ปฏิทินในเดือนมีนาคม คอยย้ำเตือนให้ผมได้ระลึกว่า นี่เป็นสัญญาณที่งานแสดงรถยนต์ รายการใหญ่
ประจำปี จะเริ่มต้นขึ้นในช่วงก่อนสิ้นเดือนที่ว่า ไม่กี่วัน ในแทบทุกครั้งที่ผมเดินเข้างานนี้
งาน Bangkok International Motoer Show นั้น จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อราวๆ ปี 1979 แต่กว่าที่ ผมจะเริ่มถูก
คุณพ่อคุณแม่ผู้หวังดี ลากจูงถูลู่ถูกัง ไปเดินตากแดด ฟังเสียงวีดีโอที่ดังลั่นกระหึ่ม ของค่ายมอเตอร์ไซค์
จนตกใจร้องไห้จ้า น้ำตาเป็นเผาเต่า ที่สวนอัมพร นั่นก็ปี 1983 ยังนึกในใจจนทุกวันนี้ว่า บิดา มารดา
ของข้าพเจ้า คิดบรรเจิดอะไรขึ้นมา ถึงได้พาลูกน้อยกลอยใจ ไปเดินเล่นเบียดเสียดกับผุ้คนเล่นๆ เชิบๆ
ในงาน Motor Show แบบนั้น ทั้งที่ ร้อนก็ร้อน คนก็เยอะแยะ เดินเบีนดกันแน่นเหมือนปลากระป่อง
ตามสามแม่ครัวสุดหื่น ทั้งที่ข้าพเจ้าก็ยังไม่ประสีประสา รู้แต่ว่า พอจะจำชื่อยี่ห้อรถ Fiat Volk และ Ford
ได้ พอให้เปล่งเสียงออกมาเป็น “เซียต โซ้ค สอด” ได้แค่นั้น ก็จับพาเข้ามอเตอร์โชว์แล้ว….
และนับแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา ทุกสิ้่นเดือนมีนาคม ต้นเดือนเมษายน ผมจะกาหัวปฏิทินกันไว้เลยว่า
ห้ามพลาดงานนี้ด้วยประการทั้งปวง ถ้าเป็นตอนเด็กๆ ก็อาจจะแค่ ไปเดินเล่นเบียดเสียดผู้คนจนร้อง
อู้หู อยู่ท่ามกลางรถต้นแบบ จำพวก Nissan NX-21 Mazda MX-02 (ใครจะเกิดทันกันบ้างไหมเนี่ย?)
จากสวนอัมพร มาสู่ BITEC งานแสดงรถยนต์รายการใหญ่ที่สุดของสยามประเทศ ก็เติบโตขึ้นตามลำดับ
จนมาถึงปีนี้ หลังจากที่มีข่าวลอยมาตลอดว่า BITEC เอง ไม่สามารถรองรับการเติบโตของผู้เข้าร่วมงาน
และผู้เข้าชมงาน ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ได้อีกต่อไป ทาง GPI หรือ กรังด์ปรีซ์กรุ๊ป ผู้จัดงาน ก็เลยย้ายสถานที่
จัดงาน มายัง Challenger Hall IMPACT เมืองทองธานี คราวนี้ใหญ่สะใจดีแท้ แม้จะเป็นสถานที่เดียวกับ
งาน มหกรรมยานยนต์ Motor Expo ช่วงปลายปีก็ตาม แต่การจัดวางตำแหน่งบูธต่างๆนั้น แตกต่างกันเป็น
หนังคนละม้วน (อยากรู้ว่าเป็นยังไง ต้องไปดูด้วยตนเองครับ)
อย่างไรก็ตาม แม้จะเปลี่ยนสถานที่จัดงาน แต่สิ่งที่ผมมองว่า กี่ปีผ่านไปอย่างไร ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม
ไม่เคยเปลี่ยน…มีอยู่หลายเรื่อง ตั้งแต่ ความใหญ่โตอลังการ ปริมาณผู้เข้าชม หลักล้านตลอด 10 วัน ต่อเนื่อง
ทุกปี ไม่เว้นแม้แต่เรื่องที่น่าปวดหัวสุดๆสำหรับผม ก็คือ..”บัตรเข้าชมงานฟรี”
สิ่งที่ผม “หน่ายจิตเป็นยิ่งศักดิ์..เอ้ย ยิ่งนัก” ก็คือ โดยปกติแล้ว สำหรับสื่อมวลชนอย่างเรา จำเป็นจะต้อง
เข้างานแสดงรถยนต์งานใดก็ตาม ในรอบ VIP หรือ สื่อมวลชน ปกติแล้ว การจัดงานในรอบนี้ คุณไม่ต้อง
เสียค่าเข้าชม เพียงแต่ ต้องมีบัตรคล้องคอ หรือบัตรที่ทางผู้จัดงานแจก มอบ ยัดเยียด หรือทำยังไงก็ได้ที่จะ
ส่งให้ถึงมือคุณ
ปัญหาก็คือ หากเป็นงาน Motor Expo ช่วงปลายปี ทาง นิตยสาร ฟอร์มูลา ผู้จัดงาน จะประสานส่งบัตร
มาให้อย่างดิบดี ตามจำนวนที่เราแจ้งไป แถมบัตรฟรีสำหรับแจกจ่ายประชาชนทั่วไปมาให้อีกหลายปึก
เอาไว้เล่นเกม แจกคุณผู้อ่าน หรืออะไรก็ตามแต่ ซึ่งก็มักจะมีบรรดา เพื่อนผู้รู้เหมือน นกรู้ ทั้งหลาย
จะพากันโทรมาขอบัตรฟรี ตามแต่ที่ข้าพเจ้าจะแบ่งให้ได้ ก็มักจะมีบัตรฟรี ให้กับทุกท่านที่มาขอเสมอ
ทว่า สำหรับงาน Motor Show แล้ว การดิ้นรนหาบัตรเข้างานในรอบแบบนี้ ทำให้ผมรู้สึกไม่ต่างอะไรจาก
น้องหมาตัวน้อย แหงนมองเครื่องบิน รอให้บัตรเข้าชมงานหล่นจากฟ้า คือรอไปเถอะ ไม่มีมาถึงมือกันง่ายๆ
ท้ายที่สุด ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากพี่ๆน้องๆ รอบๆตัวกันมากกว่าปกติ เพียงเพื่อจะได้มา ซึ่งบัตร Spacial
Guest (ซึ่งก้ไม่ใช่บัตร Press) สำหรับการเดินเข้าชมงาน ผมก็จนด้วยเกล้าจริงๆ ว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตดี
นี่ยังไม่นับบัตรฟรี ที่กว่าจะถึงมือผม ก็เหลือเวลาเข้างานอีกไม่กี่วัน
เชื่อหรือไม่ว่า การเข้างานในรอบ VIP เมื่อวานนี้ หรือแม้แต่รอบเตรียมงาน วันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา
ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือ จากบริษัทรถยนต์บางค่าย และเอเจนซีโฆษณาของพวกเขา ที่หาทาง เอาบัตร
มาให้ผมยืมใส่คล้องคอก่อนเดินเข้างาน (แน่นอนว่า ต้องคืนทันที หลังจากเข้าประตูไปได้ เพราะบัตรมีน้อย
ต้องเวียนกันใช้สอยอย่างประหยัด) ผมก็อาจจะต้องเดินคอตก รู้สุึกสังเวช และสมเพชตัวเอง จนต้องยอม
ขับรถกลับบ้านไปในที่สุด
เรื่องบัตรหายากนี่ ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่า เมื่อปีที่แล้ว ผมเจอ พี่เอก อโณทัย เอี่ยมลำเนา พี่ชายผู้น่ารักของผม
คนหนึ่ง ซึ่งมีศักดิ์เป็นบุตรชายของ คุณ ปราจิน เอี่ยมลำเนา เราเจอกันในงานแถลงข่าวของ General Motors
ที่โรงแรมแถวๆ เลครัชดา พอเอื้อนเอ่ยปาก จะขอบัตรเข้างานฟรี พี่เอกก็นึกขึ้นได้ ในตอนนั้นเองเลยว่า…
“เออ! พี่เองก็ยังไม่ได้บัตรเลยเหมือนกัน!!”
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกว์ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!
อยากจะกรี๊ด สนั่นให้ดังลั่นไปไกลถึงโรงไฟฟ้า Fukushima Daiichi ของ TEPCO กันเลยทีเดียว!
ตั้งแต่วันนั้นมา ผมก้ได้แต่คิดเจียมเนื้อเจียมตัวว่า “ได้บัตรฟรีจาก Motor Show มา ยากเย็นกว่า Motor Expo
ยิ่งนัก ขนาด พี่เอก ยังไม่ได้บัตรเลย แล้วนับประสาอะไรกับเด็กน้อยตัวอ้วนๆ ตาดำๆ อย่างข้าพเจ้า…..”
เสียงสะอื้น กระซิกๆ ปาดน้ำตา แล้วก็เดินหน้าค้นหาบัตรเข้างานต่อไปในทะเลทราย ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น!
