ความย่ำแย่ของเศรษฐกิจยุโรปที่ส่งผลต่อวงการรถยนต์ยังคงผ่านมาเราได้เห็นกันเสมอ โดยล่าสุดค่ายรถยนต์สัญชาติ
อเมริกันอย่าง Ford ก็ต้องปิดโรงงานผลิตรถยนต์ของตนกว่า 3 แห่งในยุโรปลง รวมถึงปลดตำแหน่งงานจำนวน 6,200
ตำแหน่งทิ้งอีกด้วย ในขณะที่ค่ายรถยนต์ร่วมชาติอย่าง General Motors ก็ยังคงไม่มีทีท่าที่ดีขึ้นในทวีปยุโรปเลย

alt
(ภาพคนงานประท้วงและเผารถยนต์ Ford C-Max หลังทราบการปิดโรงงานและปลดพนักงาน 6,200 ตำแหน่งออก)

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้ง 2 ยักษ์ใหญ่จากแดนมะกัน ได้เปิดเผยตัวเลขประกอบการ ซึ่งก็ต่างพบกับภาวะขาดทุนในยุโรป
กันทั้งสิ้น ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่า ในปี 2012-2013 ทั้ง GM และ Ford อาจต้องขาดทุนในยุโรปด้วยมูลค่ารวมกัน
สูงถึง 6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

สำหรับด้าน GM แน่นอนว่าสาเหตุหลักของปัญหาตกอยู่ที่แบรนด์ Opel/Vauxhall ซึ่งสร้างตัวแดงในบัญชีเป็นจำนวน
หลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากต้นทุนการผลิตรถยนต์ต่อคันที่สูงกว่าคู่แข่ง อีกทั้ง
ในปี 2009 ที่ผ่านมา ยังต้องโดนหางเลขจากสภาวะล้มละลายของ GM ในช่วง Hamburger Crisis ทำให้ตั้งรับได้อย่าง
ไม่เต็มที่ เมื่อเจอกับสภาพเศรษฐกิจยุโรปในปี 2012

ในขณะ Ford สามารถเอาตัวรอดจากมรสุมเศรษฐกิจอเมริกาในปี 2009 มาได้ จึงทำให้ไม่เจ็บตัวมากนักเมื่อต้องเผชิญ
กับวิกฤตเศรษฐกิจยุโรปในปีนี้ ซึ่งการประกาศปิดโรงงานทั้ง 3 และปลดพนักงานกว่า 6,200 ตำแหน่งออก จะช่วยให้
ฟอร์ดสบายตัวและกลับมาสร้างเม็ดกำไรได้ง่ายและเร็วกว่า GM นั่นเอง ถึงแม้ว่า GM มีแผนจะร่วมมือกับกลุ่ม
PSA/Peugeot Citroen ในการพัฒนารถยนต์เพื่อทวีปยุโรป แต่นั่นก็ต้องใช้เวลาอีก 4-5 ปี ถึงจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด
และสร้างเม็ดเงินกลับมาให้กับทั้ง GM และ PSA/Peugeot Citroen

อย่างไรก็ตาม มีกระแสข่าวลือว่า GM ได้เตรียมดึง Karl-Thomas Neumann หนึ่งในทีมบริหารของค่าย Volkswagen
มารับตำแหน่งประธานบริหารของ Opel ในช่วงกลางปีหน้า เพื่อกู้สถานการณ์ในเวลาอันใกล้ไปก่อน ในขณะที่ Ford เอง
ก็เตรียมปรับแผนการตลาดรถยนต์ของตน โดยจะลดการใช้แฟลตฟอร์มในการพัฒนาเหลือเพียง 5 แบบ (ปัจจุบันใช้แพลตฟอร์ม
9 แบบ) และมุ่งนำเสนอรถยนต์ที่สร้างกำไรต่อคันได้สูง ออกสู่ตลาดในอนาคต

นับว่าเป็นวิกฤตครั้งใหญ่ในยุโรปที่ทั้ง 2 ยักษ์ใหญ่ของฝั่งอเมริกาต้องฝ่าฟันไป ซึ่งบอกได้เลยว่าการฟื้นกลับมาอีกครั้ง
ของวงการรถยนต์ในยุโรป ต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปีเป็นอย่างต่ำครับ ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า ในระหว่างทางจะมีใครล้มเจ็บ
หรือต้องอำลาวงการไปบ้างหรือไม่