FART & FURIOUS -ปล่อยๆบ้าง สบายๆบ้าง เผ็ดบ้างบางเวลา บ้าบางโอกาส แอบฉลาดเป็นบางวัน กับไอ้ตัวร้ายหนัก 150ก.ก. ที่วันนี้คุณจะสงสัยว่ามัน..จะมาไม้ไหน ?
ปกติแล้วบทความใน section อันแสนจะเป็นส่วนตัวของผมนี้น่าจะเป็นที่ที่เอาไว้สำหรับการบ่นไปเรื่อยไปเปื่อยซะมากกว่า แต่แล้วการที่ได้ติดสอยห้อยตามทีมงาน The Coup ไปสัมภาษณ์ผู้ใหญ่ในวงการรถสปอร์ตท่านหนึ่งก็ทำให้ผมต้องพักการบ่นเอาไว้ เพราะว่า 370Z คือรถคันหนึ่งที่คอรถสปอร์ตเกือบทั้งโลกรอคอย!
เ่อ่อ..ที่..ผมรอคอย..ก็ได้..ไม่ต้องคนทั้งโลกหรอกมั้งครับ
อย่างไรก็ตาม นี่คือรถคันหนึ่งที่ผมว่านักทดสอบ นักเล่า และบรรดาผู้เชี่ยวชาญรถยนต์ในไทยน่าจับตามองมากที่สุดรุ่นหนึ่ง คิวทดลองขับตอนนี้ยังไม่มี แต่ผมเชื่อว่านิสสันนำเข้ามาอย่างเป็นทางการเมื่อไหร่ หัวบันไดออฟฟิศนิสสันไม่มีวันแห้งแน่นอนและผมเองจะทำทุกอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าในรายชื่อ “นักทดลอง” เหล่านั้น ต้องมี J!MMY ขวัญใจของท่านผู้อ่านรวมอยู่ด้วย นั่นก็หมายความว่าในบทความนี้ ผมไม่ไ้ด้ขับ Z คันนี้แต่ประการใด
อย่างเพิ่งโห่ไล่กันเลยนะครับ เรื่องของเรื่องคือรถคันนี้ไม่ใช่รถของบริษัท แต่เป็นรถยนต์ส่วนตัวครับท่านผู้ชม และความคิดในการเอ่ยปากขอนำรถยนต์ส่วนตัวที่ราคาเท่าทรัพย์สินทั้งบ้านและที่ดินอันน้อยนิดที่ผมมีอยู่ออกไปขับเล่น มันยังน่ากลัวสำหรับผมอยู่ แต่นั่นก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้เราได้รู้อะไรเกี่ยวกับมัน อย่างน้อยก็ถือซะว่าเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย ก่อนที่มื้อใหญ่ของจริงจะมาถึงแล้วกันนะครับ
ถ้าให้ว่ากันตรงๆแล้วล่ะก็ วินาทีแรกที่เห็น 370Z ตัวใหม่ในภาพบนอินเตอร์เน็ต ผมมีความรู้สึกปรี๊ดแตกขึ้นมาในบัดดล
“นิสสันทำอะไรกับ 350Z ที่กรูร้ากกกว้าาาาาาาา???!???”
พูดตรงๆเลยว่า ถ้า 350Z คือชายหนุ่มญี่ปุ่นที่เตี้ยล่ำ มีมัดกล้ามแถมหล่ออีกต่างหาก 370Z ก็ดูเหมือนผู้ชายคนเดียวกันแหละ แต่มีดวงตาที่ดูราวกับว่าเค้าวิ่งไปร้องไห้ไปอยู่พักใหญ่ๆถึงมีน้ำตาติดเป็นคราบอย่างนั้น (นี่คือพูดถึงไฟหน้าทรงบูมเมอแรงของเขานะ) แล้วรูปทรงนั่นอีก..ท้ายนั่นอีก! โอ้โฮแม่เจ้า! อะไรเข้าฝันเหรอถึงต้องเอาบูมเมอแรงไปแปะทั้งหน้าทั้งก้นขนาดนั้น ไม่ไหวๆ 350Z สิสวยกว่า สวยอย่างแท้จริง
แต่นั่นมันคือความคิดของสองสามเดือนก่อน เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ผมก็เริ่มรวนเรในความคิดของตัวเอง
ลองดูรูปนี้ก่อนนะครับ
ใช่ คุณรู้ได้ัทันทีว่ามันคือ Z และบนภาพแบนๆคุณอาจจะมองเหมือนที่ผมกับหลายๆคนมองว่า “มันเหมือนกับเป็นคราบไมเนอร์เชนจ์ของ 350Z มากกว่าที่จะเป็นรถใหม่ทั้งคัน” แต่ในความจริงแล้ว 370Z คือการนำเอาคุณสมบัติที่ดีทั้งหมดที่ 350Z สร้างชื่อไว้ เอามาเป็นแกนหลักในการพัฒนา มันจะยังคงมีนิสัยเดิม และแนวทางเดิม ถ้าให้พูดอีกเชิงหนึ่งก็คือ นิสสันปราถณาที่จะทำให้มันเป็นรถสปอร์ตขับเคลื่อนล้อหลัง ที่มีบาลานซ์ดี แต่ขับสนุก เล่นแบบชัวร์ๆ มันจะเกาะถนนราวกับตุ๊กแก แต่ถ้าเคี่ยวเข็ญกันหนักๆ ก็จะมีอาการพยศให้ผู้เป็นเจ้าของกำราบ มันยังคงเป็นรถเช่นนั้นอยู่ แต่ิสิ่งที่เปลี่ยนไปนั้นก็มีไม่น้อย และมันเป็นไปในทางที่ดีขึ้นซะด้วยสิ (รถในภาพจริงๆมันคือ Fairlady Z เพราะเป็นรถนำเข้าจากญี่ปุ่น แต่ด้วยความยึดติดแบบส่วนตัวจะขอเรียกว่า 370Z)
