26 มีนาคม 2012
11.00 น.
ผมพบตัวเองยืนอยู่หน้าทางเข้างาน Bangkok International Motorshow โดยมี J!MMY และแขกพิเศษ
น้องหนาวจากเว็บ Carside.in.th อยู่ข้างกาย นี่เป็นกิจวัตรประจำที่มักเกิดขึ้น 2 ครั้งในแต่ละปีที่ผมและ
ชาวคณะ The Coup Team จะต้องลากสังขารตัวเองมาเพื่อสำรวจงานล่วงหน้า แล้วรีบจัดเป็นบทความ
แบบรวบรัดเพื่อให้ท่านผู้อ่านที่กำลังใจจดจ่ออยากจะมาได้ทราบกันล่วงหน้า และวางแผนได้ว่าจะแวะ
ไปเยี่ยมชมบูธไหนอย่างไรกันบ้าง
ท่านผู้อ่านครับ สิ่งที่น่ายินดีสำหรับคนรักรถอย่างผมมีด้วยกันหลายประการ แต่หนึ่งในนั้นก็คือการได้เห็น
สัญญาณแห่งการคืนชีพของวงการรถยนต์ในประเทศไทย หลังจากที่อุทกภัยเมื่อปลายปีที่แล้วทำกับ
พวกเราทุกชนชั้นเอาไว้อย่างแสบทรวงจนหลายคนคิดว่ามันจะกลายเป็นการหกคะเมนตีลังกาครั้งใหญ่
ที่จะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศ แต่ใน MotorExpo ปลายปี 2011 ก็แสดงให้
เห็นแล้วว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย ไม่ได้กลัวน้ำอย่างที่คิด ทุกค่ายแม้แต่ค่ายที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
ก็มีการคิดแผนรองรับธุรกิจภายใต้สภาวะการณ์ฉุกเฉิน และปรับตัวได้อย่างน่าชื่นชมเมื่อเทียบกับความเสียหาย
ที่พวกเขาได้รับ
และในงาน Bangkok Motorshow นี้ ความรู้สึกที่ผมได้รับหลังจากการใช้เวลา 1 วันเดินแวะเยี่ยมชมตามบูธ
ต่างๆก็คือ วันนี้ ไม่เพียงแต่เราจะอยู่รอดปลอดภัยและลุกขึ้นยืนได้ แต่เรายังพร้อมที่จะเดินหน้าต่อไป และ
ไปอย่างรวดเร็วจนต้องติดตามกันอย่างกระชั้นชิด
Motorshow 2012 อีโคคาร์ร้อน ปิคอัพแรง รถหรูเริ่ด สิ่งที่กล่าวไปนี้ไม่ได้เกินความจริงเลยแม้แต่น้อย
ในเมื่อบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต่างพร้อมใจกันนำเสนอรถหลายรุ่นที่ครอบคลุมตั้งแต่รถราคาย่อมเยาว์สำหรับลูกสาว
ขับไปเรียน รถปิคอัพยุคใหม่ที่นอกจากจะแรงและประหยัดแล้ว ยังมีการติดตั้งอุปกรณ์ความปลอดภัยมาให้
ชนิดที่ทำให้เราลืมไปเลยว่ารถกระบะทศวรรษที่แล้วเป็นอย่างไร ส่วนทางด้านรถหรูนั้น ปีนี้เรียกได้ว่ามีรถ
มากวักมือเรียกกระเป๋าเงินจากเศรษฐีไทยไม่น้อยเลย
ในภาพรวมคือ ท่านสามารถหาเรื่องเสียเงินได้ตั้งแต่ 3 แสนจนถึงหลายสิบล้านบาท!
จะเป็นอย่างไร ก็ขอให้ติดตามชม Report จานร้อนจาก Commander CHENG! ได้ ขอคัดมาเฉพาะ
Highlight หรือรถที่มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบางอย่างก่อน ส่วนรถรุ่นเดิมที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
อะไร ผมไม่พูดถึง แต่ในงานก็มีมาโชว์ตัวนะครับ
แต่ก่อนอื่นเพื่อกันไม่ให้ท่านผิดหวัง ก็ต้องขอบอกรายนามของบริษัทที่ไม่ได้มาร่วมงานในครั้งนี้ก่อนดีกว่า
Skoda และ MTM จากยนตรกิจกลุ่ม DAD ไม่มา..Citroen ไม่มา Proton เสือเหลืองช่วงล่าง Lotus ไม่มา
Audi ไม่มา..และสิ่งที่อาจทำให้ตากล้องหลายคนเสียใจที่สุดก็คือ..แหะ แหะ Subaru ไม่มานะครับ
บอกชื่อค่ายที่ไม่มาไปแล้ว ..ว่าแล้วก็เริ่มกันเลย!
**** BENTLEY ****
งานนี้ AAS ผู้นำเข้าอย่างเป็นทางการ เปิดตัว Bentley Continental GT V8 ซึ่งนับว่าเป็นการเปิดตัวไล่หลัง
เมืองนอกได้อย่างรวดเร็วมาก เพราะสื่อในเมืองนอกเพิ่งได้รถไปขับกันไม่นานมานี้เอง Continental GT
V8 ใช้เครื่องยนต์ 4.0 ลิตร ทวินเทอร์โบชาร์จ บล็อคเดียวกับที่ใช้ใน Audi S8 แต่ปรับจูนให้มีพละกำลัง
500 แรงม้า และ แรงบิด 660 นิวตันเมตร ภายนอกจุดที่ต่างจากรถรุ่น W12 จะอยู่ที่กันชนหน้า (ที่ V8 กลับ
จะดูสปอร์ตเสียกว่า) ส่วนสมรรถณะนั้นอาศัยความชิดของเกียร์ 8 จังหวะทำให้รถหนักกว่า 2 ตัน สามารถ
เร่งจาก 0-100 ก.ม./ช.ม.ได้ภายใน 4.8 วินาทีเท่านั้น เท่ากันกับรถรุ่น 12 สูบเลยก็ว่าได้ หากใครต้องการเป็น
เจ้าของ ไม่ยากครับแค่ 18.9 ล้านบาทเท่านั้นเอง ถือว่าค่าตัวย่อมเยาลงมากว่ารุ่นแรกๆ (23 – 25 ล้านบาท
ขึ้นอยู่กับค่าเงินในขณะนั้นๆ)
นอกจากนี้ในบูธ Bentley ซึ่งจัดแสดงอยู่บนพื้นที่ของกลุ่ม AAS Group นั้นก็จะมีรุ่น Mulsanne ซึ่งเป็น
Saloon รุ่น Flagship ของ Bentley และตั้งค่าตัวเอาไว้ 34 ล้านบาท และการตกแต่งภายในก็สมค่าตัวของมัน
จริงๆ เพราะอัดแน่นไปด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้า ซ่อนอยู่ในงานออกแบบสไตล์คลาสสิค มีช่องใส่ขวดแชมเปญ
ไว้ถึง 2 ขวด ขุมพลังเป็นแบบเบนซิน V8 Fourcam 32 วาล์ว 6,752 ซีซี TwinTurboCharger 505 แรงม้า
(BHP) หรือ 512 แรงม้า (PS) ที่ 4,200 รอบ/นาที แรงบิด มหาศาลถึง 1,020 นิวตันเมตร ที่รอบเครื่องยนต์
ต่ำสุดๆ เพียง 1,750 รอบ/นาที เท่านั้น ฉุดลากตัวรถที่หนัก 3,200 กิโลกรัม พร้อมน้ำมัน 96 ลิตรในถัง พุ่ง
ไปข้างหน้าจาก 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาเพียง 5.3 วินาที เท่านั้น!!
