ถ้าใครคิดว่าวิกฤตเศรษฐกิจจะทำให้งานมอเตอร์โชว์ทั่วโลกกร่อยไม่เป็นท่าจนค่ายรถยนต์ไม่กล้ามาเปิดบูธ โดยเฉพาะค่ายรถยนต์ข้ามทวีปจากแดนไกลส่วนใหญ่ที่ไม่คิดจะมาเปิดบูธในปีนี้เพราะต้องการประหยัดงบจากความไม่แน่นอนเศรษฐกิจอีกทั้งยังเก็บของดีจำพวกรถต้นแบบหรือรถ Production บางรุ่นไว้เสนอในงาน Tokyo MotorShow ในเดือนตุลาคม 2009 ในบ้านของตนเองเสียดีกว่า
เห็นทีจะคิดผิด กลับกันปีนี้ดูคึกคักสวนกระแสเศรษฐกิจเสียด้วยซ้ำ ด้วยแรงหนุนจากค่ายรถในยุโรปทุกค่ายที่พร้อมใจกันเปิดบูธและส่งรถยนต์และรถต้นแบบที่ประหยัดพลังงาน รักษาสิ่งแวดล้อมอันเป็นหัวใจหลักของงานด้วยแนวคิด A Moving Experience ให้ทุกคนร่วมมือร่วมใจเพื่อโลกของเรา น่าดีใจมากว่าแทบทุกค่ายไม่เว้นแม้แต่ค่ายรถสปอร์ตหรือรถหรูราคาที่ยากจะเอื้อมถึงบางค่ายก็ร่วมส่งเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมมาอวดโฉมกันด้วย
ความยิ่งใหญ่งานปีนี้มีผู้ร่วมจัดแสดง 753 ราย จาก 30 ประเทศทั่วโลกมีผู้ผลิตรถยนต์เข้าร่วมแสดง 62 บริษัทร่วมเปิดตัวรถยนต์ครั้งแรกในโลก 62 คัน แต่ Headlightmag.com ขอย่อสเกลงานลงสู่บทความนี้เพื่อให้ท่านผู้อ่านติดตามความเคลื่อนไหวโดยไม่ต้องบินลัดฟ้าไปเยอรมนีครับ
Aston Martin
ไม่นึกว่าจะมาร่วมเปิดตัวกับเขาด้วยหลังจากให้ Rapide ผลุบ ๆ โผล่ ๆ เป็นกระแสใน Internet นานเสียจนโดน Porshce Panamera ชิงเปิดตัวเสียก่อน ผมเข้าใจว่าคงจะไม่พร้อมเอาเสียเลยยิ่งสภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยคงไม่อยากอวดโฉมในงาน Geneva เลยเลื่อนมาเปิดในงานนี้เสียเลย
Rapide เป็นซีดานคูเป้แนวใหม่ครั้งแรกของค่ายนี้ ถือว่าเกาะกระแสไม่ทิ้งช่วงเช่นเดียวกับคู่แข่ง รูปลักษณ์กันแล้วรุ่นนี้แสดงออกความเป็น Aston Martin ได้ดีทีเดียวไม่ขัดเขินเมื่อเห็นมันครั้งแรกทั้งยังมีเอกลักษณ์ซุ้มโป่งล้อกางออกยาวจรดกระโปรงท้ายเรียกว่า Swan Wing
เห็นสปอร์ตขนาดนี้แต่มีห้องเก็บสัมภาระใหญ่ถึง 301 ลิตรหากไม่พอสามารถพับเบาะหลังขยายความจุถึง 750 ลิตร ดีไซน์ภายในออกแนวเรียบง่ายเอาใจพ่อบ้านที่มีหัวใจสปอร์ตไม่น้อย
เครื่องยนต์วางหน้าบล๊อกอัลลอย V16 5,935 ซีซี V12 กำลังอัด 10.9 : 1 ให้กำลัง 470 แรงม้า (bhp) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 600 นิวตันเมตรที่ 5,000 รอบต่อนาทีจับคู่กับเกียร์ Touctronic 2 6 จังหวะควบคุมจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ด้วยไฟฟ้า ส่งกำลังขับเคลื่อนล้อหลัง ทำอัตราเร่งตั้งแต่ 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 5.3 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 303 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เปิดตัวในงานแฟรงก์เฟิร์ตแต่ต้องรอทำตลาดภายในต้นปีหน้าผ่านตัวแทนจำหน่าย Aston Martin 125 รายทั่วโลก
Audi
ในที่สุดก็เจอคู่แข่ง Tesla เจ้าพ่อรถสปอร์ตพลังไฟฟ้าจนได้เมื่อ Audi ส่ง R8 E-tron เข้าร่วมวงด้วยเช่นกัน แต่ Tesla ยังหายใจโล่งคอเล็กน้อยเพราะรถคันนี้ยังเป็นรถต้นแบบสปอร์ตไฟฟ้าอยู่ยังไม่มีแนวโน้มจะทำตลาดในระยะอันใกล้
รูปร่างหน้าตาไม่แตกต่างจาก R8 เท่าใดนักจะต่างเพียงแค่รายละเอียดปลีกย่อย อาทิ เปลี่ยนชุดไฟหน้า และไฟท้าย LED ล้ำสมัย เปลี่ยนกระจังหน้าแบบเรืองแสงได้ เป็นต้น
ขุมพลังขับเคลื่อนมาจากมอเตอร์ไฟฟ้ามากถึง 4 ตัว แยกมอเตอร์ 2 ตัวติดตั้งที่เพลาล้อหน้าและล้อหลังอาศัยจุดเด่นของระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Quatrro ให้เป็นประโยชน์นั่นเอง ระบบทั้งหมดให้พละกำลังที่ 313 แรงม้า (hp) แรงบิด 4,500 รอบ โปรดอย่าถามเรื่องรอบที่เท่าไรเพราะคุณลักษณ์สำคัญคือการเรียกพละกำลังเต็ม 100% ทันทีที่คุณเหยียบคันเร่ง ยิ่งจากจุดหยุดนิ่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำตัวเลขน่าอัศจรรย์เพียง 4.8 วินาทีเท่านั้น ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เก็บประจุพลังงานผ่านแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออนกินกำลังไฟ 42.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง ระยะทางวิ่งสูงสุด 248 กิโลวัตต์ ส่วนจะเผยโฉมให้ซื้อหาเมื่อไรนั้นยังไม่มีกำหนดครับ
อีกรายการที่เด็ดไม่แพ้คือ R8 Spyder รถแรงเปิดประทุนตามที่ลูกค้ารอคอยแต่อย่าเพิ่งคิดว่าเป็นประทุนแบบเหล็กล้วนนะครับงานนี้ Audi เลือกหลังคาแบบ Softtop รวมผ้าและโครงแล้วน้ำหนักแค่ 30 กิโลกรัมใช้เวลาปิดเปิดเพียงแค่ 19 วินาทีเท่านั้น เหตุผลประการสำคัญคือต้องการรักษาน้ำหนักตัวรถและจุดศูนย์ถ่วงของรถหากใช้หลังคาเหล็กคาดว่าคงเป็นภาระให้กับรถมากกว่า
วางขุมพลัง V10 5.2 ลิตร FSI ให้กำลัง 525 แรงม้าที่ 8,000 รอบต่อนาที แรงบิด 530 นิวตันเมตรที่ 6,500 รอบต่อนาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะหรือเลือกเกียร์ R Tronic เลือกโหมดอัตโนมัติหรือแบบเกียร์ธรรมดาได้เลยพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Quattro ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 4.1 วินาที
R8 เตรียมวางจำหน่ายภายในต้นปี 2010 ราคา 156,400 ยูโร
Audi A5 Sportback รถรวม 3 คุณค่าในโลกในร่างเดียวได้แก่ ความสวยงามและหรูหราจากรถคูเป้,ความสะดวกสบายแบบรถซีดานและความหลากหลายการ ใช้งานเหมือนรถแวกอน Sportback นับเป็นตัวถังแบบที่ 3 ตระกูล A5 ต่อจากตัวถังคูเป้และเปิดประทุนที่ให้คำยามใหม่ว่า 5-door Coupe
ยัง คงความสปอร์ตเต็มที่สมชื่อ A5 ด้วยขนาดตัวถังที่เตี้ยกว่า A4 ถึง 36 มม.,โอเวอร์แฮงค์หน้าและหลังสั้น,ขยายฐานล้อทั้งยาวชิดมุมและกว้าง ,ประตูแบบไร้กรอบกระจก เป็นต้น
ภายในเพียงพอกับผู้โดยสาร 4 ที่นั่งพร้อมหัองสัมภาระใหญ่โตใกล้เคียง A4 Avant 480 ลิตรหากพับเบาะหลังจะเพิ่มขึ้นถึง 980 ลิตร
เครื่องยนต์ทุกรุ่นใช้ระบบฉีดเชื้อเพลิงตรงและผ่านค่าไอเสีย Euro5 มีให้เลือก 5 รุ่นได้แก่
เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 TFSI มีให้เลือกความแรง 180 แรงม้าและ 211 แรงม้าพร้อมฟังก์ชัน Start-Stop ,3.5 ลิตร V6 265 แรงม้า
เครื่อง ยนต์ดีเซล 2.0 TDI 170 แรงม้า พร้อมฟังก์ชัน Start-Stop ทำอัตราสิ้นเปลือง 19.29 กิโลเมตร/ลิตร , 2.7 TDI 190 แรงม้า และ 3.0 TDI พร้อมเกียร์ S-tronic 7 สปีด 240 แรงม้า
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา Quattro พร้อม Sport Diffential เน้นกระจายแรงขับเคลื่อนที่ล้อหลังได้
กำหนดวางจำหน่ายกันยายนนี้ราคาเริ่มต้นที่ 33,650 ยูโร ปีหน้าจะเริ่มจำหน่ายเวอร์ชันถูกสุดเป็นทางเลือก
Bentley
Bentley Mulsanne ชื่อแปลกนี้คือรถเรือธงที่ว่ากันว่าจะเป็น Grand Bentley หากใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ยี่ห้อนี้คงทราบกันดีกว่าชื่อ Mulsanne เป็นรถรุ่นหรูสุดมาตั้งแต่ปี 1980-1992
Mulsanne ยุคทศวรรษใหม่ได้แรงบันดาลใจจากรถสมัยที่คุณ วอลเตอร์ โอเว่น เบนท์ลีย์ ดูแลอยู่ในช่วงปี 1930 อีกทั้งเป็นการให้เกียรติแด่ต้นกำเนิดแบรนด์ Bentley อีกด้วยการออกแบบที่สืบทอดเจตนารมย์จากยุค 30 ทั้งไฟกลมคู่และกระจังหน้า ถ่ายทอดจิตวิญญาณของแบรนด์ร่วม 80 กว่าปีไว้ในรถคันนี้ด้วยทีมงานพัฒนาที่สำนักงานใหญ่เมืองครูว์ สหราชอาณาจักร
Mulsanne คันนี้คือการสร้างยนตกรรมที่หรูหราแห่งอังกฤษที่สุดยอด นำเสนอประสบการณ์ขับขี่เฉพาะตัวที่ดีที่สุดในโลก ความท้าทายอีกด้านคือความหรูหราที่จะเป็นมาตรฐานใหม่ของอัครยานยนต์เคลื่อน ที่ทั้งความสะดวกสบาย,เปี่ยมไปด้วยสมรรถนะ,และความประณีตในงานฝีมือ
วางขุมพลัง 6.75 ลิตร V8 515 แรงม้า (ps) แรงบิดมหาศาลถึง 1,020 นิวตันเมตรที่ 1,800 รอบต่อนาทีจับคู่เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ผลจากความพยายามของวิศวกรทำให้ลดค่าไอเสียลงและประหยัดขึ้น 20% เมื่อเทียบกับ Bentley รุ่นอื่น ๆ
แม้ Bentley ยังไม่บอกกำหนดการณ์วางจำหน่ายช่วงไหนแต่เชื่อขนมกินได้เลยว่าต้องปีหน้าแน่นอน
นอกจากนี้ยังส่งรถเวอร์ชันพิเศษ Continental Series 51 ตกแต่งสีภายในห้องโดยสารสลับสีครีมและล้อแมกซ์ลายพิเศษเพื่อรำลึก คุณ จอห์น แบลทช์เลย์ ผู้ปั้นงานดีไซน์ Continental ต้นยุค 50
BMW
ปีนี้ส่งรถใหม่เพียบแต่รถไฮไลต์เด็ดหนีไม่พ้น BMW Vision EfficientDynamics ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาภายใต้รูปแบบของ BMW M (หรือแนวทางเดียวกับ M3 M5)
คือเป็นรถยนต์สมรรถนะสูง รูปลักษณ์ดุดัน เร้าใจ และสปอร์ตโฉบเฉี่ยว แถมยังผนวกรวมถึงความล้ำหน้าด้าน
เทคโนโลยี EfficientDynamics ที่มุ้งเน้นด้านความประหยัดน้ำมันและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
งานออกแบบภายนอก และภายใน ของ BMW Vision EfficientDynamics มุ่งเน้นที่จะแสดงออกถึง
ความสปอร์ต ดุดันตามแบบฉบับ BMW M แต่แฝงด้วยเทคโนโลยีแอร์โรไดนามิกส์ ระดับรถแข่งฟอร์มูล่า 1
ด้วยค่าสัมประสิทธ์ แรงต้านอากาศ Cd ต่ำมาก เพียง 0.22 ซึ่งการออกแบบนี้นอกจากเน้นให้มีแรงกด
ที่ยอดเยี่ยมที่ความเร็วสูงเพื่อการเกาะถนน ที่ยอดเยี่ยมแล้ว ยังมีความลู่ลมที่ยังให้ประหยัดน้ำมัน
ได้อย่างเหนือชั้น อีกทั้งส้นสายตัวถังยังเล่นกับ แสงเงาสะท้อนแฝงบุคลิกของรถสปอร์ตแบบ
GT Gran Turismo ผสมผสานกับความลื่นไหลอย่างต่อเนื่องของลายเส้นบนพื้นผิวโค้งและเว้า
ให้ความรู้สึกเข้าถึงอารมณ์สปอร์ตร้อนแรงและดุดันอย่างเต็มขั้น
BMW Vision EfficientDynamics เป็นรถยนต์สปอร์ตแบบ 2+2 ที่นั่ง ใช้เครื่องยนต์แบบ Plug-in Full Hybrid
ผสมผสานสุดยอดเทคโนโลยี BMW Advanced Diesel ด้วยเครื่องยนต์ ดีเซล เทอร์โบ 3 สูบ ขนาดแค่ 1.5 ลิตร
เท่านั้น มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด BMW Advanced Diesel ซึ่งอัดอากาศด้วยระบบเทอร์โบแปรผันครีบ
และฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยเทคโนโลยีหัวฉีด Piezo แบบคอมมอนเรลเจนเนอเรชั่นล่าสุด วางเครื่อง ‘กลางลำ’
กล่าวคือ เครื่องยนต์อยู่ในตำแหน่งหน้าเพลาขับด้านหลัง และด้วยขนาดกะทัดรัดของเครื่องยนต์ทำให้
สามารถออกแบบ ที่นั่งด้านหลัง ได้อย่างสบายๆ
เครื่องยนต์ดังกล่าวจะเชื่อมการทำงานควบคู่ไปกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ขนาด 38 กิโลวัตต์ และผสมผสาน
การทำงานกับเครื่องยนต์แบบ Full Hybrid กล่าวคือ BMW Vision EfficientDynamics สามารถวิ่งได้ด้วย
พลังงานไฟฟ้าจากมอเตอร์เพียงอย่างเดียว
เมื่อทำงานเข้าด้วยกันแล้ว รถคันนี้ สามารถผลิตกำลังสูงสุดได้ถึง 356 แรงม้า (BHP) และแรงบิดมหาศาลถึง
800 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังผ่านระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในเวลาเพียง
4.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (จำกัดความเร็วสูงสุดด้วยระบบอิเลคทรอนิค) และ
มีอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ยเพียง 26.6 กิโลเมตร/ลิตร รวมทั้งยังมีอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์
แค่ 99 กรัม/กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน EU) เท่านั้น!
