ถ้าให้เปรียบเทียบงาน Frankfurt Motorshow ในปี 2009 กับในปี 2011 ก็นับว่ามันมีความแตกต่างกันอย่างมากเลยทีเดียว สัดส่วนรถยนต์ที่นำมาอวดโฉมหรือเปิดตัวในงานนี้มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 80% เป็นรถยนต์ประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อมกันแทบทั้งนั้น หายากที่ใครจะอาจหาญเอารถบู๊ล้างผลาญน้ำมันและก่อมลพิษมาอวดในงานกัน ขืนปล่อยไก่ปล่อยจะเป็นผลเสียต่อภาพลักษณ์หมด
อย่างไรก็ดีในงานนี้มิได้จำกัดว่าจะต้องเป็นรถยนต์ขนาดเล็กเท่านั้น รถระดับหรูหรามีเทคโนโลยีชั้นสูงก็มาอวดเรือนร่างกันในงานนี้อย่างคับคั่งพอสมควร
Alfa Romeo
Alfa Romeo 4C Concept ชื่ออาจจะฟังดูมีตัวหารมากกว่า 8C Competizione แต่นั่นมันเล็กแค่ชื่อกับขนาดตัวถังที่จัดอยู่ในระดับคอมแพคท์อย่างน้อยพอจะฟาดฟันกับ Toyota FT-86 II โฉมล่าสุดที่อวดศักดาในงานได้แน่นอน เพราะมันติดตั้งเครื่องยนต์วางกลาง 1.7 ลิตร เทอร์โบชาร์จ แบบเดียวกับ Alfa Romeo Giulietta ให้กำลัง 232 แรงม้า (BHP) มอบอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในต่ำกว่า 5 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
รายละเอียดทางเทคนิคก็ไม่ได้ประกาศเต็มเท่าไรนัก แต่ก็ยืนยันว่ารูปลักษณ์และสีเงิน ๆ สวยขนาดนี้มันทำมาจากตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักแค่เพียง 850 กิโลกรัมเท่านั้น คิดว่าตัวนี้แหล่ะน่าจะเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของ Alfa Romeo ยุคนี้
Audi
Audi ขนทัพรถใหม่และรถต้นแบบมาอวดกันพอให้ชุ่มชื้นกันบ้างเริ่มจากรถตลาด Audi RS5 ซึ่งมาพร้อมกับรถตระกูล Audi A5/S5 Minorchangeกันทั้งแผง Audi A5 ซึ่งด้านหน้าเปลี่ยนชุดไฟหน้าทรงตาเหยี่ยวเหมือนกับรุ่นน้อง A1, A3 พร้อมชุดกระจังหน้าทรงใหม่เหมือนกับเพชรเม็ดงามและกันชนหน้าทรงใหม่ที่ดูสปอร์ตยิ่งขึ้น บั้นท้ายเพิ่มความล้ำสมัยด้วยโคมหลอดไฟแบบ LED ผลจากการปรับปรุงรูปลักษณ์ภายนอกก็ทำให้ทุกตัวถังมีความยาวเพิ่มขึ้น
ความพิเศษของ Audi RS5 Minorchangeอยู่ตรงที่การออกแบบไฟหน้าฝัง LED Daylight แบบฉบับเฉพาะตัว, ออกแบบชายล่างกันชนต่ำลง, ติดตั้งเครื่องยนต์ V8 ความจุ 4.2 ลิตร 450 แรงม้าที่ 8,000 รอบต่อนาที ขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา Quattro ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 4.6 วินาที
คันต่อมา Audi A2 Concept การกลับมาในชื่อ A2 อีกครั้งหนึ่งในรูปแบบรถไฟฟ้าขนาดเล็กอีกครั้งหนึ่งหลังจากเคยเปิดตัวและวางจำหน่าย Audi A2 รุ่นแรกไปในปี 1999 และเลิกการผลิตในปี 2005 ด้วยยอดจำหน่ายเพียงเกือบ 2 แสนคันสร้างความเจ็บปวดให้กับออดี้ จนต้องขอเก็บตัว เก็บข้อมูลทางการตลาดเสียใหม่
วันนี้ก็ได้เผยโฉมAudi A2 EV Concept อีกครั้ง พร้อมแนวคิดใหม่ รถยนต์ 5 ประตูขนาดเล็กสำหรับคนเมือง พร้อมพุ่งชน BMW i3 เข้าอย่างจัง ด้วยสไตล์ตัวถัง และขุมพลังที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 85 กิโลวัตต์ พร้อมแรงบิด 199 ปอนด์-ฟุต สร้างอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ด้วยเวลาเพียง 9 วินาที ความเร็วสูงสุดที่ 160 กม./ชม.สามารถเดินทางได้ 201 กม. จากการชาร์จไฟเพียงครั้งเดียว
Audi A2 Concept มาพร้อมนวตกรรมตัวถังทำจากวัสดุอลูมิเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์ ทำให้มีน้ำหนักเพียง 1,149 กก.เบากว่า BMW i3 ถึง 90 กก.
ด้วยรูปร่างหน้าตา Audi A2 Concept ที่ชวนให้เราคิดว่ามันดูเหมือนรถผลิตจริงมากขนาดนี้คงไม่แคล้วจะได้ขายจริงแน่ ซึ่งก็ทำนายไม่ผิดหรอกครับ Audi ให้คำสัญญาว่าจะผลิต A2 Concept เวอร์ชันจริงภายในปี 2013 แน่นอนในเวอร์ชันรถไฟฟ้า 100% ก่อนหลังจาก Audi จะเตรียมปั้นเวอร์ชันรถไฟฟ้าชนิดขยายระยะทางด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในหลักการเดียวกับ Chevrolet Volt ภายในปี 2015
และไฮไลต์สำคัญของ Audi งานนี้คือรถต้นแบบ Audi Urban Concept รถนาครรูปแบบใหม่ 2 ที่นั่งล้ำอนาคต หากใครมองว่ามันดูไกลอนาคตมากเกินไปก็เห็นทีต้องบอกว่าเทรนด์ตลาดรถไว้สำหรับการขนส่งระยะสั้นจากบ้านไปยังระบบคมนาคมกำลังจะมา
Audi ถึงขั้นอวดโฉม Urban Concept ถึง 2 รูปแบบตัวถังได้แก่ทรงคูเป้ขนาดย่อมสวยสปอร์ตและทรงเปิดประทุนที่มีรูปลักษณ์คล้ายกับรถ Hot Rod ในอดีต
Audi ในฐานะรถระดับพรีเมี่ยมคงจะไม่มีใครว่าแน่หากทำออกมาราคาไม่ถูก แน่นอนว่ามันอัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีการใช้วัสดุตัวถังคาร์บอนไฟเบอร์ CFRP รูปลักษณ์ก็เหมือนกับรถแข่งบนสนามบนล้อขนาดใหญ่โต 21 นิ้ว ดีไซน์ภายในห้องโดยสารได้รับแรงบันดาลใจการออกแบบจากอากาศยานเพียงแต่ลดความเยอะให้อยู่ในจุดที่เรียบง่ายมากขึ้น
น่าแปลก Audi จัดที่นั่งผู้ขับขี่และผู้โดยสารขนานกัน แต่ร่นเบาะผู้โดยสารให้ขยับไปด้านหลัง 30 มม. ซึ่งก็เคลมว่ามีเนื้อที่ไหล่และสะโพกเพียงพอ
Audi Urban Concept ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด ให้กำลังรวมกัน 20 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 4.79 กิโลกรัมเมตร ให้อัตราเร่ง 0-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในประมาณ 6 วินาที สามารถไต่ความเร็ว 0-100 กิโลเมตรภายใน 16.9 วินาที ถือว่าพอไปได้เพราะรถต้นแบบคันนี้น้ำหนักเพียงแค่ 480 กิโลกรัม หากคุณชาร์จประจุไฟฟ้าเต็มก็สามารถวิ่งได้ถึง 73 กิโลเมตร ฟังแล้วคงดูงั้นๆ แต่เชื่อหรือไม่ว่าคุณสามารถชาร์จประจุแบบด่วนได้ภายใน 20 นาทีกันเลยครับ
Bentley
ไหน ๆ ค่ายรถในเครือ Volkswagen มากันถ้วนหน้า ไฉนเลย Bentley จะต้องตกเวทีอย่างน้อย ๆ ก็สรรหามุขเด็ดที่พอจะอวดโฉมได้นั่นก็คือ Bentley MusannExcutive Interior Concept การตกแต่งภายในที่หรูหราอลังการ ประดับไปด้วยอุปกรณ์เชื่อมต่ออีกมากมายด้วยการติดตั้ง iPadด้านหลังพร้อมแป้นคีย์บอร์ดต่อเสริมจนกลายเป็น Workstation สมบูรณ์แบบ, ติดตั้งหน้าจอ LED พับเก็บบริเวณหลังคาได้เพื่อสามารถรับชมความบันเทิงหรือนำเสนองานผ่านหน้าจอ iPadได้ ที่สำคัญยังสามารถเชื่อมต่อกับ iPod ได้ด้วยสายเชื่อมต่อ