***BMW / MINI ****
รูปแบบการจัดบูธของ BMW ในปีนี้ก็ค่อนข้างเหมือนงานโชว์รถครั้งที่ผ่านมาซึ่งหลับตาเดินผ่านรถแต่ละคัน
ก็ยังได้ เพียงแต่สิ่งที่ทำให้บริเวณจัดงานของ BMW ในปีนี้ไม่ธรรมดาก็คือ BMW 3-Series โฉมใหม่ ตัวถัง
F30 ซึ่งเพิ่งเปิดตัวสู่ตลาดโลกไปเมื่อไม่นานมานี้นี่เอง สำหรับคนที่เตรียมกำเงินซื้อก็อย่าเพิ่งรีบร้อนไป
เพราะ BMW เปิดตัวรถรุ่นนี้แล้วก็จริง แต่รถล็อตแรกในตอนนี้ มีแต่รุ่นนำเข้าจากเยอรมันเท่านั้น ต้องรอ
รุ่นประกอบในประเทศ ที่จะทะยอยตามออกมาหลังจากนี้ จนถึงสิ้นปี
รุ่นที่มาโชว์ล้วนแล้วแต่เป็น 320d ซึ่งใช้เครื่องยนต์ดีเซล TwinPower Turbo 2.0 ลิตร 184 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ
8 จังหวะทั้ง 5 คัน เพียงแต่มีรูปแบบการตกแต่งภายในและภายนอกที่แตกต่างกันออกไปเพื่อให้ตอบสนองความ
พึงพอใจของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ดียิ่งขึ้น ทั้งรุ่น Sport – ขอบกระจกหน้าต่างเป็นสีดำ ภายในเน้นโทนสีดำ มีการ
แซมแถบสีแดงสดบนแดชบอร์ด ที่หน้าปัดจะมีการใช้เส้นสีแดงตกแต่งวงใน กันชนเป็นแบบสปอร์ต รุ่น Modern
– สำหรับคนที่ต้องการความหรูบวกกับทันสมัยด้วยขอบหน้าต่างสีดำ ภายในไม้สีเข้มตัดกับวัสดุสีเทาเงิน ดูค่อนข้าง
จะเรียบง่ายและสะอาดตา Luxury – สำหรับคนที่ชอบความหรูแบบ BMW ด้วยลายไม้วอลนัทสีน้ำตาลเบาะหนัง
สีเบจ ตกแต่งขอบหน้าต่างด้วยโครเมียมแบบผิวด้าน ในการตกแต่งแต่ละแบบจะได้ล้อดีไซน์ต่างกัน และกันชน
ด้านหน้าที่ไม่เหมือนกันที่บริเวณช่องลมหน้า
เราไม่แน่ใจนักว่าเมื่อขายไปสักปีสองปี สไตล์การตกแต่งจะถูกยุบเหลือแบบเดียวหรือเปล่า? แต่ที่แน่ๆ
เมื่อเราถามถึงราคารถ ก็ได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่ผู้ขายรถว่า ประมาณ 3 ล้าน..ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า
เมื่อราคาอย่างเป็นทางการประกาศออกมาแล้วจะไม่ใช่ 3.999 ล้าน
นอกจากนี้ 5-Series รถพรีเมียมขนาดกลางตัวเก่งก็ไม่ได้อยู่เฉย ใครที่ต้องการเป็นเจ้าของ 5-Series ในราคา
ประหยัด วันของท่านมาถึงแล้วด้วย BMW 520i ซึ่งเคาะราคาเปิดตัวมา 3.599 ล้านบาท ถูกกว่า 520d ลงอีก
1 แสนบาทถ้วน มาพร้อมกับเครื่องยนต์ TwinPower 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ 184 แรงม้า
ตามมาด้วย 528i และ 528i Sport เครื่องบล็อคเดียวกัน แต่ปรับจูนจนได้แรงม้าออกมา 218 ตัว (น้อยกว่า
สเป็คนอก ที่จะมีแรงม้า 245 ตัว) วางราคาไว้ 4.099-4.299 ล้านบาท ส่วน 525d ก็ถูกเปลี่ยนจากเครื่อง
6 สูบเรียง 3.0 ลิตร ไปเป็นเครื่อง 4 สูบ 2.0 ลิตรจัดเทอร์โบอัดหนักจนได้แรงม้า 218 แรงม้า
และราคาถูกลง เหลือ 4.249 ล้านบาท
ถ้าสังเกตดีๆ งานนี้มี BMW ActiveHybrid5 มาจอดโชว์อยู่ใกล้ๆกับบรรดาน้อง 3-Series ด้วยเช่นกัน
เหมือนกับ BMW แค่ส่ง SMS มาบอกคนไทยว่าเค้าทำรถ Hybrid คันโต 0-100 ภายใน 5.9 วินาทีได้แล้วนะ..
ถ้าอยากได้ จ่าย 5 ล้านบาทกลางๆ ได้เลยครับ แลกมาได้ 1 คัน ทันที!!
อีกทั้งยังมี BMW X6M ขุมพลังแรงคันเขื่อง เวอร์ชันเลี้ยงไม่ค่อยจะเชื่องของ X6 มาจอดเด่นเป็นสีฟ้า
ที่ชวนให้นึกถึงหนังเรื่อง Avatar เป็นอย่างยิ่ง รวมทั้ง BMW Motorad กลุ่มจักรยานยนต์ ก็มีสกู๊ตเตอร์
รุ่นใหม่ มาเปิดตัวครั้งแรกในงานนี้ด้วย 2 รุ่น งานนี้ BMW จะหันมาแข่งกับ Yamaha Fino กันแล้ว
สำหรับ MINI นั้นยังขนรุ่นต่างๆที่มีในตลาดประเทศไทยมาครบ แต่ในงานนี้ มีการเปิดตัว MINI Roadster
ซึ่งเป็นการนำรุ่น MINI Coupe มาเป็นพื้นฐานแล้วทำเป็นตังถังแบบหลังคาเปิด มีสปอยเลอร์หลังที่กระดกขึ้น
โดยอัตโนมัติเมื่อวิ่งเกิน 80 ก.ม./ช.ม. เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีรุ่นฉลองครบรอบ 10 ปีสำหรับตลาดเมืองไทย
ทำมาเป็นรุ่นพิเศษสำหรับบ้านเราโดยเฉพาะมาโชว์ตัวอีกด้วย
****CHEVROLET****
หลังจากที่เปิดตัวปิคอัพอเมริกันพันธุ์ใหม่เพื่อคนไทยอย่าง Colorado ไปแล้ว Chevrolet ไม่รอช้าที่จะส่ง
PPV รุ่น Trailblazer ตามมาติดๆ และสามารถเรียกคนเข้ามาเยี่ยมบูธ Chevrolet ได้จนแน่นขนัดทันทีที่
เปิดตัวแล้วรถวิ่งออกมาจอดหน้าบูธ!
Trailblazer มีจำหน่ายด้วยกันทั้งสิ้น 5 รุ่น คือรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง 2.5LT เกียร์ธรรมดา 5 สปีด
150 แรงม้า, รุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง 2.8LT, รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ 2.8LT, LTZ และ LTZ1 โดยที่รุ่น 2.8 ลิตร
จะมีแต่ระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะเท่านั้น จุดขายที่สำคัญซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้ขายมักกล่าวถึง
มากที่สุดก็คือ Trailblazer นั้น มีระบบเบรกเป็นแบบดิสก์ทั้ง 4 ล้อ ..งานนี้ท่านผู้อ่านบางท่านที่รู้สึก
ไม่ถูกโฉลกหรือทำใจไม่ได้ที่จะมีดรัมเบรกแปะอยู่ที่ล้อหลังกับรถแบบนี้..เวลาของท่านมาถึงแล้วนะครับ
นอกจาก Trailblazer แล้ว Chevrolet ยังได้เผยโฉม Sonic ในเวอร์ชั่น 4 ประตูที่เน้นความเรียบดุ
กับแบบ 5 ประตูที่คาดสีเสียจนนึกว่าไปแอบคุยกับ Lamborghini Superleggera คันไหนมาหรือเปล่า
แต่ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ของ Chevrolet กล่าวว่ารถมาโชว์เพื่อดึงความสนใจของลูกค้าเอาไว้ก่อนที่จะลงขายจริง
ภายในไตรมาสที่ 3 หรือ 4 ของปีนี้ แต่สเป็คเครื่องยนต์และราคานั้นยังไม่สามารถกำหนดหรือแม้แต่
ประมาณการได้
สำหรับตากล้องทั้งหลายที่โปรดปรานการถ่ายรูปพริตตี้ Commander CHENG ขอชี้เป้าให้ว่า น้องเบลล์
คนน่ารักที่มักพบได้ ณ บูธ Subaru ในงานก่อนหน้านี้ คราวนี้พบเธอได้ที่ Chevrolet นะครับ : )
*****FORD********
แน่นอนว่าจุดสนใจของงานนี้คือ Ford Ranger ซึ่งน่าแปลกตรงที่ไม่มีรถรุ่น Wildtrak มาจอดโชว์สักคัน?