เริ่มกันที่บอดี้ของรถ จะพบว่า Z รุ่นใหม่นี้มีขนาดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด นั่นก็เพราะความยาวของฐานล้อถูกลดลงไป 10 ซ.ม. และความยาวโดยรวมของตัวรถก็หายไป 6.5 ซ.ม. แถมยังกว้างขึ้นอีกประมาณ 1 นิ้ว ทั้งนี้ก็เพื่อดึงบุคลิกการเป็นรถสปอร์ตขนาดเล็กอย่างที่ 240Z เคยเป็นกลับมาอีกครั้ง ดีไซน์ภายนอกของมันนั้นดูราวกับว่านักออกแบบนิสสันได้ทำการโคลนนิ่ง 350Z ออกมาใหม่ แต่ในระหว่างขั้นตอนการสังเคราะห์ยีนเหล่านั้น บางส่วนของ 240Z ถูก ทำหล่นลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ สังเกตจากกระจกบานเล็กๆเหนือซุ้มล้อหลังตรงนั้นสิครับ คุณจะพบว่ามันจริง และซุ้มล้อหลังก็เป็นจุดเด่นประการหนึ่งที่จะทำให้คุณแยกมันออกจาก 350Z ได้ ทันทีที่เห็นจากด้านหลัง ความกว้างของโป่งล้อหลังนี่เองที่ช่วยทำให้รูปลักษณ์ของรถดูเหมือนแมวเตรียมตระครุบเหยื่อเสือเตรียมกระโจนงาบอีเก้ง
นอกจากนี้ การออกแบบในบางส่วนคือการเก็บความเรียบร้อยของรายละเอียดปลีกย่อยบนตัวถัง ซึ่งส่วนที่ผมถูกใจมากที่สุดส่วนหนึ่งก็คือไฟเลี้ยวแก้มหน้า ซึ่งตอนแรกผมนึกว่ามันเป็นเพียงแค่โลโก้ Z ธรรมดาๆ อย่างสมัยรุ่น 350Z ที่มีโลโก้พะไว้ตรงแก้มข้าง อยู่ข้างบนไฟเลี้ยวอีกที
ผมต้องสังเกตอยู่สักพักหลังจากแอบตำหนิในใจว่ารุ่นนี้ทำไมไม่มีไฟเลี้ยวแก้มเพราะมัวแต่มองผ่านๆ จนน้องคนหนึ่งในทีมเปิดไฟฉุกเฉินเล่น ผมจึงได้ทราบว่ามันคือไฟเลี้ยวนั่นเองที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้โลโก้ Z ได้อย่างแนบเนียนเป็นที่สุด
งานทางด้านการออกแบบนี้ไม่ควรยกเครดิตให้กับใครเพียงแค่คนเดียว เพราะมันเกิดขึ้นจากการที่ดีไซน์เนอร์ของนิสสันมากมายหลายคนพากันออกแบบ Z ใน อย่างที่ตัวเองต้องการ แล้วส่งเข้ามาประกวดคัดเลือกกันว่าจะเอาดีไซน์ส่วนไหนของใครมาใช้..ซึ่งก็ ไม่น่าแปลกใจนักสำหรับผม ซึ่งคิดว่าชิ้นส่วนของรถบางส่วนมันช่างไม่ปะติดปะต่อกันเสียเลย แต่ถึงกระนั้นก็สามารถทำตามเจตนารมย์ของนิสสันในการออกแบบทรวดทรงที่เห็น แล้วทราบได้ทันทีว่ามันคือ Z แม้คุณจะถอดตรายี่ห้อออกจากรถทั้งคันก็ตาม และเมื่อนำเข้าอุโมงค์ลมแล้ว ตัวรถรุ่นใหม่นี่จะมีค่า Cd อยู่ที่ 0.29 ซึ่งก็เท่ากับรถรุ่นเดิมนั่นล่ะ
และ ในเรื่องการสร้างตัวถัง นิสสันเลือกที่จะใช้อลูมิเนียมมาทำฝากระโปรงหน้า ประตู และฝากระโปรงท้ายเพื่อช่วยเซฟน้ำหนักรถ ผลของการใช้อลูมิเนียมนี้เคลมกันว่าสามารถช่วยลบตัวเลขน้ำหนักไปได้ประมาณ 100ก.ก. ทีเดียว