Bentley Continental GTCConvertible มาอวดโฉมงานนี้เช่นกัน ถือเป็นรุ่นอัพเดทประจำปี 2012 จนดูล้ำค่ายนตรกรรมขึ้นมากไล่ตั้งแต่การเปลี่ยนชุดโคมไฟหน้าให้มีโคมเล็กกับโคมใหญ่ได้สัดส่วนมากขึ้น, เปลี่ยนแปลงชุดกันชนหน้าและช่องดักลมให้ดูภูมิฐานมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ Bentley ยังลงทุนเกลาเส้นสายด้านหน้าให้กลมกลึงลงตัวมากยิ่งขึ้นเพื่อให้รับกับเส้นสายทั้งหมดที่เฉียบคมขึ้น แม้จะปรับเล็กน้อยแต่ก็ได้ผลดีอย่างมากเพราะมันสวยขึ้นเยอะถ้าไม่ใช่ Bentley ทำไมได้
เครื่องยนต์กลไก Bentley Continental GTC วางขุมพลัง 12 สูบ 6.0 ลิตร ให้กำลังแบบเรียงเลขสวย ๆ 567 แรงม้า มอบอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 4.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 313 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
BMW
โดยส่วนตัวผมให้บูธ BMW กลายเป็นดาวเด่นประจำค่ายรถยนต์ระดับหรูแซงหน้าแบรนด์อื่นหมดเพราะอะไรรู้ไหม? เพราะ BMW นำรถต้นแบบ i3 และ i8 มาอวดโฉมเพื่อให้ลูกค้าตัวจริงได้เรียนรู้ระบบและใช้งานจริงได้ก่อนวันจำหน่ายจริงภายใน 3 ปีข้างหน้า
จุดเด่นทั้ง BMW i3 และ i8 ก็คือมันจะใช้เทคโนโลยีงานวิศวกรรม LifeDrive Concept ร่วมกันประกอบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าประกบกับชุดแบตเตอรี่ภายใต้โครงสร้างตัวถังน้ำหนักเบาระดับสุดยอดด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ CFRP ล้ำหน้าถูกออกแบบให้มีความปลอดภัยในระดับสูงสุดซึ่งเรียกว่าโมดูลด้วยการจัดสรรเนื้อที่วางขุมพลัง, แบตเตอรี่, ห้องโดยสารและห้องสัมภาระอย่างพอดิบพอดี จึงมีความเป็นไปได้สูงมากว่ารถยนต์ BMW ตระกูล I น่าจะมีการแชร์ชิ้นส่วนและเทคโนโลยีสูงจนสามารถลดต้นทุนการผลิตได้
BMW i3 รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กใช้วัสดุตัวถังและโครงสร้างจากคาร์บอนไฟเบอร์CFRP แต่มีโครงสร้างตัวถังปลอดภัยเพียงพอเกินมาตรฐานการชนยุคปัจจุบันถึงแม้มันมีมิติความยาวเพียงแค่ 3,845 มม. ความกว้าง 2,011 มม. สูง 1,537 มม.และความยาวฐานล้อ 2,570 มม มีเนื้อที่ห้องสัมภาระ 200 ลิตร.แบกน้ำหนักมากถึง 1,250 กิโลกรัมนั่นเป็นเพราะรับน้ำหนักมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่นั่นเอง
ภายในห้องโดยสาร BMW i3 เน้นความปลอดโปร่งล้ำสมัยเสมือนเรานั่งอยู่ในห้องเลาจ์โดนเฉพาะเบาะนังห่อหุ้มด้วยหนังแท้สีแทนธรรมชาติ ใช้วัสดุเส้นใยไฟเบอร์จากธรรมชาติเน้นการนำกลับมาใช้ใหม่
มอเตอร์ไฟฟ้าติดตั้งด้านหน้ารถส่งกำลังขับเคลื่อนไปยังล้อหลังด้วยขุมพลัง 170 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 25.49 กิโลกรัมเมตร ให้อัตราเร่ง 0-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 3.9 วินาที, 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 7.9 วินาที !!! แรงกว่ารถซีดานขนาดใหญ่เสียด้วย มีระยะทางวิ่งสูงสุด 130-160 กิโลเมตรเพียงพอสำหรับการใช้ในชีวิตประจำวัน
ใช้เวลาการชาร์จประจุให้เต็มด้วยไฟฟ้าบ้านภายใน 6 ชั่วโมง และชาร์จประจุด่วนภายใน 1 ชั่วโมง แต่มีประจุไฟฟ้าเพียงแค่ 80% เท่านั้น BMW ให้สัญญาว่าจะพัฒนา i3 เวอร์ชันขยายระยะทางได้ในอนาคต ส่วนข่าวลือที่ว่า BMW จะตั้งราคา i3 ถูกกว่า 5-Series นั้นก็ยังมีความเป็นไปได้สูงจากการยกเว้นภาษีรถไฟฟ้าในยุโรปหลายที่
BMW i8 มาในมาดคูเป้ซูเปอร์คาร์ระดับบนจนน่าจะเรียกได้ว่าเป็น Exotic Car ได้เลย โดดเด่นด้วยขุมพลัง Plug-in Hybridนำชุดมอเตอร์ไฟฟ้าจาก BMW i3 ส่งกำลังขับเคลื่อนล้อคู่หน้า ขณะที่เครื่องยนต์สันดาปภายใน 3 สูบ 1.5 ลิตร 220 แรงม้า !!! แรงบิดสูงสุด 30.59 กิโลกรัมเมตร ส่งกำลังไปยังล้อคู่หลังเก็บพลังงานแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออน และที่น่าทึ่งก็คือ BMW จัดสรรน้ำหนักตัวรถถึง 50 : 50 อีกต่างหาก
ผลลัพธ์น่าที่งมาก BMW i8 ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรภายใน 5 วินาที แต่มีอัตราสิ้นเปลืองเพียงแค่ 3 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือประมาณ 30 กิโลเมตรต่อลิตร ประหยัดกว่าอีโคคาร์และรถ Hybrid ชื่อดังที่กำลังวางจำหน่ายในปัจจุบันเสียด้วยเชื่อว่า BMW i8 น่าจะปฏิวัติวงการซูเปอร์คาร์ให้ตื่นตัวด้านความแรงและการประหยัดพลังงานอย่างลงตัวในยุคหน้า
BMW M5 หรือเรียกกันให้คนรักรถยี่ห้อไตคู่เรียกว่า F10M อันเป็นรหัสตัวถัง 5-Series รุ่นปัจจุบันเวอร์ชันแรงนั่นเอง ภายนอกตกแต่งด้วยชุดแอโรพาร์ทแบบฉบับ BMW M5 ยุคใหม่ถูกออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ โดยเฉพาะกันชนหน้ามีช่องดักลมขนาดยักษ์ดูสวยงามและระบายอากาศได้ดีไปในตัว, บั้นท้ายติดตั้งท่อไอเสีย 4 ท่อ, ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว, ไฟหน้าเป็นแบบ Xenon
ภายในห้องโดยสารปรับปรุงรายละเอียดภายในเพียงเล็กน้อยเท่านั้นพร้อมติดตั้งหน้าจอ iDriveขนาด 10.2 นิ้ว ส่วนเทคโนโลยีความปลอดภัยก็เพียบพร้อมไปด้วย ระบบ Night Vision, ระบบป้องกันเปลี่ยนเลนกะทันหัน เป็นต้น
ขุมพลัง BMW M5 รุ่นใหม่เด็ดดวงด้วยเครื่องยนต์บล๊อก V8 4.4 ลิตร 560 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 68.68 กิโลกรัมเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 4.4 วินาที, 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 13 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจะแรงถึง 305 กิโลเมตรต่อชั่วโมงหากเลือกรุ่น M Driver Package มีอัตราสิ้นเปลือง 9.9 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสียคาร์บอนไดออกไซด์ 232 กรัมต่อกิโลเมตร
ระบบกันสะเทือนด้านหน้าควบคุมด้วยแดมเปอร์ไฟฟ้าสามารถปรับโหมดความนุ่มนวลแบบ Sport, เน้นการขับขี่แบบ Sport และ Sport+, พวงมาลัยควบคุมด้วย Servotronic, Diferrantialด้านหลังเชื่อมต่อกับระบบควบคุมการทรงตัว DSC ที่สามารถเก็บข้อมูลบนพื้นถนนและประมวลผลตามสภาพท้องถนน
BMW 1-Series Performance Studieแค่ชื่อก็บ่งบอกแล้วว่า “กำลังศึกษา” ครับ มันก็คือการนำ 1-Series โฉมใหม่มาประดับชุดแต่งรอบคัน ภายในห้องโดยสารก็ตกแต่งผ้า Alcanteraพร้อมทั้งเปลี่ยนวงพวงมาลัยใหม่ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 184 แรงม้า (HP) อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 7.2 วินาที หากใครสนใจก็ต้องแลกด้วยเงิน 48,000 ดอลลาร์ แต่ไม่รู้ว่า BMW จะขายหรือไม่
Citroen
น่าแปลกเหมือนกันที่ Citroen อวดโฉมรถตู้หน้าแปลกประหลาด (ส่วนใครมีนิยามอื่นก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์) นามว่า Tubikวยแนวคิดการเดินทางที่แฝงไปด้วยความสนุก สามารถแบ่งปันประสบการณ์, มีความอัจฉริยะ, การเชื่อมต่อและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
