U3-X

 

Hyundai

 

ยังไม่ทันที่ Sonata จะวางจำหน่ายดีดัก Hyundai ก็ส่งรถต้นแบบสำรวจปฏิกริยาตลาด D-segment ยุคปี 2016 ด้วย i-Flow คันนี้ถึงแม้รถคันนี้จะบรรจุเทคโนโลยีดีเซล 1.7 ลิตร Hybrid ก็ตามแต่ใจความสำคัญอยู่ตรงที่ Hyundai คิดอย่างไรกับตลาด D-segment หรือ Sonata รุ่นต่อไปมากกว่า? ก็ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าตลาด D-segment ยุคหน้าจะไม่มีบุคลิครถคนแก่แน่นอน และทุกค่ายจะต้องเป็นเช่นนั้น!!

 

Kia

 

ค่ายรถคู่หูตัวติดหนึบกับ Hyundai ยุคใหม่ต่างก็มี”ลายเซ็น”ที่ชัดเจน(เสียที) แค่เห็นแว้บแรกก็รู้ว่านี่คือแบรนด์ไหน เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ๆ ลูกค้าหลายคนต้องทำความคุ้นเคยกันอยู่นาน วันนี้ Kia ก็นำเสนอเอสยูวีที่สร้างชื่อมาแล้วนานนับสิบปีคือ Sportage โฉมใหม่ที่ดูดีขึ้น และใหญ่ขึ้นทั้งคันทิ้งภาพโฉมเดิม ๆ ไปหมดสิ้น ที่สวยได้ขนาดนี้ส่วนหนึ่ง Kia ตั้งฐานการออกแบบอยู่ในยุโรปด้วยครับ

 

Lamborghini

 

ปีนี้ขอส่ง Gallardo LP570-4 Superleggera สีเขียวเปรี้ยวเข็ดฟันที่บรรจุขุมพลัง V10 5.2 ลิตร 561 แรงม้า น้ำหนักเบาโหวงแค่ 1,300 กว่ากิโลกรัม แรงจริงอะไรจริงนะครับเนี่ย

 

Lexus

 

ตอนแรกค่อนข้างคาดหวังว่า Lexus CT200h น่าจะเป็นรถคอมแพคท์ประเภท High Performance เพราะเป็น Hybrid ที่จูนมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังเพิ่มขึ้นกลับกลายว่าบุคลิคไม่แตกต่างจาก Prius มากมายนัก แต่ก็ถือว่าเป็นบันไดจับกลุ่มเศรษฐีตัวน้อยได้พอประมาณครับ

 

Lotus

 

ต้องยอมรับทันทีเริ่มเข้าเทรนด์รถประหยัดพลังงาน อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม Lotus ก็ปรับตัวไปเยอะมากหันไปพัฒนาวิศวกรรมสำหรับอนาคตแล้วมาประยุกต์เข้ากับสายเลือดของแบรนด์น่าจะเป็นทางออกที่สวยงามกว่า ตัวอย่างที่เห็นชัดคือการเผยโฉม Evora 414E ถือว่าเป็นรถไฟฟ้าด้วยพลังมอเตอร์ถึง 2 ตัว ตัวละ 207 แรงม้า (รวมกันเป็น 414 แรงม้าตามชื่อ)ที่ติดตั้งเครื่องยนต์ขนาดจิ๋วที่ Lotus คิดค้นเพื่อปั่นกระแสไฟฟ้าเสริมระยะทาง 

 

Maserati

 

ไม่มีรถใหม่มาอวดมีแต่รถเวอร์ชันพิเศษคือนำ Quattroporte Super GT S มาชุบตัวเป็น Awards Edition ด้วยสีตัวถังใหม่ ล้อ 20 นิ้ว เบรคเบรมโบ้ เป็นต้น

 

Mazda

 

Mazda 5 โฉมใหม่คันนี้ก็ถือว่าเป็น ฺBig Modelchange มากกว่า Modelchange แต่ยอมรับว่าเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นมากและกล้าขึ้นลวดลายตัุวถังราวกับรถต้นแบบเลย

 

Mercedes-Benz

 

ไฮไลต์เด็ดหนีไม่พ้น F800 Style Concept ที่ว่ากันว่ามันคือ CLS คันใหม่ ถ้าดูสัดส่วนจากรถต้นแบบถือว่ากะทัดรัดขึ้นเล็กน้อย และดีไซน์ด้านหน้าก็แหวกแปลกตาไปจากเดิมพอสมควร ซึ่งนับเป็นความกล้าอีกขั้นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงแนวการออกแบบสำหรับเบนซ์ยุคใหม่