แต่อย่าเพิ่งดีใจไปล่วงหน้าว่ามันจะกลายเป็นสปอร์ตตัวเบา เพราะเมื่อเราเอามันขึ้นตาชั่งแล้วก็จะพบว่าน้ำหนักแทบไม่ต่างจากเดิมเลย (บวกลบแค่ไม่กี่สิบกิโลเท่านั้น) รุ่นธรรมดาสุด เกียร์ธรรมดา จะหนัก 1,480ก.ก. และรุ่นที่หนักที่สุด ก็จะอยู่เลยไปกว่านั้นอีกราว 50กิโลกรัม ผมเปิดโบรชัวร์ดูรุ่น Z33 ตัวแรกที่เป็นเครื่อง VQ35DE NEO กลับพบว่าน้ำหนักเทียบรุ่นต่อรุ่น กลับจะเพิ่มขึ้นอีก 40ก.ก.ด้วยซ้ำ มันช่างหน้างงจนต้องยกขาหลังเกาหูว่าในเมื่อตัวก็เล็กลงขนาดนี้ อลูมิเนียมก็เอามาใช้เยอะแล้ว ทำไมถึงไม่ได้เบากว่าเดิมเลยล่ะ
นั่น ก็เพราะน้ำหนักทั้งหมดไปอยู่ที่โครงสร้างของตัวรถที่เป็นเหล็ก ซึ่งได้รับการเสริมความแข็งแกร่งตามจุดบิดและคานยึดต่างๆ เนื้อเหล็กที่อยู่ตรงนั้นเป็นภาระเรื่องน้ำหนักก็จริง แต่ผลดีที่ตามมานั้นก็ชดเชยกันได้ 370Z มีตัวถังที่แกร่ง สามารถต้านทานแรงบิดเค้นตัวถังส่วนหน้าของรถได้ดีกว่าเดิมถึง 30% และ 22% สำหรับด้านหลัง ประการที่สองก็คือ การที่ตัวถังมีความแข็งแกร่งเป็นทุนอยู่แล้ว ทำให้ 370Z ไม่ จำเป็นต้องมีคานค้ำโช้คหลังอันเบ้อเร่ออีกต่อไป คานที่ว่านี้ถูกย้ายเข้าไปชิดกับแถวเบาะมากขึ้น และทำให้พื้นที่เก็บสัมภาระไม่มีสิ่งใดมาขว้างกั้นกระเป๋าเดินทางใบโปรดของ คุณอีกต่อไป
แต่อย่าเพิ่งคิดเรื่องการเอา Z ไป เข้างานเปิดท้ายขายของ เพราะถึงไม่มีคานที่ว่านี้ มันยังคงเป็นที่ที่เหมาะสำหรับการไว้ของจำเป็นสำหรับการเดินทางเท่านั้น เพราะมันไม่ได้กว้างและลึกเท่าไหร่
ถัดจากบอดี้ ก็คงเป็นเรื่องของเครื่องยนต์กันแล้วล่ะครับ
ลองสังเกตภาพสองชุดข้างล่างนี้ให้ดี ทายกันได้ไหมเอ่ยว่า “ใต้กระโปรง” ในภาพใดคือเครื่องของรถตัวใหม่
ที่ผ่านมา 350Z ตัวแรกใช้เครื่อง VQ35DE 280 แรงม้าที่โดดเด่นในแง่ของความยืดหยุ่นสูง ขับง่ายใช้คล่อง แต่บรรดานักเลงรถเท้าหนักจำนวนไม่น้อยเลยที่แนะนำว่า “มันน่าจะลากรอบได้มากกว่านี้สักหน่อย” เพราะมีเรดไลน์อยู่ที่แค่ 6,800 รอบ เท่านั้นเอง ดังนั้นเมื่อถึงคราวไมเนอร์เชนจ์ นิสสันจึงได้ทำการปรับปรุงเครื่องยนต์ใหม่โดยเพิ่มพละกำลังทั้งช่วงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรอบต้น กลาง หรือปลาย สิ่งที่ได้ก็คือ VQ35HR ซึ่ง HR นี้ย่อมาจาก “High Response, High Revolution” ตอบสนองความต้องการให้โดยเพิ่มเรดไลน์เป็น 7,500 รอบต่อนาที และได้ม้าเพิ่มเป็น 313 ตัว (แรงบิดสูงสุดที่มีจะถอยลงนิดหน่อย แต่รอบต้นกับปลายดีกว่าเดิมชัดเจน)
ดังนั้นถ้าผมบอกว่าครั้งนี้นิสสันใจป้ำเพิ่มความจุให้อีก 200ซี.ซี. แถมเพิ่มระบบ VVEL ที่เพิ่มการแปรผันระยะยกของวาล์วเข้าไปด้วยแล้ว คุณคิดว่ามันจะแรงขึ้นแค่ไหน
คำตอบก็คือ 336 แรงม้า น้อยกว่าตอนสมัยขยับจากDE บล็อคแรกเป็นไมเนอร์เชนจ์เสียอีกแฮะ
แล้วแรงบิดล่ะ? แรงบิด! อ้า…ใช่ เครื่องความจุเยอะๆย่อมมีแรงบิดเยอะกว่าเสมอ ของเดิมทำไว้ 358Nm ในVQ35HR แต่พอมาเป็น 3.7ลิตร คุณได้เพิ่มเป็น 365Nm เท่านั้นเอง ให้ตายสิสไปเดอร์แมน ถ้าผมมองหาแรงบิดก็น่าจะไปเรียกใช้เอาจาก 300ZX ที่อายุเกือบ 20ปีแล้วจะดีกว่างั้นน่ะหรือ
ฉะนั้นจากข้อมูลสองอย่างนี้ คุณต้องคิดแน่นอนว่า อ้าว..แล้วจะเปลี่ยนเครื่องไปทำไมถ้ามันได้แค่นี้