Citroen ให้เหตุผลของการพัฒนรถต้นแบบคันนี้ว่าเวลาแห่งการเดินทางสำคัญกว่าระยะเวลา ในโลกยุคใหม่ใบนี้ ข้อมูลข่าวสารแล่นไวกว่ารถยนต์เสียอีก ในการท่องเที่ยวครั้งหนึ่งมีความหมายแตกต่างจากการเดินทาง ยานพาหนะสมัยใหม่จึงจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับโลการติดต่อสื่อสารเคลื่อนที่ดังนั้นภายในห้องโดยสารจึงออกมาในสไตล์เลาจ์ยอดนิยมของรถระดับสูง
รถตู้หน้าประหลาดคันนี้ติดตั้งขุมพลัง Hybrid4 ผสานกำลังเครื่องยนต์ดีเซลกับมอเตอร์ไฟฟ้า ปล่ยอไอเสีย CO2 ต่ำมาก และสามารถขับเคลื่อนผู้โดยสาร 9 ที่นั่งอย่างสบาย
Fiat
ไลน์สินค้า Fiat อาจจะดูไม่สดใหม่มากนักถ้าเปรียบเทียบกับคู่แข่ง แล้วยิ่งเมื่อถึงฤดูการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของเขาหลายคนก็จะจดจำได้ดี ล่าสุด Fiat เปิดตัว Panda Modelchangeในงานประชันหน้ากับ Volkswagen Up คู่แข่งรถระดับ A-Segment โดยตรงอย่างช่วยไม่ได้
Fiat Panda Modelchangeอย่างไม่เกรงกลัวใครเพราะรุ่นที่แล้วมันประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งยอดขายและคำชม คราวนี้ยังคงคุณสมบัติเด่นไว้เช่นเดิม ดีไซน์ตัวถังคล้ายกับรุ่นเดิมถึงจะไม่ล้ำสมัยแต่จับปรับเปลี่ยนให้มันดูโค้งมนทันสมัยน่ารักมากยิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับรถ A-segment ยุคปัจจุบันก็ถือว่ามันมีเสน่ห์ในตัวของมัน มีมิติความยาว 3.65 เมตร ความกว้าง 1.64 เมตร และสูง 1.55 เมตร ขนาดไม่แตกต่างจากเดิมแต่เชื่อหรือไม่ว่า Fiat พยายามจัดตำแหน่งเบาะนั่งให้สบายขึ้นอีกทั้งยังมีเนื้อที่ห้องสัมภาระใหญ่ขึ้นอีกด้วย
แต่ไม้เด็ดของ All New Fiat Panda ที่คู่แข่งต้องสะพรึงกลัวก็คือ ภายในห้องโดยสารที่เทียบชั้นได้กับ Citroen C3/DS3 ที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีภายในที่ประณีตขั้นเทพ ไม่มีเนื้อเหล็กหรือสีฉีดพ่นเพื่อลดต้นทุนซึ่งงานนี้มาแปลกพอสมควร เพราะแทบทุกค่ายจะมุ่งเน้นการลดต้นทุน A-Segment ให้ได้มากที่สุด อาจเป็นเพราะ Fiat ตั้งความหวังให้ Panda เป็นรถที่ดีที่สุดในกลุ่มนับจากนี้ไปหลังจากเจเนเรชั่นปัจจุบันทำสำเร็จมาแล้ว
ภายในห้องโดยสารเมื่อเทียบกับรุ่นปัจจุบันพบว่ามันเปลี่ยนไปใช้วัสดุที่ดูดีขึ้นมาก แผงแดชบอร์ดเน้นการใช้งานหลายฟังก์ชัน เรียกว่าแทบทุกเนื้อที่ของแผงแดชบอร์ดสามารถใช้งานได้ อาทิ ปุ่มควบคุมบนพวงมาลัยสารพัด, ช่องเก็บของเปิดโล่งบริเวณผู้โดยสารตอนหน้า, ออกแบบปุ่มควบคุมต่าง ๆ คล้ายกับเครื่องเล่นเพลง MP3 ใช้งานสะดวก
เครื่องยนต์สำหรับ All New Fiat Panda มีให้เลือกถึง 6 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ เครื่องยนต์เบนซิน 0.9 ลิตร TwinAir65 แรงม้า (PS) ถ้าติดเทอร์โบด้วยจะมีกำลัง 85 แรงม้า (PS), เครื่องยนต์ 1.2 ลิตรติดตั้งเทคโนโลยี Fire 69 แรงม้า (PS), เครื่องยนต์ดีเซล MultiJet II 1.3 ลิตร ให้กำลัง 75 แรงม้า (PS) ส่วนเครื่องยนต์พลังงานทางเลือกก็มีให้เลือกเครื่องยนต์ 0.9 TwinAir Turbo Natural Power ให้กำลัง 80 แรงม้า (PS) ใช้เชื้อเพลิงก๊าซมีเทนและเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร EasyPower69 แรงม้า (PS)
Fiat PuntoMinorchangeครั้งที่ 2 เป็นการกลับมาครั้งล่าสุดของชื่อ Puntoแท้ ๆ โดยไม่ต้องมีชื่อสร้อยเติมหน้าหรือห้อยท้ายแต่อย่างใด เปลี่ยนชื่อแล้วก็เปลี่ยนหน้าตาเสียใหม่ กลับไปอนุรักษ์นิยมแบบที่ Fiat Puntoเคยเป็นมา ด้านรูปลักษณ์ภายใน มีการปรับผ้าตกแต่งเบาะนั่งใหม่ รวมถึงการจัดรุ่นตกแต่งใหม่ ในชื่อ Pop, Easy และ Lounge
ส่วนด้านงานวิศวกรรม มีการเพิ่มเครื่องยนต์ใหม่ 2 บล็อก ได้แก่เครื่องยนต์เบนซิน 2 สูบ 0.9 ลิตร เทอร์โบ TwinAirสร้างกำลัง 85 แรงม้าและแรงบิด 145 นิวตัน-เมตร ในขณะที่อีกบล็อกหนึ่งคือเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง 1.3 ลิตร Multijetพร้อมกำลัง 85 แรงม้าเช่นกันแต่เพิ่มแรงบิดขึ้นเป็น 200 นิวตัน-เมตร
Fisker
ค่ายเล็ก ๆ หัวใจใหญ่ก็เผยโฉม Fisker Surf แฮทช์แบคยักษ์สุดหรูโดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่งค่ายเล็กค่ายน้อยรวมไปถึงค่ายใหญ่ ๆ อีกด้วย รถคันนี้ถูกพัฒนาบนพื้นฐาน Karma Platform โดยให้นิยมรูปลักษณ์ของรถว่าเป็นรถลูกผสมระหว่างรถสปอร์ตและรถแวกอน ก็จริงของเขา ลองสังเกตดี ๆ ก็พบว่าสัดส่วนตัวรถมีความเป็นรถสปอร์ตมาก ๆ เพียงแต่มีบั้นท้ายยื่นออกมาเพียงเท่านั้นเอง มันเกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองรถระดับพรีเมี่ยมที่สามารถมอบความอเนกประสงค์ของห้องโดยสาร, สมรรถนะและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน
เครื่องยนต์กลไกก็ยกมอเตอร์ไฟฟ้าผนวกเครื่องยนต์สันดาปภายในขยายระยะทางมาจาก Fisker Karma ให้กำลัง403 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 132.56 กิโลกรัมเมตรแบบไร้รอบ มีระยะทางวิ่งสูงสุด 483 กิโลเมตร มีอัตราสิ้นเปลือง 2.4 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ต่ำแค่ 83 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 5.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
Ford
ค่ายรถตลาด ๆ ที่คิดว่าอลังการที่สุดในงานนี้คงหนีไม่พ้นค่าย Ford ถ้านับกันเฉพาะแต่ละแบรนด์นะครับ ถ้านับแบบอื่นคงจะสู้ Volkswagen Group ไม่ได้เพราะยี่ห้อพี่เขามีเยอะ คันแรกที่ Ford ภูมิใจนำเสนอคือ Ford Focus ST เวอร์ชันสปอร์ตตัวแรง ความพิเศษด่านแรกคือรูปลักษณ์ที่ดูคล้าย Ford Focus EV ไม่น้อย ซึ่งมีให้เลือกทั้งเวอร์ชันตัวถัง 5 ประตูหรือแวกอน โดยเฉพาะตัวถังแบบหลังนั้นสร้างความแปลกใหม่ในวงการพอสมควร
เครื่องยนต์ Ecoboost 2.0 ลิตรเทอร์โบ ฉีดเชื้อเพลิงตรงให้กำลัง 247 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 36.70 กิโลกรัมเมตร จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ เรื่องความแรงคงหมดห่วงแต่เชื่อหรือไม่ Ford ลงทุนปรับจูนเสียงเครื่องยนต์และท่อไอเสียโดยใช้วิศวกรทางด้านเสียงมาช่วยคำนวณเพื่อให้เกิดความรู้สึกเร้าใจยิ่งขึ้น ยังไม่พอทีมวิศวกรยังเข้มงวดกับการปรับแต่งพวงมาลัยไฟฟ้าอย่างหนักเพื่อให้การบังคับควบคุมรถที่มีแรงม้าสูงขับเคลื่อนล้อหน้าให้เฉียบคมมากที่สุด
ส่วนรุ่นพิเศษ Ford Focus ST-R ถูกพัฒนาขึ้นจากการปรับแต่งรถแข่งของฟอร์ดเพื่อวางจำหน่ายให้แก่ลูกค้าทั่วไป