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นได้? ก็ได้รับคำตอบว่า ตอนนี้ Ford ประกาศยกเลิกการรับจองรุ่น Wildtrak ทั้ง 2.2 และ
3.2 ลิตร เป็นการชั่วคราวแล้ว เนื่องจากยอดสั่งจองเยอะมาก แต่เกิดการขาดชิ้นส่วนการตกแต่งตัวถังนั่นเอง
ที่ทำให้รถ Wildtrak ไม่สามารถปล่อยออกมาจากโรงงานได้ ทั้งที่ประกอบไปเยอะแล้ว และจอดกองพะเนิน
เทินทึกอยู่เต็มโรงงาน จนดูเหมือนจะขาดตลาดและหายากในเวลานี้ แต่ข่าวดีก็คือกำลังผลิตถูกทุ่มไปกับรถ
รุ่น XLT และรุ่นธรรมดาต่างๆเพื่อส่งมอบให้ลูกค้าที่สั่งจองรถเอาไว้ได้อย่างเร็วที่สุด เพราะเข้าใจดีว่า
หลายคนรอจนแทบจะยกเลิกการจองไปแล้ว ..ก็อย่าเพิ่งรีบร้อนรนไป
ณ มุมเงียบๆที่ถูกบดบังโดยบูธหลังคากลมโป่งกลาง คุณจะได้พบกับ Ford Focus โฉมใหม่ทั้งคัน ซึ่งมาครบ
ทั้งรุ่น 5 ประตู และรุ่น 4 ประตู ทั้งหมดล้วนวางเครื่องยนต์ Duratec 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0L Ti-VCT GDi
ให้กำลังสูงสุด 170 แรงม้า และแรงบิด 202Nm (ใครที่รอแรงช้างถีบจากเครื่อง TDCi ก็ท่องกลอนรอกันไป
ก่อนนะจ๊ะ) มีระบบส่งกำลังให้เลือกเพียงแบบเดียวคือ Powershift 6 สปีด พร้อม Sequential Sportshift
เปลี่ยนเกียร์บวกลบในแบบพิลึกพิลั่น ถ้าท่านคิดว่าแค่ดันคันเกียร์ขึ้นๆลงๆล่ะก็เตรียมโดนเจ้ามือกินได้
ผมจะไม่บอกว่าเป็นอย่างไร แต่เมื่อท่านได้ไปยลโฉมตัวจริง ก็ลองสังเกตดูแล้วกันนะครับ
Ford Focus ไม่ได้มาโชว์ทำเก๋ไปวันๆ แต่มาพร้อมกับกำหนดราคามาเรียบร้อย รุ่นที่ถูกที่สุด มีราคา
959,000 บาท และรุ่นที่แพงที่สุด (Titanium + บอดี้ 5 ประตู) จะอยู่ที่ 1,079,000 บาท ในราคานี้ สิ่งที่
คุณจะได้คืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกตามที่รถระดับนี้ควรมี แต่! จะมีระบบ Blind Spot Information
System หรือระบบตรวจจับรถในจุดบอดแบบเดียวกับของ Volvo นั่นเอง! แต่! (มีแต่อีกละ) กั๊กไว้สำหรับ
รุ่น 4 ประตูตัวท้อปนะครับ แต่! (เอาเข้าไป..) ไม่ว่าจะเป็นตัวท้อปบอดี้ไหน ก็จะได้ระบบ Active Park
Assist หรือระบบช่วยจอดอัตโนมัติที่รถจะทำการหมุนพวงมาลัยให้คุณเองได้แบบเดียวกับ Skoda Superb
นั่นเท่ากับว่าระบบช่วยจอดอัตโนมัติ ลงมาอยู่ในรถบ้าน C-Segment เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และรถรุ่นนี้
จะประกอบขึ้นมาในโรงงานแห่งใหม่คือ Ford Motor Thailand ที่ระยอง (คนละโรงงานกับ AAT เดิม)
ส่วน Fiesta 1.5 รถที่เกิดมาเพื่อตอบรับโครงการรถคันแรกโดยแท้นั้น มีพละกำลังลดลงเหลือ 109 แรงม้า
จากเดิมในรุ่น 1.6 ที่มี 121 แรงม้า และถ้านำรุ่น 1.5 Sport กับ 1.6 Sport มาเทียบกัน พบว่าอุปกรณ์ที่ต่าง
ก็เห็นจะมีระบบปรับอากาศอัตโนมัติ กับเบาะหนัง เกิดมาเพื่อเข้าโครงการรถคันแรก ซึ่งก็ใกล้จะหมด
เขตเต็มที ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมากันตอนนี้ทำไม?
บริเวณส่วนหน้าสุดของบูธ Ford ยังมี SUV สายพันธุ์ออสเตรเลียอย่าง Ford Territory Minorchange
ปรับหน้าตาจากเจ้าจิงโจ้คันเก่าที่ J!MMY เคยทำรีวิวไป เป็นรถคันสีดำมาจอดโชว์อีกด้วย ความจริง
Ford ตั้งใจจะเปิดตัวเจ้าดำดุคันนี้ มาตั้งแต่ Motor Expo ปลายปีที่แล้ว แต่ Ford ตัดสินใจเลื่อนการเปิดตัว
ออกมา จนถึงช่วงนี้ ก็ยังไม่พร้อมเปิดขาย ทำได้แค่เพียง Preview ให้ดูเท่านั้น ว่าจะมีเครื่องยนต์ ใหม่
Diesel V6 DOHC 24 วาล์ว 2.7 ลิตร Common Rail Turbo ยังไม่ระบุสเป็กและราคา แต่คาดว่า คงอีก
ไม่นานหลังจากนี้ อ้อ! รถคันนี้ นำเข้าจากออสเตรเลีย ซึ่งมีข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับไทย ดังนั้น
ค่าตัว มีสิทธิ์จะออกมาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ได้เหมือนกัน ต้องรอลุ้นกันอีกที
**** Honda *****
สำหรับค่าย Honda ซึ่งได้รับผลกระทบหนักที่สุด จากอุทกภัยครั้งที่ผ่านมา งาน Motorshow ครั้งนี้สำหรับ
Honda แล้ว นอกจากจะเป็นการประกาศขอบคุณกับทุกกำลังใจ และลั่นกลองรบว่าพร้อมจะกลับมาส่งมอบ
รถยนต์ให้กับลูกค้า ทั้งที่อยากจะจอง และจองจนใบจองเริ่มเหลืองตามสภาพกระดาษที่นานจนเก่าเก็บไป
แล้วนั้น ผมอยากตั้งชื่อให้เล่นๆว่าเป็นปาร์ตี้ลับมีดเตรียมเชือดเกรย์มาร์เก็ต เนื่องจากมีการเปิดตัวรถนำเข้า
5 รุ่น (2 รุ่น ทั้ง Jazz และ Accord เอาเข้ามาทดแทนรถประกอบในไทย ช่วงเวลาสั้นๆ และ 3 รุ่นใหม่ ที่
เปิดตัวครั้งแรกในงานนี้ และไม่ได้สิทธิพิเศษด้านภาษีนำเข้าแต่อย่างใด) รวมทั้ง โชว์รถตกแต่งพิเศษอีก
2 คัน กับการเผยโฉมแบบ Soft Launch ของรถยนต์รุ่นที่คาดว่าจะฮิต อีก 1 คัน จัดเต็มกว่าทุกปีที่ผ่านมา
บูธ Honda ปีนี้จัดได้อลังการพอสมควร และถ้าท่านไม่มัวเพลิดเพลินกับบรรดารถนำเข้าจนเกินไปนัก
ก็จะเห็น Honda Civic โมเดลใหม่จอดโชว์อยู่บนแท่นพร้อมใส่ชุดแต่ง Modulo มาด้วย รถรุ่นนี้ยังไม่เปิดตัว
และยังไม่มีการเผยราคาที่ได้รับการยืนยันออกมา แต่คาดว่าภายในเดือนพฤษภาคมนี้ การรอคอยของแฟนๆ
Honda จะสิ้นสุดลง เช่นเดียวกับ รถนำเข้ารุ่นใหม่ๆ ทั้ง 3 รุ่น
Honda CR-Z รถคูเป้กึ่งสปอร์ตไฮบริดนั้น หลังจากที่พยายามเดา เก็งราคา ขูดหาเลขตามต้นไม้กันมานาน
ในที่สุด ก็เปิดราคามา 1,975,000 บาทสำหรับรถรุ่นเกียร์ CVT หลายคนบอกว่าแพง แต่ในความจริง ก็ยัง
ถูกกว่าราคาระดับ 2 ล้านกลางที่เกรย์มาร์เก็ตเคยนำเสนอเมื่อนานมาแล้วมาก สำหรับรุ่นเกียร์ธรรมดา 6 สปีด
Honda ไม่ได้มีการนำเข้ามา เริ่มส่งมอบได้ 4 เมษายนนี้
ตามมาติดๆด้วย Honda STEPWGN SPADA มินิแวนแนวหรู (กว่าFreed) ที่ใช้เครื่องยนต์ R20 2.0 ลิตร
SOHC i-VTEC 150 แรงม้า แต่ต่างจาก Accord/CR-V 2.0 ในบ้านเราตรงที่ประกบกับเกียร์ CVT แทนที่จะ
เป็นอัตโนมัติแบบ 5 จังหวะทั่วไป รถคันที่มาโชว์นั้นจะมีหลังคา Skyroof มาให้ แต่ทาง Honda แปะป้ายไว้