BMW Vision EfficientDynamics ใช้แบตเตอรี่แบบลิเธียมโพลีเมอร์ (ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นก้าวหน้าของ
เทคโนโลยีแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนในปัจจุบัน) จำนวน 98 เซลล์ต่อแบบอนุกรมซึ่งสามารถให้กำลังไฟฟ้า
10.8 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมงที่ 364 โวลต์ แบตเตอรี่แบบลิเธียมโพลีเมอร์นี้นอกจากจะมีความจุไฟฟ้าสูงและสามารถ
ชาร์จได้อย่างรวดเร็วแล้ว ยังมีจุดเด่นอีกประการคือ น้ำหนักเบา ชุดแบตเตอรี่แบบลิเธียมโพลีเมอร์ทั้ง 98 เซลล์นี้
มีน้ำหนักรวม 85 กิโลกรัม (ใช้คน 3-4 คนช่วยกันยก) ซึ่งถูกจัดวางตรงกลางลำตัวตามแนวยาวของตัวรถเพื่อการ
ถ่ายน้ำหนักที่ดี เพื่อความปราดเปรียวสูงสุดในการขับขี่
รถรุ่นใหม่ที่จะจำหน่ายสู่ท้องตลาดหนีไม่พ้น 5-Series GT ใหม่ที่มีความหรูหราสง่างามแบบรถซีดาน,ทันสมัย ใช้งานอเนกประสงค์ไม่แพ้รถ SUV หรือแวกอนที่มีเนื้อที่วางสัมภาระมาก ทำให้การออกแบบด้านท้ายต้องลาดเอียงเหมือนรถคูเป้ (ผมมองว่ามันเหมือนรถแนว Corona Liftback สมัยก่อนเยอะเหมือนกัน) ขณะที่สัดส่วนรถยนต์มีความเป็นเก๋ง 100% ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้แข็งแกร่งบึกบึนแต่อย่างใด ความสูงพื้นรถจะถูกยกสูงขึ้นเล็กน้อยให้เข้าออกสะดวกมิได้เน้นเรื่องการลุย แต่อย่างใด
จุดขายสำคัญคือขนาดห้องโดยสารตอนหลังกว้างขวางระดับ 7-Series เนื้อที่เหนือศีรษะระดับเดียวกับ X5 คือทั้งโล่ง ทั้งปลอดโปร่ง และนั่งสบายไม่แพ้รถลีมูซีน ทั้ง ๆ ที่ดูแค่ภายนอกหลอกสายตาเราว่าไม่น่าจะนั่งสบาย ถือเป็นความน่าชมเชยของทีมงาน BMW ที่ทำการบ้านมาดีมาก
ขุมพลังขับเคลื่อนมีให้เลือก 3 เครื่องยนต์ได้แก่ รุ่น 535i GT เบนซิน 6 สูบแถวเรียง 3.0 ลิตร พร้อม Twinpower Turbo,หัวฉีดแรงดันสูง และวาล์วแปรผัน VALVETRONIC ให้กำลัง 306 แรงม้าที่ 5,800 รอบต่อนาที แรงบิด 400 นิวตันเมตรที่ 1,200 – 5,000 รอบต่อนาที อัตราเร่งจาก 0-100 ได้ 6.3 วินาที อัตราสิ้นเปลือง 8.9 ลิตร/100 กิโลเมตร
รุ่น 550i GT เบนซินวี 6 4.4 ลิตร พร้อมTwinpower Turbo และหัวฉีดแรงดันสูง ให้กำลัง 407 แรงม้าที่ 5,500 – 6,400 รอบต่อนาที แรงบิด 600 นิวตันเมตรที่ 1,750 – 4,500 รอบต่อนาที อัตราเร่งจาก 0-100 ได้ 5.5 วินาที อัตราสิ้นเปลือง 11.2 ลิตร/100 กิโลเมตร
รุ่น 530d GT ดีเซล 6 สูบแถวเรียง Efficient Dynamic 3.0 ลิตร หัวฉีดคอมมอนเรลโดยเพียสโซ่ ให้กำลัง 245 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิด 540 นิวตันเมตรที่ 1,750 – 3,000 รอบต่อนาที อัตราเร่งจาก 0-100 ได้ 6.9 วินาที อัตราสิ้นเปลือง 6.5 ลิตร/100 กิโลเมตร
ทุกรุ่นจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดเทคโนโลยีเดียวกับรุ่น 760i ท๊อปออฟเดอะไลน์เครื่องยนต์ 12 สูบ ความโดดเด่นเกียร์ลูกนี้คือให้สมรรถนะที่ดีพร้อมกับความประหยัด แต่ขนาดชุดกลไกเกียร์เท่ากับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดทำให้เบาและใช้เนื้อที่น้อย
ชาวยุโรปมีโอกาสสัมผัส 5-Series GT ได้อีกไม่นานนัก
รถไฮบริดก็มีสองรุ่นได้แก่ X6 ActiveHybrid หากดูจากภายนอกแล้ว ถ้าไม่สังเกตดีๆ จะไม่รู้ว่า มันต่างจาก X6 รุ่นปกติ
อย่างไร แต่เมื่อเดินเข้าไปสำรวจใกล้ๆ จะพบว่า มีสัญลักษณ์ ActiveHybrid ให้เห็นอยู่ตามส่วนต่าง
ของบั้นท้าย และด้านข้างตัวรถ รวมทั้งล้ออัลลอย ลายพิเศษ ที่ออกแบบให้เน้นในด้านการจัดการ
อากาศพลศาสตร์ ได้ดีขึ้น
มิติตัวถังยังคงความยาว 4,877 มิลลิเมตร กว้าง 1,983 มิลลิเมตร (กว้างรวม กระจกมองข้าง 2,195 มิลลิเมตร
แต่ถ้าวัดความกว้าง เฉพาะ แผงประตูฝั่งซ้าย จรดขวา จะกว้างแค่ 1,5 21 มิลลิเมตร เท่านั้น พอกับห้องโดยสาร
ของรถยนต์ซับ-คอมแพกต์ หลายๆรุ่น) สูง 1,706 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,933 มิลลิเมตร
ระบบขับเคลื่อน ของ X6 ActiveHybrid นั้น ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V8 DOHC 32 วาล์ว
4,395 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 88.3 x 89 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.0 : 1 พร้อมด้วยเทคโนโลยี
ระบบอัดอากาศแบบ TwinPower Turbo ผสมผสานระหว่างระบบเทอร์โบคู่แปรผันและเทคโนโลยี
Twin-Scroll เพื่อให้สามารถสร้างแรงอัดอากาศได้อย่างคงที่และต่อเนื่องตั้งแต่รอบต่ำจนถึงรอบสูง
นอกจากนั้นยังใช้ลักษณะการจัดวางเทอร์โบระหว่างร่อง V ของชุดลูกสูบ ซึ่งจะทำให้ระบบมีขนาดเล็ก
และน้ำหนักเบา อีกทั้งยังทำให้ทางเดินของอากาศสั้น ซึ่งเป็นการลดสูญเสียแรงอัดอากาศในระบบ
ผลลัพธ์ที่ได้คือเครื่องยนต์สามารถผลิตกำลังได้สูงอย่างต่อเนื่องตลอดทุกช่วงรอบการทำงานของเครื่องยนต์
เครื่องยนต์นี้ยังใช้นวัตกรรมระบบฉีดน้ำมันแบบ High Precision Injection แบบใหม่ ด้วยเทคโนโลยี
หัวฉีด Piezo ซึ่งได้ถูกจัดวางอยู่ตรงกลางของหัวกระบอกสูบ ซึ่งเป็นจุดที่สามารถฉีดน้ำมันได้อย่าง
มีประสิทธิภาพสูงสุด ที่สำคัญการเผาไหม้จากเครื่องยนต์นี้ จะสมบูรณ์ขึ้น จนผ่านมาตรฐานไอเสีย
ระดับ EURO Step 5 ของยุโรป และ ULEV II ของสหรัฐอเมริกาได้อย่างไม่ยากเย็น
เมื่อเชื่อมต่อการทำงานกับ มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ด้วยกำลังขับเคลื่อนขนาด 67 กิโลวัตต์ / 91 แรงม้า (HP)
และ 63 กิโลวัตต์ / 86 แรงม้า (HP) ตามลำดับ แล้ว BMW X6 ActiveHybrid จะให้กำลังสูงสุดถึง
485 แรงม้า (HP) ที่ และแรงบิดมหาศาลถึง 780 นิวตัน-เมตร
พละกำลังมหาศาลถูกส่งผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ Two-mode Active ECVT ล็อกอัตราทดได้ 7 จังหวะ
แม้จะใช้คันเกียร์ไฟฟ้า แบบเดียวกับ ซีรีส์ 5 และ ซีรีส์ 7 ที่ทำตลาดในบ้านเราตอนนี้ ก็ตาม แต่กลไก
การทำงานข้างใน คนละเรื่องกัน ระบบส่งกำลังดังกล่าว ซึ่งจะถ่ายทอดแรงบิดจากระบบขับเคลื่อนทั้งหมด
สู่ล้อทั้ง 4 ในลักษณะแปรผันไปตาม สภาพถนนและสภาพการขับขี่ ที่แตกต่างกัน
BMW เคลมว่า X6 ActiveHybrid ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาเพียง 5.6 วินาที
อีกทั้งยังมีอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 10.1 กิโลเมตร/ลิตร และอัตราการคายไอเสีย
คาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพียง 231 กรัมต่อกิโลเมตร ตามมาตรฐานการวัด EU5 (EURO Step 5)
ซีรีส์ 7 ActiveHybrid ซึ่งถ้าให้พูดกันตรงๆก็คือ
นำเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนไฮบริด ใน X6 ActiveHybrid มาวางลงในตัวถังของ ซีรีส์ 7 ใหม่
รหัสรุ่น F01/F02 นั่นเอง เพียงแต่มีการปรับปรุงสมรรถนะให้เหมาะสมกับขนาดและน้ำหนักตัวรถ
7 ActiveHybrid จะมีให้เลือก 2 ขนาดตัวถัง คือ รุ่นฐานล้อมาตรฐาน มีความยาว 5,072 มิลิเมตร
กว้าง 1,902 มิลลิเมตร (รวมกระจกมองข้างแล้วจะกว้าง 2,134 มิลลิเมตร แต่ถ้าวัดจากแผงประตู
ในห้องโดยสารซ้าย-ขวา จะกว้าง 1,540 – 1,541 มิลลิเมตร) สูง 1,484 – 1,485 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อยาว 3,070 มิลลิเมตร
กับรุ่นระยะฐานล้อยาว ที่จะเพิ่มความยาวตัวถังออกไปอีก เป็น 5,212 มิลลิเเมตร
และเพิ่มระยะฐานล้อให้ยาวขึ้น เป็น 3,210 มิลลิเมตร
ความแตกต่างจากรุ่นธรรมดาที่จะเห็นได้ขากภายนอก คือสัญลักษณ์ ActiveHybrid 7 ที่ติดอยู่
บริเวณเสาหลังคาคู่หลัง C-Cpillar ทั้ง 2 ฝั่ง และที่ฝากระโปรงหลัง เท่านั้น!