มาพร้อมเครื่องยนต์ทรงพลัง Ecoboost ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมเหล็กกันโครงที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานของสมาพันธ์รถยนต์นานาชาติ (FIA) ระบบเบรกที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และช่วงล่างที่ได้รับการปรับจูนให้เหมาะสำหรับการขับในสนามแข่ง
เมื่อมีรุ่นพี่ก็ต้องมีรุ่นน้อง Ford Fiesta ST Concept ยังเป็นแค่โปรโตไทป์ยังไม่วางจำหน่ายจริง รูปลักษณ์ด้านหน้าถอดแบบจากรุ่นพี่ Fiesta ST ชนิดที่ไม่ต้องสืบสายคำบรรยายใด ๆ จุดเด่นอยู่ที่ใต้ฝากระโปรงรถด้วยขุมพลัง Ecoboost 1.6 ลิตร ให้กำลัง 180 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 24.47 กิโลกรัมเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไม่ถึง 7 วินาที ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ต่ำกว่า 140 กรัมต่อกิโลเมตร ส่วนจะได้เกิดหรือไม่ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะผลิตครับ
มาถึงรถต้นแบบที่ใคร ๆ พูดถึง Ford Evos Concept (อ่านว่า อีโวส มิใช่ อีโว แบบเดียวกับ Mitsubishi) เป็นรถต้นแบบที่สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางการออกแบบใหม่ของ Ford รวมทั้งยังเป็นการส่งสัญญาณถึงการนำเสนอระบบส่งกำลังและเทคโนโลยีที่มีความสำคัญอย่างมากสำหรับรถยนต์ในอนาคต
Ford Evos Concept ก็น่าจะเป็น DNA การออกแบบใหม่ทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสารของรถยนต์ Ford ยุคหน้าต่อจาก Kinetic Design II ค่อนข้างแน่นอน กว่ารถจะออกมาสวยงามขนาดนี้ก็ต้องทุ่มแรงกายแรงใจจากนักออกแบบทั่วโลกภายใต้แนวคิด One Ford คุณลองสังเกตให้ดีว่านับจากนี้ไปรถยนต์รุ่นใหม่หรือรถต้นแบบมักจะมีหน้าตาแนว ๆ นี้กันเลยทีเดียว
จุดเด่นของมันนอกเหนือจากการประกาศตนว่านี่แหล่ะคือเส้นสายความเป็น Ford ยุคหน้าแล้ว Ford ยังได้ทดลองแนวคิดความเป็นสมาร์ทโฟนที่ประมวลผลผ่านเซิร์ฟเวอร์หรือที่นักไอทีให้นิยามว่าระบบ Cloud Computing โดยที่เราไม่จำเป็นต้องใช้ฮาร์ดแวร์ที่ฉลาดล้ำเลิศมากเกินไป คุณสามารถดูงานเอกสาร, เชคอีเมล์จากบริการ Google ได้ สามารถประมวลผลข้อมูลการจราจรผนวกกับข้อมูลตัวรถยนต์เองว่ามีความสามารถในการเดินทางแค่ไหน? ปลอดภัยไหม? เป็นต้น
Honda
ความหวังครั้งสำคัญที่จะเตรียมตะลุยตลาดยุโรปก็คือ All New Honda Civic European Version เกิดมาเพื่อฟาดฟันคู่แข่ง C-Segment ในตลาดอย่างอาจหาญ ผู้รับผิดชอบการพัฒนารถรุ่นนี้คือ Mr. Mitsuru Kariya ภายใต้โครงการ ‘Large Project Leader’ (LPL) แค่ชื่อนั่นก็แสดงว่า Honda คาดหวัง Civic โฉมใหม่ตัวนี้อย่างมาก
All New Honda Civic European Version โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์แฮทช์แบคที่เตะตาเหมือนกับรุ่นที่แล้วแต่ปรับดีไซน์บางส่วนที่ได้แรงบันดาลใจมาจากปีกลำตัวอากาศยาน เพื่อบ่งบอกสถานภาพว่าเป็น Civic ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยวิจัยและพัฒนารถยนต์มา
Honda Civic โฉมใหม่ตอบรับกับความต้องการของลูกค้าชาวยุโรป 100% ลูกค้า Civic รุ่นปัจจุบันมีความต้องการที่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากรูปลักษณ์ทันสมัยและการขับขี่ที่ดีก็จำเป็นต้องมีเทคโนโลยีล้ำหน้าเพื่อประหยัดน้ำมันและรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย
ทีมงานใช้เวลาพัฒนา All New Honda Civic เวอร์ชันยุโรปถึง 4 ปีเต็ม ใกล้เคียงกับการพัฒนารถรุ่นใหม่แบบใหม่ถอดด้ามซึ่งใช้เวลา 5 ปีเต็ม ทำไมพวกเขาถึงทำกันนานมากทั้งที่ยังใช้แพลทฟอร์มเดิมอยู่? คำตอบคือพวกเขาใช้เวลาปรับจูนช่วงล่างและการขับขี่อย่างหนัก, ปรับปรุงคุณภาพภายในห้องโดยสารให้ดียิ่งกว่า, ออกแบบตัวถังให้ลดแรงเสียดทาน, ปรับปรุงเครื่องยนต์เพื่อให้ประหยัดและลดมลภาวะยิ่งขึ้น
All New Honda Civic สำหรับตลาดยุโรปติดตั้งเครื่องยนต์ i-Dtec ขนาด 2.2 ลิตรใหม่ ความจุใหญ่สวนทางกับคู่แข่งในตลาดพอสมควร โดยมีจุดเด่นที่พละกำลัง 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 35.69 กิโลกรัมเมตร แต่ปล่อยค่าไอเสีย CO2 เพียง 110 กรัมต่อกิโลเมตร นั่นเป็นเพราะปรับปรุงทางเดินน้ำมันเชื้อเพลิงให้ มีประสิทธิภาพ, ออกแบบชิ้นส่วนให้ลดการเสียดสี และติดตั้งเทคโนโลยี idle Stop กับทุกรุ่นไม่เว้นแม้แต่เกียร์ธรรมดา
Honda Insight มาพร้อมหน้าใหม่เปลี่ยนแปลงชิ้นเปลือกกันชนหน้า ให้ความสปอร์ตโฉบเฉี่ยวมากขึ้น ในขณะที่ด้านหลัง มีการออกแบบชิ้นสปอยเลอร์ใหม่ ให้มีขนาดเล็กลง บดบังทัศนวิสัยน้อยลง ในส่วนของรายละเอียดทางวิศวกรรม มีการปรับปรุงเครื่องยนต์ให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น และปล่อยมลพิษออกมาน้อยลง เหลือ 96 กรัม/กม. อีกทั้งยังปรับปรุงระบบปรับอากาศภายในรถ และปรับจูนระบบช่วงล่างใหม่
Hyundai
ปีนี้มาเนิบ ๆ แต่เน้น ๆ ด้วยการอวดโฉม Hyundai i30 Modelchange ดูเผิน ๆ เหมือนกับ Elantra จับมาทำเป็นรถท้ายตัด ไล่ตั้งแต่ดีไซน์ด้านหน้าดูโดดเด่นด้วยกระจังหน้าลายใหม่ทรงแปลกตา ตกแต่งลวดลายช่องดักลมแบบ U คว่ำ ขยายช่องไฟตัดหมอกหน้าให้ดูใหญ่ยิ่งขึ้น แต่ชุดไฟหน้าดูไม่ค่อยแตกต่างจาก Elantra มากนัก เส้นสายตัวถังมาแนว fluidic sculpture แม้กระทั่งไฟท้ายก็ดูคล้ายๆ Hyundai Elantra ภายในห้องโดยสารก็ดัดแปลงจาก Hyundai Elantra ให้ดูธรรมดาสามัญขึ้นเล็กน้อย
Jaguar
ความน่าสนใจของ Jaguar คือการปรับปรุงแบรนด์ของตนเองให้มีความแตกต่างจากชาวบ้านและสามารถไต่ระดับตนเองไปอยู่ในระดับ Exotic Brand ประจำทศวรรษใหม่ได้อย่างเต็มปากละทิ้งความคลาสสิคในวันเก่า ๆ ทิ้งไป แล้วเลือกความคลาสสิคบางส่วนมาผสมกับสัดส่วนล้ำสมัย ผลที่ได้มันคือแบรนด์ Jagaur ยุคใหม่ที่หลายคนถวิลหา
Jaguar กระตุ้นต่อมอยากด้วยรถต้นแบบ C-X16 concept แค่ชื่อก็บอกแล้วว่าน่าจะเป็นรุ่นเล็กพอสมควร แต่เล็กของ Jaguar ก็น่าจะใหญ่สำหรับบางคนอยู่ดีเพราะมันจะมาฟาดฟันกับ Porsche Cayman ได้อย่างสูสี แต่แอบกินขาดด้วยขุมพลัง Hybrid ผนวกเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ 376 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 45.90 กิโลกรัมเมตร สามารถเรียกใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 95 แรงม้า แรงบิดถึง 45.88 กิโลกรัมเมตร ด้วยแค่ปุ่มพวงมาลัยปุ่มเดียวเท่านั้น!!