ว่านี่คือออพชั่นสำหรับรถที่มาโชว์ในงานเท่านั้นนะครับ อย่างไรก็ตาม ลูกค้าที่ซื้อจะได้ประตูข้างสไลด์ไฟฟ้า
แบบคุมด้วยรีโมท ซึ่งจะทำให้มินิแวนราคา 2,174,000 บาทคันนี้ดูคุ้มค่าขึ้นมากทีเดียว ชนิดที่ว่า ตา J!MMY
กรี๊ดแล้วกรี๊ดอีก ดีใจอย่างกับ หลินปิงได้กินใบไผ่ตอนหิวโซ มี 3 สี คือ ขาว น้ำเงิน ดำ ภายในสีดำ อย่างเดียว
เริ่มส่งมอบได้ปลายเดือนพฤษภาคมนี้
ส่วนถ้าใครต้องการบรรทุกผู้โโดยสาร 7 ท่าน และมีพละกำลังในการเร่งแซงเหลือเฟือกว่า SPADA ก็คงต้อง
หันมามอง Odyssey ซึ่งเป็น MPV สไตล์แบนเตี้ย ออกแนวสปอร์ต ใช้เครื่องยนต์ K24 2.4 ลิตร DOHC i-VTEC
180 แรงม้า จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด สนนราคาอยู่ที่ 2,557,000 บาท มีสีขาว เทา ดำ เริ่มส่งมอบได้ 4 เมษายน
2012 เหมือน CR-Z
อาจดูเหมือนมีแค่นี้ แต่ที่จริงแล้ว Honda ยังมีการนำเข้ารถ Accord 2.0 และ 2.4 จากญี่ปุ่นมาขาย
เป็นจำนวนจำกัดอีกด้วย โดยรถเหล่านี้ไม่ใช่รถ Honda Inspire แบบที่พบในตลาดญี่ปุ่น เพียงแต่เป็นรถ
Accord ที่ผลิตจากญี่ปุ่นส่งไปขายนอกประเทศ..ไม่ได้ประกอบในไทยก็เท่านั้น ซึ่งจากที่ทางทีมงาน
Headlightmag ช่วยกันนั่งเล็งสเป็คเทียบรถรุ่น 2.4ลิตรระหว่างรถประกอบในและประกอบนอก พบว่าจุดต่าง
สำคัญชนิดที่มองเห็นได้จากภายนอกอยู่ที่ซันรูฟ และระบบฉีดน้ำล้างไฟหน้า ซึ่ง 2 อย่างนี้จะมีในรถนำเข้า
เท่านั้น ที่เหลือ ต้องกางสเป็กกันดูถึงจะรู้ความแตกต่าง ราคารุ่น 2.0 JP 1,380,000 บาท ส่วนรุ่น 2.4 JP อยู่ที่
1,680,000 บาท ถ้าต้องการสีขาว Orchid เพิ่มอีก 10,000 บาท
ส่วนรถนำเข้าอีกรุ่นก็คือ Honda Jazz เวอร์ชั่นพิเศษ ซึ่งอัพเกรดความหรูด้วยพวงมาลัยและหัวเกียร์หุ้มหนัง
กับเครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติ ส่วนทางด้านความปลอดภัยมีการเพิ่มถุงลมนิรภัยด้านข้าง และ
ม่านนิรภัย รับตำแหน่งรถ B-Segment ระดับ Mass Market ที่มีถุงลมนิรภัยเยอะที่สุดไปโดยปริยาย
แต่เนื่องจากโครงการรถคันแรกของทางรัฐบาลนั้น จำกัดสิทธิ์ให้เฉพาะรถที่ประกอบในประเทศ ดังนั้น
หากรักจะหรูกว่าปกติ ต้องยอมทำใจลืมส่วนลดพิเศษให้ได้ ราคาขาย 749,000 บาท
***** Hyundai *****
นำ Elantra ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปมาจัดแสดงหลายคัน แถมยังมีทำเก๋ นำเอา Elantra สีแดงเข้มไปตกแต่ง
ด้วยแอโร่พาร์ทรอบคันและล้ออัลลอย Enkei สีเทาเข้มจนมีมาดสปอร์ตซีดานลอยออกมาชัดเจนกว่าเดิม
Elantra ใหม่ ใช่เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร 150 แรงม้าและมีระบบส่งกำลังให้เลือกทั้งแบบอัตโนมัติ 6 จังหวะ
และธรรมดา 6 จังหวะ ราคาจำหน่ายตั้งแต่ 899,000-1,198,000 บาท ซึ่งราคานี้ ทาง Hyundai บอกชัดว่า
จะจำกัดโควต้าไว้ให้กับรถ 200 คันแรกเท่านั้น
รถคันสีส้มเด่นเตะตา ถูกจอดเอียงไว้บนทางลาด ถ้าไม่มัวแต่มองพริตตี้จนเบลอ ท่านก็จะเห็น Veloster
รถทรงแปลก ด้านขวามีประตูบานเดียว ด้านซ้ายมีประตู 2 บาน สำหรับเจ้า Veloster นั้นจะยังไม่มีการ
นำมาจำหน่ายในงานดังกล่าว แต่หากกระแสตอบรับจากผู้ชมทางบ้านดีพอ Hyundai ก็จะนำเข้ามา
สนองตัณหาผู้ที่ชอบรถแปลกไม่เหมือนใคร แหล่งข่าวภายในชี้ให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะนำเข้ามา
โดยแม้จะยังไม่พร้อมที่จะนำเทคโนโลยี GDi เข้ามาขาย รุ่น 1.6 ลิตร MPi 130 แรงม้านั้นยังมีความเหมาะสม
สำหรับตลาดประเทศไทย และที่สำคัญ “ราคาจะอยู่ล้านต้นถึงล้านกลาง และไม่ไปแตะ CR-Z เด็ดขาด”
ภายในบูธยังมีรถ Tucson (Call me sexy SUV) และ Sonata Sport (Call me coupe) และ H-1 (Call me
if you need to carry 7 people – อันนี้ผมแต่งเองนะ) ภายในรูปลักษณ์ที่ดูผ่านๆ เหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนั้น
H-1 มีการปรับสเป็คเครื่องยนต์ใหม่ โดยที่ H-1 รุ่น Deluxe, Executive และ Starex จะถูกจูนให้มีแรงบิดเพิ่ม
จาก 392 Nm เป็น 441 Nm ในขณะที่รุ่น H-1 Touring รุ่นราคาถูก จะถูกปรับให้เน้นการใช้งานแบบทนทาน
และประหยัดน้ำมันมากขึ้น โดยแรงม้าจะลดลงจาก 174 เหลือ 136 ตัว และแรงบิดเหลือ 343 นิวตันเมตร ส่ง
กำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ซึ่งแม้จะดูแปลก แต่ทาง Hyundai ยืนยันว่าเป็นการปรับเพื่อให้เข้ากับการ
ใช้งานจริงของกลุ่มลูกค้ารถรุ่นนี้มากขึ้น
สำหรับตากล้อง (อีกละ!) ที่เป็นแฟนคลับน้องปูเป้ งานนี้ น้องปูเป้ยังอยู่ที่ Hyundai นะครับ : )
****ISUZU****
ยังเรียกคนเข้าบูธได้เรื่อยๆกับ D-Max โฉมใหม่ ซึ่งมีการนำรถ D-Max มายกสูงในสภาพที่ผู้ประสบอุทกภัย
(อย่างเช่นผม) เห็นแล้วเกิดคันมืออยากถอนเงินจากธนาคารมาเหมือนกัน นอกจากนี้แล้วก็จะมี MU-7
ซึ่งจอดแฝงตัวอยู่กับบรรดากระบะทั้งหลาย เพราะยังต้องใช้โฉมนี้ทำตลาดไปอีกสักพักใหญ่ ไม่มีวี่แวว
ของ MU-7 โฉมใหม่แต่อย่างใด
***** JAGUAR ******
พื้นที่ซีกขวาของ AAS Group คือที่เสือสถิตย์ของบรรดา Jaguar รุ่น XJ และ XF ซึ่งในงาน Motorshow
ครั้งนี้ มีจุดเด่นคือการเปิดตัว Jaguar XF 2.2 Diesel รุ่นประหยัด 190 แรงม้า แม้ว่าจะยังไม่มีความแน่ชัด
ในเรื่องสเป็คและอุปกรณ์ว่าจะเป็นอย่างไร ก็พอบอกได้ว่าล้ออัลลอย 20 นิ้วของคันที่โชว์ในงานนั้นจะไม่มา
เป็นอุปกรณ์มาตรฐานแน่ๆ ส่วนสนนราคานั้นก็ยังไม่สามารถสรุปได้เช่นกันว่าจะวางไว้เท่าไหร่ แต่จากการที่
Jaguar ขาย XF รุ่น 3.0V6 ในช่วงโปรโมชั่นที่ราคา 4.999 ล้านบาท ก็ชวนให้คิดว่า XF 2.2 Diesel อาจมีราคา
ที่ถูกกว่านี้ และเขยิบเข้าไปใกล้รถยนต์นั่ง Premium ขนาดกลางประกอบในประเทศของ Mercedes-Benz
และ BMW มากขึ้น เป็นใบเบิกหนทางที่จะดึงลูกค้าบางส่วนมาจากแบรนด์ทั้งสองนี้ได้ ไม่ยากเย็นเหมือน
ในอดีต
*****Lamborghini*****
นำรถรุ่นสูงสุดของค่ายอย่าง Aventador LP700-4 มาแสดงแสงยานุภาพด้วยพละกำลัง 700 แรงม้า (หรือ
