หากพูดถึงเยอรมันนี สิ่งที่ท่านจะนึกถึงเป็นอันดับแรกคืออะไรครับ? สำหรับบางท่าน อาจจะ
เป็นไส้กรอกแสนอร่อย การนั่งจิบเบียร์เย็นๆริมแม่น้ำไรน์? บางท่านที่ชอบการท่องเที่ยวอาจ
นึกถึงหมู่บ้านทรงโบราณและปราสาทเก่าแก่ในขณะที่บางท่านซึ่งคลั่งไคล้ในประวัติศาสตร์
อาจนึกถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 และท่าน Hitler The Fuhrer ก่อนล่มสลายกลายเป็นยุค
สงครามเย็นที่มีกำแพงเบอร์ลินกั้นเสรีภาพและการไปมาหาสู่ของประชาชนทั้งสองฝั่ง
แล้วในที่สุดก็ถูกทุบทิ้งไปพร้อมกับการพังทลายของสหภาพโซเวียต จากนั้นเราก็รู้จักเยอรมันนี
ในฐานะแหล่งกำเนิดของสโมสรฟุตบอลชื่อดังอย่างเช่น บาเยิร์น มิวนิค, ไบเอร์ เลเวอร์คู่เซ่น
หรือวีเอฟบี ชตุทการ์ท เหล่านี้เป็นต้น
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่าน Headlightmag ย่อมต้องนึกถึงรถจากเยอรมันนี ซึ่งใน
อดีตเรานึกถึงรถจากประเทศนี้ในฐานะสินค้าไฮโซ (ยกเว้น Opel ซึ่งเป็นมิดเดิ้ลโซ) เช่น BMW
และ Mercedes-Benz ซึ่งมีเทคโนโลยีสูง พอขึ้นขับแล้วพบว่าวิ่ง 160-170 ยังนิ่ง กดคันเร่งที
นึงสมองก็นึกถึงภาพวิศวกรในชุดแล็บขาวนับพันคนกำลังตั้งใจทำงานหน้าดำคร่ำเครียด
เพื่อสร้างยานยนต์อันดับหนึ่งของโลก แล้วก็ยังมีรถอีกยี่ห้อหนึ่งจากชตุทการ์ท ซึ่งขึ้นชื่อ
ในด้านการสร้างรถประสิทธิภาพสูงคล้าย BMW และ Mercedes-Benz ทว่ามุ่งความสนใจ
ไปที่สมรรถนะและความสนุกสนานในการขับขี่ ทั้งยังสามารถสร้างพลังศรัทธาในหมู่สาวก
ด้วยการขัดเกลาเทคโนโลยีต่างๆให้ดีขึ้นตลอดเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา ถูกต้องแล้วครับ
ผมกำลังพูดถึง Porsche แต่ในวันนี้ เราไม่ได้มาพร้อมกับรถสปอร์ตอย่าง Boxster หรือ 911
นะครับ แต่เป็น Cayenne S E-Hybrid รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัว ซึ่งต้องขอขอบคุณทาง AAS
ที่เชิญทีมงาน Headlightmag มาร่วมการทดลองขับสั้นๆที่ ลานอเนกประสงค์
กรมทหารราบที่11 ถนนพหลโยธิน
CAYENNE : The Beginning
ชื่อ “Cayenne” นั้น เมื่อผมไปค้นหาความหมายของมันดู ก็พบว่ามีสองอย่าง หนึ่ง คือเป็น
เมืองหลวงของ French Guiana และสอง คือ พริกแดง (Red Hot Chilli Pepper..
เครื่องเทศนะครับไม่ใช่วงดนตรี) และรวมถึงพริกป่นที่ทำมาจากพริกตระกูลนี้ด้วย
ซึ่งคิดไปคิดมามันก็เข้ากันดีกับตัว S และ E ในชื่อรุ่น S=Salt และ E=Egg อืม…เดี๋ยว
นี่มันไม่ใช่ช่วง DriveThru หรือ Cooking with MayT นะ..