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 4.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 310 กม./ชม. ในขณะที่สามารถขับด้วยพลังมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียวได้สูงสุดที่ 80 กม./ชม. ติดตั้งแบตเตอรี่เก็บประจุไฟฟ้าบริเวณหลังเบาะนั่งหลัง ทำให้เฉลี่ยน้ำหนักหัว-ท้าย อัตราส่วน 50:50 ได้พอดี
ส่วนจะผลิต Jaguar C-X16 Concept ได้ในช่วงไหนนั้นยังบอกไม่ได้ แต่เชื่อเหลือเกินว่ายังไง ๆ มันจะต้องผลิตออกมาให้เห็นแน่นอนไม่เกิน 2 ปีข้างหน้า
Kia
Kia GT Concept คือสัญลักษณ์ความท้าทายใหม่ของแบรนด์สัญชาติเกาหลีที่หลายคนยังดูถูกที่สวนกระแสการออกแบบรถยนต์ได้ล้ำหน้ากว่าค่ายรถอื่น ถึงวันนี้เอกลักษณ์ของตนเองยังไม่ชัดเจนเท่าไรนัก (โดยเฉพาะ Kia) แต่ก็มียังมีพัฒนาการความสวยที่หลายคนปฏิเสธไม่ได้
ความท้าทายของ Kia GT Concept คือการออกมาท้าชนกับรถซีดานคูเป้ขับเคลื่อนล้อหลังระดับหรู ดีไซน์น่าจะใกล้เคียงกับรถแบรนด์ Exotic Car ได้เลยทีเดียว (แต่ขอเรียนสารภาพตามตรงกลิ่น Aston Martin มันมีเยอะมาก) ติดตั้งเครื่องยนต์ V6 3.3 ลิตร 389 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 57.47 กิโลกรัมเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ภายในห้องโดยสารส่วนกระแสรถพรีเมี่ยมด้วยการออกแบบมาเรียบง่ายมาก ๆ ส่วนกำหนดการวางจำหน่ายนั้นยังไม่รู้ว่าผลิตขายหรือไม่
Lamborghini
มาอย่างเงียบ ๆ ด้วย Lamborghini Gallardo Super Trofeo Stradale โดดเด่นด้วยสีสัน “Rosso Mars” สีแห่งชัยชนะรถแข่งอิตาลี ติดตั้งเครื่องยนต์ V10 5.2 ลิตร 570 แรงม้ามาจาก Lamborghini LP570-4 Blancpain Edition อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 3.4 วินาที
สปอยเลอร์หลังมีขนาดใหญ่เพื่อหวังช่วยกดตัวรถให้แนบกับพื้นมากยิ่งขึ้น, ฝากระโปรงรูปจากคาร์บอนไฟเบอร์, ภายในก็ตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์เช่นกัน ใครอยากได้ก็ต้องรีบ ๆ กันเพราะมีอยู่จำกัดแค่ 150 คันเท่านั้น
Land Rover
หลายคนบอกว่าตายแล้วไปไหน บางคนก็บอกว่าเกิดเป็นเทวดาหรือมนุษย์ชาติภพภูมิใดแล้วขึ้นอยู่กับบุญกรรม แต่สำหรับ Land Rover Defender นั้นตายแล้วก็เกิดใหม่เป็น Defender ยุคใหม่ที่ล้ำสมัยขึ้นนั่นเอง พูดง่าย ๆ Land Rover ยังต้องอ้างอิงบุญคุณ Defender อยู่นั่นล่ะ
งานนี้รถต้นแบบ Land Rover Defender ถึง 2 ตัวถังได้แก่ DC100 Defender Concept และ DC100 Sport Defender Concept ความแตกต่างอยู่ตรงที่ประทุนหลังคาและบั้นท้ายเท่านั้น DC100 Defender Concept มาพร้อมภาพลักษณ์ต้นแบบเอสยูวีทรงเหลี่ยมบึกบึนเข้ายุคสมัย ทิ้งภาพลักษณ์เหลี่ยมล้าสมัย เทคโนโลยีโบราณอันเนื่องจากไม่ได้อัพเดทมานานหลายปี น่าแปลกที่ขนาดตัวรถกลับดูเป็นรถคอมแพคท์มากยิ่งขึ้น
Land Rover DC100 Sport Defender Concept ทำหน้าที่เป็นเอสยูวีเพื่อความสนุกสนานในการลุยโคลน ออกแบบตัวรถแบบหลังคาเปิดประทุนคูเป้นิด ๆ ทำให้พอจะย้อนยุคสมัยพวกรถจี๊ปเปิดหลังคากันได้อยู่
ไฮไลต์สำคัญของรถต้นแบบคันนี้ก็คือการเปลี่ยนแปลงระบบขับเคลื่อนใหม่ทั้งหมดจากใช้พื้นตัวถังแบบแชสซีส์รถกระบะก็กลายมาเป็นแพลทฟอร์มใหม่ พร้อมความสามารถตัดการส่งกำลังล้อหลังให้ขับเคลื่อนเฉพาะล้อหน้าได้อย่างเดียวเพื่อความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง
ระบบ Terrain i-scanning ตรวจสอบพื้นผิวถนนแล้วจึงเตือนให้ผู้ขับขี่ปรับโหมดระบบขับเคลื่อนให้ตรงกับสถานการณ์, ใช้เทคโนโลยีโซนาร์เพื่อตรวจสอบพื้นถนนข้างหน้าว่าเปียกลื่นแค่ไหนทำให้ผู้ขับขี่หรือระบบภายในรถสามารถปรับตัวได้เสมอ
ไม่รู้ใครจะผิดหวังมากแค่ไหนกับความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของ Land Rover Defander ยุคใหม่ แต่ที่แน่ ๆ มันจะส่งขึ้นโชว์รูมภายในปี 2015 ด้วยสไตล์การออกแบบไม่แตกต่างจากตัวต้นแบบมาก แต่ก็คงไม่ล้ำขนาดนั้นครับ
Lexus
เผยโฉม Lexus GS450h ในงานนี้กันเลยทีเดียว ถึงแม้เวอร์ชันดั้งเดิมเคยเปิดตัวในงาน Pebble Beach ในสหรัฐอเมริกาไปแล้วก็ตาม รูปร่างหน้าตาของ Lexus GS450h ไม่แตกต่างจากเวอร์ชันปกติต่างกันเพียงแค่โลโก้ Lexus พื้นหลังสีน้ำเงินเท่านั้น
Lexus GS450h ติดตั้งขุมพลัง Hybrid จับคู่ขุมพลัง V6 3.5 ลิตร Atkinson Cycle ติดตั้งเทคโนโลยีฉีดเชื้อเพลิงตรง D4-S ผนวกกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ลูกระบายความร้อนด้วยน้ำปั่นกำลังมากถึง 338 แรงม้า (HP) ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 5.6 วินาที แรงแล้วก็ลมลพิษยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก เพราะมันจะอยู่ในขั้น SULEV II จนเรียกว่าไอเสียสะอาดเอามาก ๆ ทีเดียว
Maserati
บูธนี้มาแปลกอีกแล้วครับท่าน Maserati ยังไม่ยอมแพ้ในโชคชะตาจริง ๆ ถึงขนาดปัดฝุ่นโครงการเอสยูวีระดับหรูขึ้นมาอีกรอบ ทั้งที่ตอนริเริ่มโครงการในปี 2003 ก็ดูสวยหรูแต่ก็ล้มเหลวไปจนแทบจะปล่อยให้คู่แข่งแบรนด์ระดับเดียวกับ Maserati ทำตลาดตรงนี้อิ่มหนำสำราญอย่างสบายใจ
Maserati เคยอวดโฉมรถต้นแบบชื่อ Kubang ในปี 2003 มาแล้วซึ่งเป็นรถที่มีความน่าสนใจมาก ๆ ทั้งความเป็น Maserati ผสมกับเอสยูวีอย่างลงตัว แม้โครงการจะล้มลงต่อหน้าก็ยังยืนหยัดสู้ต่อไปด้วยการเปิดโฉมรถต้นแบบ Maserati Kubang 2011 ในงานนี้
Maserati Kubang Concept ประจำปี 2011 เอสยูวีชื่อไม่เพราะคันนี้ยังคงรักษาสัดส่วนเหมือนกับตัวต้นแบบปี 2003 หลายจุดแต่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งคันและเปลี่ยนแปลงรายละเอียดสำคัญ ได้แก่ ด้านหน้าที่ดูล้ำยุคสมัยมากกว่าเดิม, ขนาดตัวถังใหญ่ขึ้น, เพิ่มความลาดบั้นท้ายให้ดูคล้ายรถคูเป้