691 BHP) แต่ราคาค่าตัวนั้นถูกล็อตเตอรี่งวดเดียวคงไม่พอ เพราะได้ยินว่าค่าตัวปรี๊ด!
และที่สำคัญ ขอวอนให้ท่านผู้ชมงานอย่าไปแคะแกะเการถคันสีส้มในงานมากนัก เพราะมีเจ้าของจับจอง
เป็นที่เรียบร้อยแล้วนะจ๊ะ คนในบริษัทรถยนต์สักแห่งในบ้านเราเนี่ยล่ะ
*****LOTUS*****
มาซ่อนตัวอยู่เงียบๆกับรถ 3 เกลอ Elise, Exige และ Evora เช่นเคย ในงานนี้ยังไม่มีอะไรแปลกใหม่
เพราะแม้แต่ทางต้นสังกัดที่อังกฤษเองก็ยังไม่มีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ในช่วงนี้ ต้องรอเวลาให้ Dany Bahar
CEO ที่อังกฤษสะสางขั้นตอนต่างๆให้ลงตัว แล้วไม่แน่ งานนี้ของปีหน้า เราอาจได้เห็น Lotus Esprit
ซูเปอร์คาร์ระดับ 500 แรงม้าจาก Lotus ก็เป็นได้
***** LAND ROVER ****
ไม่ปล่อยให้เกรย์มาร์เก็ตชิงขายได้นานนัก ว่าแล้ว Land Rover ประเทศไทยก็นำเอา Range Rover
Evoque 2.2SD 190 แรงม้า มาขายอย่างเป็นทางการ โดยมีการแบ่งการตกแต่งออกเป็น 3 ระดับ
ได้แก่ Pure, Sport, Dynamic ขายราคาตั้งแต่ 3.999-4.599 ล้านบาท
ถ้าใครอยากยลโฉมรถที่มีภรรยานักบอลอย่างคุณ Victoria Beckham เป็นที่ปรึกษาในด้านการพัฒนา
และในด้านการตลาด..ขอเชิญมาชมเจ้า Evoque ได้
***** Mazda *****
บนเวทีของ Mazda ปีนี้ โดดเด่นด้วยรถต้นแบบ Minagi (มิ-นา-งิ) สีแดงจรัส ซึ่งได้รับการออกแบบตาม
แนวคิด KODO – Soul of motion อันเป็นแรงบันดาลใจที่ได้รับจากการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของสัตว์ต่างๆ
รถคันนี้ คือเวอร์ชันต้นแบบ ที่นำเข้ามาโชว์ เพื่อจะบอกกับคนไทยว่า เตรียมพบ Mazda CX-5 ซึ่งมีหน้าตา
ถอดแบบมาจากเจ้า มิยาบิ..เอ้ย มินางิ คันนี้ เป๊ะๆ ในช่วง ปลายปีนี้ ถึง ต้นปีหน้า ถ้าน้ำไม่ท่วมหนักเหมือน
ปีที่ผ่านมาซะก่อน
นอกจากนี้ยังมี Mazda BT-50 ซึ่งเพิ่งตัวไปไม่นานมานี้ โชว์กันครบทุกรุ่นด้วยรุ่นมาตรฐานมีราคาเริ่มต้น
ที่ 589,000 บาท ไปจนถึงรุ่นสูงสุด 3.2 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ราคา 988,000 บาท
ส่วนรถอื่นๆก็มีมาจัดแสดงไว้บนพื้นที่ในบูธของ Mazda หลายคัน Mazda 3 ได้รับการตกแต่งในสไตล์ซิ่ง
จนมองเผินๆแอบหลงดีใจนึกว่า Mazda ไทยใจป้ำเอาตัว MPS เข้ามา ที่ไหนได้..เป็นรุ่น 2.0 ลิตรที่นำมาแต่ง
ให้ดูสวยและเฉี่ยวขึ้นกว่าเดิม ฝีมือของ พี่แมน ทัศไนย ไรวา แห่งนิตยสาร Car Magazine นี่เอง
ส่วน Mazda 2 ทั้งรุ่น Sport 5 ประตู และ Elegance 4 ประตู ก็ยังมีคนสนใจ เข้าชมอย่างต่อเนื่อง อาจเพราะ
กระแสของส่วนลดพิเศษสำหรับการเป็นเจ้าของรถยนต์คันแรก พร้อมกับการผลิตรถที่มีพร้อมส่งมอบให้ลูกค้า
2 อย่างนี้อาจเป็นเครื่องมือในการกวาดยอดจองของ Mazda ในงานนี้ได้อย่างดีเช่นเคย
***** Mercedes-Benz ****
บรรยากาศบูธ Mercedes-Benz นั้น ไม่ต่างจากงาน Bangkok Motor Show ปีที่แล้วเท่าใดนัก ยกเว้น ด้านหลัง
ของบูธที่ตกแต่งเยอะกว่าเดิมเป็นพิเศษ แต่นั่นไม่ไม่ใช่ทีเด็ดของบูธนี้
เพราะไฮไลต์สำคัญ อยู่ที่การเปิดงานอย่างอลังการในรอบ VIP และรอบสื่อมวลชนแบบหาชมได้ยาก! เมื่อท่าน
CEO PhD. Alex Paefler ลงมือวาดลวดลายบรรเลงเพลงด้วยคีย์บอร์ดอย่างเร้าอารมณ์ไปกับคุณโก้ Mr. Saxman
โดยมีลีลาท่าทางและฝีไม้ลายมือเป็นธรรมชาติจนหลายเสียงบอกว่า ชาตินี้ไม่เคยคิดว่าจะได้มาพบอะไรแบบนี้
แน่ละคุณเคยเห็น CEO ที่ไหน มาเล่นเพลงให้คุณฟังกันกลางงานแสดงรถยนต์แบบนี้มาก่อนหรือเปล่าละ?