ต้องเตือนตัวเองอย่างนึงว่า เข็มวัดรอบไม่ได้แช่อยู่ที่รอบแรงม้าสูงสุด หรือแรงบิดสูงสุดอยู่ตลอดเวลา เมื่อคุณกด..มันกวาด และเจ้าช่วงเวลาที่มันกวาดเนี่ยล่ะที่เป็นสิ่งที่กดหลังคุณให้ติดเบาะ คุณน่าจะดีใจที่ได้ทราบว่าตั้งแต่ช่วงที่เข็มวัดรอบของ 370Z กวาดผ่าน 2500รอบ ไปจนสุดขีดแดงที่ 7500 รอบนั้น ไม่มีช่วงไหนเลยที่กราฟแรงบิดจะหล่นต่ำกว่า 330Nm มีแต่จะมากกว่าหรือไม่ก็เท่านี้ ถ้านึกไม่ออกว่าแรงขนาดนี้ถือว่ามากหรือน้อยขนาดไหน ลองนึกถึงเครื่อง SR20DET เทอร์โบจากสิบกว่าปีที่แล้ว เครื่องรุ่นนั้นมีแรงบิด ณ จุดสูงสุดอยู่ที่ 280Nm นั่นคงพอทำให้นึกออกว่าจะดีเพียงแค่ไหนถ้าคุณมีแรงบิดสูงสุดยิ่งกว่านี้อีก 50Nm หรือมากกว่า รอคุณอยู่ทันทีที่กดคันเร่งไม่ว่าช่วงไหนก็ตาม
ถ้าสังเกตวิธีการที่วิศวกรนิสสันเลือกปรับนิสัยเครื่อง จะพบว่ามันยังคงเน้นการตอบสนองที่ต่อเนื่องในทุกย่านความเร็ว การมีช่วงกำลังที่กว้างนั้นนอกจากจะทำให้ขับได้ง่ายโดยไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์ ลงต่ำบ่อยๆแล้ว เมื่อยามลงสนามมันก็ทำให้กลายเป็นรถที่คาดคะเนนิสัยได้ง่าย และคุมได้อยู่มือ แล้วทันใดนั้นเอง เราก็ไม่จำเป็นต้องหาข้อแก้ตัวให้มันว่าทำไมมันถึงไม่มีเครื่องยนต์ทวิ นเทอร์โบพลังสูง 4-5ร้อยม้า
ทางด้านของระบบส่งกำลัง พวกเราหลายคนจะดีใจที่ได้ทราบว่า แทนที่ Z จะปล่อยปละละเลยเกียร์ธรรมดาแล้วไปสนใจทำแต่เกียร์คลัทช์คู่คลัทช์คี่แสนกลมาเสนอพวกเรา วิศวกรนิสสันกลับนำเอาเกียร์ธรรมดารูปแบบที่เราคุ้นเคยมาหลายทศวรรษมาพัฒนาต่อไปอีกขั้น ไม่ใช่การยัดเยียดเอาของใหม่มาให้คนขับเรียนรู้ แต่เป็นการเอาของเดิมๆที่เป็นที่ชอบพอของนักเลงรถมาทำให้มีลูกเล่นเพิ่มไปอีกขั้น
ฟังก์ชั่นที่เพิ่มเข้ามานี้คือระบบย้ำคันเร่งเพิ่มรอบให้โดยอัตโนมัติเมื่อผู้ขับทำการเชนจ์เกียร์ลง
ถ้าไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร คุณลองนึกถึงภาพวิดิโอคลิปพวกนักแข่งญี่ปุ่นในรายการ Best Motoring หรือนักแข่งที่ไหนก็ตามแต่ สังเกตไหมครับว่าในยามที่กำลังอัดมาเต็มเหยียด แล้วมาเจอโค้ง ในยามที่พวกเขาลดความเร็วลงอย่างกระทันหันนั้น เขาจะใช้ปลายเท้าขวาเหยียบเบรคค้างไว้ ในขณะที่ส้นของเท้าข้างเดียวกัน กระแทกคันเร่งเพื่อเบิ้ลรอบเครื่องให้สูงขึ้นรับกับเกียร์ที่จะเปลี่ยนลง (เท้าซ้ายก็เหยียบคลัทช์ในจังหวะที่กระทำการดังกล่าวด้วย ภาษาคนที่คุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้ก็คือ Heel-and-Toe)
ถ้าสมมติว่าเราเป็นคนยืนเชียร์แขก เอ้ย เชียร์รถแข่งอยู่ข้างนอกรถ สิ่งที่เราจะรับรู้ได้ว่าคนขับกำลังใช้เทคนิคนี้ก็คือรถหน้าทิ่มเหมือนกำลังเบรคอย่างแรง แต่เสียงเครื่องยนต์กลับเบิ้ลเป็นจังหวะๆ เหมือนคนขับกำลังเหยียบคันเร่งเบิ้ลเครื่องเล่นๆ
เทคนิคนี้พวกเราบางคนชอบทำ…ทำมันไปทุกที่ไม่ว่ามันจะไม่จำเป็นขนาดไหน แต่กับรถแข่ง นี่เป็นเทคนิคพื้นฐานอย่างนึงในการขับรถบนสนามแข่งให้ได้เร็วอย่างมีเสถียรภาพ