7 ActiveHybrid วางเครื่องยนต์
บล็อก V8 DOHC 32 วาล์ว 4,395 ซีซี กรอกบะสูบ x ช่วงชัก 88.3 x 89 มิลลิเมตร
อัตราส่วนกำลังอัด 10.0 : 1 เหมือนกับใน X6 ActiveHybrid นั่นเอง
สิ่งที่ไม่เหมือนกัน คือ กำลังสูงสุด 449 แรงม้า (HP) ตั้งแต่ 5,500 – 6,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 650 นิวตันเมตร (66.23 กก.-ม.ที่ รอบตั้งแต่ 2,000 – 4,500 รอบ/นาที
มาในแบบ Flat Torque กันเลยทีเดียว
เมื่อทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า แบบ 3 Phase synchronous น้ำหนัก 23 กิโลกรัม
ติดตั้งระหว่างเครื่องยนต์ และชุดเกียร์ ให้กำลัง 20 แรงม้า (HP) ซึ่งสามารถเพิ่มขึ้น
ได้ถึง 27 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 210 นิวตันเมตร (21.39 กก.-ม.) แล้ว
จะได้พละกำลังรวมกันถึง 465 แรงม้า (HP) และแรงบิดสูงสุด มหาศาลถึง
700 นิวตันเมตร (71.33 กก.-ม.)
ระบบส่งกำลังเป็นแบบอัตโนมัติ 8 จังหวะ และระบบ Auto Start-Stop
เครื่องยนต์ดับเองทันทีที่รถจอดนิ่งติดไฟแดง พอเหยียบคันเร่ง ถ้ากำลังไฟ
ยังเหลือพอ ก็จะดึงรถออกตัวไปก่อน เมื่อเหยีบคันเร่งจนถึงจุดที่ผู้ขับต้องการ
กำลังเร่งแซง เครื่องยนต์จะติดขึ้นทำงานเองโดยอัตโมัติ แถมมีระบบ e Boost เหมือน X6 อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แบ็ตเตอรีที่ใช้ กลับเป็นแบบ ลิเธียม ไอออน (ไม่เหมือนกับ X6) ขนาด
กว้าง 37 เซ็นติเมตร ยาว 22 เซ็นติเมตร สูง 23 เซ็นติเมตร น้ำหนัก 27 กิโลกรัม
ติดตั้งฝังตัวในห้องเก็บของด้านหลังรถ โดยมีพื้นที่ห้องเก็บของ เหลือ 460 ลิตร
ตามมาตรฐาน VDA เยอรมัน
สมรรถนะที่ ทางโรงงานเคลมไว้นั้น อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ต่ำเพียง 4.9 วินาที
ความเร็วสูงสุด ล็อกไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตามมาตรฐานรถเยอรมัน ส่วนอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
ตามมาตรฐาน EU นั้น ในเมืองทำได้ 12.6 ลิตร / 100 กิโลเมตร นอกเมือง 7.6 ลิตร / 100 กิโลเมตร
เฉลี่ยรวม 9.4 ลิตร / 100 กิโลเมตร และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ต่ำระดับ 219 กรัม / 1 กิโลเมตร
ผ่านมาตรฐานไอเสีย EURO Step 5 เรียบร้อยแล้ว
Citroen
ปีนี้สร้างความฮือฮาด้วย REVOLTe Concept ที่เปรียบเสมือน 2CV กลับชาติมาเกิดในยุคนี้กลายเป็นรถแนวพรีเมี่ยมโดยปริยาย
ดีไซน์เหนือกาลเวลาเพราะนำแรงบันดาลใจเส้นสายมาจาก 2CV ในอดีตมาพัฒนาให้เป็นรถสปอร์ตแฮทช์แบค 2 ประตูอันปราดเปรียว รวมทั้งยังคงเอกลักษณ์ดีไซน์เหมือนในอดีตเช่น โครงไฟหน้า บานประตูท้าย โครงไฟท้ายเป็นต้น
มิติตัวถังขนาดเล็กกว่า DS3 และ C3 โฉมใหม่ด้วยความยาว 3.68 เมตร กว้าง 1.73 เมตร สูง 1.35 เมตร ดีไซน์ภายในล้ำอนาคตได้แนวคิดจาก Lounge Bar ที่มีโซฟาหนานุ่มนั่งสบาย
ระบบขับเคลื่อน Citroen เคลมว่าเป็นแบบ Hybrid ที่สามารถเสียบชาร์จประจุหรือที่เรียกว่า Plug-In ได้ ระบบอนุญาตให้ใช้โหมดรถไฟฟ้าเพื่อขับเคลื่อนในเมืองได้
แม้ยังไม่มีกำหนดว่าจะพัฒนารถต้นแบบรุ่นนี้ในทิศทางใด แต่เชื่อว่ามันน่าจะเป็นรถพรีเมี่ยมแมสในนาม DS2 แน่นอน
DS3 คือรถที่ Citreon มองเห็นช่องว่างของรถยนต์นั่งระดับธรรมดาที่ทุกคนซื้อหาได้และรถระดับหรูหรา ราคาแพงด้วยความสงสัยว่าทำไมพวกเราไม่อุดช่องว่างนี้กันล่ะ ไม่ว่าจะเรียกตลาดนี้ว่า Premium-Mass หรือ Masstige แต่ความหมายหรือนัยยะสำคัญก็เป็นที่เข้าใจว่าราคาคงไม่ถูกและไม่แพงมากนัก
จึงส่ง DS3 รถซับคอมแพคท์วัยฮิปสร้างความแตกต่างด้วยการออกแบบที่โดดเด่นด้วยหลังคาสี ตัดกับตัวรถอย่างชัดเจน กระจังหน้าคล้ายฉลาม (แต่ดูคมน้อยกว่า Lancer แน่นอน) พร้อมไฟส่องสว่าง LED แนวตั้งบริเวณกันชนหน้า ถือเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของตระกูล DS ยุคใหม่ได้เลย
ใช่ว่าจะหมดเพียงเท่านี้ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ก็มีไม่น้อยภายในห้องโดยสารก็ดูหรูล้ำไม่น้อยได้แรงบันดาลใจจากปีนส่วนบนของ ยานพาหนะทางอากาศทั้งหลายใช้วัสดุสมราคาทั้งวัสดุหุ้มแผงคอนโซลด้านบนเคลือบ หน้าหลายชั้นพื้นผิวสัมผัสให้ความรู้สึกแบบหนังธรรมชาติ วัสดุบางชิ้นใช้โครเมี่ยมได้แก่บริเวณพวงมาลัยและโลโก้ DS บางส่วนก็ประดับด้วยผ้าติน
มิติตัวถังยาว 3.95 เมตร กว้าง 1.71 เมตร ตัวรถสูง 1.46 เมตร Citroen เคลมว่าเป็น 1 ในรถที่ใหญ่ที่สุดในตลาดซับคอมแพคท์ (อาจจะลืมไปว่ามี Opel Corsa หรือ Fiat Punto หรือเปล่าเพราะสองคันนี้ยาวกว่าแน่นอน)มาในมาด 3 ประตูที่ยกยอว่านำสไตล์จากรถคูเป้มาใช้ (เราก็ไม่ทราบว่าทำไมรถยุโรปแฮทช์แบค 3 ประตูยุคนี้ถึงเรียกตนเองว่าเป็น คูเป้?) ดูสปอร์ตแต่ใช้งานชีวิตประจำวันได้
เครื่องยนต์ใช้ร่วมกับเพื่อนร่วมค่ายอย่าง Peugeot แม้จะไม่ระบุสเปคที่ชัดเจนนักแต่มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ดีเซล HDI DPFS 90 และ 110 แรงม้า จับคู่เกียร์ธรรมดา 5 และ 6 จังหวะติดตั้งตัวกรองอากาศ Particle Filter ทำให้ได้ค่าไอเสีย Co2 แค่ 99 กรัมต่อกิโลเมตร และ 115 กรัมต่อกิโลเมตรตามลำดับ เครื่องยนต์เบนซินที่พัฒนาร่วมกับ BMW มีพละกำลังให้เลือกรุ่น VTI 95 แรงม้า VTI 120 แรงม้าและ THP 150 แรงม้า จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 และ 6 จังหวะ ส่วนเกียร์อัตโนมัติจะมีในุร่น VTI 120 แรงม้า และ THP 150 แรงม้า ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ระหว่าง 136 – 160 กรัมต่อกิโลเมตร
Citroen เตรียมวางจำหน่าย DS3 ภายในปีหน้าหลังจากนั้นจะเตรียมส่ง DS4 และ DS5 ตามลำดับ
Citroen C3 ดีไซน์ภายนอกไม่แตกต่างจากตัวเดิมมากนักเพราะรุ่นเดิมทำยอดขายมากถึง 2 ล้านคันดังนั้นการจะเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ทั้งหมดคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ แค่นำมาปรับให้ทันสมัยขึ้นน่าจะเพียงพอแล้ว
ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่หลังคาพาโนรามิคแบบไร้รอยต่อบานใหญ่กินเนื้อที่ห้อง โดยสารตอนหน้าทำให้ทัศนียภาพไร้ขีดจำกัด ดูโปร่งโล่งสบายตาตามแนวคิด VisioDrive การขับขี่ที่สอดประสานกับความสบายบนสมรรถะการควบคุมที่ดี
ภายในห้องโดยสารเรียกว่าดูดีกว่าของเดิมชนิดหน้ามือเป็นหลังมือให้ความ รู้สึกหรูหรา ล้ำสมัย และดูใช้งานง่ายกว่าเดิมเสียด้วย วัสดุที่ใช้ตกแต่งชิ้นส่วนล้วนดูดีและลงตัวมาก
แน่นอนรถรุ่นใหม่จะต้องมีขนาดห้องโดยสารกว้างตามคำกล่าวอ้างทุกรุ่น C3 ใหม่ไม่พ้นเช่นกันที่ขยายเนื้อที่ห้องโดยสารทุกสัดส่วนโดยเฉพาะเนื้อที่ห้ว เข่าแต่ยังคงขนาดตัวถังไม่ให้ใหญ่เกินไปที่ความยาว 3.94 เมตร และความกว้าง 1.71 เมตร
กำหนดวางจำหน่าย C3 เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป
Ford
Ford ถือโอกาสงานนี้ปล่อยรถคันจริง C-Max โฉมใหม่ รูปโฉมโนมพรรณ แม้กระทั่งสีรถบอกได้คำเดียวว่า
ไม่แตกต่างจาก Iosis Max Concept ที่เพิ่งโชว์โฉมในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ เดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่อย่างใด
เปี่ยมล้นด้วยเส้นสายตัวถัง ที่รังสรรค์ขึ้นจากธีมการออกแบบ Kinetic Design อันเป็นเอกลักษณ์ Ford ประจำ
ภาคพื้นยุโรปและส่งต่อแนวคิดไปยังฐานพัฒนาประจำอเมริกาเหนืออีกด้วย
หากยังไม่จุใจสำหรับครอบครัวใหญ่ก็มี Grand C-max 7 ที่นั่งเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งไว้ต่อกรกับ Opel Zafira,Renault Grand Scenic
ขุมพลังใหม่ล่าสุด 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.6 ลิตร Ecoboost Direct Injection และ Turbo ทำให้มีพละกำลังมากถึง 180 แรงม้า (PS) ทดแทนเครื่องยนต์ขนาด 2.0-2.5 ลิตร 4 สูบไร้ระบบอัดอากาศ
กำหนดวางจำหน่ายครึ่งปีหลัง 2010 รอนานเสียหน่อยเพราะต้องวางขายพร้อมกับ Ford Focus โฉมใหม่
Hyundai
IX-Metro ยังคงใช้เส้นสายเอกลักษณ์ใหม่ของ Hyundai ที่เรียกว่า fluidic sculpture ประติมากรรมของเหลวที่เคลื่อนไหวได้ เด่นด้วยกระจังหน้าลายใหม่ที่เจาะช่องสี่เหลี่ยมในรายละเอียด ไฟหน้า LED พร้อมล้อใหญ่ขอบ 20 นิ้ว แปลกใหม่ด้วยประตูหลังแบบสไลด์ไร้เสากลางสวนทางรถต้นแบบหลายรุ่นที่ทำประตู ตู้กับข้าว
มิติตัวถังมยาว 3.93 เมตร ความกว้าง 1.76 เมตร ความสูง 1.58 เมตร ฐานล้อยาว 2.51 เมตรน้ำหนักเบามหัศจรรย์แค่ 950 กิโลกรัม
ภายในได้แรงบันดาลใจจากภาพยนต์วิทยาศาสตร์หรือแนว Sci-fi ใช้ไฟเรืองแสงสีฟ้าประดับ ดูแล้วเหมาะสำหรับคนที่จินตนการสุดล้ำอย่างมาก
ขุมพลังไฮบริดล้ำสมัยด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 10 แรงม้า จับคู่เครื่องยนต์ 1.0 ลิตร ฉีดเชื้อเพลิงตรง วาล์วแปรผันคู่ Dual-CVVT ให้กำลัง 125 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 156 นิวตันเมตรที่รอบระหว่าง 1,750 – 4,500 รอบต่นาที จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะตัดต่อกำลังด้วยคลัชคู่ พร้อมระบบดับเครื่องยนต์ขณะจอดหรือ Start-Stop ทำให้ลดค่าไอเสีย CO2 ถึง 80 กรัมต่อกิโลเมตร ประหยัดน้ำมันเป็นเยี่ยมถึง 3.3 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร
ว่ากันว่า Hyundai จะปลุกปั้นรถต้นแบบคันนี้ให้เป็นจริงภายใน 3 ปีนี้เพื่อมาชนกับ Nissan Qazana ให้จงได้
Kia
Kia Venga ซับคอมแพคท์มินิแวนระดับเดียวกับ Opel Meriva มีขนาดยาวที่สุดในกลุ่มถึง 4,068 มม. ถือเป็นจุดขายที่โดดเด่น ฐานล้อยาวถึง 2,615 มม.สั้นกว่า Opel Meriva แค่ 15 มม. จุดขายสำคัญที่รับประกันความคุ้มค่าคือขนาดห้องโดยสารที่ใหญ่กว่ารถ C-segment ทั่ว ๆ ไปในยุโรปได้แก่ Volkswagen Golf หรือ Ford Focus ผลของความสูงห้องโดยสารถึง 1,600 มม.