 

Mini

 

Mini CountryMan รหัสพัฒนา R60 นับเป็น Mini ตัวถังที่ 4 ต่อจากตัวถังเปิดมาตรฐาน,ตัวถังเปิดประทุนและตัวถัง Clubman และก็ไม่ทำให้แฟน ๆ ผิดหวัง Mini จึงเลือกพัฒนา CountryMan ให้เป็นครอสโอเวอร์ที่ผสมผสานระหว่างความคลาสสิคดั้งเดิมกับความทันสมัยของ รถตัวลุยในปัจจุบัน (ดูจากรูปภาพบางมุมถ้าไม่บอกผมนึกว่าเป็น Mini เวอร์ชัน 5 ประตูเสียอีก)

 

Mitsubishi

 

อวดโฉมรถเพิ่งเปิดตัวใหม่ในตลาดโลกกับ RVR ที่ขายในยุโรปใช้ชื่อว่า ASX อันเป็นชื่อที่เคยใช้กับรถต้นแบบของ Outlander ในสมัยก่อน แต่คราวนี้ต้องมาใช้กับรถแนวครอสโอเวอร์ 5 ที่นั่งแล้วครับ

 

Nissan

 

ปีนี้กลายเป็นค่ายรถดาวเด่นประจำงานนี้กันเลยทีเดียว แถมยังมีรถใหม่ที่เกี่ยวข้องกับบ้านเราถึง 3 รุ่นได้แก่ Nissan Leaf ที่เตรียมนำเข้ามาจำหน่ายในปี 2012 ,Nissan Micra/March โฉมใหม่ที่จะเตรียมเปิดตัวในบ้านเราเร็ววันนี้ ด้วยดีไซน์ที่ลดความ aggressive ลงเพื่อขายประเทศกำลังพัฒนาและสารขัณฑ์ได้ และ Nissan Juke ครอสโอเวอร์ B-segment ทรงแหวกแนวที่จะมาอุดช่องว่างตลาด SUV ต่ำกว่าล้านบาทในไทยช่วงปลายปี 2011 – ต้นปี 2012  น่าจะโดนใจเด็กแนว

Opel

ถ้าผมจะบอกนี่คือ Chevrolet Volt หรือ Opel Ampera ในมาดรถทรงฟาสต์แบค 5 ประตูสุดเฉี่ยวนั้นคงจะสรุปเพียงแค่ 2 บรรทัดนั้นคงง่ายเกินไปหน่อย ถ้าผมจะบอกว่ารถต้นแบบคันนี้คือแผนการของ GM ที่จะขยับขยายรถไฟฟ้าแบบยืดระยะทาง ที่เรียกกันสวยหรูว่า extended-range electric vehicle (E-REV) ไปสู่รถเซกเมนต์ขนาดใหญ่หรือ D-Segment ขณะที่ Opel Ampera ก็จับตลาดรถไฟฟ้าระดับคอมแพคท์ไป

Peugeot

 

ความโดดเด่นของการดีไซน์ SR1 อยู่ที่การเน้นรายละเอียดความลึกตื้นเสมือนงานศิลปะ ได้แก่ การเน้นร่องฝากระโปรงหน้า,เว้าแผงประตูให้ดูเหมือนปีก และเน้นความซับซ้อนของด้านหน้าและด้านหลัง ส่วน 5 by Peugeot ก็คือ SR1 เวอร์ชันซีดานนั่นเอง

การเผยโฉม SR1 และ 5 by Peugeot ผมเชื่อว่ามันต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับอนุกรม 508 รถซีดานขนาดกลางที่จะมาแทนที่ 407 และ 607 ซึ่งมีขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับ D-segment ของฝั่งญี่ปุ่นแน่นอน เพราะ Peugeot มักเลือกใช้แนวทางออกแบบใหม่ให้กับรถขนาดกลางสร้างชื่อมากกว่าที่จะเริ่มต้น กับรถขนาดเล็ก

 

Porsche

 