นั่นก็แค่เรื่องหนั่ง ที่ผมอยากจะบ่นดังๆ ให้สมกับที่ทนอัดอั้น กล้ำกลืน ฝืนจิต มา…หลายปีอยู่ และคิดว่า
มีเกิน 5 ปีแน่ๆ เพราะอย่างที่บอกไป ว่า เดินงานนี้ มาตั้งแต่เท้ายังไม่แตะพื้น ยังต้องถูกอุ้มอยู่บนบ่าคุณพ่อ
จนตอนนี้ แทบจะต้องยกคุณพ่ออุ้มขึ้นบ่า เดินดูงานกันแล้ว ปัญหานี้ก็ยังคงมีอยุ่เหมือนเดิม
เอาละ ทาง GPI จะได้มาอ่านหรือไม่ อ่านแล้ว จะ บอยคอต ไอ้เด็กปากหมา นามว่าจิมมี่ หรือไม่
หรือจะส่งข้อความมาว่า ให้ลบข้อความข้างบนนี้ทิ้ง เหมือนเช่นที่บางค่ายรถยนต์เคยพยามจะ
ขอร้องกับบทความอื่นๆ กันหรือไม่? ผมก็ไม่อาจรู้ได้ รู้แต่ว่า ขอแค่ได้เข้าห้องน้ำ ปลดปล่อย
แล้วกดชักโครก…..อ้า!!! โล่งงงงงงง เรียบร้อย!
แล้วก็ รู้แต่ว่า นับจากนี้ ผมก็คงจะต้องขอสรุปถึงสิ่งที่คุณจะได้พบเห็นกันในงาน แบบรวบรัดตัดความ
เอาแค่สั้นๆ ไม่ใช่แค่เพราะว่า ไอ้ที่เขียนมาข้างบนนี้ มันดันยาวเกินตั้งใจไปเยอะ แต่ยังเป็นเพราะว่า
ปีนี้ มีดาวเด่นในงาน อยู่หลายคันเหมือนกัน แถมมีถึง 3 คัน ที่ต้องถือว่า เป็นการเปิดตัวครั้งแรกในโลก
ที่เมืองไทยกันอย่างแท้จริงอีกด้วย แม้จะยังไม่พร้อมจำหน่ายจริงในตอนนี้ และเราต้องรอกันถึงปลายปี
เลยก็ตามเถอะ
บอกไว้ก่อนว่า ถ้าเขียนถึงบรรยากาศของบางบูธน้อยไป โปรดอย่าตกใจ นั่นหมายความว่า พวกเขาไม่มี
รถรุ่นใหม่ๆ มาให้เราดูมากเกินไปกว่ารถยนต์รุ่นที่มีขายกันอยู่แล้วในปัจจุบันนี้ บางคัน เราเขียนถึงไป
ก่อนหน้านี้แล้ว ในข่าวรถใหม่ ในประเทศ New Cars in Thailand เลยจะเขียนถึงค่อนข้างน้อยไปหน่อย
หรือบางบูธ อาจจะเขียนระบุเอาไว้เลยว่า ปีนี้ ไม่เข้าร่วมจัดแสดงในงานครั้งนี้ ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ
บ้างละ หรือว่าจองพื้นที่ไม่ทันบ้างละ ฯลฯ แต่ปีนี้ ปัญหาดังกล่าวน่าจะลดน้อยลงไป เพราะพื้นที่ของ
Challenger Hall นั้นใหญ่ยักษ์กว่า BITEC เยอะ!!
มาดูกันดีกว่า ว่า 3 – 4 ชั่วโมง ในงานนี้ ลูกตาของคุณ จะมีโอกาสจับภาพอะไร เก็บเข้าไปสู่ความทรงจำ
ในสมองกันบ้าง…
ยี่ห้อนี้ แบ่งออกเป็น 2 บูธ คือต้นสังกัดมาเอง กับ MTM Thailand
ทางบูธของต้นสังกัดนั้น ถือว่าเป็นการตจัดแสดงให้เห็นว่า พวกเขายังคงเป็นผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการอยู่
มิได้หนีหายหน้าไปไหน อาจจะหาโชว์รูมและศูนย์บริการยากเย็นนิดนึงแค่นั้นเอง งานนี้ขนเอารถยนต์
รุ่นมาตรบานมาจัดแสดง ทั้ง A4 A5 และ Q5 มาเรียกลูกค้า กันอย่างเงียบๆ ในบรรยากาศที่เรียบง่าย ถ้า
ไม่ได้เดินมาเข้าใกล้ฝั่งบูธจักรยานยนต์ คุณอาจจะไม่เห็นว่ามีบูธนี้ตั้งแสดงอยู่
Sport Back สไตล์ Coupe Saloon เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร TDI มาครบๆ เปิดราคากันที่ 6.5 ล้านบาท แต่ถ้าใคร
สนใจ ก็ลองไปคุยกันดูหลังไมค์เอาเองได้ นี่ใบ้ให้แล้วนะครับ มาจอดโชว์ ร่วมกับ A1 คันสีแดงสวยเฉี่ยว
ค่ายใบพัดสีฟ้า มาคราวนี้ เปลี่ยนสไตล์การจัดตกแต่งบูธ เป็นแนวทางใหม่ ให้สวยงามอลังการ
แต่เป็นแนวทางที่เน้นไปในแนวคิด Efficienะ Dynamics เต็มรูปแบบมากขึ้น คือต้องการจะ
บอกว่า การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถผสมผสานควบคู่ไปกับการขับขี่ในแบบ
BMW ได้ ว่างั้นเถอะ
เป็นรถประกอบในประเทศกันเลยตั้งแต่แรกเริ่มทำตลาด แต่ขอตินิดนึงว่า การแสดงในปีนี้
แม้ว่าแนวคิดจะดี แต่กลับสู้งานในปีก่อนๆ ที่นำเอา Celebrities มาเดินแบบแฟชันโชว์ ไม่ได้เลย
ครั้งนั้น อลังการน่าติดตามด้วยความตื่นตาตื่นใจกว่านี้อีก
MINI Connect ทำงานควบคู่ไปกับ Smart Phone (เช่น iPhone 4) ผ่านแอพพลิเคชั่น MINI Connected
(ซึ่งสามารถโหลดได้จาก iTunes) ลองไปเล่นดูได้ ในบูธที่ตกแต่งด้วยลายกราฟฟิคโฉบเฉี่ยวยิ่งกว่า
ทุกปีที่ผ่านมา
AAS Auto Service ในฐานะผู้นำเข้ารถยนต์ระดับหรูจากอังกฤษ ในเครือ Volkswagen อย่างเป็นทางการ
นำ 2 รถยนต์รุ่นใหม่มาจัดแสดง ทั้ง Continental GT Club Sport และ Bentley Mulsanne ใหม่ ซึ่งเพิ่งจะ
มีการเปิดตัว และให้กลุ่มผู้สื่อข่าวบางราย ทดลองขับกันไปแล้ว ก่อนงานจะเริ่ม 2 เดือน
เสียดายเหลือเกิน ที่ไม่มี headlightmag.com ของเราอยู่ในรายชื่อนั้น ก็แน่ละ เขายังไม่รู้จักเรานี่นา ถ้าพี่ Greg
ยังคงอยู่ คงไม่เป็นเช่นนี้แน่ๆ
รถจีนเพียงยี่ห้อเดียวที่ยังทำตลาดกันอย่างจริงจังในเมืองไทยตอนนี้ (ไม่นับรถตู้ Foton นะ)
ไม่มีรถอะไรเด่นไปกว่าที่เคยสั่งนำเข้ามาก่อนหน้านี้เท่าใดนัก แต่ได้พื้นที่บูธที่ค่อนข้างจะใหญ่
และลึกพอสมควร เดินชมรถกันได้สะดวกขึ้น…แค่นั้น
คราวนี้ พื้นที่บูธ อยู่มุมด้านในสุดของ Challenger Hall แต่ด้วยการจัดสร้างอาคารแบบ 2 ชั้น จนสวย
ดูไม่ต่างจากบ้านโมเดิร์นดีๆ สักหลัง นอกจากจะนำรถยนต์ตัวแข่ง Chevrolet Cruze WTCC มาจัดแสดง
กันบนพื้นที่ของบูธแล้ว
ขึ้นเครื่องบิน มาจาก คลังพิพิธภัณฑ์รถคลาสสิกของ GM ในสหรัฐอเมริกามาร่วมฉลอง 100 ปี ไปพร้อมกับ
งานเปิดตัว Colorado Show Car เมื่อ 2 วันก่อนนั่นเอง รถกระบะคลาสสิคเหล่านี้ น่าดูไม่แพ้รถใหม่ที่ใกล้
จะเปิดตัวในบ้านเราปลายปีนี้เลยครับ
เป็นครั้งแรกในโลกที่เมืองไทยกันในงานนี้เอง แม้ว่าจะเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่อลังการไปแล้วก่อนหน้านี้
ที่หอประชุมกองทัพเรือ ก็ตาม
เวอร์ชันจำหน่ายจริง จะวางเครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.2 และ 2.8 ลิตร พ่วง Turbo และระบบ
Common-Rail จะใช้เครื่อยนต์แตกต่างจาก Isuzu D-Max รุ่นต่อไป อย่างแน่นอน กำหนดการเปิดตัว ก็คือช่วง
ปลายปีนี้ ราวๆ เดือนพฤศจิกายน น่าจะเร็วที่สุดแล้ว
CITROEN
ที่ผ่านมา DAD Yontrakit เพิ่งนำ DS3 มาเปิดตัว ในงาน Motor Expo หมาดๆ และด้วยเครื่องยนต์
4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.6 ลิตร 120 แรงม้า (PS) เครื่องยนต์เดียวกับ MINI Cooper ใหม่ รุ่นมาตรฐาน