ถ้าจะบอกว่านี่เป็นครั้งแรก และรายแรกในเมืองไทยเลย ก็คงพูดได้เต็มปาก (เพราะ 2 CEO คู่ของ DTAC
สมัยก่อน เขายังแค่ ออกมาร้องเพลงเต้นแร็พโย่ กลางงานเปิดตัว Happy แต่นี่ เล่นคีย์บอร์ดเองเลย )
ส่วนทางด้านรถที่นำมาจัดแสดงนั้น ที่ตั้งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าเวทีคือ Concept A-Class รถต้นแบบของ
A-Class ตัวจริงที่เพิ่งเปิดตัวสู่สายตาชาวโลกไปไม่นานมานี้ จุดเด่นของการออกแบบอยู่ที่เส้นสายด้านข้าง
ของตัวรถที่พยายามทำให้ดูสปอร์ตและมีมัดกล้าม ไม่เป็น A-Class ที่จืดจนถูกบางคนล้อเลียนว่าเป็น
Jazz ราคาล้านปลายอย่างรุ่นที่แล้ว A-Class Concept ใช้เครื่องยนต์วางขวาง 2.0 ลิตรเทอร์โบชาร์จ 210
แรงม้า ประกบกับเกียร์แบบคลัทช์คู่ ซึ่งเป็นขุมพลังที่จะมาวางจำหน่ายจริงใน A-Class ตัวขายจริงด้วย
แต่กว่าจะมาถึงประเทศไทย อาจต้องรอกันในช่วงปลายปีนี้ ถึง ต้นปีหน้า
รถอีกคันที่ไม่ได้นำมาโชว์ในรอบพิเศษ แต่จะมาในรอบวันปกติก็คือ C63 Coupe AMG Black Series ซึ่งมาพร้อมกับ
ตัวถังแบบ Wide body ตกแต่งมาในมาดรถแข่ง ใช้เครื่องยนต์ M 156 แบบ V8 ความจุ 6.3 ลิตร กำลังแรงม้า
สูงสุดที่ 517 แรงม้า ที่ 5,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 620 นิวตันเมตร อัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ใช้เวลา
เพียงแค่ 4.2 วินาที และความเร็วสูงสุดทะลุขีดจำกัดเยอรมันไปอยู่ที่ 300 กม./ชม.
นอกจากนี้รถใหม่ประจำงานที่โดดเด่นไม่แพ้ใครก็คือ ML-Class รุ่น ML250CDi ซึ่งหันมาอาศัยเทคโนโลยี
ดีเซลความจุเล็ก มีแรงม้าและความจุอยู่ในระดับที่ทำให้ไม่กินพิกัดภาษีระดับโหด ส่งผลให้ราคาตัวรถ
รุ่น ML250CDi เริ่มต้นที่ 4,499,000 บาท รายละเอียดเพิ่มเติมมีเขียนไว้ในคอลัมน์รถใหม่ของ
Headlightmag.com โดยนาย Homy Demio เจ้าเก่า
***** MITSUBISHI MOTORS *****
เป็นอีกหนึ่งค่ายที่น่าจะยิ้มรอรับใบจองได้ด้วยพลังแห่งอีโคคาร์ตัวใหม่ อันที่จริง Mitsubishi ประกาศเลยว่า
ในงานนี้ พวกเขาหวังฟันยอด 4,500 คัน ซึ่งเทียบแล้วเพิ่มสูงกว่างาน MotorExpo เมื่อปลายปีถึง 31.3%
กุญแจสำคัญที่จะทำให้ Mitsubishi โหม่งบอลเข้าโกลได้สำเร็จก็คือเจ้าผลไม้หลากสีอย่าง Mirage ซึ่ง
ตา J!MMY เพิ่งได้ทดลองขับและบรรเลงเป็น First Impression รายแรกในโลก เอาไว้ในเว็บของเรา
เมื่อสัปดาห์ก่อน
Mirage มีจุดเด่นที่การอัดออพชั่นมาให้จนน่าพอใจสำหรับรถอีโคคาร์ รุ่นท้อปสุดมี DVD+Navigator
มาให้เป็นเจ้าแรกในตลาดระดับเดียวกัน ส่วนรุ่นประหยัดนั้นตั้งราคาเริ่มต้นเอาไว้ที่ 380,000 บาท
ซึ่งถ้าหักส่วนลดสำหรับรถคันแรกออกไปแล้วเท่ากับว่ารถทั้งคันเป็นของคุณได้ในราคา 3 แสนกับอีกนิดนิด
เท่านั้น (ถ้าคุณโอเคที่จะไม่มีฝาครอบล้อ ไม่มีมาตรวัดรอบ แต่ยังมีถุงลมนิรภัยด้านคนขับมาให้)
มาเงียบๆ แต่นับว่ากล้า คือ Pajero Sport V6 3.0 แต่จะมาขายจริง ก็ต้องรอเดือนมิถุนายน
เจ้า Pajero Sport V6 นี้ ใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด 3.0 ลิตร MIVEC ให้พลัง 219 แรงม้าที่ 6,250 รอบต่อ
นาที และแรงบิดสูงสุด 281 Nm ที่ 4,000 รอบต่อนาที ตกแต่งภายในด้วยโทนสีดำ สำหรับราคานั้นยัง
ไม่เป็นที่ยืนยันแน่ชัด แต่ทราบมาว่าทาง Mitsubishi พยายามอย่างยิ่งที่จะกดราคาเอาไว้ไม่ให้เกิน 1.3 ล้าน
บาท น่าสนใจไม่น้อยสำหรับคนที่ไม่ชอบเสียงเครื่องยนต์ดีเซล หรือกลุ่มลูกค้าที่ต้องการนำไปติดแก๊ส
LPG ใช้งานแต่ไม่ชอบรุ่น 2.4 เบนซินเพราะคิดว่าพละกำลังน้อยเกินไป
ส่วนรถ C-Segment อย่าง Lancer EX 1.8 มีการเพิ่มสี Cerulean Blue ซึ่งจะได้ภายในสีดำมาด้วยกัน
และรถรุ่น Triton มีการเพิ่มสีน้ำตาลทองมาเป็นสีมาตรฐานใหม่ให้เลือก
**** NISSAN ****
ไม่มีอะไรแปลกใหม่นอกจากรถต้นแบบพลังไฟฟ้าหน้าตาเห็นแล้วเหมือนเครืองปิ้งขนมปังขาวๆ
น่ารักอย่างเจ้า Townpod ส่วนในด้านรถเก๋งและรถกระบะยังไปต่อได้ในตลาด เพราะ Teana ก็เพิ่ง
ปรับโฉม ไมเนอร์เชนจ์ไปแล้ว Almera อีโคคาร์ 4 ประตูตัวใหญ่ ก็ยังสามารถเรียกคนเข้าบูธได้อย่าง
ต่อเนื่องด้วยราคาและอุปกรณ์ติดรถที่เรียกได้ว่า C-Segment บางคันยังอาย และ March Nismo
Concept เอามาแต่งสีขาว ให้ดูแนวทางว่า สามารถนำไปตกแต่งเพิ่มเติมต่อไปได้อีกเยอะ
March Ecocar มีการเพิ่มเบาะหลังแบบใหม่ที่มีพนักพิงศรีษะมาให้แล้ว (เอ้าปรบมือหน่อย) แถม
ตัวเบาะ ยังแยกพับแบบ 60:40 ได้อีกด้วย (แต่พนักศีรษะที่เพิ่มมา ก็ยกขึ้นได้แค่จังหวะเดียว ชนกับ
ต้นคออย่างจัง นั่งไม่สบาย) นอกจากนี้ยังมีสีพิเศษ สีม่วงพลัมเพิ่มขึ้นมาเป็นทางเลือกใหม่
**** PEUGEOT ****
นอกจากรถสปอร์ต RCZ แล้ว ในงานนี้ยังถือเป็นครั้งแรกสำหรับการเปิดตัวรถรุ่น 408 ในไทย
โดยที่เจ้า 408 นี้ไม่ใช่รถที่เป็นตัวตายตัวแทนของ 407 แต่เป็นการนำเอาเจ้า 308 มาต่อท้ายใหม่
จนกลายเป็น C-Segment ที่มีความยาวตัวถังเกือบเท่า D-Segment เป็นรถที่ทำมาเอาใจตลาดจีน
แต่มีแนวโน้มที่อาจจะถูกใจลูกค้าชาวไทยด้วยเช่นกัน
**** PORSCHE ****
AAS ยังคงจัดเต็มต่อด้วยการเปิดตัว Porsche 911 โฉม 991 รุ่น Carrera S ใหม่ ด้วยราคา 17.6 ล้านบาท
Carrera S จะใช้เครื่องยนต์ขนาด 3.8 ลิตร พร้อมระบบหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงโดยตรง และระบบ VarioCam
Plus ซึ่งช่วยกันเค้นพลังออกมาได้ 408 แรงม้า และมีแรงบิดสูงสุด 440Nm หากประกบกับเกียร์แบบ PDK
ของ Porsche แล้ว จะสามารถเร่งจาก 0-100 ได้ภายในเวลาแค่ 4.3 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง
302 ก.ม./ช.ม.