Porsche Cayenne ถูกสร้างขึ้นมาภายใต้แนวคิด”Spread “ มีวัตถุประสงค์เพื่อการขับขี่ใน
ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการขับไปทำงาน ขับขี่แบบออฟโร้ด หรือแม้แต่ขับบนสนามแข่ง
และต้องให้สัมผัสขับขี่ที่สุนทรีย์ในทุกสภาวะถนน ไม่ว่าจะขรุขระเพียงใดก็ตาม (ซึ่งเหมาะมาก
กับสภาพถนนหนทางในประเทศไทยที่ซ่อมแล้วซ่อมอีก ซ่อมไม่เคยหยุด และสภาพที่ซ่อมแล้ว
ก็ไม่ต่างอะไรกับตอนที่ยังไม่ซ่อม บางเส้นทางถนนต้องเรียกว่าดีกว่าทางเกวียนนิดหน่อย)
ต้องเป็นห้องโดยสารอันกว้างขวางขนาด5ที่นั่ง พร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวก
ที่มีคุณภาพสูงซึ่งออกแบบให้ตรงตามDNAของ Porsche ทุกประการ
Cayenne รุ่นแรก ผลิตที่โรงงานในบ้านเกิดเยอรมนี โดยปรากฎกายแก่สายตาชาวโลก
เป็นครั้งแรกเมื่อปี2002 ปีถัดมาจึงวางขายที่ตลาดอเมริกา แม้ในช่วงแรก ท่าน CEO
สมัยนั้นอย่าง Wendelin Wiedeking ต้องทนกับกระแสก่นด่าจากแฟนพันธุ์แท้ Porsche
และผู้ลงทุนจำนวนมาก เพราะพวกนั้นคิดว่า Porsche ควรทำแต่รถสปอร์ต! และรถสปอร์ต!
เท่านั้น! แต่ในที่สุด ผลปรากฏออกมาก็คือ ในระยะเวลาทำตลาดกว่า9ปีของรุ่นแรก
กวาดยอดขายทั้งสิ้น 276,000 คันทั่วโลกและเป็นรถที่ช่วยนำพารายได้มหาศาลให้กับ
ค่ายรถจากเมืองชตุทการ์ท และทำให้หลายคนที่เคยด่า Wiedeking แทบต้องกลืนถ่ายไฟฉาย
แทนน้ำลายตัวเอง
สำหรับรุ่นที่2ของ Cayenne นั้นนับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกที่ Geneva Motor Show เมื่อปี 2010
จนถึงปัจจุบัน มียอดขายสะสมแล้วกว่า 303,000 คัน เรียกว่าขายดีจนกระทั่งบริษัทแม่
Volkswagen AG ตัดสินใจขยายโรงงานผลิตในเมืองOsnabruck เพื่อช่วยผลิตป้อนสู่ตลาด
ตามกระแสตอบรับอันล้นหลาม
สำหรับตลาดประเทศไทย ตัวแทนนำเข้าและจัดจำหน่าย คือ เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส
นำเข้ามาทำตลาดและจำหน่ายทั้งหมด 5 รุ่นย่อย คือ
1. Cayenne Diesel เครื่องยนต์ 3,000 ซีซี V6 ดีเซลเทอร์โบ 262 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ
Tiptronic S 8จังหวะ ความเร็วสูงสุด 221 กม./ชม. ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
173-179 กรัม/กิโลเมตร
2. Cayenne S Diesel เครื่องยนต์ 4,200 ซีซี V8 ดีเซลเทอร์โบ 385 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ
Tiptronic S 8จังหวะ ความเร็วสูงสุด 252 กม./ชม. ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
209 กรัม/กิโลเมตร
3. Cayenne S เครื่องยนต์เบนซิน 3,600 ซีซี V6 เทอร์โบคู่ 420 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ
Tiptronic S 8จังหวะ ความเร็วสูงสุด 259 กม./ชม. ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
223-229 กรัม/กิโลเมตร
4. Cayenne Turbo เครื่องยนต์เบนซิน 4,800 ซีซี V8 เทอร์โบคู่ 520 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ
Tiptronic S 8จังหวะ ความเร็วสูงสุด 279 กม./ชม. ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
261-267 กรัม/กิโลเมตร และ
5. Cayenne S E-HYBRID รุ่นที่ผมเดินทางไปทดลองขับที่ลานอเนกประสงค์
กรมทหารราบที่ 11 ถ.พหลโยธิน ในครั้งนี้
รูปลักษณ์ภายนอก : แลดูดั่งพญากบผู้มีอันจะกิน
Cayenne ยังคงยึดถือแนวทางการสร้างรถของ Porsche ที่ต้องมุ่งเน้นสมรรถนะ แม้ว่าจะเกิด