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเกียร์ธรรมดา 6 สปีดของ 370Z? เกี่ยวสิครับ เพราะนิสสันบอกคุณว่า เห้ย หยุด ต่อไปนี้ไม่ต้องทำแล้ว ในเมื่อชอบเบิ้ลเล่นกันนัก ก็ทำให้มันเบิ้ลได้เองซะเลย
ระบบที่ว่านี้นิสสันเรียกว่า Synchro Rev Control (SRM) ซึ่งจะมีการอ่านค่าความเร็วของรถและเกียร์ที่ใช้โดยกล่องควบคุม
เมื่อคุณขับอยู่เกียร์ 6 สบายๆแต่จู่ๆเกิดคึกอยากเปลี่ยนเป็นเกียร์ 3 ระบบจะคำนวณให้ว่าถ้าคุณเปลี่ยนเป็นเกียร์ 3 แล้ว ความเร็วรอบเครื่องจะขึ้นไปอยู่ที่เท่าไหร่ ว่าแล้วในขณะที่คุณเลื่อนคันเกียร์จาก 6 มาแตะๆ 3 กล่องจะสั่งการให้คันเร่งไฟฟ้าเปิดเพื่อเร่งรอบเครื่องขึ้นไปอยู่ ณ ความเร็วนั้นๆของเกียร์ 3 แบบพอดีๆ นอกจากการทำงานเพื่อช่วยทำหน้าที่แทน Heel-and-Toeแล้ว แม้แต่จังหวะเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้น มันก็ยังช่วยโดยการคำนวณรอบเครื่องไว้ล่วงหน้าก่อนเข้าเกียร์
สิ่งที่ได้คือความเท่ห์ เพราะเวลาคุณหวดเล่นบนสนาม ทุกคนจะคิดว่า..ไอ้นี่เก่ง (ยกเว้นคนที่รู้เรื่องเกียร์นี้)
และเวลาขับใช้งานตามปกติ การเปลี่ยนเกียร์จาก1 ไป 2 หรือ 2 ไป 3 ก็จะยิ่งนุ่มนวลขึ้น สบายตัวขึ้น
นิสสันเคลมว่าเป็นค่ายแรกในโลกที่พัฒนาระบบ “เทียบรอบเครื่อง”แบบนี้มาใช้กับเกียร์ธรรมดามีคลัทช์มาติดตั้งให้กับรถในสายการผลิตจริง
และถ้าคุณเป็นนักขับมืออาชีพของจริง และเกิดไม่ชอบหน้ามันขึ้นมา ก็แค่กดปุ่มตรงฐานคันเกียร์ ก็ปิดระบบได้แล้วครับ
ส่วนใครก็ตามที่อยากแรงแบบสบายเท้าซ้าย 370Z จะมีเกียร์อัตโนมัติให้เลือกเช่นกัน
แต่เปลี่ยนจากเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ข้ามพรวดเดียวมาเป็น 7 สปีด
เกียร์อัตโนมัติลูกนี้ยังคงมีพื้นฐานค่อนข้างธรรมดา ไม่ใช่เกียร์แสนกลอะไรนัก มี Paddle Shift ที่พวงมาลัยมาให้เล่นเท่านั้นเอง แต่การที่มี 7 สปีด น่าจะทำให้ลดความเสียเปรียบในเรื่องอัตราเร่งเมื่อเทียบกับเกียร์ธรรมดาลงบ้าง ถ้าไม่นับช่วงออกตัว จากการสัมภาษณ์เจ้าของรถคันสีขาวที่เราถ่ายรูปมานี้พอจะบอกไ้ด้ว่าจังหวะการเปลี่ยนนั้นชิดเหมือนเกียร์ Close Ratio ทีเดียว นับว่าเป็นทางเลือกของคนรักสบายที่ไม่เลว แถมยังมีระบบเทียบรอบเครื่องเมื่อคิกดาวน์แบบเกือบจะคล้ายๆ SRM ของเกียร์ธรรมดาด้วย
ไม่มีโลโก้นิสสันที่ล้อ? อย่าเพิ่งตกใจครับ เจ้าของรถท่านจัดแจงเปลี่ยนเอาของเดิมออกตั้งแต่วันแรกๆที่รถมาถึงแล้ว โดยแต่เดิมนั้น Z จะมีล้อมาตรฐานขนาด 18 นิ้ว (สังเกตไหมว่ามันโตขึ้น..โตขึ้น..รุ่นละนิ้ว..รุ่นละนิ้ว) โดยถ้าเลือกซื้อเป็นรุ่น Version S หรือ Version ST จะขยับไปใช้ล้อขนาด 19 นิ้ว และจะได้ชุดเบรคสปอร์ตแพ็คเกจมาด้วย ถึงแม้ตอนนี้มันจะไม่ได้ประทับตรา Brembo เหมือนสมัย 350Zเพราะเปลี่ยนมาเป็นปั๊มตรา “NISSAN” แทน แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับประสิทธิภาพในการเบรค เพราะชื่อชั้นของผู้ผลิตอย่าง “Akebono” นั้นก็ใช่ว่าจะธรรมดา
ส่วนคนที่ซื้อรุ่น Version T หรือรุ่นมาตรฐาน ก็จะได้เบรคหน้าตาธรรมดาๆไปใช้