ติดตั้งในรุ่นเครื่องเบนซินและดีเซล 1.4 และ 1.6 ลิตร มีแรงม้าระหว่าง 75 – 115 แรงม้า พร้อมระบบ Idle Stop&Go ทำให้ผ่านมาตรฐานค่าไอเสียระดับยูโร 5
กำหนดวางจำหน่ายปลายปีนี้ทั่วยุโรป ยกเว้นสหราชอาณาจักร
Lamborghini
ศึกโรดสเตอร์กำลังมาแรงโดยเฉพาะในงานแฟรงก์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์จึงรีบส่ง Revention Roadster ทันทีช่วง ดีไซน์ต่าง ๆ ไม่แตกต่างจากรุ่นคูเป้นัก เห็นเปิดประทุนรับสายลมขนาดนี้แต่ยังคงรักษาน้ำหนักไว้เพียง 1,690 กิโลกรัม หรือน้ำหนักเพิ่มจากรุ่นคูเป้เพียง 25 กิโลกรัมเท่านั้น เพราะต้องเสริมความแข็งแกร่งโครงสร้างตัวถังนั่นเอง
วางขุมพลังที่ Lamborghini เคลมว่าเป็นเครื่องไร้ระบบอัดอากาศที่แรงที่สุดในโลกจากบล๊อก V12 48 วาล์ว ความจุกระบอกสูบ 6,496 ซีซี กำลังอัด 11:1 ให้กำลัง 670 แรงม้า (PS) ที่ 8,000 รอบต่อนาที แรงบิด 660 นิวตันเมตรที่ 6,000 รอบต่อนาที อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 3.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 330 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เศรษฐีผู้รักความเร็วแบบลมเย็น ๆ ไม่ต้องรอนานตั้งแต่เดือนตุลาคมปีนี้ก็จะส่งขึ้นโชว์รูมในราคาแค่ 1.1 ล้านยูโรไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม
Lexus
Lexus LF-Ch Concept ถือเป็นการหาญกล้าของ Lexus ว่าตนต้องการท้าชนกับ BMW 1-Series ,Audi A3 และ Mercedes-Benz A-Class ที่ดู ๆ แล้วคู่แข่งสองแบรนด์แรกน่าจะเป็นคู่ต่อกรสมน้ำสมเนื้อมากที่สุดทั้งรูปร่าง และสมรรถนะทั้งหลาย ส่วน A-Class ยังจับกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างออกไปแต่ทั้งหมดมีจุดประสงค์เดียวกันคือต้อง แย่งชิงลูกค้าคนรุ่นใหม่ที่ไม่มี Brand Loyalty ให้ภักดีกับแบรนด์ของตนให้จงได้
Lexus เชื่อมั่นว่ารถตลาดคอมแพคท์พรีเมี่ยมในปีหน้าน่าจะเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดแน่ นอนเมื่อมีรถคันนี้อยู่ในตัวเลือกของลูกค้าที่มีจุดเด่นแตกต่างจากคู่แข่ง คือเป็นที่มีแต่ Hybrid ที่ลงตัวทั้งสมรรถนะ ความประหยัดและการรักษาสิ่งแวดล้อมไปในตัว
LF-Ch มาในมาดสปอร์ตแฮทช์แบค 5 ประตูถูกสร้างสรรค์ภายใต้แนวคิด L-Finess อันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวโดดเด่นของแบรนด์ Lexus ที่ถ่ายทอดธรรมเนียมแบบญี่ปุ่นลงสู่ตัวรถดูลื่นไหลทั้งภายนอกและภายในรถ ไม่เพียงแค่ให้อารมณ์เร้าใจเท่านั้นแต่มันยังผสมผสานระหว่างความล้ำหน้า ระหว่างงานวิศวกรรมและเทคโนโลยีให้ใช้งานง่ายอีกด้วย
มิติตัวถังของ LF-Ch Concept ดูจะใกล้เคียงกับ Toyota Auris หรือ Corolla เวอร์ชัน Hatchback เสียเหลือเกินด้วยความยาว 4,300 มม. ความกว้าง 1,790 มม. ความสูง 1,400 มม. ฐานล้อยาว 2,600 มม. สวมยางทั้ง 4 ล้อขนาด 225/35R20
LF-Ch ติดตั้งเครื่องยนต์ Hybrid ที่ยกชุดจากรถ Toyota หลาย ๆ รุ่นซึ่งมีสมรรถนะที่ดีพอกับรถคอมแพคท์พรีเมี่ยมเครื่องยนต์เบนซินสมรรถนะ สูงแต่ยังประหยัดและลดค่าไอเสีย Co2 และ NOx แบบที่หาไม่ได้ในคู่แข่งหลาย ๆ รุ่น หากต้องการขับขี่ในเมืองใหญ่ที่เข้มงวดกับมลพิษอย่างมากก็สามารถปรับไปเป็น โหมดรถไฟฟ้า 100% ชั่วคราวได้
แม้ Lexus ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะพัฒนาเป็นรถจำหน่ายจริงเมื่อใดแต่คาดว่าปีหน้าคงได้เห็น Production Version
Maserati
GrandCabrio มาสืบสานตำนานรถเปิดประทุนประจำค่าย Maserati ช่วงยุค 1950 ด้วยรุ่น A6G Frua Spysder
โครงสร้างตัวถังทำจากเหล็กกล้ากัลวาไนซ์มาในมาดรถ 2 ประตูเปิดประทุน 4 ที่นั่งเครื่องวางกลางล้ำเยื้องไปข้างหน้าขับเคลื่อนล้อหลัง ค่าสัมประสิทธิแรงเสียดทาย 0.35 หากเปิดประทุนก็จะเป็น 0.39
ขุมพลังเครื่องยนต์ V8 ทำมุม 90 องศา ความจุกระบอกสูบ 4,691 ซีซี ขนาดกระบอกสูบ x ช่วงชัก 94 x 84.5 มม.กำลังอัด 11.25 ต่อ 1 ให้กำลัง 440 แรงม้า (CV) ที่ 7,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 490 นิวตันเมตรที่ 4,750 มม.ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 5.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 283 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
กำหนดวางจำหน่ายภายในฤดูหนาวปีหน้าของยุโรป
Mazda
Mazda เป็น 1 ใน 3 ค่ายรถญี่ปุ่นชั้นนำที่จัดบูธในงานนี้ แม้เพื่อนร่วมชาติจะหายหน้าไปบ้างก็ตามเพื่อไม่ให้ตกซีนจึงส่ง MX-5 Superlight Concept รถสปอร์ตเบาหวิวเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปีตระกุล MX-5 หรือ Miata ในตลาดญี่ปุ่นดั้งเดิม
ความพิเศษของรถรุ่นนี้คือน้ำหนักที่เบาเพียง 995 กิโลกรัมเทียบเท่ากับรถขนาดเล็กเลยทีเดียว หากไม่เห็นภาพก็ลองเทียบน้ำหนัก MX-5 ดั้งเดิมที่หนัก 1,110 – 1,160 กิโลกรัม
เคล็ดลับง่าย ๆ เพียงแค่ถอดเสาคู่หน้าและกระจังบังลมหน้า หลังคาแข็งที่เปิดปิดได้และบาร์ทิ้งไปเสีย รวมทั้งพยายามลดน้ำหนักชิ้นส่วนทุกวิถีทางที่จะทำได้
ขุมพลังไม่แตกต่างจาก MX-5 ดั้งเดิมนักด้วยเครื่องบล๊อก MZR 1.8 ลิตร 126 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิด 167 นิวตันเมตรที่ 4,500 รอบต่อนาทีจับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ผลของรถน้ำหนักเบาลงจึงช่วยอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในแค่ 8.9 วินาที ช่วยอัตราสิ้นเปลืองเพิ่มขึ้นถึง 6.3 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 150 กรัมต่อกิโลเมตร
รถต้นแบบคันนี้ไม่มีกำหนดวางจำหน่ายแน่นอน แต่ทีมวิศวกร Mazda นำวิธีการลดต้นทุนคันนี้มาพัฒนาและปรับใช้ในรุ่นอื่น ๆ ต่อไป
Mercedes-Benz
SLS AMG เป็นรถสปอร์ตโมเดิร์นคลาสสิคเรือธงที่ว่ากันว่าจะมาแทนที่ตระกูล SLR รถสปอร์ตที่ได้รับเทคโนโลยี F1 ซึ่งเปรียบเทียบกันแล้วดูแตกต่างกันละเรื่องขึ้นอยู่กับว่าคนชอบสไตล์ไหนกัน มากกว่า
ดีไซน์ของ SLS ได้แรงบันดาลใจจากรุ่น 300SL Gullwing ที่เปิดตัวผลิตขายให้ลูกค้าจริงช่วงปี 1954-1963 ถ้าจะเรียกว่า SLS คือภาคต่อของ 300SL คงจะไม่ผิดนักเพราะดูแล้วเส้นสายแทบทั้งคันใช้สูตรสำเร็จเดียวกัน รวมทั้งยังรักษาเอกลักษณ์ประตูแบบปีกนกนางนวลไว้เช่นเดิม
งานวิศวกรรมเบื้องต้นที่ได้รับรายงานคือวางเครื่องยนต์ด้านหน้าเยื้องกลางลำ ตัว V8 3.6 ลิตร ที่พัฒนาโดย AMG 563 แรงม้า แรงบิดมหาศาลสูงสุด 650 นิวตันเมตร จับคู่เกียร์ 7 สปีด คลัทช์คู่ ขับเคลื่อนล้อหลัง
ตัวรถ น้ำหนักเบามาก ๆ แค่ 1,587 กิโลกรัมทำให้อัตราเร่งระดับเทพจาก 0-96 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 3.7 วินาที เท่านั้น ความเร็วสูงสุด 316 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากคุณเป็นนักขับที่แท้จริงกลัวว่าจะหยุดม้าไม่อยู่หมัดกรุณาสั่งออ พชั่นดิสก์เบรคทำจากวัสดุคาร์บอนเซรามิคเทคโนโลยีสำหรับคนแข่งโดยเฉพาะครับ
BlueZero E-Cell Plus Concept คันนี้ปรับปรุงตัวรถทั้งคันจากเวอร์ชันก่อน ๆ ให้อยู่ในสภาพใกล้เคียงกับรถขายจริง แต่น่าเชื่อว่าดีไซน์รถคันนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับ B-Class โฉมใหม่แน่นอน
ดีไซน์ภายนอกมาในมาด Compact MPV แทบจะไม่ต่างจาก BlueZero 3 คันที่เคยโชว์ในงานดีทรอยต์ ออโตโชว์แต่ปรับเส้นให้ลงตัวและแรงน้อยลงสาดสีภายนอกด้วย Alu-Beam สีน้ำที่ให้ความมันวาวเสมือนอลูมิเนียม เชื่อว่าการออกแบบรถคันนี้ได้รับอิทธิพลจาก F700 Concept ไม่น้อยเลย
หลักการทำงานของ BlueZero E-Cell Plus คันนี้จะคล้ายกับ Chevrolet Volt ทุกประการคือติดตั้งชุดมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่แบบลิเธี่ยมไอออนอัตราการ กินไฟ 18 กิโลวัตต์ชั่วโมง หากอยู่ในโหมด EV ระยะทางวิ่งสูงสุด 100 กิโลเมตร แต่เมื่อติดตั้งเครื่องยนต์สันดาปภายใน 3 สูบ 1.0 ลิตร เทอร์โบ 67 แรงม้าที่บริเวณกึ่งกลางล้อหลังช่วยปั่นกำลังไฟฟ้าเก็บประจุที่แบตเตอรี่ทำ ให้เพิ่มระยะทางวิ่งสูงสุดถึง 600 กิโลเมตร ปล่อยไอเสียต่ำมากแค่ 32 กรัมต่อกิโลเมตร
แบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออนยุคใหม่ที่เพรียวบาง ประสิทธิภาพสูง ใช้งานทนทนทาน ใช้เวลาชาร์จประจุแบตเตอรี่ให้เต็มแค่ 1 ชั่วโมงกว่าด้วยประจุ 20 กิโลวัตต์ หรือชาร์จแค่ 30 นาทีด้วยประจุ 20 กิโลวัตต์คุณก็สามารถวิ่งได้ 50 กิโลเมตร หากชาร์จผ่านไฟบ้านประจุ 3.3 กิโลวัตต์ต้องใช้เวลามากกว่า 6 ชั่วโมงถึงจะเต็ม หมดกังวลหากพลังงานใกล้หมดระบบคอมพิวเตอร์ออนบอร์ดจะแสดงข้อมูลสถานีจ่ายไฟ ที่ใกล้ที่สุดครับ
คาดว่าอีกไม่นานงานออกแบบรถคันนี้อาจจะเป็น B-class โฉมใหม่ก็เป็นได้
S500 Plug-in HYBRID Concept ติดตั้งเครื่องยนต์ V6 3.5 ลิตรติดตั้งเทคโนโลยีหัวฉีดแบบใหม่ที่ยังระบุสมรรถนะ ณ ตอนนี้จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าพละกำลัง 60 แรงม้า (hp) เก็บประจุผ่านแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออนอัตรากินไฟ 10 กิโลวัตต์ชั่วโมง หากวิ่งในโหมด EV สามารถวิ่งได้ถึง 50 กิโลเมตร
ใครว่าสมรรถนะกับ ความประหยัดไปด้วยกันไม่ได้ S500 Hybrid Concept คันนี้ทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในแค่ 5.5 วินาทีเท่านั้นแต่ประหยัดน้ำมันมหัศจรรย์ถึง 3.2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรหรือ 31 กิโลเมตรต่อลิตร คายไอเสียคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำมากแค่ 74 กรัมต่อกิโลเมตร
Mercedes Benz E-class Wagon คือตัวถังที่ 3 ในตระกูล E-class โฉมปัจจุบันและเป็นตัวถังที่ทำตลาดมานานกว่า 30 ปีแล้ว เจเนเรชั่นกำเนิดปี 1977 ด้วยความอเนกประสงค์ที่ผนวกกับความหรูหราจนถึงปัจจุบันสะสมยอดขายมากกว่า 1 ล้านคันแล้ว
รุ่นปัจจุบันเป็นโฉมที่ 5 น่าจะทำให้ตระกูล E-class เร่งเร้าความสำเร็จมากกว่าเดิมนอกเหนือแค่ตัวถังซีดานและคูเป้ ดูจากยอดขายเวอร์ชันซีดานนับตั้งแต่เปิดตัวจนถึงเดือนพฤษภาคม 2009 กวาดยอดขายไปแล้ว 40,000 คันทั่วโลก
ดีไซน์ภายนอกกันดูไม่แตกต่างจากซีดานมากนักดูแข็งแกร่ง เส้นสายคมชัดและดูคล่องแคล่ว อันเป็น DNA การออกแบบยุคปัจจุบันที่เห็นใน S และ C-class รุ่นปัจจุบันภายใต้ตัวถังความยาว 4,895 มม. ความกว้าง 1,854 มม. ความสูง 1,471 มม. ลดความแข็งกระด้างด้วยเส้นขอบกระจกที่โค้งเล็กน้อยนำจุดสายตาให้กลมกลืนกับ ด้านท้ายที่โดดเด่นด้วยขอบซุ้มล้อแบบ Contour คมชัดต่อเนื่องจรดท้าย ส่วนไฟท้ายลวดลายโคมไม่แตกต่างจากซีดานนัก
ขุมพลังสำหรับทำตลาดยุโรปมีเครื่องดังนี้
ดีเซล
-E200 CDI 4 สูบ 2,143 ซีซี 100 กิโลวัตต์ อัตราสิ้นเปลือง 5.7 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 150 กรัมต่อกิโลเมตร จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 สปีด
-E350 CDI 4Matic V6 2,987 ซีซี 170 กิโลวัตต์ อัตราสิ้นเปลือง 7.6-7.7 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 200-203 กรัมต่อกิโลเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด
เบนซิน
-E200 CGI 4 สูบ 1,796 ซีซี 135 กิโลวัตต์ อัตราสิ้นเปลือง 7.7 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 179 กรัมต่อกิโลเมตร จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 สปีด
-E250 CGI 4 สูบ 1,796 ซีซี 150 กิโลวัตต์ อัตราสิ้นเปลือง 8.0-8.2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 185-191 กรัมต่อกิโลเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด
-E350 4MATIC V6 3,498 ซีซี 200 กิโลวัตต์ อัตราสิ้นเปลือง 10.2-10.3 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 238-247 กรัมต่อกิโลเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด
เตรียมส่งมอบให้ลูกค้าได้ตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป
MINI
ถ้าคิดว่า มินิ น่าจะมีโอกาส ถึงทางตันในการพัฒนาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า คงต้องบอกว่า คุณอาจจะคิดผิด
เพราะ รถคันสีฟ้าที่เห็นอยู่นี้ คือ Mini Coupe Concept 1 ใน 2 ตัวถังใหม่ ที่ BMW เตรียมจะสร้างความหลากหลาย ให้กับมินิ
แบรนด์รถยนต์ ที่ตนถือครองไว้ ตั้งแต่ เมื่อครั้งเข้าซื้อกิจการของ Rover Group เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 1994
(และก็เลือกเก็บไว้ หลังการแยกขายในปี 2000 เมื่อถึงวันที่ ทนการขาดทุนจากโรเวอร์ ไม่ไหวอีกต่อไป)
BMW มีความคิดที่จะสร้าง มินิ ตัวถังคูเป้ มาค่อนข้างนานแล้ว แต่ยังไม่เป็นทางการนัก เพราะนี่คือหนึ่งใน
ช่องทางที่จะใช้ประโยชน์ จากโครงสร้างพื้นฐานของตัวรถที่ตนทำขึ้นมา ให้แตกไลน์ออกไปได้มากขึ้น
และ พวกเขา พึ่งจะสบโอกาส กันในช่วงนี้ นั่นเอง
ตัวถังมีความยาว 3,714 มิลลิเมตร กว้าง 1,683 มิลลิเมตร สูง 1,356 มิลลิเมตร เส้นสายหลักของตัวถัง ยังคงมาใน
รูปแบบ ดั้งเดิม ของมินิยุคใหม่ คือ เล็ก กระทัดรัด ระยะห่างจากล้อหน้าและหลัง ถึงมุมรถแต่ละฝั่ง ไม่มากนัก
(Short Front & Rear Overhang)
แต่สิ่งที่จะทำให้ทุกคนสะดุดตา จนต้องเหลียวหลัง คือการเล่นแนวเส้นตัวถัง บริเวณหลังคา ให้มีความโค้งมน
และ หนา ภายใต้แนวทาง Forms Follow Function อันเป็นแนวทางการออกแบบสไตล์เยอรมัน อีกทั้งยังมีการ
เล่นกับแนวเส้นขอบกระจกที่แปลกตาไปกว่ารถยนต์ทั่วไป อยู่ไม่เบา และกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว
ของรถรุ่นคูเป้ ที่ใกล้จะทำตลาดในอนาคตข้างหน้า ไปโดยปริยาย นอกเหนือจาก กระจังหน้า แบบ Hexagon
และไฟหน้าทรงกลมรี อันเป็นเกลักษณ์ ดั้งเดิม ของมินิยุคใหม่ หลังปี 2001 เป็นต้นมา
ขุมพลังของมินิคูเป้ ก็น่าจะมีให้เลือก ไม่แตกต่างไปจาก
มินิ วัน คูเปอร์ และ คูเปอร์ เอส รุ่นปัจจุบันไปมากนัก คือ มีเครื่องยนต์เบนซินจาก กลุ่ม PSA Peugeot/Citroen
บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 120 แรงม้า (BHP) และ เวอร์ชัน เพิ่ม SuperCharge ให้แรงขึ้นเป็น 175 แรงม้า (BHP)
แต่ยังไม่แน่ชัดว่าจะมีเครื่องยนต์ดีเซลมาให้เลือก ได้เร็วทันใจผู้บริโภคชาวยุโรปกันแค่ไหน ซึ่งก็คงต้องรอดูกันต่อไป
Mini Roadster Concept อีก 1 ตัวถังที่เปิดตัวแพ๊คคู่กับคันข้างบนด้วยตัวถังเปิดประทุนรับอากาศ แต่ใช่ว่าจะเป็นคู่แฝดรุ่น Carbriolet นะครับแต่มันคือ MINI ที่มีบุคลิคเต็มเปี่ยมด้วยความสปอร์ตอย่างที่มีในโรดสเตอร์ 2 ที่นั่งทั้งหลายพึงจะมีใช้เครื่องยนต์ร่วมกับ MINI Coupe Concept
มีความเป็นไปได้สูงมากว่า MINI สองตัวถังนี้จะผลิตออกสู่ตลาดภายใน 2 ปีข้างหน้า
Peugeot
Peugeot iOn รูปร่างหน้าตาและรายละเอียดทางเทคนิคไม่แตกต่างจาก i-MIEV นักมีแค่เพียงโลโก้ด้านหน้าเท่านั้นที่ไม่เหมือนกัน
ด้วย ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 64 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 180 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุด 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทางวิ่งสูงสุด 130 กิโลเมตรเก็บประจุผ่านแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออนที่สามารถชาร์จเต็มประจุด้วย ประจุ 220 โวลต์ภายในเวลา 6 ชั่วโมง หากต้องการความรวดเร็วก็ชาร์จผ่านสถานีชาร์จไฟกำลังสูงเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้นก็เติมประจุได้ถึง 80% เลยทีเดียว
ภาระหน้าที่ของ iOn เป็นส่วนหนึ่งที่ปูทางแบรนด์ Peugeot ไปสู่การเป็นผู้นำบริษัทยานยนต์ยักษ์ใหญ่แห่งการพัฒนารถเพื่อสิ่งแวดล้อมและ ประหยัดพลังงานจากยุโรป โครงสร้างจะเสร็จสมบูรณ์หากวางจำหน่าย 3008 Hybrid4 ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ดีเซลภายในปี 2011 ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดคงจะทำให้ Peugeot เป็นที่เชิดหน้าชูตาราวปลายปี 2010
Peugeot RCZ ถือเป็นการเริ่มบทใหม่ของประวัติศาสตร์แบรนด์ที่จะสร้างรถยนต์คูเป้รูป ลักษณ์พิเศษเสมือนรถสปอร์ตราคาแพงแต่ให้ลูกค้าสนุกสนานกับการขับขี่ในชีวิต ประจำวันได้