Maserati Kubang ยุคใหม่เน้นการขับขี่เป็นหลักสำคัญในการพัฒนาเพื่อผลักดันเน้นคุณค่าแบรนด์ที่เปี่ยมไปด้วยการออกแบบ, ความสปอร์ตและความหรูหรา น่าแปลกที่ไม่ได้ใส่ใจด้านความอเนกประสงค์ภายในมากนัก และโอกาสที่หลายคนจะได้เป็นเจ้าของมีอยู่สูงมาก ๆ ครับ
Mazda
Mazda CX-5 คอมแพคท์ครอสโอเวอร์อย่างเป็นทางการ และยังเป็นรถ Mazda คันแรกที่มีแนวคิดการออกแบบ KUDO จิตวิญญาณแห่งการเคลื่อนไหวพร้อมทั้งบรรจุเทคโนโลยี SkyActiv ด้วย
Mazda CX-5 เป็นครอสโอเวอร์ที่มีบุคลิคขับสนุก ติดตั้งเทคโนโลยี SkyActiv ใหม่ “ทั้งคัน” ทั้งโครงสร้างตัวถัง, เครื่องยนต์ดีเซล/เบนซิน, ระบบส่งกำลัง เพื่อยังคงความสนุกสนานในการขับขี่ภายใต้การรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ขุมพลังมีให้เลือกทั้งเบนซิน SkyActiv-G 2.0 ลิตร และดีเซล SkyActiv-D 2.2 ลิตรมีให้เลือกทั้งรุ่นปกติและแรงเป็นพิเศษ ปล่อยค่าไอเสีย CO2 เพียงแค่ 120 กรัมต่อกิโลเมตรในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลขับเคลื่อนล้อหน้า เกียร์ธรรมดาพร้อมระบบ i-Stop
Mercedes-Benz
เวทีนี้ต้องอวดรถตลาดที่มั่นใจว่าน่าจะตีตลาดได้แน่อย่าง Mercedes-Benz B-Class รูปร่างหน้าตา Mercedes-Benz B-Class โฉมใหม่จะไม่แตกต่างจากรถต้นแบบ BlueZero เมื่อ 2 ปีก่อนมากนักและยังไม่ละทิ้งความเป็นรถอเนกประสงค์ขนาดคอมแพคท์ ด้วยมิติตัวถังความยาว 4,359 มม. ความกว้าง 1,786 มม. ความสูง 1,557 มม.
ดีไซน์เพิ่มความพลิ้วไหวด้วยเส้นด้านข้าง ด้านหน้าถอดเอกลักษณ์ Mercedes-Benz ยุคใหม่มาใส่ สัดส่วนโครงสร้างตัวถังคล้ายกับจับนำ R-Class มาย่อส่วน เห็นสูงโด่งขนาดนี้เชื่อหรือไม่ว่ามีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน 0.26
ภายในห้องโดยสารออกแบบได้สดใสเกินกว่าภาพลักษณ์ตัวรถเล็กน้อย ชิ้นส่วนภายในก็ได้รับอิทธิพลจาก Mercedes-Benz ยุคใหม่หลายรุ่น พร้อมอัดอุปกรณ์สารพัดจนเราแอบคิดว่านี่มัน S-Class ย่อส่วนชัด ๆ ได้แก่ ระบบปรับไฟหน้าอัตโนมัติ, ระบบส่องจุดบอด/ป้องกันเปลี่ยนเลนกะทันหัน, ระบบเตือนผู้ขับขี่ให้สนใจการขับขี่, ระบบจำกัดความเร็ว, ระบบช่วยจอด, Linguatronic, DISTRONIC PLUS, ระบบป้องกันการชน
ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร 122 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 20.39 กิโลกรัมเมตร และยังมีเวอร์ชันแรง 156 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 25.49 กิโลกรัมเมตร เครื่องยนต์ดีเซล 1.8 ลิตร 109 แรงม้า (PS) 25.49 กิโลกรัมเมตร และอีกเวอร์ชัน 136 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 30.59 กิโลกรัมเมตร จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะและเกียร์ Dual Clutch 7 จังหวะ
จุดเด่นสำคัญของ B-Class โฉมใหม่คือพื้นตัวถังแบบ Energy Space มิใช่รองรับเครื่องยนต์สันดาปภายในเท่านั้น แต่ยังรองรับการใช้พลังงานอื่น ๆ เช่น แก๊ซธรรมชาติ, มอเตอร์ไฟฟ้า ฯลฯ สามารถจัดสรรอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องไว้ด้านล่างเบาะหลัง ไม่กินเนื้อที่ห้องสัมภาระหรือห้องโดยสาร
Mercedes-Benz F125! Concept แค่ตั้งชื่อก็ทราบดีเลยว่ามันเป็นรถต้นแบบที่ออกมาเฉลิมฉลองครบรอบแบรนด์ 125 ปี และที่สำคัญมันเป็นรถล้ำสมัยถึงปี 2025 ป่านนั้นผมก็คงเป็นหนุ่มใหญ่วัย 40 ต้น ๆ แล้ว ถ้าเว็บ Headlightmag.com ยังอยู่เราก็จะมาพิสูจน์กันอีกทีครับ
รถต้นแบบคันนี้ใช้พลังไฮโดรเจนเหลวเพื่อแปลงเป็นไฟฟ้าจ่ายพลังให้แก่มอเตอร์ 4 ตัวแยกอิสระ 4 ล้อ!! ให้กำลัง 208 แรงม้า แต่สามารถเร่งกำลังได้อีกถึง 308 แรงม้า 50.30 กิโลกรัมเมตรเก็บประจุแบตเตอรี่เทคโนโลยีล้ำหน้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 4.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่สำคัญมีระยะทางวิ่งสูงสุดถึง 1,000 กิโลเมตร มากกว่ารถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน!!
อัดแน่นไปด้วยนวตกรรมชิ้นส่วนตัวถังทำจากคาร์บอนไฟเบอร์, พลาสติกกำลังอัดสูงผสมกับเหล็กกล้าคุณภาพสูงและอลูมิเนียม ภายในห้องโดยสารก็สุดเลิศล้ำด้วยเทคโนโลยีจากสมาร์ทโฟนด้วยระบบประมวลผลข้อมูลผ่าน Cloud Server ออนไลน์กันสด ๆ พร้อมสามารถสั่งงานด้วยเสียงได้ แสดงผลผ่านหน้าจอ 3 มิติ เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบครบวงจร
รู้สึกว่ารถคันนี้ชักเยอะไปเสียแล้ว เพราะนี่มันรถแห่งอนาคตที่ทุกคนถวิลหาชัด ๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยีด้านแบตเตอรี่ที่วิ่งได้นานขนาดนั้น
Porsche
Porsche 911 Modelchange รถไอคอนที่ขาดไม่ได้ต้องมาอวดโฉมในงานนี้ครับ ยิ่งเป็น 911 ยุคใหม่ก็ต้องเป็นรถที่อ่อนเยาว์มากกว่าปัจจุบันเพื่อลบข้อครหารถสูงวัย เพื่อเตรียมเข้าสสู่กระแสรถน้ำหนักเบา ปราดเปรียว มีมุมมีแสงเงาชัดเจน เพื่อให้รถดูสวยทุกมุมมองไม่มีผิดพลาด เรียกมันว่าวิวัฒนาการมิใช่เป็นการปฏิวัติ นี่แหล่ะเป็นปรัชญาใหม่แห่งการออกแบบ
ขยายความยาวฐานล้อมากถึง 100 มม. ลดความสูงตัวรถ สะท้อนบุคลิคสปอร์ตแผงความหรูหรา เมื่อมองด้านหน้าก็พบเอกลักษณ์แห่ง Porsche 911 Carrera แต่ถูกออกแบบให้ดูเป็นแนวกว้างมากขึ้นจนถึงขั้นเปลี่ยนตำแหน่งติดตั้งกระจกมองข้างจากบริเวณมุมกระจกหน้าเปลี่ยนมาเป็นบนประตูออกแบบให้เข้ากันมากยิ่งขึ้น
วัสดุตัวถังใช้อลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบมากขึ้นทำให้น้ำหนักตัวลดลง 45 กิโลกรัม เมื่อเปรียบเทียบกับ 911 โฉมปัจจุบัน อาจจะลดลงเล็กน้อยแต่อย่าลืมว่า Porsche ได้เสริมความแข็งแกร่งโครงสร้างตัวถัง ทนต่อการบิดตัว และปรับแต่งตัวถังให้มีค่าสัมประสิทธิแรงเสียดทานต่อที่ 0.29 ได้แก่ การขยายความกว้างตัวถัง, ขยายสปอยเลอร์หลัง เป็นต้น