หันมาดูภายในกันบ้างดีกว่าครับ
สิ่งหนึ่งที่นิตยสารต่างประเทศมักจะเอามาเป็นจุดตำหนิ 350Z อยู่เสมอคือการเลือกใช้วัสดุภายใน บางเล่มเปรียบเทียบได้เจ็บมากครับว่าเป็นรถราคาไม่ถูก แต่วัสดุภายในเกือบเหมือนรถราคาถูก พลาสติกไม่ใช่เกรดที่น่าถวิลหานักสำหรับรถราคาระดับนี้ และไม่มีลิ้นชักเก็บของด้านหน้าอีกต่างหาก
นิสสันเองก็ได้เก็บรวบรวมข้อมูลเหล่านี้เพื่อจะมาขอแก้มืออีกครั้งกับ 370Z
เท่าที่ผมได้สัมผัสคร่าวๆ (โชคดีที่มี 350Z จอดข้างๆเพื่อวิ่งขึ้นวิ่งลงเทียบกันแบบเม็ดต่อเม็ดได้) ทำให้รู้สึกได้ว่ามันมีพัฒนาการเกิดขึ้นให้สัมผัสได้จริง แม้ตำแหน่งการขับขี่จะรู้สึกเหมือนเดิมชนิดหลับตานั่งอาจจะแยกไม่ออก แต่การคัดเลือกวัสดุที่นำมาใช้กับภายในของ 370Z ถือว่าทำได้ดีกว่าเดิม และช่วยสร้างความรู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป ซึ่งลูกค้าน่าจะถือเป็นข่าวดี
สมัย 350Z ผมมองภายในแล้วรู้สึกว่านี่มันก็เหมือนรถราคาล้านนึง แต่กับรถคันใหม่นี้ผมคิดว่านิสสันเริ่มมอง Porsche หรือ
Audi เป็นแบบอย่างจริงๆซะแล้วล่ะ ..ยังไม่เนี๊ยบขนาดนั้น แต่ก็เป็นก้าวกระโดดที่น่าชมเชย
ที่คอนโซลกลางนั้นสังเกตบริเวณเหนือจอระบบนำร่อง และส่วนปลายล่างสุดแถวๆฐานคันเกียร์ คุณจะพบว่ามีรอยเหมือน
การเย็บหนัง..ก็เพราะมันถูกหุ้มหนังเอาไว้น่ะสิครับ และเป็นหนังที่ให้ความรู้สึกในการสัมผัสดีมาก แม้แต่วัสดุที่ใช้ขึ้นรูป
เป็นแผงแดชบอร์ด ก็เป็นวัสดุผิวสัมผัสนุ่มที่ไม่แน่ใจนักว่าจะแพงกว่าพลาสติกธรรมดาเท่าไหร่ แต่เมื่อลองกดๆดูก็พบว่า
เข้าท่าแฮะ แม้ว่าจริงๆแล้วน่าจะหุ้มคอนนอลลี่มาให้ทั้งแผง (ล้อเล่น ขืนทำจริงๆมันคงเพิ่มงบไปอีกโขเลย)
ถ้ายังไง ลองเอารูปข้างบนมาเทียบกับของ 350Z ดูครับ
แค่นี้ก็คงเห็นความต่างได้ด้วยตาแล้วนะครับ แต่ถ้าได้สัมผัสจริงจะยิ่งบรรลุถึงความต่างยิ่งขึ้น
ส่วนตัวเบาะนั้นยังคงมีความกระชับมากกว่าความสบาย แม้คนออกแบบเองจะพยายามหาจุดลงตัวระหว่างสองสิ่งนี้ให้ได้จุดที่
ดีที่สุด แต่เนื่องจากธรรมชาติของรถที่เป็นรถสปอร์ต ความรัดกุมมั่นใจเมื่อนั่งในเบาะจึงเป็นสิ่งจำเป็น เบาะนั่งก็ยังคง
ปรับด้วยไฟฟ้าเช่นเคย แต่ไม่ว่าใครจะว่ายังไง ผมคิดว่ามันอยู่ในตำแหน่งที่ปรับใช้งานค่อนข้างยาก และรูปแบบของสวิทช์
ก็มักทำให้ผมต้องหันหัวลงไปดูว่าอันไหนคือปรับเลื่อนฐานเบาะ อันไหนคือปรับเอนเบาะ
และข่าวที่ไม่ค่อยชอบอีกอย่างหนึ่งก็คือพวงมาลัยที่ปรับได้แค่ก้มและเงย แต่ไม่สามารถปรับระยะใกล้-ไกลได้ เนื่องจากต้นทุนและความซับซ้อนในการผลิต ซึ่งโอเค ผมพอเข้าใจโดยส่วนตัวผมเอง ก็ไม่ได้มีปัญหากับระยะเบาะ-คันเร่ง-พวงมาลัยของ 370Z นี้เลย มันเป็นรถสปอร์ตที่นั่งสบายกว่าที่คิดมาก ตรงกันข้ามกับ…เอ่อ..S2000 ที่ผมแทบจะขยับแขนไม่ได้เลยเมื่อนั่งลงไป
ไม่เชื่อก็ดูภาพเอาละกันนะครับ อิอิ
ถ้าคนตัวสูง 183 ซ.ม. รอบอก 60 รอบเอว 61 รอบตะโพก 62 ยังลองนั่งแล้วไม่มีปัญหา ผมว่าชายไทยโดยมาตรฐานก็ไม่น่ามีปัญหาแม่นบ่?
