BMW AG แห่งเยอรมัน ประกาศในวันนี้ ว่าพร้อมแล้วที่จะส่ง รถยนต์ขุมพลัง ไฮบริด
เครื่องยนต์เบนซิน + มอเตอร์ไฟฟ้า ออกสู่ตลาดพร้อมกัน 2 รุ่นรวด ในงานแฟรงค์เฟิร์ต
มอเตอร์โชว์ ที่จะมีขึ้น ปลายเดือนกันยายนนี้ โดยใช้ชื่อทำตลาดว่า Active Hybrid
ในช่วงแรก มีให้เลือก 2 รุ่น คือ X6 ActiveHybrid และ ซีรีส์ 7 ActiveHybrid

การเปิดตัวรถยนต์ไฮบริด 2 รุ่นแรก ออกสู่ตลาดของค่ายใบพัดสีน้ำเงิน ถือเป็นความก้าวหน้า
ที่อาจจะล่าช้าไปกว่าค่ายญี่ปุ่น อยู่บ้าง แต่ยังถือว่าค่อนข้างทันการณ์ เมื่อเทียบกับคู่แข่งฝั่ง
เยอรมันรายอื่นๆ ที่เหลืออยู่ อีกทั้ง BMW ยังมองว่า เป็นการต่อยอดแนวทาง EfficientDynamics
ที่มุ่งเน้นในการสร้างสรรค์รถยนต์ให้มีสมรรถนะสูงขึ้น แต่ต้องประหยัดน้ำมันมากขึ้น และ
คายไอเสียน้อยลง ในเวลาเดียวกัน

สิ่งที่จะทำให้ BMW บรรลุเป้าหมายนี้ได้ ก็ต้องมุ่งเน้น การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี
สำหรับอนาคตอย่างยั่งยืน (Sustainability) ซึ่งมีหัวใจหลัก อยู่ที่การใช้ทรัพยากรและพลังงาน
อย่างมีประสิทธิภาพและรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อให้โลกน่าอยู่ สำหรับรุ่นลูกรุ่นหลาน
อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ทิ้งบุคลิก รถยนต์เพื่อนักขับ อันเป็นเอกลักษณ์ของ BMW
มาช้านานไปด้วย และทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

แต่สำหรับ ค่ายใบพัดสีฟ้าจากมิวนิค แล้ว วันนี้พวกเขาบอกว่า รถยนต์ไฮบริด 2 รุ่นแรก
ยังคงให้ความสนุกในการขับขี่ ควบคู่ไปกับการใช้เชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพได้เป็นอย่างดี

เริ่มกันที่ X6 ActiveHybrid หากดูจากภายนอกแล้ว ถ้าไม่สังเกตดีๆ จะไม่รู้ว่า มันต่างจาก X6 รุ่นปกติ
อย่างไร แต่เมื่อเดินเข้าไปสำรวจใกล้ๆ จะพบว่า มีสัญลักษณ์ ActiveHybrid ให้เห็นอยู่ตามส่วนต่าง
ของบั้นท้าย และด้านข้างตัวรถ รวมทั้งล้ออัลลอย ลายพิเศษ ที่ออกแบบให้เน้นในด้านการจัดการ
อากาศพลศาสตร์ ได้ดีขึ้น

มิติตัวถังยังคงความยาว 4,877 มิลลิเมตร กว้าง 1,983 มิลลิเมตร (กว้างรวม กระจกมองข้าง 2,195 มิลลิเมตร
แต่ถ้าวัดความกว้าง เฉพาะ แผงประตูฝั่งซ้าย จรดขวา จะกว้างแค่ 1,5 21 มิลลิเมตร เท่านั้น พอกับห้องโดยสาร
ของรถยนต์ซับ-คอมแพกต์ หลายๆรุ่น) สูง 1,706 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,933 มิลลิเมตร  