การออกแบบภายในห้องโดยสารได้อารมณ์ Porsche Carrera GT มาก โดยเฉพาะการจัดเรียงอุปกรณ์ให้ใกล้มือผู้ขับขี่มากที่สุด จุดเด่นสำคัญก็คือการขยับตำแหน่งคันเกียร์สูงและใกล้มือผู้ขับมากขึ้นแต่ไม่ถึงขนาดยกสูงเท่ากับ Carrera GT แน่นอน มาตรวัดบอกข้อมูลสำคัญถึง 5 วง หนี่งในนั้นติดตั้งหน้าจอ Multifunction
นอกจากจะนำเสนอ Porsche 911 Carrera โฉมใหม่ มีให้เลือกทั้งรุ่นมาตรฐาน Porsche 911 Carrera และ Porsche 911 Carrera S ซึ่งให้สมรรถนะที่เพิ่มขึ้นตามลำดับ แต่เครื่องยนต์ทุกรุ่นมีอัตราสิ้นเปลืองระดับต่ำกว่า 10 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ซึ่งเป็นอัตราสิ้นเปลืองที่ดีกว่ามาตรฐาน NEDC บังคับ 16% ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะการติดตั้งระบบ Auto Start-Stop เครื่องยนต์ทุกรุ่นสามารถเลือกได้ทั้งเกียร์ธรรมดา 7 จังหวะครั้งแรกในโลกและเกียร์กึ่งอัตโนมัติ PDK
เครื่องยนต์ Porsche 911 Carrera ขนาด 3.4 ลิตร 350 แรงม้า อัตราสิ้นเปลือง 8.2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร มีเกียร์ PDK ให้เลือกเป็นอุปกรณ์พิเศษซึ่งมีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 4.4 วินาที
เครื่องยนต์ Porsche 911 Carrera S ขนาด 3.4 ลิตร 400 แรงม้า แรงขึ้นกว่าเดิม 15 แรงม้า อัตราสิ้นเปลือง 8.7 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 4.1 วินาทีเมื่อจับคู่กับเกียร์ PDK หากแรงไม่พอต้องเลือกแพคเกจ Sport Chrono ติดตั้ง Launch Control ก็จะมีอัตราเร่งเร็วขึ้นเป็น 3.9 วินาที
Seat
มรสุม Seat ยังไม่หนีไปไหนพวกเขาต้องเร่งออกรถยนต์รุ่นใหม่มาช่วยชีวิต Seat IBL ก็น่าจะเป็นหนึ่งในตัวอย่างดีเยี่ยม มันเป็นรถต้นแบบซีดานขนาดกลางที่บ่งบอกทิศทางการออกแบบ Seat ยุคใหม่ได้อย่างดีผสมผสานความเป็นรถซาลูนและสปอร์ตคูเป้ไว้ด้วยกัน มิติตัวถัง Seat IBL Concept มีความยาว 4,670 มม. ความกว้าง 1,850 มม. ฐานล้อยาว 2,700 มม. ส่วนรายละเอียดทางเทคนิคไม่มีอะไรเลยนอกเสียจากการพรรณนารถต้นแบบคันนี้
Skoda
Skoda MissionL Concept มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็น Octavia โฉมใหม่ มีรูปลักษณ์แบบกึ่งแฮทช์แบค 5 ประตู เส้นสายดูอนุรักษ์นิยมแต่ก็ยังดูออกว่ามันเป็นรถยนต์ Skoda ยุคใหม่ที่จะต้องมุ่งไปในทิศทางนั้น
และดูเหมือน Skoda พยายามจะทุ่มทุนสร้างพอสมควรเมื่อพวกเขาเตรียมจะเปิดตัวรถคอมแพคท์คันใหม่ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานรถต้นแบบนี้ในเวอร์ชันซีดานสำหรับตลาดอินเดีย เพราะตลาดอินเดียสามารถขาย Skoda Octavia Sedan ในชื่อ Laura สูงที่สุดเหนือคู่แข่ง
การเผยโฉมรถต้นแบบใกล้เคียงคันจริงขนาดนี้ Skoda ก็หวังผลให้ว่าที่รถยนต์คันใหม่ช่วยสร้างยอดขายทั่วโลกทะลุ 1.5 ล้านคันภายในปี 2018 ควบคู่กับกลยุทธ์ขยายตลาดประเทศจีนตั้งแต่กลางปี 2013 เป็นต้นไป
Smart
งานนี้เคาะราคา Smart Fortwo EV ไว้ราคาต่ำกว่าที่คาดเพราะมันถูกกว่า Nissan Leaf และ Renault Fluence EV ประมาณ 30% เลยน่าจะยืดอายุขัย Smart ออกไประยะจนกว่ารถต้นแบบ Smart Forvision EV ซึ่งเมื่อดูรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว แทบไม่ต้องเดาเลยว่า นำมาหยั่งเชิงการตลาดและบอกใบ้รูปลักษณ์ของ Smart ForTwo รุ่นต่อไปที่เตรียมวางจำหน่ายในอนาคต
ด้วยรูปทรงแบบ 2 ประตูก้อนเดียวเช่นรุ่นปัจจุบัน แต่มาพร้อมงานออกแบบใหม่ รวมถึงลูกเล่นของ ประตู ที่มีการขึ้นรูปประตูให้ดูมีเหลี่ยมมุม ตัดกับงานออกแบบภายใน ที่เน้นรูปทรงโค้งมน ให้ความเป็นมิตรในการใช้งานรถยนต์คันนี้ ยังคงดำรงเจตนารมณ์รถยนต์อนาคตของคนเมืองจาก Smart รุ่นแรกไว้อย่างครบถ้วนด้วยการใช้เทคโนโลยีมากมายให้เข้ากับโลกอนาคต อันได้แก่การร่วมมือกับบริษัทผลิตภัณฑ์ชื่อดัง
BASF ในการพัฒนาวัสดุพลาสติกให้สามารถมาใช้เป็นล้อของรถยนต์คันนี้ ส่งผลให้ลดน้ำหนักลงได้ถึง 3 กก./วง นอกจากนี้ยังมีการผลิตเบาะนั่งทั้งคู่จากโฟมชนิดพิเศษ รวมถึงการพัฒนาระบบอุ่นอากาศแบบพิเศษที่สามารถให้ความสบายแก่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารโดยที่ใช้พลังงานน้อยที่สุด ในขณะที่กระจกรอบคันถูกฉาบด้วยฟิล์มที่จะช่วยกรองแสงและปรับอุณหภูมิให้ห้องโดยสาร
Subaru
กรุณาจับตา Subaru XV คันนี้ให้ดีมันจะมาจำหน่ายในเมืองไทยปี 2012 แน่นอน ว่าง่าย ๆ มันก็คือการจับนำ Subaru Impreza มายกสูงนั่นเอง Subaru เคลมว่ามันถูกออกแบบในสไตล์ Urban Adventure มีทั้งความสปอร์ตและความลำลองคล่องตัว อันเป็นเอกลักษณ์ใหม่ที่พยายามสร้างในกลุ่มครอสโอเวอร์คอมแพคท์
มิติตัวถัง Subaru XV มีความยาว 4,450 มม. ความกว้าง 1,780 มม. ความสูง 1,570 มม ฐานล้อยาว 2,635 มม.จุดเด่นของ Subaru XV อยู่ตรงที่ติดตั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลาอันเลื่องชื่อ, แชสซี่ส์แบบใหม่คล่องตัวยิ่งกว่าเดิม พร้อมเครื่องยนต์สูบนอน Boxer 4 สูบ 2.0 ลิตรจับคู่เกียร์ CVT
นอกจากนี้ยังอวดโฉมโครงสร้างงานวิศวกรรมของ Subaru BRZ สปอร์ตคูเป้ขับเคลื่อนล้อหลังขนาดคอมแพคท์ ตัวรถยังไม่เห็นไม่เป็นแต่โชว์ก้างและเครื่องเคราภายในไว้ก่อนวางจำหน่ายสิ้นปีนี้ครับ เครื่องยนต์ก็เป็นแบบ Boxer 2.0 ลิตร บล๊อกใหม่
Toyota
ตลาด D-Segment ในยุโรปเงียบเหงาไปเสียหน่อยยังดีที่มี Toyota Avensis Minorchange ขัดตาทัพเอาไว้ได้ การปรับโฉมนั้นไล่ตั้งแต่เปลี่ยนรูปลักษณ์ด้านหน้าเสียใหม่ให้ดูสวยงามและลงตัวมากยิ่งขึ้น ได้แก่ เปลี่ยนรูปทรงโคมไฟหน้า, ติดตั้งแผงไฟ LED Daylight, ปรับรูปลักษณ์กระจังหน้าใหญ่ขึ้น ดูเผิน ๆ รูปลักษณ์คล้ายกับ All New Toyota Camry ในสหรัฐอเมริกาไม่น้อยแต่ต่างกันที่สไตล์ที่ตรงกับรสนิยมแห่งใดแห่งหนึ่ง
เครื่องยนต์มีให้เลือกบล๊อกดีเซล 2.0 ลิตร 124 แรงม้า (PS) ปล่อยค่าไอเสีย CO2 119 กรัมต่อกิโลเมตร น้อยกว่าเครื่องเดิม 20 กรัมต่อกิโลเมตร และ 148 แรงม้า (PS) ทั้งคู่เข้าชุดกับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และเครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร 145 แรงม้า (PS)