แต่เรื่องระยะของพวงมาลัยนี่ ผมคิดว่าหลายคนคงรู้สึกว่ามันออกจะชิดคอนโซลมากไปหน่อย คล้ายๆกับสิ่งที่เกิดขึ้นใน Nissan
Tiida จริงอยู่ว่าบรรดาขาซิ่งเขาสามารถแก้ปัญหาได้โดยถอดพวงมาลัยเดิม ใส่พวงมาลัยซิ่ง ดัดแปลงเอาอแดปเตอร์เพิ่มระยะคอพวงมาลัยใส่เข้าไปใหม่ มันทำได้ แต่ทำไมเจ้าของ Z ราคา 5 ล้านต้องไปอธิบายกับเจ้าของ Honda Jazz ว่าทำไมรถของเขาถึงปรับพวงมาลัยเข้าออกไม่ได้
ใช่ว่าเราจะไปทำตลาดกับกลุ่มนกเพนกวินและลิงอุรังอุตัง ..แต่ในเมื่อนิสสันไล่ตามความสมบูรณ์แบบในการขับขี่อย่างสุดขอบโลกมาจนขนาดนี้ ก็ไม่น่าจะยอมให้เหตุผลเรื่องต้นทุนมาหยุดยั้งพวกเขาได้เลย (ถ้าพูดญี่ปุ่นได้ ผมก็คงอยากถามว่าต้นทุนที่จะเกิดจากการใส่พวงมาลัยยืดเข้าออกได้นี่มันจะกี่แสนบาทกัน)
และไม่ต้องคิดมากไปเองว่ารถสเป็คไทยจะมีการตัดออพชั่นนะครับ เพราะคันที่เห็นนี่เป็นรถนำเข้ามาเอง และเป็นสเป็คสูงสุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสเป็คจากส่วนไหนของโลกก็จะไม่มีอุปกรณ์ที่ว่านี้ครับ น่าเสียดาย
การมาของ 370Z ครั้งนี้ถือว่ามีจุดที่อยากติน้อยมาก ส่วนเรื่องเสียงลม เสียงรบกวน พวกแม็กกาซีนเมืองนอกพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าดีกว่าเดิม แต่เราเองก็ยังจำได้ว่าเสียงรบกวนที่เข้ามาในห้องโดยสารของ 350Z นั้นดังกว่าที่ควรจะเป็นขนาดไหน มันทำให้เรายังสงสัยอยู่ว่า เงียบลงน่ะใช่ แต่เงียบพอหรือเปล่า?
นอกนั้นอย่างอื่น ในความเห็นผมนั้นคือมันเป็นพัฒนาการในเชิงบวก และราคาของมันเท่าที่ทราบมาคือเล็งกันไว้แถวๆ 5.1-5.2ล้าน โดยที่ผู้นำเข้าอิสระบางรายจะเริ่มต้นกันที่ 4.9 ล้านบาท คุณคิดว่ายังไงกันบ้างครับ?
ถ้านึกไม่ออก เราลองมานั่งเทียบเล่นๆกันก็ได้ คุณเริ่มต้นกับ 370Z- รถสปอร์ต 2 ที่นั่ง โฉมโฉบเฉี่ยวสุดใจขาดดิ้น มีม้าให้ขย่ม 336 ตัว ภายในค่อนข้างโอเคเลย เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่แบรนด์ยุโรปไฮโซ..มันยังคงเป็นนิสสัน แต่เป็นนิสสันที่มีตำนาน ตรงนี้คุณจ่าย 5.1 ล้าน สมมตินะ
ถ้าคุณอยากเซฟเงิน แถมยังดูมีฐานะทางสังคมสูงขึ้นอีกระดับ คุณสามารถเลือก SLK200 แทนได้ ประหยัดเงินไปครึ่งล้าน แต่คุณเท้าหนักหรือเปล่า คุณรับได้กับเครื่อง 4 สูบที่ม้าน้อยลงอีกเกือบ 140 ตัวได้หรือไม่
หรือถ้าคุณเป็นแฟนใบพัดขาวฟ้า 3-Series Coupe ก็เป็นรถที่น่าสนนะ คุณได้เสียงเครื่อง 6 สูบเรียงที่หวานนุ่มดุแบบผู้ดีกว่า Z จ่ายเงินพอๆกัน แรงกว่า SLK ภายในหรูหราด้วยนะ แต่คุณก็ยังขาดม้าไปร้อยกว่าตัวอยู่ดี และถ้าอยากได้ 3-Series Coupe แต่ต้องการม้าไว้ฆ่า Z คุณก็จบกับ 335i Twin Turbo ที่ดึงสะใจแน่ๆ แต่จ่าย7ล้านกว่าๆ ก็คงไม่น่าเป็นปัญหาสำหรับคุณ
ส่วน Porsche นั้นคงไม่ต้องพูดถึงถ้าคุณเก็บเงินได้ 7 ล้านกว่าๆ คุณมีสิทธิ์เอื้อม Boxster 2.7 ได้ แน่นอนมันเป็นรถที่ขับได้ดีเยี่ยม และมันพิสูจน์แล้วว่าการเป็นรถรุ่นถูกของค่าย ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ดี แต่เรี่ยวแรงของมันก็ยังไม่เท่า Z และราคาสำหรับความเป็นเยอรมันสปอร์ตแท้ก็ต่างกันอยู่ แล้วไม่ต้องพูดถึงตัวเจ็บๆอย่าง Cayman S ซึ่งค่าัตัวจะยิ่งไปไกลกว่านี้มาก