มาเป็น SUV ก็ต้องมีบุคลิกการขับขี่ที่คล่องแคล่ว ผมมองรถทดสอบที่วิ่งไปมาผ่านโค้งผ่านกรวย
ที่เรียงไว้ในสนามก็พอจะเข้าใจคำว่า Porsche DNA อยู่ ท่าทางของรถบวกกับดีไซน์ของมันทำ
ให้น้อยคนจะทราบว่า Cayenne คือ SUV หนักสองตันกว่าๆ ไฟหน้าBi-Xenon แบบ Floating
Four-Point LED Daytime Running Lights ไฟท้ายแบบ 4 ชิ้นส่วน Four Part Design ไฟเลี้ยว
จัดวางไว้ตรงกระจกมองข้างแทนการติดตั้งที่แก้มหน้ารถ ปลายท่อไอเสียท่อคู่ทั้งซ้ายขวา
แลดูผสมผสานได้เข้ากันกับด้านหลังรถอย่างลงตัว สปอยเลอร์หลังคาเชื่อมต่อเป็นแผ่นเดียว
ไร้รอยต่อ เข้ากันกับลายหลังคาอย่างไม่รู้สึกขัดสายตา
เส้นสายตัวรถออกแบบได้โฉบเฉี่ยวสไตล์สปอร์ต กลมกลืนกันทั้งความงดงามและดุดัน
หน้ารถ แก้มหน้า ฝากระโปรงรถ ฝากระโปรงด้านหน้ากว้างขวาง มีช่องว่างด้านข้างที่ปีกนก
ช่องดักอากาศตรงกลางเล็กกว่าโฉมที่แล้ว ทำให้ด้านหน้ารถดูโฉบเฉี่ยว ช่องดักอากาศ
ด้านข้างมี 2 ตัว เหมือนรถมีมัดกล้ามทะมัดทะแมงทรงพลัง ตัว Airbladeทั้งสองข้างของ
ด้านหน้ารถ ก็ติดตั้งไว้เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของช่องระบายความร้อน
รูปลักษณ์ภายใน : หรูหรา เลอค่า ที่พญากบคู่ควร
โทนสีภายในห้องโดยสารของรถทดสอบคันที่ผมมีโอกาสในขับนั้น ตกแต่งด้วยสีเบจ ไม่เว้นแม้
แต่พวงมาลัยที่เดินด้ายสีเบจเช่นกัน พวงมาลัยเป็นแบบรถสปอร์ต เรียกว่าเป็นพวงมาลัยสปอร์ต
อเนกประสงค์ก็ได้ เพราะมาพร้อมกับแพดเดิลชิฟท์ที่ใช้ในรุ่น 918 Spyder (Multifunction
Sports Steering Wheell With Shift Paddles) เบาะหน้านั่งนุ่มสะดวกสบาย โอบรับช่วงขาได้
หมดจดสำหรับชายร่างเล็กขนาดกะทัดรัดอย่างผม (และผมค่อนข้างมั่นใจว่ามันพอสำหรับบุรุษ
ร่าง Super-size เพิ่ม 20 บาทอย่างพี่ Pan Paitoonpong ด้วย) เบาะหลังไม่ได้ลองนั่ง แต่เท่าที่ดู
จากข้อมูล ลูกค้าสามารถเลือกติดตั้งเบาะแบบพ่นลม(Seat Ventilation)ได้ด้วย พูดถึงออพชั่น
เสริมที่ลูกค้าเลือกใส่รถเองได้ยังมีอีก คือ ฟังค์ชั่น”Soft Close”ให้กับประตู เหมาะสำหรับการ
เปิดประตูในพื้นที่จำกัด,กระจกหน้าแบบให้ความร้อน อันนี้เหมาะกับเมืองหนาวมากกว่า
ประเทศไทยที่อากาศร้อนเสียส่วนมาก
ระบบเชื่อมต่อ Audio Interface เป็นชุดอุปกรณ์มาตรฐานที่ติดตั้งมาให้ทุกรุ่นย่อยของ Cayenne
รวมทั้งในCayenne S E-HYBRIDคันนี้ อีกทั้งยังมีระบบPorsche Car Connect ที่ช่วยให้เข้าสู่
ข้อมูลของรถได้สะดวกและรวดเร็ว สามารถควบคุมฟังค์ชั่นการทำงานผ่านสมาร์ทโฟนได้อีกด้วย
สิ่งอำนวยความสะดวกอีกอย่างที่น่าสนใจคือ ระบบช่วงล่างแบบถุงลม หรือ Air Suspension
โดยกดปุ่มบริเวณข้างที่เก็บสัมภาระ รถจะลดระดับลงอีก 52 มิลลิเมตรจากระดับของช่องเก็บ
สัมภาระ รวมถึงประตูท้ายรถจะเปิดด้วยเช่นกัน ทำให้ใส่ของได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
ทีนี้เรามาดูอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่บ้าง
ระบบPark Assist ที่มีมาให้ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ที่มาพร้อมSurround View ที่ทำงานผ่านกล้อง
ที่มีความละเอียดสูงถึง3ตัว ติดตั้งที่ด้านหน้ารถ และกระจกข่างทั้งสองฝั่ง เพิ่มเติมจากกล้องที่ติด
ไว้สำหรับใช้ในการถอยหลังหรือ Reversing Camera โดยระบบจะคำนวณภาพที่ได้จาก
กล้องทั้ง4ตัว ก่อนจะทำการแสดงผลผ่านหน้าจอในนาม Porsche Communication
Management(PCM)
ระบบAdaptive Cruise Control ตั้งค่าความเร็วได้หลากหลาย ตั้งแต่30-210 ก.ม./ช.ม.