นั่นละ ตั้งราคา 1,495,000 บาท ถือว่า ค่าตัวถูกมาก เมื่อเทียบกับข้าวของที่ให้มา (ยังไม่นับรวมรถตู้
JUMPER ที่ยังคงทำตลาดอยู่ด้วยค่าตัวเกินกว่า 2 ล้านบาท ไปนานมากแล้ว)
คราวนี้ DAD Yontrakit ก้เลยสั่ง Citroen DS3 มาอวดโฉมกันสารพัดสี จนนึกว่า Citroen ทำจานสี
หกใส่พื้นที่บูธ เป็นที่อิ่มตาเอมใจข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก! แต่บอกไว้ก่อนว่า งานนี้ บูธของ Citroen
อยู่ติดกับ จักรยานยนต์ Honda ซึ่งน่าจะกำลังเตรียมกิจกรรมเอาใจขาแว๊นกันเต็มพิกัด ดังนั้น
อาจจะหนวกหูไปบ้าง กับเหล่าบรรดากองเชียร์ ศิลปินดารา กันสักหน่อยนะครับ
FORD
ปีนี้ บูธของ Ford มาแนวแปลก เดินหลงเข้าไปนี่ ชวนให้คิดถึงบรรยากาศของห้องวิจัยทดลองอะไรสักอย่าง
มีทั้งเกม Simulation ให้เล่น มี Ford Ranger ใหม่คันจริงๆ ให้ดูกัน ก่อนการเปิดตัวทำตลาดจริง ปลายปีนี้
มี Ford Focus รุ่นพิเศษใหม่ 2 รุ่น และล่าสุด กับ Ford Fiesta สีม่วง ใหม่
นี่ยังไม่นับว่า มีการเปิดตัวรถกระบะ Ford RANGER ใหม่ ให้เห็ตคันจริง ตัวเป็นๆ กันก่อนจะเตรียม
ผลิตจากโรงงาน AAT ระยอง ออกสุ่ตลาดในช่วงสิ้นปีนี้ รายละเอียด หาอ่านเอาได้ในบทความเปิดตัว
Ranger Open Cab ที่เพิ่งนำเสนอไปในส่วนของ New Cars in Thailand ไปหมาดๆ เมื่อวานนี้
นอกจากนี้ มีการนำหุ่นยนต์ สำหรับการประกอบรถยนต์ มาใช้ อธิบายรายละเอียดของ 3 เครื่องยนต์ใหม่
ที่จะนำมาวางลงใน Ranger รุ่นต่อไป โดยมีคุณ แพท พัสสน ศิรินทุ พยายามอย่างมากที่จะท่อง Script
ที่มีความยาวถึง 5 หน้ากระดาษ A4 พูดกันแบบไม่อ้อมค้อมก็คือ…ผมละกลั๊วกลัวว่า คุณแพทจะพูดล่ม
จนต้องดำน้ำบุ๋งๆๆ กันในรอบประชาชนทั่วไปเลยจริงจริ๊งงงง! ก็ใน Script เท่าที่พยายามยืนฟังอยู่ เล่น
อุดมไปด้วย สเป็กของเครื่องยนต์ใหม่ กับสารพัดคำคุณศัพท์ ฯลฯ ทั้งนั้นเลย จะรอดไหมเนี่ยยย?
แทบจะช่วยลุ้นจนตัวโก่งเลยทีเดียว
แต่สำหรับคุณผู้อ่านทุกท่าน ก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องให้ลุ้น เพราะเพียงแค่เดินเข้าพื้นที่บูธแล้ว คุณอาจจะ
ได้รับแจก แผ่นพับสะสมตราประทับ ขอแนะนำว่า ควรจะเสียเวลา เล่นเกม Simulation ฯลฯ ที่ขนส่ง
นำเข้ามาจากงาน Geneva Motor Show และงานที่เมืองจีน ให้ครบ ทั้งบูธ เพื่อร่วมชิงรางวัล “เอา
Fiesta ไปนอนกอดเล่นและขับฟรีๆเลย 1 เดือนเต็ม!
คาดว่า สาวก Ford ประจำบอร์ด Headlightmag.com ของเรา คงจะต้องแก่งแย่งชิงดีกันพอสมควร กับ
“ศึกชิง Fiesta พาเพลิน 1 เดือนเต็ม” ในครั้งนี้
HONDA
เวทีของ Honda ในคราวนี้ ออกแบบแปลกๆ หลังคาดูคล้ายกระท่อมบังกาโลสีขาวตากอากาศ แน่นอนว่า
ที่นี่ จะเป็นโอกาสเดียว ในช่วงก่อนสงกรานต์ ที่คุณจะได้เห็นกองทัพ Honda BRIO น้องนุชสุดท้องใน
พิกัด A-Segment ที่มาร่วมสู้ศึก ECO-Car ในบ้านเรา จอดเรียงกันอยู่ รอให้คุณได้สัมผัสกับความจริง
อยุ่หลายคัน รวมทั้ง พี่น้องร่วมตระกูล ทั้ง Civic FD ,Jazz Minorchange, City,Accord และ Freed
รถที่คุณจะเห็นในงานนี้ ทุกคัน เป็นรถล็อตแรกๆ ถือเป็นกลุ่มรถทดลองประกอบ Pre-Production ที่ทำ
ออกมาเพื่อการใช้งานในช่วงเปิดตัว การถ่ายทำโฆษณาและงานประชาสัมพันธ์ ขณะที่สายการผลิตของ
โรงงานที่นิคมโรจนะ จะยังไม่พร้อมปล่อย Brio ออกสู่ตลาดจนกว่าจะถึงเดือนพฤษภาคม ที่จะถึงนี้
เท่ากับว่า 2 เดือนนี้ จะยังไม่มี brio ออกสู่ถนนจริงอย่างแน่นอน
ตัวรถจะสั้นกว่า Nissan March ผู้เป็นคู่แข่งด้วยความจำเป็น เล็กน้อย วางเครื่องยนต์ L12A 4 สูบ SOHC
16 วาล์ว 1.2 ลิตร i-VTEC หัวฉีด PGM-FI 90 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 11.2 กก.-.ที่ 4,800 รอบ/นาที
ก็คือการนำเครื่องยนต์ของ Jaxzz กับ City มาลดทอนกระบอกสูบลงมาจาก 1.5 ลิตร เหลือ 1.2 ลิตร นั่นเอง
ขอแนะนำว่า ไปดูคันจริงก่อนตัดสินใจเซ็นชื่อในใบจองนะครับ และถ้าเป็นไปได้ ควรทดลองขับดูก่อน
ว่ารับได้ไหม ก็เหมือนเช่นเดียวกับที่ผมมักจะแนะนำเหมือนเช่นเดียวกันนี้กับรถทุกคันนั่นละ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง ถ้าคุณลองนั่งเบาะหน้าแล้ว อย่าลืมลองนั่งเบาะหลังด้วย แต่ถ้าคุณลองนั่งเบาะหลังก่อน ห้ามลืมนั่ง
เบาะหน้าเป็นอันขาด ปรับตำแหน่งเบาะให้ดีๆ จะได้เข้าใจไม่ผิดกับรถคันนี้ อ้อ อย่าลืมเดินไปดูโครงสร้าง
ตัวถังที่ผ่าให้เห็นชิ้นส่วนข้างในด้วยนะครับ รายละเอียดอื่นๆ ผมคงไม่เขียนเพิ่มเติม เพราะมีนำเสนอ
ในบทความแนะนำรถใหม่ New Cars in Thailand อยู่แล้ว
HYUNDAI
ใครอยากเห็นตัวจริงของ Hyundai SONATA Sport ใหม่ ตอนนี้ คงต้องมาดูในงานกันสถานเดียวละครับ
เหตุผลก็เพราะว่า รถที่มีเข้ามาในเมืองไทยช่วงแรกนี้ ยังมีอยู่เพียงไม่กี่คันเท่านั้นเลย อาจต้องใช้เวลา
ในการสั่งจองสักนิด แต่เชื่อว่า น่าจะได้รถค่อนข้างเร็วพอสมควร เพราะตอนนี้ พอรถล็อตใหม่เริ่มเข้ามา
ก็ถูกส่งมอบให้กับดีลเลอร์ทั่วประเทศที่มีอยู่ในทันที ขนาด Hyundai บางนา แถวบ้านผม ก็ยังมีจอดอยู่
รอต้อนรับแขกกันแล้วเลย
ที่เหลือ ทั้ง Tucson รถที่ดีน่าใช้ทั้งคัน ยกเว้นพนักศีรษะไม่รู้ว่าจะดันกบาลไปถึงไหน กับรถตู้ H1 รุ่นใหม่
ประจำปี 2011 กับ Gran Starex ก็มาจอดรอให้คุณผู้อ่านเข้าไปจับจองเป็นเจ้าของกันตามระเบียบพัก
ISUZU
ความพยายามในการปูพื้นฐานภาพลักษณ์ใหม่ของ Isuzu ยังคงเกิดขั้นอย่างต่อเนื่อง บรรยากาศโทนสีขาว
และเขียว ของ บูธ แบบดั้งเดิม หายไปหมดสิ้น คราวนี้ เห็นกันแต่สีแดง บนพื้นดำ พร้อมกับการเปิดตัว
Isuzu MU-7 Choiz รุ่นพิเศษ ประจำปีนี้ รายละเอียดหาอ่านกันต่อได้ในคอลัมน์ New Cars in Thailand
ของ Headlightmag.com เรานี่แหละ ไม่ต้องไปอ่านเว็บอื่นที่ไหนไกลๆ ให้เสียเวลา
ส่วนใครที่จะถามว่า กระบะตัวยใหม่ของ Isuzu เมื่อไหร่จะมา หน้าตาเป็นอย่างไร ก็คงต้องขอตอบให้