ภายในห้องโดยสารยังคงหาความแตกต่างจาก X6 รุ่นปกติ ได้ยากเย็นอยู่ เบาะหลัง แบ่งพับได้
ในอัตราส่วน 60:40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลังได้ แถมพื้นห้องเก็บของด้านหลัง ยังเปิดยกขึ้น
มาได้ แบบเดียวกับ รุ่นมาตรฐาน และแน่นอน ศีรษะของบางคน อาจจะติดเพดานหลังคาได้ไม่ยากเย็น 

ส่วนแผงหน้าปัด และการควบคุมอุปกรณ์ ต่างๆ ก็เหมือนกับ BMW X5 และ X6 รุ่นมาตรฐานทั่วไป
ต่างกันที่ชุดมาตรวัด ซึ่งจะบอกปริมาณแบ็ตเตอรี และการใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้า เป็นแถบสีฟ้าๆ
ด้านล่างของมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ รวมทั้งมีหน้าจอแสดงการทำงานของระบบขับเคลื่อนอีกด้วย

ความแตกต่างที่มองไม่เห็นได้จากภายนอก ซ่อนตัวอยู่ใต้ฝากระโปรงหน้าของรถนั่นเอง
ระบบขับเคลื่อน ของ X6 ActiveHybrid นั้น ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V8 DOHC 32 วาล์ว
4,395 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 88.3 x 89 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.0 : 1 พร้อมด้วยเทคโนโลยี
ระบบอัดอากาศแบบ TwinPower Turbo ผสมผสานระหว่างระบบเทอร์โบคู่แปรผันและเทคโนโลยี
Twin-Scroll เพื่อให้สามารถสร้างแรงอัดอากาศได้อย่างคงที่และต่อเนื่องตั้งแต่รอบต่ำจนถึงรอบสูง
นอกจากนั้นยังใช้ลักษณะการจัดวางเทอร์โบระหว่างร่อง V ของชุดลูกสูบ ซึ่งจะทำให้ระบบมีขนาดเล็ก
และน้ำหนักเบา อีกทั้งยังทำให้ทางเดินของอากาศสั้น ซึ่งเป็นการลดสูญเสียแรงอัดอากาศในระบบ
ผลลัพธ์ที่ได้คือเครื่องยนต์สามารถผลิตกำลังได้สูงอย่างต่อเนื่องตลอดทุกช่วงรอบการทำงานของเครื่องยนต์

 

เครื่องยนต์นี้ยังใช้นวัตกรรมระบบฉีดน้ำมันแบบ High Precision Injection แบบใหม่ ด้วยเทคโนโลยี
หัวฉีด Piezo ซึ่งได้ถูกจัดวางอยู่ตรงกลางของหัวกระบอกสูบ ซึ่งเป็นจุดที่สามารถฉีดน้ำมันได้อย่าง
มีประสิทธิภาพสูงสุด ที่สำคัญการเผาไหม้จากเครื่องยนต์นี้ จะสมบูรณ์ขึ้น จนผ่านมาตรฐานไอเสีย
ระดับ EURO Step 5 ของยุโรป และ ULEV II ของสหรัฐอเมริกาได้อย่างไม่ยากเย็น

เมื่อเชื่อมต่อการทำงานกับ มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ด้วยกำลังขับเคลื่อนขนาด 67 กิโลวัตต์ / 91 แรงม้า (HP)
และ 63 กิโลวัตต์ / 86 แรงม้า (HP) ตามลำดับ แล้ว BMW X6 ActiveHybrid จะให้กำลังสูงสุดถึง
485 แรงม้า (HP) ที่ และแรงบิดมหาศาลถึง 780 นิวตัน-เมตร

 

พละกำลังมหาศาลถูกส่งผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ Two-mode Active ECVT ล็อกอัตราทดได้ 7 จังหวะ
แม้จะใช้คันเกียร์ไฟฟ้า แบบเดียวกับ ซีรีส์ 5 และ ซีรีส์ 7 ที่ทำตลาดในบ้านเราตอนนี้  ก็ตาม แต่กลไก
การทำงานข้างใน คนละเรื่องกัน ระบบส่งกำลังดังกล่าว ซึ่งจะถ่ายทอดแรงบิดจากระบบขับเคลื่อนทั้งหมด
สู่ล้อทั้ง 4 ในลักษณะแปรผันไปตาม สภาพถนนและสภาพการขับขี่ ที่แตกต่างกัน