ซึ่งผมสงสัยมากว่ากี่คนที่จะบ้า Set Cruise ที่ 200 ? มันอันตรายเกินกว่าที่จะปล่อยเท้า
ตามสบายหรือเปล่า? แต่กระนั้นมันก็มีระบบตรวจจับช่วยอยู่ ซึ่งเวลาวิ่ง ถ้าหากระยะห่าง
ของรถคันหน้าลดลง ระบบจะเบรกเองอย่างนิ่มนวล และหากจำเป็นในสถานการณ์คับขัน
ระบบจะเบรกจนรถหยุด จากนั้นรถจะสามารถเร่งกลับไปที่ความเร็วเดิมที่เซ็ตไว้ได้อีกครั้ง
ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร ณ ขณะนั้นเข้าใจว่ามีอิเล็กทรอนิกส์ช่วย..ปลอดภัย..
แต่ นึกถึงการ Cruise 200 แล้วยังเสียวๆอยู่ดี
ระบบPorsche Active Safe(PAS) เจ้าระบบ PAS นี้จะทำงาน ในขณะที่เข้าใกล้รถคันหน้า
เร็วเกินไป จะเกิดภาพและเสียงเป็นสัญญาณเตือนให้เห็นว่า “ใกล้ไปแล้วว้อย” และ
สั่งการเบรกด้วยน้ำหนักเบรกที่เหมาะสมให้ อันนี้ไม่ใช่ของแปลกแล้วครับ ไม่ต้องเป็น
Porsche ก็ได้ ค่ายอื่นก็มีและมีในรถระดับราคาที่คนฐานะปานกลางเอื้อมถึงกันแล้ว
และมันจะยังทำงานอยู่แม้ระบบ Adaptive Cruise Control จะถูกปิดการใช้งานไว้ก็ตาม
Conventional Cruise Control ใช้งานร่วมกับเบรกได้ เช่น หากกำลังขับรถลงจากเขา
เมื่อถอนคันเร่งแต่ความเร็วยังลดลงมาไม่เพียงพอ ระบบPost Collision Brake จะออกมา
ช่วยทำงาน
ผมค่อนข้างเน้นพวกอุปกรณ์ความปลอดภัยในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าระบบพื้นฐานอื่นๆ
ไม่มีนะครับ ABS ถุงลมรอบคัน มีอยู่แล้ว แต่พูดเฉพาะส่วนที่ผมมักไม่ค่อยได้พบในรถ
SUV/PPV ระดับทั่วไปเท่านั้นเอง
รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ
Porsche Cayenne S E-HYBRID มาด้วยเครื่องยนต์ 2,995 ซี.ซี. V6 กระบอกสูบ 84.5 ม.ม.