กระจ่างแจ้งแดงแจ๋ เป็นสีโลโก้บริษัทเขาเลยว่า RT-50 หนะ ยังไม่มีปรากฎตัวในคราวนี้ครับ แต่ถ้าอยาก
รู้ว่า หน้าตาจะเป็นอย่างไร ผมบอกได้แต่เพียงว่า เดินย้อนไปที่บูธ Chevrolet สังเกตบานประตูคู่หน้า และ
บานแค็บเปิดได้ของ Corolado ใหม่เอาไว้่ให้ดี นั่นละ หนั่งในสิ่งที่เราจะได้เห็นจาก Isuzu Pickup รุ่นใหม่
ที่มีแนวโน้มว่าอาจจะเปลี่ยนชื่แรุ่นใหม่ หรือไม่เช่นนั้น อาจจะมีชื่อ D-Max แล้วตามด้วยคำประหลาดๆ
จากสารพัดบัตรเครดิตทั่วฟ้าเมืองไทย กันอีกก็ได้ อิอิ
ทาง AAS ผู้นำเข้าอย่างเป็นทางการ ยกโขยง รถยนต์หรูตราเสือ จากสหราชอาณาจักร มาให้เศรษฐีไทย
และผุ้ที่ไม่ใช่เศรษฐีอย่างข้าพเจ้า ได้สัมผัสกันใกล้ๆ ยอมรับเลยว่า รถรุ่นใหม่ๆของพวกเขา แม้จะทิ้ง
เอกลักษณ์เดิมไปพอสมควร แต่มันเป็นบุคลิกใหม่ที่สร้างความประทับใจ และชวนให้่น่าซื้อหาเสือติดล้อ
ฝูงนี้ มาใช้งานมากๆ โดยเฉพาะ XJ ใหม่ที่เห็นอยู่นี้ ควงคู่มากับ XF ใหม่ จอดให้ชมกันหลายคันอยู่
KIA
ปีนี้ นับว่า Yontrakit Kia Motor สร้างสีสันมากกว่างานเดียวกันนี้ในทุกปีที่ผ่านมา เพราะพวกเขา ยกเอา
Kia Picanto Full Modelchange กับ Kia Optima K5 Hybrid มาอวดโฉมในเมืองไทย เป็นครั้งแรก และ
ทำให้บูธ Kia น่าเดินเข้าไปดูขึ้นมาทันที
Kia Optima Hybrid เป็นรถยนต์นั่งในพิกัด D-Segment Mid-size Sedan เหมือนกับ Hyundai Sonata
Toyota Camry Honda Accord และ Nissan Teana ซึ่งเปิดตัวออกสู่ตลาดโลกมาตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม
2010 แต่เวอร์ชันขุมพลัง Hybrid ในชื่อ Kia Optima HYBRID นั้น เพิ่งเผยโฉมครั้งแรกในงาน L.A
Auto Show 2010 เมื่อปลายปีที่ผ่านมาหมาดๆ ถือเป็นการเผยโฉม ประเทศแรกในเอเซีย และเป็น
ประเทศที่ 2 ในโลก ก่อนหน้าเกาหลีใต้เองเสียด้วยซ้ำ! แสดงว่า งานนี้ Kia เองก็ทุ่มทุนสร้างใช้ได้
เหมือนกันนะเนี่ย
ตัวรถมีความยาว 4,835 มิลลิเมตร กว้าง 1,830 มิลลิเมตร สูง 1,455 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,795 มิลลิเมตร
ลู่ลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศเพียง Cd 0.26 ภถือเป็นหนึ่งในรถยนต์ Sedan ที่ลู่ลมที่สุดในโลก
สร้างขึ้นบนโครงสร้าง Platform ร่วมกับ Hyundai Sonata ใหม่ แต่วางขุมพลัง TMED 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
2.4 ลิตร จุดระเบิดแบบ GDI (Gasoline Direct Injection) เชื่อมต่อด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า แบบ แยกออกจากชุดเกียร์
ที่ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ และแบ็ตเตอรีแบบ Lithium Polymer ขนาด 30 กิโลวัตต์ น้ำหนักเบา 28-95.9 ปอนด์
ซึ่งน้อยกว่า แบ็ตเตอรีแบบ Nikel Metal ของรถยนต์รุ่นต่างๆ และสามารถจัดเก็บพลังงานได้มากกว่าแบ็ตเตอรี
รถยนต์ Hybrid อื่นๆ ถึง 25% มีระบบบคลัตช์ Multi-Disc ที่ติดตั้งระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า สำหรับ
การใช้งานในโหมด Idle Stop (ดับและติดเครื่องเองได้ขณะจอดติดไฟแดง) และขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า
ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้าด้วยระบบเกียร์อัตฯโมัติ แบบ 6 จังหวะ (ไม่ใช่ CVT) แบบ Step-Ratio ครั้งแรกของรถยนต์
Hybrid พร้อมชุดคลัชต์แบบ Multi-Disc ระบบพวงมาลัยปร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบ MDPS
ระบบกันสะเทือนแบบ Torsional Damper,พร้อมระบบเบรกที่ควบคุมด้วยระบบอิเล็คทรอนิกส์ ทำให้เบรกมี
ประสิทธิภาพ ทนทาน และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ทั้งสามารถชาร์จแบตเตอร์ได้ขณะชะลอหรือหยุดรถ
อุปกรณ์มาตรฐานมีมาให้ครบครัน อาทิ หลังคาซันรูฟกระจกแบบ 2 ชิ้น Panorama เปิด-ปิดได้ด้วยไฟฟ้าทั้งหน้า
และหลัง ไฟหน้าแบบ HID พร้อมปรับระดับสูงต่ำอัตโนมัติ, ไฟท้ายแบบ LED, ระบบเสียงเตือนอัตโนมัติสำหรับ
คนเดินเท้า (VESS), ระบบเข็มทิศและระบบนำทาง Navigation System และระบบช่วยควบคุมการขึ้นลงเขา (HAC)
เป็นต้น Kia สั่งรถรุ่นนี้มาจัดแสดงเฉยๆ และยังไม่พร้อมจะขายในเมืองไทย แต่ทั้ง2 รุ่น ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า
นับจากนี้ไป Kia น่าจะเริ่มบุกตลาดเมืองไทยอย่างจริงจังมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
อีกคันหนึ่งที่น่าจะเดินเข้าไปดู ก็คือ Kia Picanto ใหม่ เพิ่งเผยโฉมอย่างเป็นทางการครั้งแรกในโลกที่งาน Geneva
Motoer Show ส่วนเมืองไทย เป็นประเทศที่ 3 ในโลก และเป็นประเทศแรกในเอเซียแปวิฟิก ที่มีการเปิดตัวรถเล็ก
รุ่นใหม่นี้ ตัวรถมีความยาว 3,595 มิลลิเมตร กว้าง 1,595 มิลลิเมตร สูง 1,490 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,385 มิลลิเมตร
ในต่างประเทศมีเครื่องยนต์ ตระกูล Kappa ให้เลือกทั้ง 1.0 ลิตร และ 1.2 ลิตร แต่ของเวอร์ชันไทยนั้น จะเป็นรุ่นพิกัด
1.2 ลิตร เครื่องยนต์ 4 สูบ 1,248 ซีซี 87 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด อยู่ที่ 12.2 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที
ถ้าสนใจอยากได้ บอกข่าวดีให้ว่า ราคาเท่ากับ ECO Car Made in Thailand กันเลยทีเดียว มีให้เลือก 2 รุ่นคือเกียร์
ธรรมดา 429,000 บาท และรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ราคา 497,000 บาท ส่วนปัญหาด้านบริการหลังการขายเท่าที่มีเพื่อนบ้าน
ของเจ้ากล้วย BnB อีกหนึ่งในสมาชิกทีมเว็บของเรา ใช้ Kia Carnical อยู่ ก็ยังไม่เห็นจะบ่นอะไรหนักๆให้ได้ยินนะ
LOTUS
ปีนี้ ทาง Niche Car ผู้นำเข้า “รถสปอร์ตตราดอกบัว” จากสหราชอาณาจักรมาขายอย่างเป็นทางการ
ลงทุนทำบูธเสียขาวโพลน สวยหรู ดูสะอาดตา น้ำใสไหลเย็น เห็นตัวปลา ว่ายวนไปมาน่าเอ็นดู..
เฮ้ย!! ไม่ใช่แล้ว!! นั่นมันเพลง “บัวขาว” แล้ว!! ไม่เติม ท่อน หมู่ภูมรินทร์ บินว่อน เข้าไปด้วยเลยละ?