โดยมี ระบบคอมพิวเตอร์สมองกล ActiveHybrid ทำหน้าที่บริหารจัดการการส่งกำลังผสมผสานอย่าง
มีประสิทธิภาพระหว่างกำลังจากเครื่องยนต์และกำลังจากระบบมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูง 2 ตัว
ผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ Two-mode Active ECVT ล็อกอัตราทดได้ 7 จังหวะ แม้จะใช้คันเกียร์
ไฟฟ้า แบบเดียวกับ ซีรีส์ 5 และ ซีรีส์ 7 ที่ทำตลาดในบ้านเราตอนนี้  ก็ตาม แต่กลไกการทำงานข้างใน
คนละเรื่องกัน ระบบส่งกำลังดังกล่าว เป็นการผสมผสาน ระหว่างเกียร์อัตโนมัติแบบกลไก
ที่มีอัตราทดคงที่เพื่อสร้างกำลังขับเคลื่อน และเกียร์ ECVT ที่สามารถแปรผันอัตราทดอย่างต่อเนื่อง  
ซึ่งจะถ่ายทอดแรงบิดจากระบบขับเคลื่อนทั้งหมด สู่ล้อทั้ง 4 ในลักษณะแปรผันไปตาม
สภาพถนนและสภาพการขับขี่ ที่แตกต่างกัน

กำลังไฟในการขับเคลื่อน จะได้มาจากแบ็ตเตอรี แบบ Ni-MH ขนาด 312 โวลต์ ติดตั้งตรงกลางระบบกันสะเทือนหลัง ซึ่งใช้พื้นฐานร่วมกับ X6 ธรรมดา

 

 หัวใจสำคัญที่ทำให้ระบบ ActiveHybrid ที่เหนือชั้นกว่าระบบไฮบริดแบบดั้งเดิม คือ e-Boost
ระบบส่งกำลังแบบ Two-mode Active Transmission ซึ่งสามารถใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าไ
ด้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดทั้งในช่วงความเร็วต่ำและความเร็วสูง การทำงานแบ่งเป็น 2 โหมด
ซึ่งสามารถผสมผสานอย่างสมดุลของระบบมอเตอร์ไฟฟ้าและระบบเครื่องยนต์ได้โดยอัตโนมัติ

ในโหมดแรกใช้สำหรับการออกตัวและการขับเคลื่อนที่ความเร็วต่ำกว่า 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
พละกำลังจะถูกส่งจากระบบมอเตอร์ไฟฟ้า 100 % ซึ่งสามารถผลิดแรงบิดมหาศาลได้ตั้งแต่
เริ่มออกรถ และที่สำคัญคือไม่มีการปล่อยมลพิษเลยในลักษณะการขับขี่ดังกล่าว

ส่วนในโหมดที่สองใช้สำหรับการขับความเร็วปกติถึงความเร็วสูง ซึ่งกำลังหลักจะถูกส่งจากเครื่องยนต์
ในขณะที่ระบบมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำหน้าที่ผลิตกำลังเสริม เมื่อต้องการสมรรถนะ เช่น ในขณะเร่งแซง
ระบบมอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งได้รับการป้อนพลังงานจากแบตเตอรี่พลังสูงจะทำหน้าที่ ‘บูสต์’ เพิ่มกำลังให้กับ
เครื่องยนต์ ซึ่งเป็นการเพิ่มสมรรถนะโดยที่ไม่ได้เปลืองน้ำมันเลย

การทำหน้าที่ ‘บูสต์’ ของมอเตอร์ไฟฟ้านี้ นอกจากจะเป็นการเพิ่มสมรรถนะระหว่างขณะเร่งแซงแล้ว
ยังช่วยลดภาระการใช้พลังงานจากเครื่องยนต์ในขณะที่วิ่งความเร็วคงที่ด้วย ซึ่งจะทำให้ประหยัด
น้ำมันมากขึ้น และลดคายมลพิษลงถึง 20 % เมื่อเทียบกับ BMW X6 xDrive50i ซึ่งใช้พื้นฐานเครื่องยนต์เดียวกัน