อัตราส่วนกำลังอัด 10:5:1 พละกำลังเครื่องยนต์ 333แรงม้า ที่ 5,500-6,500รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุดที่440นิวตันเมตรที่รอบเครื่องยนต์ 3,000-5,250รอบต่อนาที ระบบขับเคลื่อน
แบบPararell Full Hybrid With Plug-in Technology เครื่องยนต์สันดาปและไฮบริดมาพร้อม
มอเตอร์ไฟฟ้า และDecoupling Clutch
เมื่อมอเตอร์ทำงานบวกกับพละกำลังเครื่องยนต์จะทำให้สร้างพลังได้ถึง 416แรงม้า
(306กิโลวัตต์) ที่รอบเครื่องยนต์5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 590 นิวตันเมตรที่รอบ
เครื่องยนต์ 1,250-4,000รอบต่อนาที พวงมาลัยแร็กแอนด์พิเนี่ยนพร้อมเพาเวอร์แบบไฟฟ้า
ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ8จังหวะ
เครื่องยนต์และระบบส่งกำลังติดตั้งร่วมกันเพื่อสร้างระบบขับเคลื่อนเดียว มาพร้อมกับ
Porsche Traction Management ระบบขับเคลื่อน4ล้อมาพร้อมขับเคลื่อนสี่ล้อพร้อมลิมิเต็ดสลิป
กระจายแรงขับหน้าและหลัง 42และ58เปอร์เซ็นต์ ระบบกันสะเทือนอิสระสี่ล้อ ด้านหน้าปีกนกสอง
ชั้นอะลูมิเนียม ด้านหลังมัลติลิ้งค์ โช้คอัพทั้ง 4 กระบอกเป็นแบบ Dual-Tube ทั้งหมด
นอกจากนี้ Porsche Cayenne S E HYBRID จะแตกต่างจากรุ่นที่แล้ว ( Cayenne S HYBRID)
คือเปลี่ยนมาใช้แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน เพิ่มประสิทธิภาพความจุในการชาร์จไฟได้10.8 กิโลวัตต์
ต่อชั่วโมง และพลังขับเคลื่อนจากมอเตอร์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ก็มากขึ้นกว่ารุ่นเดิมกว่าเท่าตัว คือ 70
กิโลวัตต์ หรือ 95แรงม้า (ในขณะที่ S HYBRID รุ่นที่แล้ว ทำได้เพียง 34 กิโลวัตต์ ใช้แบตเตอรี่
แบบNickel-Metal-Hydride มีความจุที่1.7กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ) และยังสามารถวิ่งด้วยไฟฟ้า
ล้วนๆได้ไกล 18-36 กิโลเมตร จะได้มากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับลักษณะการขับขี่ ที่แน่ๆคือ
อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำอย่างเห็นได้ชัด โดยถ้าหากเป็นเจ้าของรถผู้ซึ่งมี
บ้านห่างจากที่ทำงานไม่เกินระยะดังกล่าวถ้าขับรถไปกลับแต่ละวันโดยไม่มีการแอบวิ่งหนี
ศรีภรรยาไปไหนไกลๆ และสามารถชาร์จไฟให้กับรถได้สม่ำเสมอ ก็เรียกว่าแทบไม่ต้องเติม
น้ำมันกันเลยทีเดียว
การปรับปรุงทางด้านระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าและระบบไฮบริดในรถรุ่นใหม่นี้ Porsche เคลมว่า
มันทำให้อัตราการบริโภคน้ำมันทำได้ดีกว่ารุ่นก่อน คือ 3.4ลิตร/100กิโลเมตร
(รุ่นที่แล้ว 8.2ลิตร/100กิโลเมตร) แต่อย่าลืมว่าตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเป็นตัวเลขจาก
ข้อมูลที่ได้รับจากAAS นะครับ ผมยังไม่มีโอกาสได้ทดสอบอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันตามมาตรฐาน
ของHeadLightMag.com
ส่วนอัตราการปล่อยมลพิษลดลงเหลือเพียง 79 กรัม/กิโลเมตร จากเดิม193กรัม/กิโลเมตร
ในรุ่นก่อนก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่พร้อมสำหรับภาษีสรรพสามิตอัตราใหม่ปี 2559 เพราะเมื่อถึงปีนั้น