ไฮไลต์สำคัญที่ฆ่ารถแบรนด์เอเชียทุกบูธนั่นก็คือ Toyota FT-86 II near production เข้าทำนองว่าใกล้จะผลิตเต็มทีแล้ว อดใจรออีก 2 เดือนหน่อยก็เจอกันในงาน Tokyo Motorshow 2011 นี้ แต่ก่อนจะถึงวันนั้นเราต้องมาชมรถต้นแบบคันนี้ที่สาดสีน้ำตาลคันนี้กันก่อน
Volkswagen
ปีนี้จัดเต็มด้วยรถต้นแบบ Volkswagen Nils บรถไฟฟ้าที่นั่งเดี่ยวเหมาะสำหรับซอกแซกไปในการจราจรแออัด รูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกับรถต้นแบบไฟฟ้าก่อนหน้านั้นมากนัก แต่เชื่อหรือไม่ว่ารถคันนี้มีพื้นฐานจากรถในสนามแข่งสูตรหนึ่งกันเลย
ความยาวตัวรถ 3.04 เมตร สูง 1.2 เมตรและกว้างเพียง 390 มิลลิเมตร โครงสร้างตัวถังแบบ Space Frame ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 20 แรงม้า (PS) สามารถรีดพละกำลังสั้น ๆ ได้ถึง 34 แรงม้า (PS) หลายคนคงกังวลว่าแรงแค่นี้จะลากตัวรถไหวหรือ? ผมคิดว่าไม่น่าเป็นห่วงเท่าไรเพราะตัวรถมีน้ำหนักแค่ 460 กิโลกรัมเท่านั้น แถมน้ำหนักเครื่องยนต์มีเพียงแค่ 19 กิโลกรัม
ผลลัพธ์ก็คือมันสามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดถึง 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 11 วินาที มีระยะทางวิ่งสูงสุดเพียงแค่ 65 กิโลเมตร พ่วงแบตเตอรี่กินไฟ 5.3 กิโลวัตต์ชั่วโมง ชาร์จประจุให้เต็มมากกว่า 2 ชั่วโมงเมื่อใช้กำลังไฟ 230 โวลต์
คันต่อมาเป็นที่น่าจับมากคือ Volkswagen Up รถ A-Segment คันใหม่ล่าสุด ำตลาดแทน Volkswagen Lupo ที่หยุดผลิตไปตั้งแต่ปี 2005 Volkswagen ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อจากเดิม Lupo มาเป็น Up! แทน เพื่อสื่อถึงความสดใหม่ ความกระตือรือร้นและภาพลักษณ์ใหม่ๆที่อยากนำเสนอแก่ผู้บริโภค แทน Lupo ที่ไม่ประสบความสำเร็จนัก
ตัวรถมีขนาดยาวขึ้นกว่า Lupo เพียง 10 มม. ที่ 3,540 มม. (Lupo ยาว 3,530 มม.) กว้าง 1,640 มม. และสูง 1,480 มม. (สูงกว่า Lupo 40 มม.) รูปลักษณ์จึงมีสัดส่วนที่ไม่สั้นไม่เตี้ยจนเกินไป โดยในช่วงแรกจะทำตลาดด้วยตัวถัง 3 ประตู ก่อนเปิดตัวเวอร์ชัน 5 ประตูตามมาในภายหลัง
งานออกแบบ ไม่แตกต่างไปจาก Up! Concept ที่นำมาแสดงเมื่อปี 2007 มากนัก เริ่มตั้งแต่ไฟหน้าดวงโตพร้อมเส้นแถบสีดำเชื่อมต่อไฟหน้าทั้งสองดวง คั่นกลางด้วยโลโก้ VW ขนาดใหญ่ ร่วมด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจด้านล่างอันเป็นที่อยู่ของไฟตัดหมอก ป้ายทะเบียน และช่องรับอากาศ ซึ่งนักออกแบบกล่าวว่า ตั้งใจออกแบบให้เสมือนเป็นรอยยิ้มจริงๆ เพื่อสื่อความเป็นมิตรและความเรียบง่ายแก่ผู้พบเห็นทุกคน
ในขณะที่ด้านท้าย ดูเรียบง่ายไม่หวือหวา ด้วยไฟท้ายที่มีรูปทรงถอดมาจากเวอร์ชันต้นแบบ พร้อมฝากระโปรงท้ายแบบกระจกทั้งบาน และใบปัดน้ำฝนหลัง รวมไปถึงสัญญาณกะระยะถอยจอดแบบ 3 จุดและกรอบป้ายทะเบียนในเส้นคล้ายรอยยิ้มเหมือนด้านหน้า
ภายใน ถูกออกแบบให้รองรับผู้ใหญ่ 4 คน คอนโซลกลางและแผงประตู ออกแบบให้มีสีเดียวกับตัวถังนอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ PID หรือ Portable Infotainment Device ซึ่งเป็นหน้าจอขนาดเล็กบริเวณเหนือแผงควบคุมระบบปรับอากาศ ไว้ปรับฟังก์ชันต่างๆภายในรถ และยังมีลูกเล่นพิเศษ Up! Box กล่องอเนก-ประสงค์รูปแบบต่างๆ สำหรับการใช้สอยหลายๆรูปแบบ ประกอบไปด้วย kid box, city box และ travel box
ด้านงานวิศวกรรม Up! ใช้เครื่องยนต์รุ่นใหม่ แบบเบนซินเรียง 3 สูบ ความจุ 1.0 ลิตร พร้อมกำลังให้เลือก 2 เวอร์ชันประกอบไปด้วย 60 และ 74 แรงม้า สร้างอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 4.2 ลิตร/100 กม. ด้านความปลอดภัย เปิดตัวระบบ City Emergency Braking เป็นครั้งแรกในคลาสนี้ ซึ่งจะใช้เซนเซอร์เลเซอร์ในการตรวจจับความเคลื่อนไหวของวัตถุด้านหน้าตัวรถ เพื่อเบรคโดยอัตโนมัติหากมีการคำนวณว่าจะเข้าชนกับวัตถุนั้น ภายใต้ความเร็วตัวรถไม่เกิน 18 กม./ชม. (คล้าย City Safety ของ Volvo แต่ต่างที่เซนเซอร์และความเร็วของตัวรถในการทำงาน)
เรียกได้ว่า Up! เปรียบเสมือนโฟล์คเต่ายุคใหม่ก็เป็นได้ ด้วยคาแรคเตอร์เป็นมิตรกับทุกคน มีประโยชน์ใช้สอยพอเหมาะ ประหยัดน้ำมัน และมีราคาที่ใครๆก็เอื้อมถึง Up! พร้อมจำหน่ายในเดือนธันวาคมนี้ จำกัดเฉพาะทวีปยุโรปในช่วงแรก และยังไม่มีแผนในการบุกตลาดทวีปอื่นๆในตอนนี้ โดย Volkswagen เผยว่า จะมีเวอร์ชันแก๊สธรรมชาติตามมาเร็วๆนี้ และเวอร์ชั่นไฟฟ้าล้วนออกมาในปี 2013
Volkswagen Beetle R Concept สเปคแรงตกแต่งพิเศษเพื่อนำร่องวางจำหน่ายในอนาคต ติดตั้งเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร TSI 240 แรงม้าจับคู่เกียร์ DSG สเปคก็เหมือนกับ Scirocco R และ Golf R
Volvo
มีลางสังหรณ์แล้วว่า Volvo จะเริ่มเปลี่ยนแนวคิดการออกแบบใหม่กันอีกแล้วเมื่อส่งรถต้นแบบ Volvo Concept You ต่อจาก Volvo Concept Universe แค่ชื่อก็ฟังแล้วว่ามันหมุนรอบตัวเองและจักรวาลอย่างไรไม่ทราบ แต่ที่แน่ ๆ ดีไซน์ด้านหน้าแบบตาตี่มันกำลังจะมา !!
Volvo Concept You ถอดแบบด้านหน้าตาตี่เหมือนกับ Volvo Concept Universe ที่เคยอวดโฉมในงาน Shanghai Autoshow 2011 มาก่อนแล้ว แต่ดีไซน์ตัวถังมาแนวซีดานคูเป้มากกว่าจะเป็นซีดานระดับหรู แต่ได้กลิ่นงานออกแบบชวนให้นึกถึง Ford และ Jaguar ผสมกันอย่างฉุนจมูก
ภายในห้องโดยสารเน้นความหรูหราแบบมีระดับล้ำสมัยด้วยหน้าจอสัมผัสคอนโซลกลาง, กระจกบังลมหน้าแสดงการทำงานเพื่อผู้ขับมองหน้ากระจกและยังมีฟีเจอร์ป้อนกันการหลับได้ พร้อมพรั่งด้วยการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต เห็นมาแบบนี้แล้วต้องวัดใจกันว่า ลูกค้าจะชอบหรือไม่