เฮ้! เดี๋ยวก่อนสิ จะว่าไป ก็ใช่อยู่นะ บัวขาวติดล้อ 3 คัน ทั้ง Exige Elise และ Evora มาจอดอวดโฉม
รอให้หมู่ภุมรินทร์ (อย่างคุณผู้อ่านยังไงละ!) มาบินโฉบดุ เวียนว่อน ไปตามกิเลสจะนำพา
ที่สำคัญ งานนี้ ถือเป็นการทุ่มทุนสร้างของ Lotus และ Niche Cars ก็ว่าได้ เพราะพวกเขา สั่งนำเข้า
Lotus Evora Enduro GT Concept ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย Lotus Motorsport ภายใต้การควบคุมดูแลของ
หัวหน้านักออกแบบ Nicole Scimeca บนพื้นฐานของรถแข่งรุ่น Evora GT4 Endurance รถคันนี้
เพิ่งเปิดตัวในงาน Geneva Motor Show ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ และบินมาเปิดตัว
กันในเมืองไทย ดูเหมือนว่าน่าจะเป็นประเทศที่ 2 ในโลก
รถคันนี้ ถูกสร้างขึ้นตามข้อกำหนดคุณสมบัติรถแข่ง ในกลุ่ม GT2/GTE ตามมาตรฐานของสมาพันธ์
กีฬาแข่งรถยนต์นานาชาติ หรือ FIA โดยใช้เครื่องยนต์พื้นฐานจาก Toyota ตระกูล GR บล็อก V6 สูบ
4.0 ลิตร อย่างไรก้ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยถึงตัวเลขสมรรถนะอย่างเป็นทางการ จนกว่าจะมีการส่งเข้า
ร่วมการแข่งขันในรายการ 24hr Nurburgring ADAC เดือนมิถุนายนนี้ ที่เยอรมันี
Land Rover ไม่มาออกบูธ ในงานนี้ครับ ไม่ทราบสาเหตุ
การตกแต่งบูธ ก็ยังคงเป็นไปตามรูปแบบเดิมที่เคยใช้มาตั้งแต่ งาน Motor Show 2010 เรื่อยมาถึง
Motor Expo 2011 คือมีเวทีขนาดใหญ่ ตั้งเด่นอยู่พร้อมกับ Turntable 1 ชุด ผนังใช้เป็นจอ สำหรับ
แสดงภาพ จากเครื่องฉายภาพ เพียงแต่คราวนี้ ด้านหน้าบูธ ก็จะมี Turntable หมุนรถ อีกคันหนึ่ง
แน่นอน รถทั้ง 2 คัน ที่จะจอดอยู่บน Turntable นั้น เป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก Mazda 3 ใหม่นั่นเอง
เราคงไม่ต้องพุดถึงรถรุ่นนี้กันมากนัก เพราะนอกจากจะมี ข่าวใน News car in Thailand แล้ว เรายัง
มีคลิปงานเปิดตัว Mazda 3 ของ The Coup Channel ให้คุณได้คลิกเข้าไปชมกัน บนด้านหน้าของเว็บ
แถมหลังจากนี้ เราก็จะมี Full Review มาให้ได้อ่านกัน น่าจะราวๆ พฤษภาคม เป็นอย่างเร็วที่สุด ดังนั้น
อดใจรออ่านเรื่องของ Mazda 3 รวดเดียวไปเลยดีกว่าครับ
ปีนี้ ถือเป็นปีแห่งการฉลองครับรอบ 125 ปีของ ค่ายรถยนต์ตราดาวทั่วโลก ซึ่งนั่งย่อมรวมถึง การฉลอง
ครบรอบ 125 ปี แห่งการถือกำเนิดรถยนต์บนโลก ดังนั้น Mercedes-Benz จึงสั่งทุ่มทุนสร้าง เนรมิตรูปแบบ
ของบูธขึ้นมาใหม่ ทั้งหมด แถมยังนำเอาเทคโนโลยีเสมือนจริง Augmented Reality หรือ AR 4 มิติ มาใช้
ในการแสดงโชว์ชุดพิเศษ “The world without an innovator” เพื่อถ่ายทอดตำนานแห่งความสำเร็จแห่ง
นวัตกรรมยานยนต์ ในฐานะผู้บุกเบิกโลกแห่งยนตรกรรม และความเป็นผู้นำเทคโนโลยีชั้นนำของโลกไว้
อย่างตระการตา และประทับใจผู้ชมมากที่สุด งานนี้ อาจารย์ อเล็กซ์ เพาฟ์เลอร์ สุดเลิฟของกระผม จะเป็น
ผู้ถ่ายทอดและดำเนินรายการ พร้อมกับโชว์พิเศษ ที่มักจะอลังการงามสะพรั่ง เป็นที่กล่าวขวัญถึงกันทุกปี
แม้ว่าจะโดนผู้นำเข้ารายย่อย เปิดตัวตัดหน้าไป ก่อนงานจะเริ่มไม่กี่วัน แต่ CLS 350 Blue Efficiency ก็ยัง
เจิดจรัสอยู่บนแท่น ร่วมกับ รถยนต์ 3 ล้อ ของ Carl Benz อันถือเป็นรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเป็น
คันแรกของโลก ในปี ค.ศ. 1886 ซึ่งถูกสั่งนำเข้ามาจากพิพิธภัณฑ์ของ Mercedes-Benz ในเยอรมันี มาให้
ได้ยลโฉมกันใกล้ชิด
นี่แหละครับ มนต์เสน่ห์ของ รถสปอร์ตเปิดประทุนขนาดเล็ก SLK 350 Blue Efficiency หลังคาไฟฟ้า
Vario Roof ที่มีลูกเล่นตื่นตาตื่นใจ รอให้ รุ่น SLK 250 blue Efficiency เข้ามาขายกันดีกว่า ค่าตัวน่าจะ
ถูกลงกว่า 7,399,000 บาท ในตอนนี้แน่ๆ
นอกจากนี้ยังมีสารพัดรถยนต์รุ่นใหม่ๆ อย่าง G55 AMG รถตู้ New VITO และบรรดารถยนต์รุ่นที่ทำตลาด
อยู่แล้ว คอยต้อนรับลูกค้าอวยู่เหมือนเช่นเคย
อ้อ ด้านหลังบูธของ Mercedes-Benz พวกเขายังยก เกม Dran Turismo 5 มาให้เล่นด้วยนะครับ ใครสนใวจ
ไปฝึกปรือฝีมือก็เชิญได้
MITSUBISHI MOTORS
ในเมื่อ Honda เปิดตัว Brio ใหม่ ในฐานะ ECO Car ของเขา ค่ายเพชรสามเม็ด ก็เลยคิดว่า ถึงเวลาแล้ว
ที่พวกเขาจะต้องขอเล่นเกมกลยุทธ์กับเขาบ้าง เลยสั่งรถต้นแบบคันเล็ก ว่าที่ ECO Car ของตน ในชื่อ
Global Small Concept ซึ่งเพิ่งลงจากเวทีงาน Geneva Motor Show มาหมาดๆ ลัดฟ้ามาเปิดตัวอีกรอบ
ในงานนี้ เพื่อดักคอ Honda Brio กับ Nissan March เหมือนกับที่ Honda เคยทำแบบเดียวกันนี้ กับ
Nissan ในงาน Motor Show ปีที่แล้ว (ตอนนั้น เขานำเอา Brio คันต้นแบบสีเงินสุดล้ำ มาจอดดักคอ
March กันเห็นๆ)
นี่แหละครับ คือวิธีที่ Mitsubishi Motors จะใช้เพื่อประกาศอย่างเป็นทางการว่า เจ้าเนี่ยแหละ ว่าที่ ECO Car
ของ Mitsubishi ซึ่งมีกำหนดจะเปิดตัวในเมืองไทย เดือนมีนาคม เหมือนกัน แต่เป็นปีหน้า 2012 หรือ 1 ปี
นับจากนี้
รถคันนี้จะถูกผลิตขึ้นในเมืองไทย ณ โรงงานแห่งใหม่ ที่สร้างขึ้นในรั้วฝั่งตรงข้ามโรงงานแห่งเดิม ที่นิคม
อุตสาหกรรมแหลมฉบัง ซึ่ง Mitsubishi ไปซื้อที่ดินจากโรงงานเก่าที่ปิดกิจการไปแล้ว ในละแวกเดียวกัน
ทุบทิ้งทั้งหมด แล้วสร้างใหม่ มูลค่าการลงทุนปาเข้าไปมหาศาลถึง 16,000 ล้านบาท (นี่แค่สร้างโรงงานกับ
สิ่งปลูกสร้างที่เกี่ยวข้อง และการลงทุนด้านเครื่องจักรเท่านั้น ยังไม่รวมค่าพัฒนารถทั้งคันนะ)
ตัวรถจะวางเครื่องยนต์ ตั้งแต่ 1.0 ลิตร ถึง 1.2 ลิตร และถูกออกแบบให้รองรับเผื่อไปถึงการวางมอเตอร์ไฟฟ้า
พร้อมแบ็ตเตอรี เพื่อให้เป็น EV-Car ไปเลยในคราวเดียว รถรุ่นนี้ ไม่ใช่แค่ Mitsubishi จะลงมือทำเพียงลำพัง
หากแต่ยังได้รับความช่วยเหลือ จากพันธมิตรอย่าง PSA Group Peugeot/Citroen มาช่วยทำด้วย แน่นอนว่า
เวอร์ชันส่งออกจะต้องมีรุ่นสำหรับ พะแบรนด์ฝรั่งเศสทั้งสองนี้ อย่างแน่นอน
แต่เวอร์ชันไทย จะมาพร้อมเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร พร้อมกับอุปกรณ์ความปลอดภัยที่เชื่อขนมกินได้เลยว่า คราวนี้
จะไม่น้อยหน้า Brio กับ March เพราะแนวทางการออกแบบ เขาเน้นให้ ขับง่าย เป็นเจ้าของง่าย และเป็นมิตร
กับสิ่งแวดล้อม ต้องรอดูกันจนถึงเดือนมีนาคม 2012 หรือ Bangkok Motor Show ปีหนเา นั่นละครับ
นอกจากนี้ ก็ยังคงมี i-MIEV คันเดิม มาจอดอวดโฉมให้ดูกันอีก (เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้) รวมทั้งยังมีรถยนต์