รถไฮบริดที่อุตส่าห์ใส่มอเตอร์แล้วยังปล่อย CO2 เกิน 100 กรัม/กิโลเมตรอีกจะถูกชาร์จ
สรรพสามิตเพิ่มจากเดิม 10% ครับ ดังนั้น S E-HYBRID นี่ถือว่ามาแก้ปัญหาได้ทันเวลาชนิด
ที่เรียกปูเสื่อนอนรอกันแต่ไก่โห่เลยทีเดียว
ที่พิเศษก็คือ ถ้าหากใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ยังสามารถทำความเร็วได้สูงถึง
125 กิโลเมตร/ชั่วโมง นับว่า “แค่มอเตอร์โซโล่เดี่ยวก็เสียวใบสั่งได้แล้วครับ”
ที่เก็บแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ใน Cayenne S E-HYBRID ยังถูกวางไว้ตำแหน่งเดียวกับที่เคย
วางไว้ใน Panamera S E-HYBRID คืออยู่ใต้พื้นที่เก็บสัมภาระ หากแต่ความจุของแบตเตอรี่ได้
เพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นน 28 Ah จากเดิม 24.5 Ah ตัวรถนั้นมาพร้อมกับ Charger
ขนาด3.6กิโลวัตต์ เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่วนที่ชาร์จไฟแบบ7.2กิโลวัตต์ มีให้เลือกเป็นอุปกรณ์
เสริม ซึ่งมีประสิทธิภาพการชาร์จได้เร็วกว่า Charger มาตรฐานถึง1เท่าตัว อย่างไรก็ตาม
หากสายชาร์จไฟหรือการเชื่อมต่อต่างๆนั้นมีความพร้อมและถูกติดตั้งอย่างเหมาะสม
ซึ่งถ้าทำได้ตามมาตรฐานของประเทศเยอรมนี รถจะได้รับการชาร์จเต็มภายในหนึ่งชั่วโมงครึ่ง
ประหยัดเวลาไปอีกเท่าตัวเลยทีเดียว
คุณสมบัติที่โดดเด่นของ Cayenne S E-HYBRID ยังมีตรงที่การคงแรงดันในถังน้ำมันเอาไว้
ที่0.3บาร์โดยประมาณ ที่ต้องมีแบบนี้ก็เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำมันจะไม่ระเหยคงไว้ซึ่งความสมดุล
ระหว่างเติมน้ำมันเข้าถัง แรงดันจะลดลงทันทีที่เปิดปุ่มฝาถังน้ำมัน ส่วนความจุถังน้ำมันนั้น
อยู่ที่ 80 ลิตร..อาจจะเล็กสำหรับรุ่น V8 เทอร์โบ แต่น่าจะเพียงพอสำหรับโมเดลไฮบริดแบบนี้
เอาล่ะ พูดเรื่องสเป็คกันมาเยอะแล้ว เดี๋ยวจะกลายเป็น Brochure-reading ซะเปล่า
เรามาพูดถึงการลองขับกันจริงๆเลยดีกว่าครับ แม้จะไม่ได้ขับยาวๆ แต่ขอเล่าแล้วกัน
ดีกว่าขับแล้วเก็บเงียบไว้คนเดียวจริงมั้ยครับ?
ทันทีที่ก้าวเท้าเอี้ยวตัวเข้ามานั่งฝั่งซ้ายในห้องโดยสาร ผมรู้สึกว่าจำนวนปุ่มบนแดชบอร์ด
มันมากมายละลานตาไปหมดและมีเวลาสังเกตน้อยมากว่าอะไรคืออะไร ก็พยายามสาด
สายตาสำรวจไปพร้อมๆกับฟังพี่แมน-มานิตย์ นักแข่งระดับอาวุโส ที่วันนี้มาช่วยรับบท
ผู้เชี่ยวชาญหลังพวงมาลัย และยังได้บรรยายจุดเด่นการทำงานของระบบHYBRIDของ
Cayenne รุ่นนี้ไปพร้อมๆกับการขับ แลดูพี่แมนแกพริ้วอย่างเป็นธรรมชาติมาก ลีลาการขับ
สลับบรรยาย ประดุจจอมยุทธผู้กล้าแกร่งในวิชาที่ผ่านการฝึกฝนทั้งบู๊และบุ๋นมาแรมปี
ไม่นานต่อมา Cayenne S E-HYBRID ก็ทะยานกลับมาจอดยังตำแหน่งสตาร์ทอีกครั้ง
พี่แมนแลกที่นั่งกับผมเพื่อให้ผมได้มีโอกาสทดลองขับขี่บ้าง ช่วงระยะเวลาสั้นๆกับระยะทาง
2รอบสนามของพื้นที่ลานอเนกประสงค์ ณ กรมทหารราบที่11 รักษาพระองค์ ผมจัดแจงปรับ
เบาะ ปรับพวงมาลัยจนนั่งถนัด ข้อมือวางจุดบนของพวงมาลัยทาบแล้วเหลือระยะให้สามารถ