เอางี้ดีกว่า..ลองคิดดูซิว่าในประเทศไทย มีรถกี่รุ่นที่ม้าเกิน 300 และราคาไม่เกิน 5 ล้าน? คิดได้แล้วบอกผมด้วยน่อ
ทีนี้ ผมก็เริ่มเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไม Z ถึงเป็นรถที่มีศักยภาพในการขาย แม้ว่ามันไม่ใช่รถประเภทที่ใครก็ตามจะซื้อได้
แต่มันคือรถที่นำพาสิ่งต่างๆจากรถระดับเทพ ตัดออกบางส่วน เหลือไว้หลายส่วน ใส่ลูกเล่นเข้าไปอีกนิด และขายในราคาที่ชนชั้นกลางอย่างเรายังมีความหวังอยู่ว่าอีก 10 ปีข้างหน้าเราน่าจะมีเงินพอซื้อมันในราคามือสองได้
สรุปเบื้องต้นสำหรับการสัมผัสแบบ Walk in Showroom
หลังจากที่ได้พบตัวจริง และทราบสเป็คโดยคร่าวๆของมัน ผมก็ยังคงรู้สึกดีใจกับการมาของ 370Z และถึงแม้ผมจะไม่ชอบ
รูปทรงภายนอกของมันเท่ารุ่นที่แล้ว แต่นี่คือหนึ่งในรถที่ต้องมองกันให้ลึกกว่ารูปร่างภายนอก แล้วจะพบสิ่งดีๆและการปรับปรุงพัฒนาที่เกิดขึ้นรอบขึ้น ซึ่งหลายอย่างในนั้นสามารถจับต้องได้ เห็นได้ด้วยตา
ที่สำคัญ ผมนับถือวิศวกรผู้กำหนดแนวทางของ Z รุ่นนี้ และต้อง “อาริกาโตะ” ให้กับการที่พยายามอนุรักษ์แนวทางความเป็นรถสปอร์ตที่ไม่ต้องแรงจนเอาไม่อยู่ หรือคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ไปทั้งคันชนิดขับตกน้ำทีไฟช็อตตายคาเบาะ มันเป็นรถคันนึงที่พยายามหยิบยื่นเอารูปลักษณ์ที่โดดเด่นให้ ยื่นความแรงและความสนุกให้ การที่นิสสันประเทศไทยปล่อยข่าวว่าจะนำเข้ามาจำหน่ายทั้งรุ่นเกียร์ธรรมดา และเกียร์อัตโนมัตินั้นเป็นเรื่องที่น่าจับตามอง และน่าต่อคิวรอขอทดสอบรถ ถึงแม้ว่ามันจะต้องรอเป็นวันก็ตาม สื่อต่างประเทศให้ตัวเลข 0-100 ภายใน 5.2วินาทีและควอเตอร์ไมล์ภายใน 13.4 วินาทีจะจริงแท้แน่นอนแค่ไหน ผมเองก็รอวันที่จะพิสูจน์ด้วยตัวเอง
โดยปกติรถที่ผมได้มีโอกาสทดลองขับ มันมักจะผ่านเข้ามาแบบบังเอิญ โดยไม่ได้ตั้งใจเอาไว้แต่แรกว่าจะได้ขับ
แต่กับ 370Z คันนี้ ผมคิดว่ามันคือรถที่น่าสนใจที่สุดคันหนึ่งในปี 2009 ซึ่งจะเหมือนกับฟ้ามาโปรดเลยถ้าได้ลองขับจริงๆจังๆสักครั้ง ไม่ว่าขับแล้วจะพบเรื่องดีมากขึ้น หรือพบข้อเสียมากขึ้นก็ตาม เพราะในบรรดาชนชั้นหากินแต่ใจรักในรถสปอร์ตอย่างเรา Z ดูเหมือนจะอยู่ ณจุดสูงสุดของความสามารถที่เราจะเอื้อมไปถึงได้ และเราน่าจะรู้สึกพอใจกับมันไปอีกนาน
หรือไม่ก็จนกว่าจะมี 380Z..มั้ง?
Behind Da Scene
ว่ากันว่า..ตอนเด็กๆ ถ้าอยากได้อะไรต้องใช้มุขอ้อนชั้นคลาสสิกประเภทล้มตัวลง ทุบพื้นปัี้้กๆๆๆ ร้องไห้งอแง ดิ้นพราดๆอะไรทำนองนี้ รับรองว่าได้ของเล่นสมใจอยาก แต่กับเคสของ Z ตัวใหม่นี้ ดูเหมือนว่าพฤติกรรมการอ้อนดังกล่าวจะไม่ได้ผลนัก…ไม่รู้สิ บางทีผมอาจจะไม่ใช่เด็กอีกแล้วก็ได้ : )
สงวนลิขสิทธิ์เนื้อหาของบทความนี้
การนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ ให้ขออนุญาตผู้เขียนก่อนเสมอ
การนำไป post เพื่ออ้างอิงบนเว็บบอร์ด กรุณาใส่ข้อความกำกับ
“อ้างอิงจากเว็บไซต์ HeadlightMag” และไม่จำเป็นต้องทำลิงค์ครับ