รุ่นที่ทำตลาดในตอนนี้ มาแสดงให้ดูกันครบ ทั้ง Lancer แซยิด Lancer EX รุ่นอนันดา (ปรับโฉมแล้ว ก็ควรจะเรียก
รุ่นนี้กันตามชื่อ พรีเซ็นเตอร์) Triton 2.5 VG Turbo รุ่นพี่ตูน บอดี้สแลม และรุ่น CNG ที่เพิ่งจะเพิ่มรุ่น Double Cab
PLUS มาให้เล่นด้วย รวมไปถึง Pajero Sport 2.5 VG Turbo และ Space Wagon ที่คาดว่า ปีนี้ น่าจะเป็นปีสุดท้าย
สำหรับการทำตลาดของรถรุ่นนี้ในเมืองไทย (หลังจากที่ญี่ปุ่นเขาเลิกขายมาได้สัก 2-3 ปีแล้ว)
เห็น เพื่อนบ้านอย่าง Mitsubishi Motors สั่งรถไฟฟ้า i MIEV มาโชว์ และให้ทดลองขับใน Motor Expo ปลายปีที่ผ่านมา
ก็กลัวจะน้อยหนาเขา มาคราวนี้ Nissan เลยขอทำตัวเป็นเสือปืนไว สั่งนำเข้า รถไฟฟ้า LEAF มาอวดโฉมในไทยอย่าง
เป็นทางการแล้ว จอดอยู่บนแท่นหมุน ของบูธ ที่ตกแต่งโล้นๆ เลี่ยนๆ แปลกๆอยู่ ผิดไปจากบูธแบบปกติ ของ Nissan
ที่มักจะดูสวยงาม มีชาติตระกูลกว่านี้เยอะ
ข่าวนี้ ก็กลายเป็นเรื่องจริง เพราะ LEAF สีฟ้าคันนี้ ทาง Nissan Motor Thailand ซื้อและสั่งนำเข้ามาจากญี่ปุ่น เพื่อ
นำมาให้ทางเจ้าหน้าที่ระดับสูง ของหน่วยงานราชการ รัฐมนตรี ฯลฯ ได้มีโอกาสสัมผัสและทดลองขับ เพื่อให้ได้
รู้ว่า นี่แหละ แนวทางรถยนต์ในอนาคต มันกำลังมาถึงแล้ว และจะดีมากหากภาครัฐ สนใจจะปั้นให้รถยนต์ไฟฟ้า
EV เป็น สินค้าที่ได้รับการส่งเสริมให้ผลิตในประเทศของเรา เป็น Product Champion ตัวที่ 3 สำหรับอุตสาหกรรม
ยานยนต์ไทย ตามติด ECO Car และรถกระบะ
บอกกันคร่าวๆว่า รถทั้งคัน มีวัสดุที่สร้างขึ้นจากส่วนผสมของธรรมชาติ สามารถนำมา Recycle ในภายหลังได้ถึง
7 ชนิด รถคันนี้ เสียบสายชาร์จ ต่อพ่วงเข้ากับไฟบ้านได้เลย การกินไฟต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ก็พอกันกับการที่คุณติดตั้ง
เครื่องปรับอากาศในบ้าน อีกสักเครื่องนั่นแหละ แค่นั้นเลย!! ชาร์จไฟเต็มแบ็ตเตอรีครั้งนึง รถจะแล่นได้ไกลสุดถึง
160 กิโลเมตร ถ้าเปิดแอร์ แต่ถ้าปิดแอร์ จะทำได้ถึง 200 กิโลเมตรเลยทีเดียว
และถ้าจะพร้อมเข้ามาทำตลาดในบ้านเราจริง อาจจะต้องรอถึงปี 2014 เหมือนอย่างที่เว็บไซต์ Headlightmag.com ของเรา
เคยรายงานข่าวเอาไว้ในบทความสรุปรถใหม่ในไทย 2011 -2014 เพราะต้องรอให้รัฐบาลไทย สร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน
เช่น สถานีชาร์จไฟ Quick Charge station ตามสถานที่จอดรถสาธารณะต่างๆ ให้จริงจัง และเพียงพอกว่านี้เสียก่อน
เสือเหลืองแดนมาเลย์ สั่งนำเข้ารถสปอร์ตต้นแบบ Proton KEKIR ที่เป็นการนำเอารถสปอร์ต Lotus มาดัดแปลง
ให้มีรูปลักษณ์ใหม่ เป็นเอกลักษณ์ในแบบของตน รถคันนี้เพิ่งจัดแสดงร่วมกับสารพัดรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ในงาน
Kualalumper Motor Show เมื่อ 2 ธันวาคม 2010 ที่ผ่านมาหมาดๆนี้เอง ส่วนจะได้ทำขายจริงกันหรือไม่นั้น
ความเป็นไปได้ ก็พอมีสูงอยู่
PORSCHE
ผู้นำเข้าอย่างเป็นทางการ AAS Auto Service ขนเอารถสปอร์ต และ SUV จากเยอรมัน มาอวดโฉมกันเยอะกว่า
หลายครั้งที่ผ่านมา เรียกได้ว่า ยกกันมาให้ดูครบเกือบจะแทบทุกรุ่น รุ่นละ 1 คัน ไม่ว่าจะเป็น SUV รุ่น Cayenne
ตัวใหม่ล่าสุด ที่แม้จะมีราคาแพงกว่าผู้นำเข้ารายย่อย เกือบ 2 ล้านบาท แต่อุ่นใจในบริการหลังการขายได้มากกว่า
แถมยังมี รถสปอร์ต Boxster สีพิเศษ มาจัดแสดงด้วย
นอกจากนี้ ใครที่ถามไถ่ถึง Panamera Sport Saloon งานนี้มีมาให้ดูกันถึง 2 คันเลยทีเดียว ทั้งรุ่นมาตรฐาน และรุ่น
Panamera 4S สนใจก็ลองเดินแวะเข้าไปชมกันได้ แต่เวลาจะขึ้นไปลองนั่งรถยนต์ในกลุ่มนี้ ขจอให้ระมัดระวังกัน
นิดนึงนะครับ ถ้าเป็นรอยอะไรไป เสียดายแย่เลย
Skoda (By MTM Thailand)
แม้ว่า Fabia จะเริ่มทำตลาดไปได้พักใหญ่แล้ว และเริ่มมีการพูดถึงในกลุ่มคนชอบความแรง จากขุมพลัง 1.2 ลิตร
ที่พกพาความไม่ธรรมดามาเกินตัว แต่กระนั้น สิ่งที่ MTM Thailand จำเป็นต้องทำต่อไป เพื่อให้แบรนด์รถยนต์
จากสาธารณรัฐเชคฯ ยังคงอยู่ในการระลึกถึงของลูกค้า ยังมีอีกหลายเรื่อง และหนึ่งในั้นคือการนำเข้ารถยนต์
รุ่นใหม่ๆ มาเปิดตัวทำตลาดกันต่อเนื่อง
และในงาน Motor Show 2011 นี้ MTM Thailand ก็สั่ง Skoda Superb เจเนอเรชันใหม่ล่าสุด ของรถยนต์รุ่นหรู
ที่สุดในตระกูล Sloda เข้ามาเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว ตัวรถมีความยาว 4,838 มิลลิเมตร กว้าง 1,817 มิลลิเมตร
สูง 1,462 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,761 มิลลิเมตร จุดเด่นของ Superb อยู่ที่ประตูห้องเก็บของด้านหลังแบบ
Twin-Doors เปิดได้ทั้งเฉพาะฝากระโปรงหลังในแบบรถยนต์ Sedan/Saloon ทั่วไป หรือจะยกชุดเปิดขึ้นพร้อม
กระจกบังลมด้านหลัง แบบรถยนต์ Liftback/Hatchback/Fastback เลยก็ทำได้! แนวคิดนี้ คุณอาจจะจำไม่ค่อยได้
หรอกว่า มันเคยมีคนทำมาแล้วใน Daihatsu Applause เมื่อปี 1989 แต่ วันนี้ ดูดเหมือนจะมีผู้ผลิตรถยนต์ เพียง
ไม่กี่ราย ที่เลือกทำฝากระโปรงหลังแบบนี้ และ Skoda ก็เป็นหนึ่งในนั้น
เครื่องยนต์สำหรับเวอร์ชันไทย ที่ทาง MTM พอจะสั่งเข้ามาได้นั้น มีเพียงแบบเดียว เป็นบล็อก 4 สูบ DOHC
16 วาล์ว 1,798 ซีซี พ่วง Turbocharger 118 กิโลวัตต์ หรือ แรงม้า (PS) ที่ 4,500 – 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
250 นิวตันเมตร ที่ 1,500 – 4,500 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch DSG 7 จังหวะ
มีถุงลมนิรภัยมากถึง 8 ใบ และออพชันที่มีมาให้ในแบบพื้นฐานซึ่งรถยนต์สมัยนี้ ควรต้องมี เปิดราคาเริ่มต้น
อยู่ที่ 1,850,000 บาท โดยประมาณ
แต่ที่น่าสนใจที่สุดในสายตาของผมหนะ อยู่ที่ Skoda Yeti รถคันที่ผมเคยคิดเอาไว้เล่นๆว่า อยากลองขับสักครั้ง
ถ้ามีโอกาส เคยคิดว่าสงสัยคงกลายเป็นแค่ฝันกลางวันไปแล้ว แต่ก็ไม่นึกว่า คนที่สั่งเข้ามาจะเป็นคุณโต แห่ง
MTM Thailand นี่เอง
Yeti มาในรูปแบบของ Small Crossover SUV ที่พร้อมพาคุณลุยได้ทั้งในเมืองหรือต่างจังหวัด วางเครื่องยนต์
ของ Volkswagen บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.2 ลิตร TSI 105 แรงม้า (PS) ซึ่งก็ยกมาจาก Skoda Fabia ใหม่
เวอร์ชันไทย นั่นแหละ จุดเด่นก็คือ มีเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ Dual Clutch มีหลังคา Panoramic Glass
Roof มาให้จากโรงงาน เบาะหลังปรับเลื่อนและเอนได้ ภายในรถ อเนกประสงค์ Full Option และมาในแนว
ลุยหน่อยๆ ตั้งราคาเอาไว้ ถูกเกินคาด เพียง 1,290,000 บาท เท่านั้น!