หมุนพวงมาลัยได้คล่องพอ สารภาพว่านี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกสำหรับผมในหลายๆ
อย่างครับ Porsche คันแรก รถไฮบริด SUV คันแรก และเป็นรถ Plug-in คันแรกที่ขับ แล้วก็
อาจเป็นหนึ่งในรถที่แพงที่สุดที่เคยขับจึงอาจออกอาการประหม่าอยู่บ้าง
ใน Section แรกซึ่งเป็นช่วงออกตัวนั้น ผมคิดไว้ในใจก่อนว่า โอเค 590 Nm 416 แรงม้าอยู่ใต้เท้า
แต่นี่เป็น SUV ยักษ์หนักเกิน 2 ตันมีมอเตอร์มีแบตเตอรี่ด้วย ไม่น่าจะมีฤทธิ์เดชอะไรมาก
แต่เมื่อกระแทกคันเร่งแล้ว ไม่กี่วินาทีผ่านไป ผมบอกได้เลยว่าคิดผิดถนัดครับ อัตราเร่ง
0-100 ก.ม./ช.ม. ทางโรงงานเคลมไว้ว่า 5.9 วินาที ส่วนในวันที่อากาศร้อนและด้วยน้ำมัน
เมืองไทย S E-HYBRID ทำอัตราเร่งได้ประมาณ 6 วินาทีกลางถึงปลาย เห็นตัวเลขอยู่
60 ก.ม./ช.ม. นับ 1-2-3 มองอีกทีแตะ 100 บนหน้าปัดแล้ว แรงดึงของตัวรถมาอย่างหนักหน่วง
ชนิดหลังติดเบาะ ถ้าคุณไม่ได้ขับพวกรถไฮบริดสมัยใหม่มาก่อน คุณจะนึกไม่ถึงเลยว่ารถ
โลกเขียวจะมีมุมโหดแบบนี้ มันพุ่งตัวชาร์จข้างหน้าจนผมนึกว่านี่คือรถ Hot Hatch อย่าง
Scirocco หรือ A250AMG เลยด้วยซ้ำไป
มาคิดอีกที..พละกำลัง 590Nm มันก็เท่าๆกับรถ V12 สูบ 6.0 ลิตรเลยนี่หว่า แถมรถมีมอเตอร์
อย่างนี้ มันไม่ต้องรอรอบอยู่แล้ว เมื่อเท้าเหยียบคันเร่งจมมิด CAYENNE S E-HYBRIDก็พาผม
ทะยานพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ผมคิดว่าถ้าคุณไม่ใช่คนที่ขับรถสปอร์ตเป็นประจำ
มาเจออัตราเร่งแบบนี้ น่าจะรู้สึกพอใจแล้วที่รถยักษ์รักโลกอย่างนี้สามารถดีดออกตัวได้ราว
กับรถเล็กๆ
จากที่ได้ลองขับ ทางผู้จัดงานได้วางกรวยส้มเอาไว้ให้มีจังหวะสมมติเหมือนกับการอัดมา
เต็มเหยียดเหมือนพี่แพนตอนอารมณ์บูด จากนั้นก็จะเป็นการลองโค้ง ที่ให้เข้าแบบ
“ไหลเข้า” ซึ่งลักษณะจะคล้ายถนนตามชนบทของประเทศไทยนั่นเอง ผมลองขับผ่านโค้งต่าง
ๆภายใต้การช่วยแนะนำของพี่แมน แล้วก็พบว่าแม้จะเป็น SUV ที่ตัวใหญ่ไม่ใช่เล่น มันกลับ
สามารถคุมอาการยวบและโคลงของตัวถังเอาไว้ได้ดีทีเดียว ถ้ามองจากมุมของคนที่นั่ง
Porsche SUVครั้งแรกในชีวิต (แต่นั่ง SUV/PPV ทั่วไปมามากพอ) ผมรู้สึกว่า Cayenne มี
ความต่างตรงที่มันหักหลบผ่านจุดต่างๆชนิดที่นอกจากจะไม่ออกดราม่าแล้ว ยังแอบรู้สึก
สบายบั้นท้าย (ตัวเองนะ ไม่ใช่รถ) อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ส่วนความรู้สึกจากพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้านั้น ให้น้ำหนักกำลังดี มีแรงดีดกลับพอสมควร
แต่มีข้อแม้คือคุณต้องไม่เอามันไปเทียบกับรถที่สร้างมาเพื่อสมรรถนะอย่างพวก Cayman,
Boxster นะครับ มองมันเป็น SUV พรีเมี่ยมแล้วจะพบว่าการตอบสนองนั้นคมกว่า M-Class
ของ Mercedes-Benz แบบคนละเรื่อง และดีไม่ดีจะชนะ BMW X5 เอาเสียด้วยซ้ำไปในเรื่อง
ความมีชีวิตชีวา ใกล้เคียงกับรถสปอร์ตซาลูนดีๆมากกว่าคู่แข่งรายอื่น
ฟังดูเวอร์เหมือนจะอวย แต่ผมคงไม่แก้อะไรครับ นี่คือการพูดตามความรู้สึกจริงๆและถ้า
คุณย้อนหลังอ่านบทความทดลองขับของพี่ J!MMY หลายๆบทความก็จะสังเกตได้ว่า