การตั้งชื่อ RCZ ก็พิเศษสุด ๆ เพราะไม่มีตัวเลข 0 เดี่ยว และ 0 คู่แต่อย่างใด แสดงถึงตำแหน่งการตลาดพิเศษกว่าอนุกรมใด ๆ เชื่อว่ารถพิเศษรุ่นต่อ ๆ ไปจะตั้งเป็นรหัสย่อ ที่ยกเว้นก็มีเพียงรถตระกูล LCV ทั้งหลายเช่น Partner,Bipper เป็นต้น
RCZ มาในรูปลักษณ์คอมแพคท์คูเป้ 2+2 ที่นั่ง ที่แทบจะถอดแบบจาก RCZ Concept เกือบ 100% จุดแตกต่างที่กล้าลงทุนมากคือการทำหลังคาแบบลอนคลื่น 2 ลูกใหญ่ลากยาวตั้งแต่หลังคาจรดกระจกท้ายเรียกว่า The Double Bubble ไม่ใช่แค่ดูสวยแปลกตาเท่านั้นแต่มีผลเรื่อง Aerodynamic อีกด้วย
เพื่อให้สอดคล้องกับการลดกระแสลมหมุนวนจึงออกแบบฝากระโปรงท้ายกึ่งสปอยเลอร์เพื่อประสิทธิภาพการขับขี่และประหยัดน้ำมันอีกด้วย
อีก จุดหนึ่งที่ไม่แตกต่างจากต้นแบบคือเสาหลังคาหนาพิเศษที่ทำจากอลูมิเนียมล้วน ๆ ขึ้นเป็นโครงกรอบเสาหลังคาที่ดูปราดเปรียวเอามาก ๆ เรียกว่า Roof Arches ส่วนบริเวณกระจังบังลม หลังคาจรดกระจังบังลมหลังพ่นสีโทนดำตัดกันทำให้รู้สึกคล่องแคล่วว่องไว
การ ออกแบบภายใน Peugeot ยกแผงหน้าปัดจาก 308 แบบไม่เกรงใจ อันที่จริงมันก็สวยดีอยู่แล้วล่ะครับไม่จำเป็นต้องออกแบบใหม่ให้เปลืองค่า โมลด์เพียงแค่เปลี่ยนสไตล์เป็นรถแนวมอเตอร์สปอร์ตด้วยวัสดุสังเคราะห์นุ่ม ๆ บุด้วยหนังแท้สีขาวพื้นผิวสัมผัสเยี่ยมหุ้มคอนโซลใหม่ทั้งแผง แผงคอนโซลกลางออกแบบปุ่มกดสำหรับการใช้งานเสียใหม่ทำให้ดูมีราคาค่างวดขึ้น มาเยอะ
ขุมพลังแรงจัดแต่รักษาสิ่งแวดล้อมด้วยบล๊อก 4 สูบแถวเรียว 1,598 ซีซี ฉีดเชื้อเพลิงตรง (Direct Injection) เทอร์โบชาร์จแบบแปรผัน 2 ระดับทั้งขับขี่ความเร็วสูงและรอบความเร็วต่ำ พร้อมวาล์วแปรผันคู่ทั้งท่อไอดีและไอเสียที่เรียกว่า VTI รีดพละกำลังมากถึง 200 แรงม้า (bhp) ที่ 5,800 รอบต่อนาที แรงบิด 188 ปอนด์ฟุตที่รอบต่ำแค่ 1,700 รอบต่อนาที หากต้องการ Overboost จะรีดแรงบิดได้ถึง 203 ปอนด์ฟุตจับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ให้อัตราเร่งจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงเพียงแค่ 7.6 วินาทีเท่านั้น แรงจัดประหยัดน้ำมันน่าตกใจถึง 17 กิโลเมตรต่อลิตร ค่าไอเสีย CO2 ต่ำกว่า 165 กรัมต่อกิโลเมตร
เสียงเครื่องยนต์ของรุ่นนี้ใช้เทคโนโลยีเสียง สังเคราะห์มาเสริมทัพเสียงเครื่องยนต์ของจริง สามารถเปลี่ยนเสียงเครื่องยนต์ได้เหมือนเครื่องดนตรี
หากเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร 200 แรงม้าแรงและแพงเกินไปแล้วล่ะก็จงเลือกบล๊อก 1.6 ลิตร ที่แรงน้อยกว่าเหลือ 156 แรงม้าที่ 5,800 รอบต่อนาที แรงบิด 177 ปอนด์ฟุตที่ 1,400 รอบต่อนาที ประหยัดน้ำมัน 17.3 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 แค่ 159 กรัมต่อกิโลเมตร มีให้เลือกเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะและภายในฤดูร้อนปี 2010 จะวางเกียร์อัตโนมัติ Sequential 6 จังหวะอีกด้วย
หรืออยากเลือกเครื่องดีเซลทั้งแรงและลดมลภาวะควรเลือก บล๊อก 2.0 HDI 1,997 ซีซี รีดพละกำลัง 163 แรงม้าที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 251 ปอนด์ฟุตที่ 2,000 รอบต่อนาที ประหยัดสูงสุด 22.2 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 139 กรัมต่อกิโลเมตร
ระบบกัน สะเทือนทั้งหมดยกชุดจาก 308 ด้านหน้าแมคเฟอสันสตรัท ด้านหลังทอร์ชันบีม แน่นอนว่าการขับขี่ของ RCZ จะต้องถูกปรับจูนกันอย่างหนักให้รองรับการขับขี่สไตล์สปอร์ตอย่างเต็มที่ได้ ด้วยการลดจุดศูนย์ถ่วงลงจากเดิมอีก 40 มม. ลดความสูงของช่วงล่างอีก 20 มม. เพิ่มความกว้างของแทร๊คล้อคู่หน้า 54 มม.และคู่หลัง 72 มม. ปรับปรุงขนาดช๊อคอัพให้สอดคล้องกับการขับขี่ทุกสภาพถนนและล้อขนาด 18 – 19 นิ้ว ในรุ่น 200 แรงม้าติดตั้ง Anti Roll bar ที่แกนล้อคู่หน้าทำให้ตอบสนองการขับขี่และกระฉับกระเฉงมากขึ้น
Peugeot RCZ วางจำหน่ายจริงช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2010
Porsche
สงสัยจะยังคงแค้นเคือง เรื่องที่ Nissan ปรับปรุง GT-R จนเอาชนะตนเอง ในสนามนูร์เบิร์กริง
ในบ้านตัวเองที่เยอรมันได้เป็นผลสำเร็จ คราวนี้ ปอร์เช เลย ตัดสินใจ ปรับปรุง 911 GT3 อันดุดัน
มากพออยู่แล้ว ให้บ้าระห่ำสุดขีดคลั่ง ด้วยกรรมวิธีลดน้ำหนัก และเพิ่มสมรรถนะกันใหม่อีกระลอก
ออกขายในชื่อ 911 GT3 RS
หัวใจสำคัญในการปรับปรุงสมรรถนะนั้น อยู่ที่การปรับปรุงเครื่องยนต์ บ็อกเซอร์ 6 สูบนอน เพิ่ม
ความจุกระบอกสูบให้ใหญ่โตขึ้น จาก 3.6 ลิตร เป็น 3.8 ลิตร เพื่อช่วยเรียกพละกำลัง และแรงบิด
ให้มาถึงทันเท้าผู้ขับขี่เร็วยิ่งขึ้น และต่อเนื่องยิ่งกว่า
การปรับปรุงดังกล่าว ทำให้พละกำลังของ 911 GT3 RS เพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 15 แรงม้า (BHP)
เมื่อเทียบกับ 911 GT3 รุ่นปัจจุบัน เป็น 450 แรงม้า (BHP) ซึ่งแตกต่างจากเครื่องยนต์อื่นใดในโลก
เพราะไม่ต้องใช้ ระบบอัดอากาศใดๆมาช่วยเลย (ประเด็นนี้ พีอาร์ ของ ปอร์เช เยอรมัน จงใจเขียนกัด
Nissan GT-R เต็มๆ เพราะรายนั้นยังต้องพึ่งพา เทอร์โบคู่ อยู่ดี) นั่นทำให้อัตราส่วนแรงม้า ต่อปริมาตร
ความจุกระบอกสูบ 1 ลิตร อยู่ที่ 118 แรงม้า อีกทั้งปอร์เชยังเคลมว่า พละกำลังสูงขนาดนี้ ก็ยังสามารถ
ขับใช้งานได้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย!
ถ่ายทอดกำลังลงสู่ล้อคู่หลัง ด้วย เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ที่ได้รับการปรับปรุง ทั้ง ด้านน้ำหนักตัว
และอัตราทดเกียร์เสียใหม่ เป็นแบบ Short Ratio เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานรองรับกับแรงบิด
มหาศาลอย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะอยู่บนสภาพถนนแบบไหน และพฤติกรรมการขับของผู้ขับขี่ “ห้าว”
ในระดับใด
ปอร์เชกำหนดราคาขายของ 911 GT3 RS ไว้ที่ 122,400 ยูโร โดยยังไม่รวมภาษีต่างๆ และจะเริ่มต้นส่งรถ
ขึ้นโชว์รูมกัน ในเดือนมกราคม 2010 เป็นต้นไป
Renault
ค่ายรถระดับ Mass จะมีใครเด่นเกินหน้า Renault ไหม? ผมใช้ส่องส่ายทั่วงานแล้วขอยืนยันว่าบูธ Renault ปีนี้เด็ดจริงเพราะเล่นส่งรถต้นแบบไฟฟ้า 4 สี 4 ขนาดไม่ซ้ำหน้ากันเลยครับ กะไม่ให้คู่แข่งได้แจ้งเกิดตลาดรถไฟฟ้าในงานกันเลย
เริ่มจากน้องนุชสุดท้อง Renault Twizy Zero Emission Concept ดูรูปร่างหน้าตาก็พอสรุปได้ว่าเป็น Mobility ที่ใช้งานคนเดียวในเมืองเท่านั้นขนาดดูไม่แตกต่างจาก Smart เท่าใดนักยาวเพียง 2.3 เมตร กว้างแค่ 1.13 เมตร
ดีไซน์ล้ำอนาคตแต่ดูแล้วเหมาะกับผู้หญิงยุคใหม่มากกว่าเพราะผู้ขับสามารถเล่นลูกเล่นหลอดไฟหน้า Matrix ได้เช่นทำให้หน้าตามันดูเหมือนยิ้มได้ ขยิบตาได้ ซุ้มครอบล้อลายดอกไม้ ยังรวมไปถึงภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยกลีบดอกไม้เทียมหลังพวงมาลัย
เล็กแบบนี้แต่ไม่ธรรมดาด้วยขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า 20 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 70 นิวตันเมตร Renault เคลมว่าพละกำลังเท่าเทียมกับรถจักรยานยนต์ขนาด 125 CC. (หมายถึงรถขนาดที่ใหญ่ โปรดอย่านึกถึงพวก Honda Wave 125) ด้วยท้อปสปีดถึง 75 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทางวิ่งสูงสุด 100 กิโลเมตร
Renault บอกว่า Twizy เป็นรถหนึ่งในแผนการเปิดตัวรถไฟฟ้าปี 2011 ว่ากันว่ามันอาจจะเป็นในคราบ Renault Microcar ที่ซุ่มต่อกรกับ Smart และ Toyota IQ
Renault Zoe Zero Emission Concept ชื่อนี้มันคุ้น ๆ ครับ ถ้าหลายจำความได้ Zoe Concept เคยเป็นรถต้นแบบของ Twingo รุ่นปัจจุบันถูกโชว์ตัวในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2005 มาแล้ว คราวนี้นำชื่อนี้กลับมาใช้อีกครั้งหนึ่งแต่มาในมาดรถไฟฟ้าไม่เหลือคราบไลเดิม ๆ
รูปร่างหน้าตามาในแบบคูเป้แฮทช์แบคที่ดูละม้ายคล้ายต้นแบบของ Mitsubishi บางรุ่น ขนาดตัวถังยาว 4,100 มม กว้าง 1,840 มม.สูง 1,516 มม. ฐานล้อยาว 2,605 มม.