สนใจก็ลองเดินเข้าไปสอบถามพนักงานขายกันเอาเองครับ แต่บอกไว้ก่อนเลยว่า ผมอยากลองขับรถคันนี้มาก!
Ssangyong
ยังคงจัดบูธด้วยรูปแบบ และการวางรถตู้ Starvic ให้เต็มแน่นพื้นที่ เหมือนเดิม และตัวเด่นประจำค่าย ก็ยังคงเป็น
Korando รุ่นใหม่ล่าสุด ตามเคย เพียงแต่คราวนี้ รถคันสีขาวที่เห็นอยู่ ถูกจับมาตกแต่งใหม่เล็กน้อย ด้วย Strip รอบคัน
ให้ดูทะมัดทะแมง และพร้อมลุยบนถนนเรียบ มากขึ้น
SUBARU
งานปีนี้ ยังคงไม่เข้าร่วมเช่นเคยนะครับ เจอกันได้อีกครั้งตอนปลายปีใน Motor Expo
SUZUKI
ระหว่างที่เรากำลังรอคอยการมาถึงของ Swift ใหม่ เวอร์ชันไทย ที่จะเข้ามาเป็น ECO Car คันใหม่อีกรุ่นหนึ่งในไทย
Suzuki ก็เลือกใช้วิธีเสริมสร้างภาพลักษณ์ การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่คำนึงถึงการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ เพื่อช่วยลด
ปัญหาสิ่งแวดล้อม Suzuki ก็เลยขนเอา Swift Hybrid อันเป็นรถยนต์ต้นแบบจากงาน Tokyo Motor Show 2009 มา
จอดอยู่ในบูธ
Suzuki Swift Plug-in Hybrid เป็นรถยนต์ที่ดัดแปลงจาก Swift รุ่นขายจริง บนขนาดตัวถังยาว 3,755 มิลลิเมตร กว้าง
1,690 มิลลิเมตร สูง 1,510 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,390 มิลลิเมตร มีไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง แผงหน้าปัดปรับปรุงใหม่
สีขาว ตัดกับภายในสีดำ คอนโซลคันเกียร์ยกระดับให้สูงขึ้นเป็นพิเศษ เป็นที่วางแบ็ตเตอรี Lithiun-ion และเบาะนั่งแบบ
ผ้าลายตาข่าย ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ K6A 658 ซีซี 54 แรงม้า (PS) เชื่อมต่อเข้ากับ Generator แบบ Permanent-magnet,
synchronous กำลังสูงสุด 40 kW และ มอเตอร์ไฟฟ้า แบบ Permanent-magnet, synchronous กำลังสูงสุด 55 kW โดยมี
แบ็ตเตอรีแบบ Lithium-ion กำลังไฟ 260V ความจุ 2.66 kWh พร้อมปลั๊กชาร์จไฟ ที่เปลือกกันชนหลัง เป็นแหล่งพลังงาน
จุดเด่นเหนือกว่า รถยนต์ Plug-in Hybrid รุ่นอื่นๆ คือ ถ้าผู้ขับขี่ ใช้รถเพียงวันละไม่ถึง 20 กิโลเมตร เครื่องยนต์ก็ไม่ต้อง
ติดขึ้นมาทำงานเลย เท่ากับว่าไม่ต้องใช้น้ำมันให้เปลืองเลย
ยังครับ รถคันนี้ยังไม่พร้อมขายจริงแค่อย่างใด เป็นเพียงรถยนต์ต้นแบบที่สร้างขึ้นจากรถยนต์รุ่นมาตรฐานเท่านั้น แต่ถ้า
ใครจะถามถึงรถยนต์รุ่นใหม่ ที่พร้อมจะขายได้จริงละก็ ยังก่อนอีกเช่นกัน Suzuki เมืองไทย จะยังไม่พร้อมเผยโฉม
เวอร์ชันจำหน่ายจริงของ Swfit ใหม่ Full Modelchange ที่จะมารับหน้าที่เป็น ECO Car แข่งกับค่ายอื่นเขา โดยวาง
เครื่องยนต์ 1.3 ลิตร แทน ขนาด 1.5 ลิตรเดิม ถ้าจะรอ ก็คงได้เห็นคันจริงกันเร็วที่สุด ในงาน Motor Expo ธันวาคมนี้
แต่กว่าจะพร้อมผลิตออกขายจริงได้ โน่นครับ มีนาคม 2012 ชนกับ Mitsubishi ECO Car เขาเลยทีเดียว! แต่ขอให้จับตา
มอง Swfit ใหม่ไว้ให้ดี ว่า ถ้ารถคันนี้ สร้างขึ้นจากเจ้าแห่งการลดต้นทุนระดับโลก เพราะสามารถประหยัดค่าพัฒนารถได้
โดยที่รถคันจริงออกมา ยังดูดี และน่าใช้อยู่ นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องที่ค่ายอื่นๆ ซึ่งร่วมขึ้นรถด่วนขบวน ECO Car ของทาง BOI
ไปด้วยกัน จะนิ่งนอนใจไปได้เลย
TOYOTA / LEXUS
นอกเหนือจากบรรดารถยนต์รุ่นปกติ ที่ทำตลาดกันในตอนนี้ จอดเต็มพื้นที่บูธ รวมทั้ง รุ่นพิเศษเล็กๆน้อยสำหรับ
กระตุ้นตลาด และรถต้นแบบตัวแข่ง ของ Corolla Altis แล้ว ยังมีอีก ไฮไลต์สำคัญของงานในปีนี้ ที่น่าเดินเข้าไป
ยืนดูอยู่ริมขอบเวที
2 รถยนต์ต้นแบบจากงาน Tokyo Motor Show 2009 คือแม่เหล็กเรียกคนดูเข้าบูธ Toyota ได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็น
FT-EV รถยนต์ไฟฟ้า แนวคิด สำหรับการขับขี่ใช้งานเพื่อเดินทางไปไหนมาไหน ในเมืองใหญ่ๆ คล้ายกับรถ
Smart หรือ จะเป็นรถต้นแบบ FT-86 เวอร์ชันแรก สีแดงไวน์อันเป็นโครงการแรกที่ทั้ง Toyota และ Subaru ร่วมกัน
พัฒนา หลังจากที่ Toyota เข้าไปซื้อหุ้น Subaru จาก GM ถึงจะน่าเสียดายที่ เวอร์ชัน FT-86 II ที่เพิ่งนำมาอวดโฉม
ในงาน Geneva Auto Show ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กับเวอร์ชันจำหน่ายจริง จะถูกดัดแปลงไปจากคันสีแดงไวน์นี้
มากพอสมควร แต่ข่าวดีก็คือ Toyota Motor Thailand กำลังศึกษาความเป็นไปได้ ในการสั่งนำเข้า FT-86 มาทำตลาด
ตัวเป็นๆกันบ้างแล้ว!!