ถ้าเป็นเรื่องของช่วงล่างกับพวงมาลัย น้อยครั้งมากที่รถในเครือVW Group จะทำให้เราผิดหวัง
สรุป
ถ้าถามความเห็นส่วนตัวเรื่องความคุ้มค่าในราคาค่าตัวของ Porsche Cayenne S E-HYBRID
มันตอบได้จากหลายมุมมองครับกับค่าตัว 7,990,000 บาท
ผมมีคำตอบในใจอยู่ในใจว่า ถ้าผมเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ทำงานหนักมาตั้งแต่จบใหม่ๆ รับฝิ่น
รับจ๊อบกระจาย ทำงานสัปดาห์ละ8วัน (เหมือนในเพลงEight Days a WeekของThe Beatles)
เก็บสะสมเงินมาทั้งชีวิต ทุบกระปุกหมูออกมานับแล้วมีเงินราวๆ10ล้าน ก็คงไม่ซื้อ เพราะผม
จะเหลือเงินแค่2ล้านบาท คงโดนคนที่บ้านด่าเปิดเปิงว่าทำไมไม่เอาเงินไปซื้อบ้าน หรือลงทุน
อย่างอื่นที่มันเห็นผลงอกเงยในอนาคต เช่น ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ซื้อคอนโดติดรถไฟฟ้า
ให้คนเช่าอยู่ ซื้อพันธบัตร สะสมทองคำ ฯลฯและอีกอย่าง..คือถ้าผมเป็นคนทำงานตูดเป็นไฟ
ขนาดนั้นเพื่อเก็บเงินซื้อ Porscheผมอาจจะไปลงกับ 911 (มือสองสิ), Cayman หรือ Boxster
มากกว่ากระมัง?
แต่ถ้าผมเป็นนักธุรกิจที่เครดิตดี มีเงิน10ล้านแล้วมีเงินหมุนเวียนอีกเฉลี่ยต่อเดือนเกือบ50ล้าน
ผมก็จะตัดสินใจซื้อได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องคิดนาน เท่ด้วยซ้ำ ภาพพจน์ดี เป็นนักธุรกิจผู้รักษ์โลก
แถมได้ลองเทคโนโลยีใหม่ๆของรถยนต์ที่มีอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ สมัยนี้ต่อให้ใครจะยัง
บอกว่า Cayenne มันเป็น Porsche กลายพันธุ์ไม่ใช่ Porsche แท้ๆ ก็ปล่อยเขาไปเถิดครับ
ลองนับบนถนนเอาเองว่าคุณพบเห็นมันได้บ่อยขนาดไหน และถ้ามองในแง่ความเป็นจริง
..ดูถนนอันแสนประเสริฐของบ้านเราสิแล้วคิดตามว่ารถแบบไหนกันที่เหมาะจะวิ่งบนถนนแบบนี้
ไม่ต้องเลื้อย..ไม่ต้องกลัวล้ออัลลอยดุ้ง?
ยิ่งถ้าตามกระแสของแหล่งข่าวที่ประสงค์ออกข่าวแต่ไม่ประสงค์ออกนามเริ่มปล่อยออกมาว่า
ราคาน้ำมันที่ร่วงลงมาเหลือไม่ถึง50เหรียญดอลลาร์ต่อบาร์เรลครั้งนี้เป็นแผนสับขาหลอกชาติ
ตะวันตกของพวกโอเปค แล้ววันข้างหน้าพี่แกจะขึ้นพรวดไปอีกทีที่ 200เหรียญ รถไฮบริดก็
ยังน่าสนอยู่วันยังค่ำ
ขออย่างเดียวว่าระบบ Hybrid Component ต่างๆอย่าพังตอนหมดประกันเป็นใช้ได้!
เศรษฐีตัวจริงทั้งหลายอาจจะไม่ห่วงเรื่องนี้ แต่คนหาเช้ากินค่ำอย่างผมและทีมเว็บคิดแล้ว
ยังหวั่นใจอยู่ครับ
May-t Taechachaiwong
ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท AAS Auto Service จำกัด
เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ
—————————————–
May-t Taechachaiwong
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ ย่อหน้าและถ้อยคำโดยผู้เขียน
นอกนั้น ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย เป็นผลงานของ Porsche
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
5 มีนาคม 2015
Copyright (c) 2015 Text and Pictures Except those provided by AAS Auto Service Team.
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
March 5th 2015