Zoe Zero Emission Concept วางขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า 95 แรงม้า (hp) แรงบิด 225 นิวตันเมตรเก็บประจุด้วยแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออน ระยะทางวิ่งสูงสุด 140 กิโลเมตร
ไฮไลต์เด็ดของรถคันนี้คือเครื่องปรับอากาศถแบบ Spa ที่พัฒนาร่วมกับ Biotherm แบรนด์เครื่องสำอางค์และสกินแคร์เคาท์เตอร์ชื่อดังในเครือ L’oreal มีให้เลือก 3 โหมดดังต่อไปนี้
โหมดแรก ถนอมความชุ่มชื้นของผิวด้วยการปล่อยไอระเหยเข้าสู่ห้องโดยสารขณะเปิดแอร์ป้องกันมิให้ผิวแห้ง
โหมด Detox ฟังดูแปลก ๆ แต่แนวคิดก็ธรรมดาแค่ติดตั้งเซนเซอร์ตรวจจับมลพิษทางอากาศถ้ามีปริมาณมากก็จะอนุญาตให้ปิดช่องดักลมจากภายนอกครับ เพื่อมิให้อากาศเสียมาทำร้ายผิวของคุณ
โหมดกลิ่นกระตุ้มอารมณ์ที่จะปล่อยกลิ่นน้ำมันหอมระเหยขณะขับรถ หากต้องการผ่อนคลายจะปล่อยกลิ่นอ่อน ๆ หากต้องการกระตุ้นให้ตื่นตัวตลอดเวลาก็จะใช้อีกกลิ่นหนึ่ง
Renault ยังไม่ออกกำหนดว่ารถต้นแบบคันนี้จะคลอดเป็นคันจริงได้เมื่อไร แต่หากเคยติดตามความเคลื่อนไหวก็พบว่า Renault ซุ่มพัฒนา Twingo Coupe อยู่เช่นกัน ดังนั้นจึงมีโอกาสเป็นไปได้สูงว่าจะผลิตจำหน่ายในอนาคต
Renault Kangoo Zero Emission Concept เวอร์ชันอัพเดทสำหรับงานนี้โดยเฉพาะคราวนี้พ่นสีภายนอกสีเงินภายในห้องโดยสารสีฟ้าสว่างไฟด้วยแสงไฟ
วางขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า 95 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 226 นิวตันเมตร ระยะทางวิ่งสูงสุด 160 กิโลเมตร ความเร็วสูงสุด 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
สุดท้าย Renault Fluence Zero Emission Z.E. Concept นำรถตลาด Fluence มาดัดแปลงให้ล้ำสมัยรูปร่างหน้าตารถกลับดูดีกว่ารถขายจริงอย่างเห็นได้ชัดอาจเพราะว่านำเค้าโครงตัวถังมาดัดแปลงตามจินตนาการของทีมวิศวกรอีกทอดหนึ่งทำให้ขนาดตัวถังใหญ่กว่ารถ D-Segment เสียอีก
วางขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า 95 แรงม้า แรงบิด 226 นิวตันเมตร ระยะทางวิ่งสูงสุด 160 กิโลเมตรเท่ากับ Nissan Leaf พอดี
หากจะขึ้นสายการผลิตจริงก็ไม่ยากเย็นเท่าไรครับ เพียงแค่ดัดแปลงจากพื้นฐาน Fluence ให้เข้ากับชุดมอเตอร์ไฟฟ้ารวมทั้งแบตเตอรี่ต่าง ๆ ครับ
Rolls-Royce
Rolls-Royce Ghost แม้ชื่อออกจะน่ากลัวไปเสียหน่อยแต่ไม่เกี่ยวกับผีสางเทวดาที่ไหนแต่มันคือรถซีดานระดับอครเศรษฐีระดับรุ่นเยาว์ที่ Rolls-Royce เคยให้คำมั่นสัญญาในงานปารีส มอเตอร์โชว์ ประจำปี 2006 ว่ากำลังพัฒนารถระดับต่ำกว่า Phantom ราคาประมาณ 2-3 แสนยูโร ให้ทันทศวรรษใหม่
Rolls-Royce สร้างความชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วยการเผยแพร่ภาพสเก็ตช์ของรถคันดังกล่าวพร้อมทั้งเผยรหัสพัฒนาให้ทุกคนทราบว่า RR4 ที่ตอกย้ำว่าทีมงานออกแบบรถทั้งคันเสร็จเรียบร้อยแล้วในช่วงฤดูใบไม้ร่วงประจำปี 2008
เพื่อไม่ให้ทุกคนเสียเวลารอคอย Rolls-Royce จึงทิ้งไพ่ตายสุดท้ายเปิดเผยโฉม RR4 คันจริงในรูปร่างของรถต้นแบบที่มีนามว่า 200EX ในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2009 ที่ถือว่าปฏิวัติงานออกแบบของแบรนด์ยุคใหม่ที่ทั้งคลาสสิคที่มีรากเหง้ามาตั้งแต่ 1930 แล้วและผสมแฟชั่นอย่างลงตัว
ใคร ๆ ก็คิดว่า 200EX น่าจะเป็นชื่อที่เคาะทำตลาดอย่างเป็นทางการแต่หารู้ไม่ว่า Rolls-Royce เลือกใช้ชื่อ Ghosn ถือเป็นชื่อที่มนต์ขลังอย่างมากและนับว่าเป็นชื่อแปลกที่สุดในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ ส่วนรถคันจริงถูกเปลี่ยนจาก 200EX เพียงเล็กน้อย
วางขุมพลังเครื่องยนต์ V12 ความจุกระบอกสูบ 6,592 ซีซี ให้กำลัง 570 แรงม้าที่ 5,250 รอบต่อนาที แรงบิด 780 นิวตันเมตรที่ 1,500 รอบต่อนาที จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
Rolls-Royce เตรียมวางจำหน่ายภายในปี 2010 เศรษฐีรุ่นเยาว์โปรดอดใจรอ
SAAB
9-5 โฉมใหม่ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ค่อยคุ้นหน้าตาเท่าไรเพราะหน้าแบบนี้เรามักเห็น ในรถต้นแบบเสียมากกว่า นั่นถือว่าเป็นเรื่องดีที่พวกเขาตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงหาธีมดีไซน์ใหม่ ๆ นำเสนอตลาด
ดีไซน์ทั้งคันมาแนวลึกลับน่าค้นหามากขึ้น ตัวถังแบนเพรียวบางลงแต่ไม่ลดความบึกบึนภูมิฐานลงมาก ลายเส้นทั้งคันยังคงแบบเดิมเพิ่มรายละเอียดต่าง ๆ ให้ล้ำสมัยขึ้นได้แก่ เส้นบ่ารถที่ดูกลมกลืนไปจรดท้าย,เพิ่มลูกเล่นกรอบกระจกใหม่,กรอบกระจกประตู หลังออกแบบดูเล็กปราดเปรียวขึ้น ดีไซน์ด้านหน้าล้ำสมัยขึ้นด้วยกระจังหน้าเอกลักษณ์ทรงใหม่ให้ช่องรับอากาศ ขยายลงถึงกันชนหน้าสอดคล้องกับไฟหน้าทรงเรียวยาวดูสปอร์ต
9-5 ใหม่ใช้พื้นฐานช่วงล่าง GM Epsilon เวอร์ชันที่ 2 ความยาวที่ 2.84 เมตรยาวกว่าเดิมพอประมาณทำให้ห้องโดยสารกว้างขวางขึ้น มาพร้อมเครื่องยนต์แบบเทอร์โบชาร์จ 3 รุ่นได้แก่ 4 สูบ 1.6 ลิตร 160 แรงม้า,4 สูบ 2.0 ลิตร 210 แรงม้า และ V6 2.8 ลิตร 300 แรงม้า ส่วนเครื่องดีเซลมีให้เลือกความจุเดียวคือ 2.0 ลิตร 160 และ 190 แรงม้า คาดว่าจะมีรุ่นไฮบริดและแบบ biofuel
วางจำหน่ายในยุโรปเมษายน 2010 เริ่มต้นที่ 35,000 ยูโร
Toyota
ไม่น่าเชื่อว่า Landcruiser Prado จะมาอวดโฉมในงานนี้ครั้งแรกในโลกกับเขาด้วยกับเอสยูวีขนาดกลางหรูหรายอดนิยมคันนี้ รูปร่างหน้าตาคล้ายของเดิมแต่นำรถทั้งคันมาลนเทียนให้ละลายหยดย้อยแต่พองามส่วนภายในก็ดูดีขึ้นตามยุคสมัย
Toyota Prius Plugin Hybrid รถคันนี้เกิดจาก Toyota เล็งเห็นช่องทางการพัฒนา Hybrid เจเนเรชั่นต่อไปว่าควรจะพัฒนาให้วิ่งในโหมดรถไฟฟ้า (EV) สำหรับการใช้งานในเมืองได้นานเท่าที่จะทำได้ โดยไม่จำเป็นต้องพัฒนารถไฟฟ้าโดยเฉพาะเพราะลูกค้าเหล่านั้นใช้งานระยะทาง สั้น ๆ เท่านั้นจึงต้องปรับปรุงประสิทธิภาพดังนี้
ขั้นแรกต้องเปลี่ยนชุดแบตเตอรี่นิเคิลเมทัลไฮดรา ยที่ทั้งหนักและให้ประจุพลังงานต่ำแม้จะมีความปลอดภัยสูงก็ตามแต่เทคโนโลยี แบตเตอรี่วันนี้ไม่เหมือนในอดีตอีกต่อไปจึงหันมาใช้แบตเตอรี่ลิเธี่ยม ไอออน ที่ทั้งเบา กะทัดรัด ให้ประจุพลังงานสูงหนำซ้ำสามารถเติมประจุได้บ่อยครั้ง หมดกังวลว่าชุดแบตเตอรี่จะเสื่อมเมื่อไร ถือเป็นครั้งแรกของ Toyota ที่ใช้แบตเตอรี่ชนิดนี้หลังประกาศเมื่อ 2 ปีก่อนว่าขอเวลาพัฒนาให้มีความปลอดภัยจนไว้ใจได้เสียก่อนที่จะนำมาใช้
ผลจาก การเปลี่ยนชุดแบตเตอรี่ใหม่ล่าสุดช่วยทำให้ Prius คันนี้สามารถทำความเร็วสูงสุด 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพิ่มระยะทางการวิ่งในโหมดรถไฟฟ้าเฉลี่ย 20 กิโลเมตรหากเทียบกับ Prius ที่ใช้แบตเตอรี่นิกเคิลเมทัลไฮดรายจะมีระยะทางวิ่งเพียง 9.6 กิโลเมตรเท่านั้นไม่เพียงพอสำหรับพฤติกรรมผู้ใช้ในเมืองใหญ่ ๆ ตามผลสำรวจ
นอก จากนี้ยังเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน Full Hybrid ได้อีกด้วยอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงชุดแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น ทำให้ลดค่าไอเสีย CO2 ลงต่ำกว่า 60 กรัมต่อกิโลเมตร
การเติมประจุสามารถเติมผ่านกระแสไฟฟ้าในครัวเรือน 230V ได้ง่าย ๆ เพียงแค่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เติมประจุได้เต็มแล้วครับ
Auris Hybrid คือส่วนหนึ่งของแผนการติดตั้ง Hybrid ให้ครบทุกรุ่นภายในต้นยุค 2020 อีกด้วย ถือเป็นแผนระยะยาวเพื่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคไร้น้ำมันต่อไป
Auris Hybrid HSD Full Hybrid Concept ใช้โครงตัวถังร่วมกับ Auris รุ่นปกติทุกประการทั้งความยาว 4,245 มม. ความกว้าง 1,760 มม. ความสูง 1,515 มม. ฐานล้อยาว 2,600 มม.