แม้จะไม่ใช่ค่ายรถตลาด แต่ก็โหมโรงในงานนี้ชนิดหลายค่ายต้องค้อขวับ เปิดซิงคันแรกด้วยรถที่หมายดับซ่า Nissan GTR ด้วย 911 Turbo S ด้วยเครื่องยนต์บล็อกยกระดับความแรง
เพิ่มเป็น 530 แรงม้า (จากเดิมที่มีอยู่ 500 แรงม้า) และเพิ่มแรงบิดเป็น 700 นิวตัน-เมตร แต่ยังทำอัตรา
สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเท่ารถรุ่น 911 Turbo Mk.I คือ 11.4 ลิตร/100 กิโลเมตร

 

คันต่อมา 918 Spyder Hybrid Concept สมรรถนะสุดแรงเกิดด้วยเครื่องยนต์สันดาป V8 500 แรงม้าผนวกกับมอเตอร์ไฟฟ้า 218 แรงม้า อัตราเร่งจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงได้แค่เพียง 3 วินาทีเท่านั้น อึ้งไปไหมล่ะ

 

นอกจากนี้ยังมี 911 GTR3 Hybrid Concept ที่ตกแต่งมาดรถแข่งอีกด้วย และไฮไลต์สำคัญที่พลาดไม่ได้คือ Cayenne ตัวใหม่ที่ลงตัวขึ้นและเทคโนโลยีล้ำหน้ามากขึ้น

 

Proton

 

การส่งรถต้นแบบของบูธ Proton ก็ถือว่าทำ Surprise กับเรามากพอควรเพราะมันเป็นพัฒนาการที่ข้ามขีดจำกัดและภาพลักษณ์เดิม ๆ นั่นก็คือรถ Proton Emas Concept ซึ่งมีจัดแสดงถึง 3 ตัวถังได้แก่ 5 ประตู.3 ประตู 4 ที่นั่ง และ 3 ประตูหดท้ายสั้นเหลือ 3 เมตรทั้งหมดถูกติดตั้งเทคโนโลยี Hybrid ด้วยแบตเตอรี่แบบบางใต้พื้นรถและติดตั้งเครื่องสันดาปจิ๋ว 1.2 ลิตรจาก Lotusไว้ด้านหน้า ผลจากการลดเนื้อที่งานวิศวกรรมและการตกแต่งภายในทำให้มีเนื้อที่ห้องโดยสารเทียบเท่ากับรถระดับ D-segment ภายใต้ตัวถังขนาด A-segment น่าสนใจดีนะครับ

Renault

ค่ายนี้เน้นรถใหม่ที่เป็นรถเปิดประทุนทั้งนั้นเริ่มจาก Wind รับสายลมในราคาที่รับได้ซึ่งมันก็คือ Twingo เวอร์ชันเปิดหลังคาดี ๆ นั่นเองและอีกคันหนึ่งคือ Megane CC ที่ดูค่อนข้างอนุรักษ์นิยมเล็กน้อย

Seat

ในเมื่อ Volkswagen มี Scirocco แล้วทำไม Seat จะมี IBe ไม่ได้ล่ะก็ในเมื่อเป็นบริษัทในเครือเหมือนกันก็อยากจะทำรถ 3 ประตูแนวสปอร์ตเหมือนกันก็ไม่เสียหายเลย

Subaru

 

นึกไม่ีถึงว่า Subaru จะให้ Impreza รุ่นปัจจุบันมาแปลงร่างเป็นรถยกสูงในชื่อใหม่ว่า Impreza XV สร้างความแตกต่างด้วยกาบพลาสติกรอบคัน และจุดยึดแร๊คหลังคา แต่จะดึงดูดพอหรือไม่ คิดว่าคงจะไม่เหมือนลูกฟลุคที่เกิดขึ้นกับ Legacy Outback แน่นอน

 

Tata

 

Tata Nano มิใช่ผลผลิตสำหรับรถราคาต่ำ ๆ อีกต่อไปแต่มันสามารถขยายผลไปยังตลาดอื่น ๆ โดยเฉพาะตลาดรถไฟฟ้าราคาซื้อหากันได้ ไม่รอช้าจึงจับยัดมอเตอร์ไฟฟ้าและแปลงร่างเสียใหม่ในชื่อว่า Nano EV แม้ยังไม่มีสเปคแต่ Tata ก็สัญญาไว้ว่าเมื่อคันจริงพร้อมออกสู่ตลาดรถคันนี้จะมีระยะทางวิ่งสูงสุด 160 กิโลเมตร ทำความเร็วจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงต่ำกว่า 10 วินาที

 

Tesla

 