ที่สำคัญ ถึงแม้จะแรงขึ้น แต่ Carrera S ใหม่ กลับปล่อย Co2 น้อยลงกว่ารุ่นเก่าถึง 14% โดยการนำเอาระบบ
Start/Stop มาใช้ อีกทั้งในระบบส่งกำลัง PDK ยังมี Coasting mode ที่จะมีจังหวะปล่อยรถไหลไปตาม
แรงเฉื่อยได้เป็นระยะทางยาวขึ้นเมื่อไม่ได้ขับขี่แบบดุเดือด นับเป็นทิศทางการพัฒนารถสปอร์ตอีกตัวอย่างหนึ่ง
ที่หันมาสนใจในการลดมลภาวะเช่นเดียวกับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์แบบ Mass-market ทั้งหลาย
***** Rolls-Royce *****
กลุ่ม Millenium Auto ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำเข้าและจำหน่าย Rolls-Royce ในไทยอย่างเป็นทางการ
ทุ่มทุนสร้างบูธอย่างอลังการ และขนรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด มาเปิดตัวสู่ตลาดเมืองไทย 2 รุ่น นั่นคือ Drophead
Coupe 2 ประตู เปิดประทุน ครองตำแหน่งรถยนต์ที่มีค่าตัวแพงที่สุด คันหนึ่งในงาน ด้วยค่าตัว 39.7 ล้านบาท
และ Saloon สุดหรู รุ่น Ghost ระดับราคา 24 ล้านบาท ในรุ่นฐานล้อสั้น และ 28 ล้านบาท กับรุ่นฐานล้อยาว
ตา J!MMY เขาสงสัยว่า มันจะแพงอะไรนักหนา ก็เลยขอเขาขึ้นไปลองนั่งดู งานนี้เจ้าตัวถึงกับเข้าใจใน
ความแพงระยับสมฐานะของมันกันเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะต้องประกอบด้วยมือเป็นส่วนใหญ่แล้ว
Rolls-Royce ยังใส่ใจกับรายละเอียดเล็กน้อยมากมาย ไม่เว้นแม้แต่ แนวเส้นคาดข้างลำตัวรถที่จะต้องใช้
การลากเส้นด้วยมือ เท่านั้น สมมติว่า ถ้าเกิดอุบัติเหตุในบ้านเรา แม้จะซ่อมสีในเมืองไทยได้สบายมาก
เพราะใช้มาตรฐานการพ่นสีระดับเดียวกันกับ BMW แต่ คุณก็ต้องเรียกช่างลงลายเส้น ซึ่งมีอยู่เพียง 2-3 คน
ในโลกเท่านั้น บินมาลงลายเส้นให้กับรถของคุณ ในช่วงขั้นตอนที่ยังมีการทำสีรถอยู่ด้วย!!
ที่สำคัญ ก็ยังมีเรื่องที่เล่าลือกันว่า หากคุณคิดจะเป็นเจ้าของ นางฟ้า แต่ละคัน ต้องมีการตรวจสอบเช็ค
ประวัติทางการเงินอย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีอะไรด่างพร้อย และต้องเป็นเงินที่ถูกกฎหมาย
โรงงานที่อังกฤษ จึงจะยอมขายรถให้คุณ
ความไม่ธรรมดาของ Rolls-Royce นั้น มีหลายสิ่งที่น่าสนใจอีกเยอะ ก็ได้แต่หวังว่า สักวัน ตา J!MMY
จะเอามาเขียนให้อ่านกัน ถ้าเจ้าตัว ระบายรีวิวเก่าๆ ในสต็อกให้เสร็จ…ซะที
***** SSANGYONG ******
ที่นี่มีน้องสต๊อป และมีรถรุ่นเดิมๆ หน้าตาเดิมๆอย่าง Stavic และ Korando มาโชว์ ยังไม่มีอะไรแปลกใหม่
สำหรับค่ายจากแดนโสมแห่งนี้ และเราก็กำลังลุ้นให้มีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆออกมาโชว์กับเขาบ้าง ยกเว้นพริตตี้
ที่เอาไว้แบบเดิมนั่นแหละดีแล้ว
***** SUZUKI ****
เสกเวทีมวยอีโคคาร์ลุกเป็นไฟด้วย Swift 1.2 ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่กี่วันก่อนหน้านี้ อาศัยจุดเด่นจากธีมการ
ออกแบบที่รถรุ่นเดิมทำไว้ดีอยู่แล้ว และอัดอุปกรณ์เช่นเคยไม่ว่าจะเป็นล้ออัลลอย 16 นิ้ว ซึ่ง Suzuki บอกว่า
เป็นเจ้าเดียวในตลาดอีโคคาร์ที่มีให้ พร้อมทั้งเครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติ และอุปกรณ์อื่นๆครบครัน
สเป็คแรงม้าของ Swift ซึ่งในช่วงก่อนหน้านี้ได้รับทราบมาว่าจะมีแรงม้า 94 แรงม้า ท้ายสุดเมื่อเปิด
โบรชัวร์ดูก็พบว่ามี 91 แรงม้าเหมือนเวอร์ชั่นญี่ปุ่นนั่นเอง ราคาขายของรุ่นท้อปอยู่ที่ 559,000 บาท ซึ่ง
ราคานี้ หลายเสียงบอกว่าแพง แต่ยังมีผู้เข้าชมงานหลายคนเหมือนกันที่ยินดีจ่ายเพิ่มหมื่นเศษๆ เพื่อแลกกับ
เจ้า Swift รุ่นนี้
***** TOYOTA / LEXUS ******
ครบรอบ 50 ปี มางานนี้ Toyota จัดเต็มราวกับหงอคงในโหมดซูเปอร์ไซย่า เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ได้เห็นมานาน
แล้วจากค่ายที่มักถูกมองว่า Conservative และไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่ (ทั้งๆที่จริงแล้วก็มี Prius)
รถต้นแบบทีขนมาโชว์ในงานนี้คือเจ้า FT-EVIII รถต้นแบบพลังงานไฟฟ้าที่หน้าตาเหมือน iQ และรถ
NS4 อันเป็นตัวแทนแนวคิดรถยนต์ Sedan แบบ Plug-in Hybrid เสียบปลั๊กชาร์จที่พยายามลดน้ำหนักตัวรถลง
เพื่อให้ได้พิสัยทำการไกลขึ้น ดูหน้าตาเอาไว้ให้ดี Sedan รุ่นต่อไปของ Toyota จะมีหน้าตาออกมาแนวนี้
มากขึ้น
ส่วน Camry/Camry Hybrid เปิดตัวกันไปไม่นานก็ขนทัพมาจับจองที่ในบูธจนกลายเป็นดาวเด่นประจำงาน
ไปเลย แถมยังขนมาให้ดูครบทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็นรุ่น 2.0G, 2.5G, Hybrid รวมถึงรุ่นสูงสุดราคา 1.9 ล้านมีทอน
นิดหน่อยก็มาให้เทียบกันแบบจะจะ จุดเด่นอยู่ที่รุ่นสูงสุด ซึ่งมีการติดตั้ง DVD+Navigator เครื่องเสียง
JBL 10 ลำโพง เบาะหลังปรับเอนได้ นอกจากนี้ขุมพลัง 2AR-FXE ซึ่งใช้เครื่องยนต์ Atkinson Cycle
ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ทำแรงม้ารวมได้ถึง 205 ตัว ซึ่งหากไม่นับรุ่นพิเศษอย่างบรรดา V6 ทั้งหลายแหล่
ก็บอกได้เลยว่าม้าระดับนี้ใน D-Segment ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาทนั้นไม่ได้เห็นกันมานานมากแล้ว
หลบมาที่ทางขวาของบูธก็จะมีเจ้า Aqua หรือ Prius C จอดอยู่ 1 คัน Prius C มีขนาดห้องโดยสารไล่เลี่ย
กันกับรถ B-Segment ทั่วไป ใช้เครื่องยนต์ 1.5 ลิตรในการขับเคลื่อนร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า Toyota ตัดสินใจ
นำเข้ามาเป็นกรณีพิเศษในราคาพิเศษ..จริงๆ…1,390,000 บาท (แพงกว่า Prius ตัวท้อปเสียอีก) แต่คนที่
ชอบของแปลกและไม่อยากซื้อรถผ่านเกรย์มาร์เก็ตก็ต้องรีบแย่งกันจอง เพราะข่าวบอกว่า จะมีเข้ามาขาย
แค่ 50 คันเท่านั้น! หมดแล้วหมดเลยจ้า!