Toyota สร้างความแตกต่างหลาย ๆ จุดสำคัญเพื่อให้ทราบว่าเป็นรถ Hybrid ซึ่งรวม ๆ กลับดูสปอร์ตกว่ารุ่นปกติ ได้แก่ กระจังหน้าใหม่ 2 ชั้นลวดลายละม้ายกับ Camry Hybrid แต่ดูสปอร์ตปราดเปรียว คาดว่าจะเป็นมาตรฐานการตกแต่งภายนอกของรถ Toyota Hybrid ทุกรุ่น ,ชุดโคมไฟหน้าใหม่ที่ดูคมขึ้นพร้อมฝากระโปรงชิ้นใหม่,กันชนหน้าใหม่ดูสปอร์ต ขึ้น
ด้านหลังติดตั้งสปอยเลอร์ท้ายให้ลดการหมุนวนด้านท้าย รวมทั้งลดความสูงของรถลงถึง 20 มม. ติดตั้งล้อแมกซ์ใหญ่ 18 นิ้วออกแบบลวดลายให้ลดลมหมุนเสียดทายภายในล้อให้มาที่สุด ที่ทำไปทั้งหมดใช่เพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่นี่คือการปรับปรุงด้าน Aerodynamic ทั้งหมดจนได้ค่าแรงสัมประสิทธิ์แรงเสียดทายเพียง 0.28 เท่านั้น
ขุมพลังยกชุดมาจาก Prius รุ่นปัจจุบันทั้งหมดด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายใน 1.8 ลิตร 97 แรงม้า (bhp) ผสานกับชุดมอเตอร์ไฟฟ้า ไม่ระบุว่าให้กำลังเท่าไรแต่คาดว่าอาจจะใกล้เคียงกับ Prius ทำอัตราเร่งจาก 0- 96 กิโลเมตรต่อชั่วโมงประมาณ 10 วินาที ลดค่าไอเสีย CO2 ต่ำกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร ระบบอนุญาตให้ใช้พลังงานจากแบเตอรี่ล้วน ๆ หรือโหมด EV วิ่งระยะทางสูงสุด 2 กิโลเมตรจำกัดความเร็วสูงสุด 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
วางจำหน่าย Auris Hybrid ราวปลายปี 2010
Volkswagen
Volkswagen เคยอวดโฉมหน้า L1 Concept เมื่อปี 2002 สร้างความฮือฮาด้วยจุดขายความประหยัดเฉลี่ย 1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ล้ำหน้ากว่ารถไฮบริดแท้ ๆ เสียด้วยซ้ำ แต่เวลาผ่านไปเพียงแค่ 7 ปี เทคโนโลยีเพื่อด้านวิศวกรรมของ Volkswagen ก็ล้ำหน้าตามกาลเวลาเช่นกัน
รูปร่างหน้าตา L1 Concept เวอร์ชันปี 2009 ยังคงรักษาฟอร์มตัวถังทรงหัวจรวดปิดซุ้มล้อหลังไว้เช่นเดิมแต่ฉีกแนวจากรถทรงโค้งมนเพิ่มรายละเอียดต่าง ๆ ให้มีเหลี่ยมมีมุมมากตามเอกลักษณ์ประจำแบรนด์มากขึ้นขึ้นแต่ยังคงค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานได้ดีเหมือนเดิม
จุดเด่นคือระบบ Hybrid แบบดีเซลจากต้นกำลังเครื่องดีเซลสันดาปภายในขนาดจิ๋ว TDI 800 ซีซี 2 สูบ เทอร์โบ Volkswagen เคลมว่าเป็นเครื่องที่เล็กที่สุดเท่าที่เคยผลิตมา เคล็ดลับง่าย ๆ คือลูกสูบ 1.6 TDI ที่ทางเราเคยนำเสนอไม่นานมานี้มาใช้ร่วมกันนั่นเอง ผนวกกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่เรียกว่า E-motor ที่เคลมว่าสนับสนุนแรงบิดขับเคลื่อนมากถึงร้อยละ 40 เชื่อมต่อกำลังผ่านเกียร์ DSG 7 จังหวะ
การทำงานของ L1 concept 2009 มีให้ใช้งานหลายโหมด ได้แก่ โหมด Eco อนุญาตให้เครื่องยนต์ดีเซลปล่อยพลังเพียง 27 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบต่อนาที ,โหมด Sport ให้พละกำลัง 39 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบต่อนาที
รถต้นแบบคันนี้คงจะเป็นรถต้นแบบกันต่อไป
E-Up! Concept เห็นชื่อก็รู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับรถต้นแบบ UP! แน่นอน แตกต่างกันที่หน้าตาจะผิดแผกจากเพื่อนฝูงอยู่เสียหน่อย ยิ่งเครื่องต้นกำลังยิ่งไม่เหมือนคือใช้มอเตอร์ไฟฟ้าวางด้านหน้าและขับเคลื่อนล้อหน้า ให้กำลัง 82 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 210 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 11.3 วินาที เก็บประจุผ่านแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออนอัตราการกินไฟ 18 กิโลวัตต์ชั่วโมง ระยะทางวิ่งสู
สุด 130 กิโลเมตร
Volvo
Volvo C70 Minorchange เปลี่ยนชิ้นส่วนด้านหน้าใหม่ทั้งหมดไล่ตั้งแต่ไฟหน้าทรงใหม่สุดเซกซี่เรียวยาวมี เว้าหยักเล็กน้อย ฝากระโปรงหน้าลากเส้นจากขอบจรดกันชนหน้าเป็นรูปตัว V สันของกระจังหน้าจะยื่นมากกว่าเดิมดูคมสันและล้ำสมัย กระจังหน้าทรงใหม่ทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนตัดเฉียงตัว V ใหญ่กว่าของเดิมมาก เน้นขอบตัดโครเมี่ยมหนาขึ้นขับดันโลโก้ Volvo ให้ดูนูนเสมือนภาพ 3 มิติ รับกับกันชนหน้าที่ดูยื่นล้ำอีกนิด
ด้าน ท้ายแม้ยังคงทรงไฟท้ายเหมือนเดิมแต่เปลี่ยนผังหลอดไฟใหม่ดูทันสมัยขึ้นและ เปลี่ยนไปใช้ไฟ LED ที่ดูเปล่งรัศมีด้วยสีแดงเข้มคล้าย ๆ ที่มีอยู่ใน XC60 กันชนท้ายเปลี่ยนขอบชายล่างให้ดูปราดเปรียวขึ้น
กลไกลหลังคาเหล็กไม่แตกต่างจาก C70 รุ่นก่อนปรับโฉมมากนักเปิดปิดด้วยความเร็ว 30 วินาที แต่พยายามออกแบบให้ตัวถังลดการบิดตัว 15 เปอร์เซ็นต์เมื่อปิดหลังคา
รายละเอียดงานวิศวกรรมไม่ได้เจาะลึกอะไรมากบอกเพียงแค่ว่ามีเครื่องยนต์เบนซินให้เลือก 3 รุ่นได้แก่
-T5 230 แรงม้า 320 นิวตันเมตร อัตราสิ้นเปลือง 8.9 ต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ที่ 209 กรัมต่อกิโลเมตร
– 2.4i 170 แรงม้า 230 นิวตันเมตร อัตราสิ้นเปลือง 9.0 ต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ที่ 215 กรัมต่อกิโลเมตร
– 2.4 140 แรงม้า 220 นิวตันเมตร อัตราสิ้นเปลือง 8.9 ต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ที่ 212 กรัมต่อกิโลเมตร
เครื่องดีเซลมี 2 รุ่นให้เลือกได้แก่
– D5 180 แรงม้า 400 นิวตันเมตร อัตราสิ้นเปลือง 6.6 ต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ที่ 174 กรัมต่อกิโลเมตร
– 2.0D 136 แรงม้า 320 นิวตันเมตร อัตราสิ้นเปลือง 6.0 ต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ที่ 158 กรัมต่อกิโลเมตร
Volvo C30 Minorchange C30 เปลี่ยนธีมดีไซน์ด้านหน้าเสียใหม่ให้ดูสปอร์ตปราดเปรียวทัน สมัยขึ้น ดูไม่แตกต่างจาก S60 Concept มากนักที่ดูเหมาะสมกับรถยุคใหม่ประจำทศวรรษหน้า ดูเผิน ๆ หน้าตาจคล้าย C70 มาก แต่หากเพ่งพินิจให้ดีพบว่าใช้ชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้าร่วมกับ C70 เพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นที่แตกต่างได้ชัดเจนคือกันชนหน้า C30 จะแบนและยื่นน้อยกว่า C70 ที่ดูแล้วให้อารมณ์เซ็กซี่มากกว่า
จุดแตกต่างที่สำคัญอีกจุดคือกระจังหน้า C30 มีลวดลายคล้ายรังผึ้งขนาดใหญ่ดูล้ำสมัยกว่ากระจังหน้าแบบเดิม ๆ มาก เรามาลองสำรวจด้านท้ายกันบ้างหากไม่สังเกตดี ๆ ก็คิดว่าคงไม่ได้ปรับปรุงอะไร แต่เราอยากให้เพ่งมองบริเวณกันชนหลังจะพบว่าแม้ทรงกันชนหลังจะคล้ายของเดิม แต่เอาเข้าจริง ๆ เปลี่ยนแปลงรายละเอียดเยอะมากเพื่อผลด้าน Aerodynamic โดยเฉพาะ อาทิ ขอบสันกันชนหลังจะดูยื่นขึ้นเล็กน้อย แผงป้ายทะเบียนด้านหลังที่ลึกขึ้นกว่าเดิม ยกขอบสันกลางกันชนหลังให้ดูสปอร์ตขึ้น เปลี่ยนชายล่างกันชนให้มีลูกเล่นด้วยสคัปเพลตสีเงินพร้อมตกแต่งท่อไอเสียคู่ แนวสปอร์ต
ส่วนความแตกต่างภายนอกอื่น ๆ ก็คงมีเพียงแค่เพิ่มสีตัวถังใหม่เอาใจวัยรุ่นโดยเฉพาะ สีนี้มีชื่อว่า Orange Flame Metallic สีส้มเงาสะท้อนแสงดูแล้วคล้ายเปลวไฟชั้นในกำลังแผดเผาแสดงให้เห็นถึงพลัง แห่งสมรรถนะ หรือถ้าอยากสร้างความแตกต่างสามารถเลือกสีสคัฟเพลตชายล่างรอบคันตามใจคุณได้ เลย
เมื่อภายนอกถูกปรับปรุงไปแล้ว ภายในก็ต้องอัพเดทให้ทันสมัยขึ้นตามเช่นกันด้วยการเพิ่มสีตกแต่งใหม่ Espresso/Blond จากการผสมสีของสีน้ำตาลเข้มและสีบลอนด์เข้าด้วยกัน ตกแต่งตามส่วนต่าง ๆ ของรถขณะเดียวกันสามารถเปลี่ยนสีของลายผ้าหรือเบาะหนังตามใจตนเองได้ด้วย เช่น สีส้ม สีเขียว สีน้ำเงิน โดยไม่ขัดแย้งกับสีชิ้นส่วนภายในห้องโดยสารอื่น ๆ เลย
งานวิศวกรรมก็ ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นด้วยไล่ตั้งแต่การปรับจูนอัตราทดพวงมาลัยให้ต่ำลงทำให้ ตอบสนองการบังคับเลี้ยวดีขึ้นถึง 10% เพิ่มความแข็งของสปริงไม่น้อยกว่า 30% ปรับการทำงานของแดมเปอร์ให้ทำงานเร็วขึ้น เปลี่ยนเหล็กกันโคลงใหม่ให้ทำมุมขณะเข้าโค้งได้ดีขึ้น ทั้งหมดทำให้การขับขี่มาในแนวสปอร์ตอย่างเต็มตัวยกเว้นรุ่นประหยัด 1.6 DRIVe ที่เน้นการใช้งานชีวิตประจำวัน
เครื่องยนต์ C30 ใหม่มีให้เลือกดังต่อไปนี้
เครื่องยนต์เบนซินมีให้เลือก 5 รุ่น
-รุ่น T5 ขนาด 2.5 ลิตร 230 แรงม้า แรงบิด 320 นิวตันเมตร อัตราสิ้นเปลือง 8.7 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 203 กรัมต่อกิโลเมตร
-รุ่น 2.4i 170 แรงม้า แรงบิด 230 นิวตันเมตร อัตราสิ้นเปลือง 8.4 ลิตร100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย Co2 200 กรัมต่อกิโลเมตร
-รุ่น 2.0 145 แรงม้า แรงบิด นิวตันเมตร อัคราสิ้นเปลือง 7.4 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 177 กรัมต่อกิโลเมตร
-2.0F (Flexifuel) 145 แรงม้า แรงบิด 185 นิวตันเมตร อัตราสิ้นเปลือง 7.8 ลิตร 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย Co2 185 กรัมต่อกิโลเมตร
-รุ่น 1.6 100 แรงม้า แรงบิด 150 นิวตันเมตร อัตราสิ้นเปลือง 7.0 ลิตรต่อ100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 167 กรัมต่อกิโลเมตร
เครื่องยนต์ดีเซลมีให้เลือก 4 รุ่นได้แก่
-รุ่น D5 (2.4 litres) 180 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร อัตราสิ้นเปลือง 6.2 ลิตรต่อ100 กิโลเมต ปล่อยค่าไอเสีย CO2 164 กรัมต่อกิโลเมตร
-รุ่น 2.0D 136 แรงม้า แรงบิด 320 นิวตันเมตร อัตราสิ้นเปลือง 5.7 ลิตรต่อ 100 กิเลมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 151 กรัมต่อกิโลเมตร
-รุ่น 1.6D DRIVe 109 แรงม้า แรงบิด 240 นิวตันเมตร อัตราสิ้นเปลือง 4.5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 119 กรัมต่อกิโลเมตร
-รุ่น 1.6D DRIVe ติดตั้งระบบ start/stop 109 แรงม้า แรงบิด 240 นิวตันเมตร อัตราสิ้นเปลือง 3.9 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO 104 กรัมต่อกิโลเมตร
ทั้งคู่เตรียมวางจำหน่ายเร็ว ๆ นี้