FT-86 Concept ถูกออกแบบขึ้นโดย ศูนย์ Toyota Europe Design Development หรือ ED2 (อ่านว่า อีดี สแควร์)
ใน cote d’azure ที่ฝรั่งเศส โดยเน้นให้ตัวรถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ และลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์ เพื่อผลในด้าน
การทรงตัวที่ดี เส้นสายภายนอก รับอิทธิพลมาจากรถต้นแบบ Toyota FT-HS Concept ที่เคยนำมาอวดโฉมใน
งาน Detroit AutoShow ราว 2 ปีก่อนไปบ้าง เพียงแต่มีการดัดแปลงเส้นสาย และย่อขนาดลงมาให้เหมาะสมแก่
ยุคปัจจุบัน ภายในดีไซน์แบบล้ำสมัยแต่ไม่รกรุงรังด้วยแนวคิด Minimalist ไม่สร้างความเวียนหัวให้ผู้ขับขี่และ
ผู้โดยสาร เน้นสีตกแต่งภายในด้วยสีขาวและสีเทา มีลูกเล่นง่าย ๆ แต่พิสดารอยู่ที่ชุดเครื่องเสียง คือใช้ซิปปิดช่อง
ใส่แผ่น CD/DVD/MP3
FT-86 เวอร์ชันแรกคันนี้ ขนาดตัวถัง ยาว 4,160 มิลลิเมตร กว้าง 1,760 มิลลิเมตร (พอกันกับ Corolla Altis ใน
บ้านเรา และ Auris กับ Blade 5 ประตู เป๊ะ) สูงเพียงแค่ 1,260 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,570 มิลลิเมตร
วางขุมพลังแบบ 4 สูบนอน แบบ Boxer DOHC 16 วาล์ว 2,000 ซีซี ไม่มีระบบอัดอากาศใดๆทั้งสิ้น แม้จะยัง
ไม่เปิดเผยตัวเลขสมรรถนะ แต่ก็พอเดาได้ว่า น่าจะแรงพอตัว เพราะมันจะเป็นเครื่องยนต์ บล็อก EJ อันเป็น
เครื่องยนต์ 4 สูบนอน ระดับบรรพบุรุษสหกรณ์ ของ Subaru นั่นเองละส่งกำลังสู่ล้อคู่หลังด้วยเกียร์ธรรมดา
6 จังหวะ พร้อมระบบเบรกแบบ ADVICS คาดว่า เวอร์ชันจำหน่ายจริง ทั้งจาก Toyota และ Subaru จะพร้อม
ออกสู่สายตาชาวโลกได้ในงาน Frankfurt Motor Show กันยายนนี้ หรือไม่ก็งาน Tokyo Motor Show ที่ย้าย
ไปจัดในช่วงปลายเดือน พฤศจิกายน – ต้นเดือนธันวาคม ชนกับ Motor Expo พอดีๆ
ส่วน Toyota FT-EV นั้น มีความยาวทั้งคัน 2,730 มิลลิเมตร ยาวพอ ๆ กับ ระยะฐานล้อของ Toyota Camry
เลยทีเดียว กว้าง 1,680 มิลลิเมตร สูง 1,490 มิลลิเมตร แต่มีระยะฐานล้อสั้นสุดกู่ เพียง 1,900 มิลลิเมตร
รถคันนี้ ไม่ต้องใช้เครื่องยนต์สันดาป แต่เปลี่ยนระบบขับเคลื่อนมาเป็นมอเตอร์ไฟฟ้า พร้อมแบ็ตเตอรี
Lithium-ion ด้่วยเหตุที่ตัวรถมีขนาดเล็ก แบ็ตเตอรีจึงมีขนาดเล็กลงไปด้วย ทำให้ ระยะการแล่น 1 ครั้ง
ต่อการชาร์จไฟเต็มที่ จึงแล่นได้ไกลเพียง 90 กิโลเมตร และทำความเร็วสูงสุดได้แค่ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เท่านั้น รถคันนี้ จึงเหมาะจะเป็น Personal Commuter จากฟากเมืองหนึ่ง สู่อีกใจกลางเมือง แค่นั้น
นอกจากนี้ การเปลี่ยนมาใช้ ระบบขับเคลื่อนแบบอีเล็กโทรนิคส์ ไร้สายสมบูรณ์แบบ ทั้งระบบบังคับเลี้ยว
ระบบเบรค ระบบคันเร่ง เอาง่ายๆคือ อุปกรณ์จำพวก By-Wire นั่นเอง อีกทั้งลดเนื้อที่วัสดุอุปกรณ์ให้น้อย
ที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ดูรื่นตาด้วยแนวคิดการออกแบบ ภายใน สไตล์ที่เรียกว่า retro-futuristic จนดูล้ำและ
ย้อนยุคในเวลาเดียวกัน
ขณะเดียวกัน บูธ Lexus ในปีนี้ ไม่มีรถยนต์ต้นแบบ ใดๆ ที่เรารออยู่ทั้งสิ้น มีแต่ CT200h ที่เพิ่งเปิดตัว
สดๆร้อนๆ ก่อนที่งานจะเข้าไปกว่านี้ และ Headlightmag.cvom ของเรา ก็ทำรีวิวให้อ่านกันอยู่แล้ว
รวมทั้ง LS Minorchange และกองทัพ Lexus ทุกรุ่น ที่มีขายอยู่ในประเทศไทย จอดเรนียงกันยาว
เต็มพื้นที่พอดีเลย
VOLVO
ยังไม่มีรถรุ่นใหม่อื่นใดมาอวดโฉมเพิ่มเติม นอกเหนือไปจาก S60 ใหม่ และ XC60 ใหม่ ที่จอดรวม
จัดแสดงอยู่ด้วยกันกับ Volvo ทุกรุ่น ทุกคัน บนพื้นที่บูธ ซึ่งใหญ่โตอลังการมากที่สุด เท่าที่ Volvo
เคยเช่าใช้พื้นที่จัดแสดงแบบนี้ แล้วก็เล่นแคมเปยส่งเสริมการขาย ที่เตรียมมาจากห้องประชุม ณ ฐาน
บัญชาการ ย่านคลองตัน
VOLKSWAGEN
ยังคงเป็นอีกค่าย ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก กับรถยนต์ที่คนสั่งเข้ามาจำหน่าย ทั้งที่บริษัทแม่
เขาเดินหน้าเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่กันโครมคราม แต่ในบ้านเรา ความเคลื่อนไหว กลับเงียบสนิทเป็น
เป่าสาก เลยชะมัด ปีนี้ยังคงไม่มีอะไรใหม่นอกจากยังคงทำตลาดรถยนต์รุ่นเดิมไปให้หมดกันก่อน
ที่เห็นอยู่ก็คงจะมี Scirocco , Caravelle T5 ตัวใหม่ Passat CC ที่ยังคงเป็นรุ่นเก่า มิใช่รุ่นใหม่ถอดด้าม
จากเยอรมันแต่อย่างใด
และไฮไลต์ส่งท้ายของงานในปีนี้ ที่อยากให้ได้มีโอกาสแวะเวียนไปยืนมุงดูกัน ก็คือ การมาถึงเมืองไทย
ของรถสปอร์ตคันสีขาวด้านเหมือนครีมอาบน้ำ คันนี้ บนพื้นที่ของบูธผู้นำเข้าอุปกรณ์ตกแต่ง BRABAS
ในเมืองไทย อย่างเป็นทางการ ณ ขณะนี้
รถคันนี้มีชื่อว่า Wiesmann MF-5 Roadster เป็นรถสปอร์ตบุคลิกติด Retro จากเยอรมัน เปิดตัวครั้งแรก
เมื่องาน Frankfurt Motor Show เมื่อ 15 กันยายน 2009 ความพิเศษของรถคันนี้ก็คือ วางเครื่องยนต์
BMW บล็อก V10 DOHC 5.0 ลิตร (ดูเหมือนว่าจะยกมาจาก M5 นั่นแหละ) แต่พละกำลังสูงสุดหนะ
ปาเข้าไปถึง 507 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตร (นึกถึง BMW X5 และ X6 กันไว้
ได้เลย ว่าเครื่องที่แรงพอจะดึงคุณกระชากหลังแทบจะทะลุเบาะนั่งของ 330d ไปเลยตอนออกตัวหนะ
จะแรงประมาณไหน) อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 3.9 วินาที ความเร็วสูงสุดถึง
310 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไม่รู้จะเร็วกันไปถึงไหน แต่ที่สะใจไม่แพ้พละกำลังของมัน ก็คือค่าตัว
ในต่างประเทศ รถรุ่นนี้มีออกมาขายเพียง 55 คันเท่านั้น และตั้งราคากันไว้ที่ 278,108 เหรียญสหรัฐฯ
อยากรู้ว่าเป็นเงินไทย ไม่รวมภาษี เท่าไหร่ เอาไปคูณ 31 หรือ 32 เข้าไป ก็นั่นละครับ ตามนั้นเลย!!!
คิดดูแล้วกันว่า ขนาด พี่ป้อม PR ของ Mercedes-Benz ยังมายืนถ่ายรูปเก็บไว้ดูเอาเองเล่นๆ คิดดูว่า
เจ้า Fluke รุ่นน้องผู้บ้ารถ Super Car เข้าขั้น ยังพร่ำพรรณนาถึงรถคันนี้ให้ผมฟะง ตอนเราคุยโทรศัพท์
เมื่อวันก่อน และแม้แต่ คุณพี่แตน PR ของ Mitsubishi Motors ยังชื่นชอบในความ ขาวด้าน เหมือน
สีของครีมอาบน้ำที่เพิ่งไหลออกมาจากขวด แล้วคุณคิดเหรอว่า รถคันนี้ จะไม่น่าดู? ถ้าคิดเช่นนั้น
ขอแนะนำให้เปลี่ยนความคิดอย่างด่วน!!
ไปยืนมุงดูเสียก่อนครับ มันแปลกตา อาจไม่สวย แต่ เชื่อเถอะ วินาทีแรกที่คุณเห็นรถคันนี้ คุณจะร้อง เฮ้ย!
ยิ่งเมื่อเห็นสเป็กของมัน คุณจะร้อง หา! และเมื่อได้ฟังราคา คุณจะร้อง กรี๊ดดดดด! (แล้วก็รีบเดินจรลีออก
จากรถคันนี้ไป ฮ่าๆ)
ถึงเวลาปิดงานแล้ว ผมเก็บโน้ตบุ๊ค และกล้องถ่ายรูป กลับบ้าน ด้วยอารมณ์ อิ่มเอมเล็ก อย่างน้อยในปีนี้
เราจะได้เห็นรถยนต์เพื่อสิ่งแวดล้อม มาจัดแสดงกันมากขึ้น มีรถยนต์รุ่นใหม่ๆ และรถยนต์ต้นแบบมา
อวดโฉม ให้ทันตามกระแสโลกมากขึ้น รวมทั้งแนวโน้มของรถยนต์รุ่นต่อๆไปที่มีกำหนดจะเปิดตัวใน
บ้านเราตั้งแต่ปลายปีนี้ จนถึงต้นปีหน้า จะชัดเจนขึ้น ดังนั้น ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ
งาน Bangkok International Motor Show 2011 จัดขึ้นระหว่างวันศุกร์ที่ 25 มีนาคม – 4 เมษายน 2011
ที่ Challenger Hall IMPACT เมืองทองธานี
ไปวันไหนก็ได้สักวัน ไม่แน่ คุณอาจจะเจอผม ตัวเป็นๆ เดินเล่นล่องละลิ่ว ตัวปลิวอยู่ในงานก็เป็นได้
———————————-///———————————-
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งภาพถ่าย และบทความ ห้ามนำไปเผยแพร่
โดยมิได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการแบบลายลักษณ์อักษร
เผยแพร่ครั้งแรก ใน www.headlightmag.com
24 มีนาคม 2011