ต้องขอบอกไว้เลยว่ารถคันนี้มิใช่ผลผลิตจาก Tesla แต่เพียงผู้เดียวแต่สถาบันการออกแบบตูรินหรือ IED ขอความร่วมมือกับ Tesla ในการพัฒนารถคันนี้เพื่อเป็นแนวทางการศึกษาต่อไปโดยใช้ชื่อว่า IED Tesla EYE Concept

 

Toyota

บูธ Toyota ในงาน Geneva MotorShow 2010 ออกจะเงียบเหงาสักเล็กน้อยเพราะรถหลาย ๆ รุ่นมักจะไปเปิดตัวที่อื่นมากกว่าในยุโรปตามแผนที่พวกเขาเตรียมการเอาไว้ แต่สำหรับชาวยุโรปก็ใช่ว่าจะไม่มีของใหม่มาให้ยลโฉมกันเลย

 
 

เริ่ม จากเตรียมเปิดตัว Auris HSD ที่ย่อมาจาก Hybrid Synergy Drive ที่ถือว่าเป็นรถที่แมสกว่า Prius สักหน่อยเพื่อเป็นรถบุกเบิกเพื่อเป้าหมายให้รถ Hybrid ครองโลกในปี 2010 หน้า ตาของ Auris HSD ก็เพียงนำ Auris Minorchange มาปรับปรุงหน้าตาใหม่ในสไตล์รถ Hybrid ที่เราเคยเห็นมาแล้วใน Camry Hybrid ประเทศไทย

Auris HSD ถูกสร้างจากโรงงาน Burnaston สหราชอาณาจักร และถือว่าเป็นหัวหอกในการบุกตลาด C-Segment ของ Toyota ในยุโรป

 
 

ตัว ต่อไป Toyota RAV4 minorchange รุ่นปี 2010 ที่อาศัยหยิบยืมหน้าตาจาก Toyota Vanguard ในประเทศญี่ปุ่นและปรับโฉมอีกนิดหน่อย อีกทั้งยังปรับปรุงภายในห้องโดยสารเล็กน้อย

 

Volkswagen

ถือเป็นค่ายรถยุโรปที่โดดเด่นลำดับต้น ๆ ของงานไม่แพ้ Renault เลยทีเดียวคราวนี้อวดรถใหม่สารพัดไล่ตั้งแต่ Sharan ใหม่ มินิแวนขนาดกลางที่ดูเหมือนเอา Touran มาขยายร่างและดูแล้วไม่มีเค้าโครงของรุ่นเก่าเลยแม้แต่น้อย อีกรุ่นหนึ่งคือ CrossPolo จับเอา Polo มายกสูงขึ้นอีก 15 มม.พร้อมใส่ยางขอบ 17 นิ้ว

 

นอกจากนี้ ยังมี CrossGolf ซึ่ง เป็นเพียงการจับเอา Golfplus มายกสูงอีกเล็กน้อย (ดูแล้วนึกถึง Renault Megance Scenic สมัยก่อนที่เคยจับยกสูง เสียจนโย่งเลย เพียงแต่ของ Crossgolf ไม่สูงขนาดนั้น)

รวมไปถึง Touareg โฉมใหม่ล่าสุด ที่ VW เตรียมพร้อมถึงขั้น นำขุมพลัง Hybrid มาวางลงไปจนกลายเป็น Touareg Hybrid และเตรียมพร้อมจะออกสู่ตลาดในอีกไม่นานเกินรอ

 

 

คันสุดท้าย ของบูธ VW ที่ถือเป็นอีกหนึ่งรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด นั่นคือ Polo GTI ตกแต่งเจริญรอบตามรุ่นพี่ อย่าง Golf GTi MK-VI จับวางเครื่องเบนซิน 1.4 ลิตร TSI เทอร์โบ ซูเปอร์ชาร์จ 178 แรงม้า  พ่วงเกียร์อัตโนมัติ DSG Dual Clutch 7 จังหวะ

Volvo

 

Volvo S60 นอกจากจะเป็นจุดเปลี่ยนของการออกแบบรถซีดานแล้วยังถือเป็นรุ่นที่ชี้ชตะตาในอนาคตว่า Volvo จะกลับมาแข็งพอที่จะต่อสู้กับตลาดรถหรูตลาดโลกได้ยาวแค่ไหน แต่ต้องยอมรับว่าน่าดึงดูดทีเดียว

บรรทัดนี้ผมคงต้องปิดท้ายบทสรุปงาน Geneva Motorshow 2010 แต่เพียงเท่านี้ โอกาสหน้าค่อยเจอกันใหม่นะครับ