แต่ที่คิดว่าจะไม่มา ทว่ากลับโผล่มาจริงๆคือ Toyota 86 รถสปอร์ตที่เป็นผลงานร่วมมือกับค่าย Subaru
เป็นที่แน่นอนแล้วว่า 86 จะมาขายในประเทศไทย โดย Toyota Motor Thailand สั่งนำเข้ามาขายเอง
โดยมีให้เลือก 3 รุ่น คือรุ่นเกียร์ธรรมดา รุ่นเกียร์อัตโนมัติ และรุ่นท้อปเกียร์อัตโนมัติ โดยที่รุ่นท็อป
จะได้ภายในสีดำสลับแดง สปอยเลอร์หลังทรงสูง และล้ออัลลอย ขอบ 17 นิ้ว แต่สรุปให้ทราบเลย
ตรงนี้ว่าราคาไม่ได้น่าเย้ายวนอย่างที่เคยมีการปล่อยข่าวกัน กลับกลายเป็นว่าราคาของ 86 จะอยู่ที่
2.49-2.79 ล้านบาท ยืนยัน! ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนี้ งานนี้ Toyota ต้องอาศัยฝีมือและวิทยายุทธ์ขั้นสูง
ทีเดียวถ้าต้องการจะช้อนลูกค้ามาจากโชว์รูม Volkswagen Sciroccoได้
นอกเหนือไปจากรถใหม่ 3 รุ่นแล้ว บรรยากาศรอบบูธยังเนืองแน่นไปด้วยรถรุ่นฉลองครบรอบ 50 ปี
ไม่ว่าจะเป็น Vios, Altis, Vigo หรือ Fortuner มากับระบบ G-Book ล้อรมดำ และสีขาวอมม่วง Light
Purple Mica Metallic แล้วก็ยังมี Prius Minorchange ที่เพิ่งเปิดตัวไปพร้อมกับล้ออัลลอยลายสุดแสน
จะเดซี่ แต่อัพอุปกรณ์เพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นหลังคาโซลาร์เซลล์และกระจกมองข้างพับไฟฟ้า เล่นเอา
คนที่ออกรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ไปก่อนหน้านี้บ่นกันขรม แต่งานนี้หากใครไม่แคร์ของใหม่ ลองแอบ
ถามโปรโมชั่นล้างสต็อครุ่นเก่าแล้วอาจมีอะไรดีๆก็ได้
คนชอบรถตู้ หรูไฮโซในราคาเท่ารถพรีเมียมรุ่นเล็กของยุโรป อาจชอบ Alphard HV Hybrid ซึ่งมีอุปกรณ์
ติดรถมาให้มากกว่ารุ่น 2.4 ธรรมดา และมีระบบฟอกอากาศ NanoE แบบเดียวกับที่พบใน Lexus รุ่นแพงๆ
นั่นเลยทีเดียว
Vigo CNG ในที่สุดก็มาถึงจนได้ เอารถมาจอดทำฝากระโปรงใส โชว์ระบบจ่ายแก๊สกันเห็นๆกลางงาน
เครื่องยนต์ที่ใช้เป็นบล็อค 2TR-FE 2.7 ลิตร 160 แรงม้า ตั้งราคาขายรุ่น Standard cab เอาไว้ 6.22 แสนบาท
และรุ่น Extra cab 7.24 แสนบาท
หันมาทาง Lexus บ้างดีกว่า ในงานนี้ รถที่ใหม่สดซิงที่สุดก็เห็นจะเป็นตระกูล GS-Series ซึ่งมีพิกัดชั้น
เทียบเท่ากับ BMW 5-Series และ Mercedes-Benz E-Class โดยมีการนำเข้ามาขายกัน 3 ขุมพลัง
GS250 ใช้เครื่องยนต์ 4GR-FSE V6 2.5 ลิตร 207 แรงม้า ในขณะที่ตัวแรงอย่าง GS350 จะใช้เครื่อง
2GR-FSE V6 3.5 ลิตร 312 แรงม้า
ส่วน GS450h จะใช้เครื่อง V6 3.5 ลิตรบวกกับมอเตอร์ไฟฟ้า จนได้พลังขับเคลื่อนรวมทั้งสิ้น 337 แรงม้า
แต่ปล่อยก๊าซ CO2 เพียง 139 กรัม/ก.ม. เท่ารถซิตี้คาร์ขนาดเล็กเท่านั้น
Lexus GS แบ่งการตกแต่งออกเป็นแบบ Luxury, F-Sport และ Premium โดยมีราคาตั้งแต่ 4.59-5.09 ล้าน
สำหรับ GS250 6.69 ล้านบาทสำหรับ GS350 F Sport และ 7.79 ล้านบาทสำหรับ GS450h
ใครแวะผ่านบูธ Lexus อย่าลืมแว่บไปดูการตกแต่งด้วยวัสดุเสมือนโลหะบนคอนโซลของ GS รุ่น F-Sport
ผมบอกได้คำเดียวว่าไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนจริงๆครับ
**** VOLVO *****
กลิ่นใหม่ของ S60 ยังไม่ทันจาง Volvo ก็รีบเสริมทัพต่อทันทีด้วยรุ่น V60DRIVe ซึ่งใช้เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร
Flexifuel 180 แรงม้าเช่นเดียวกับ S60DRIVe นั่นเอง แต่มาในรูปแบบสปอร์ตแวก้อนที่สามารถใช้งาน
ได้อย่างเอนกประสงค์ยิ่งขึ้นโดยมีอุปกรณ์ความปลอดภัยเต็มพิกัดกับราคา 2,249,000 บาท หรือบวกจาก
S60 ไปอีก 100,000 บาทเท่านั้น
นอกจากนี้ XC90 SUV ตัวใหญ่ประจำค่ายก็ได้เครื่องยนต์ D5 2.4 ลิตร 200 แรงม้า เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
ของคนรัก SUV ที่มีความปลอดภัย ใช้เครื่องดีเซลเพื่อความประหยัด และจำหน่ายในราคา 3,699,000 บาท
ซึ่งในทำให้ XC90 กลายเป็น Premium SUV ที่มีราคาถูกกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกันเป็นอันมาก
ของแถมจากบูธ Volvo โดยตา J!MMY ก็คงหนีไม่พ้นภาพนี้ เจ้าตัวเขาอยากให้สังเกตสีหน้าแม่ทัพใหญ่
ของ Volvo อย่างพี่ตุ้ม ฉันทนาของเรา ภาพมุมนี้ ได้อารมณ์ประหลาดๆดี สื่อความหมายได้เยอะ โดยมิได้ตั้งใจ…
***** VOLKSWAGEN ****
ในปีนี้รถที่มาโชว์ก็ยังเป็นหน้าตาเดิมๆกับครั้งที่แล้วมา ไม่มีอะไรใหม่ มีแต่แคมเปญช่วยดันยอดขายอย่าง
Worry Free ซึ่งเป็นการประกันคุณภาพรถรวมถึงการซ่อมบำรุง 5 ปี หรือ 100,000 ก.ม.
เป็นอันว่าเรียกน้ำย่อยกันไปพอสมควรแล้ว ที่เหลือก็ขอให้ทุกท่านวางแผนการเดินชมหรือทดลองขับกัน
ตามอัธยาศัย สำหรับงานที่จัดโดย GPI Group นี้ ผมเรียนให้ทราบก่อนเลยว่าถ้าท่านต้องการ Testdrive
จะต้องนั่งรถ Shuttle กับเซลส์แมนไปทดลองขับกันที่ลานข้างทะเลสาบนะครับ ฉะนั้นเผื่อร่มไว้สักนิดจะดี
ในกรณีที่วันใดมีฝนตก งานจะมีขึ้นตั้งแต่วันนี้ 28 มีนาคม 2012 เป็นต้นไป ที่ Challenger Hall IMPACT
เมืองทองธานี งานเริ่มราวๆ 11 โมง ปิดงานตอน 4 ทุ่ม โดยประมาณ มีที่จอดรถบานตะเกียงกว่าเดิมมาก
ขอให้ทุกท่านมีความสุขและเอ็นจอยกับการเดินชมงานในครั้งนี้ครับ
——————————-///——————————–
Commander CHENG! / พันธุ์สวัสดิ์ ไพฑูรย์พงษ์
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของ J!MMY
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
28 มีนาคม 2012
Copyright (c) 2012 Text and Pictures
Use of such content either in part
or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
March 28th,2011