 

ด้านระบบเบรก และควบคุมการทรงตัวต่างๆ นอกเหนือจาก จะใช้ดิสก์เบรก 4 ล้อ ที่มาพร้อมระบบ
DSC (Dynamic Stability Control) ซึ่งรวม ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบป้องกันล้อลื่นไถล ASC
(Anti Skid Contrl) ,ระบบ ADB-X ระบบ DTC Dynamic Traction Control ระบบเพิ่มแรงเบรกขณะ
เข้าโค้ง CBC Cornering Brake Control ระบบเพิ่มและกระจายแรงเบรก DBC Brake Assistant
ระบบช่วยไต่ลงเขา Hill Descent Control ระบบควบคุมเสถียรภาพขณะลากรถพ่วง Trailer Stability
Control ฯลฯ….(หมดหรือยังเนี่ย หมดแล้วใช่ป่าว หมดแล้วจริงๆนะ? จะเยอะไปไหนอีก?)… แล้ว

BMW X6 ActiveHybrid ยังติดตั้งระบบ Recuperation ซึ่งเป็นการผลิตพลังงานไฟฟ้าโดยการนำ
พลังงานส่วนเกินกลับมาใช้ใหม่โดยไม่สิ้นเปลืองน้ำมันเลยแม้แต่น้อย ระบบ Recuperation
ใช้หลักการเดียวกับระบบ Brake Energy Regeneration ซึ่งมีอยู่ใน BMW รุ่นปกติ (เมืองนอก)
ในปัจจุบัน แต่มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงกว่าถึง 25 เท่าตัว

ระบบนี้อาศัยหลักการทำงานแบบฟังก์ชั่นควบคู่ของมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งสามารถสลับสับเปลี่ยนหน้าที่
กลายเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ซึ่งการทำงานสลับหน้าที่นี้เกิดขึ้นในขณะเบรก กล่าวคือ แทนที่จะเบรก
ด้วยระบบเบรกกลไกตามปกติ ซึ่งจะมีการสูญเสียพลังงานไปในรูปแบบของพลังงานความร้อน
ระบบ Recuperation จะใช้การเบรกด้วยการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กผ่านระบบ Sensotronic
Brake Actuation ซึ่งเป็นระบบเดียวกับที่ใช้ในระบบเบรกของรถไฟพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า

ระบบ Recuperation และระบบ Sensotronic Brake Actuation จะทำงานอย่างอัตโนมัติควบคู่ไปกับ
ระบบดิสก์เบรกแบบกลไกซึ่งเป็นระบบเบรกแบบปกติทั่วไป การทำงานดังกล่าวจะเป็นไปโดยที่ผู้ขับ
จะไม่รู้สึกถึงความแตกต่างในเรื่องของน้ำหนักหรือระยะทำการของแป้นเบรกแต่อย่างใด เพราะว่า
แป้นเบรกจะถูกควบคุมน้ำหนักด้วยระบบเซ็นเซอร์ไฮดรอลิกซึ่งจะให้น้ำหนักแป้นเบรกที่เป็น
ธรรมชาติเหมือนเบรกของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูในรุ่นปกติ กล่าวคือ เป็นระบบเบรกแบบ
Brake-by-wire นั่นเอง

หรือถ้าให้อธิบายง่ายๆ ระบบนี้ จะเหมือนกับระบบเบรก แบบที่ใช้อยู่ใน Toyota Prius และ
Camry Hybrid นั่นเอง

นอกจากนี้ X6 ActiveHybrid ยังเป็น รถยนต์ BMW คันแรกที่ติดตั้ง ระบบพวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน
พร้อมเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS (Electronic Power Steering แบบ fully integrated speed-related Servotronic)
เพื่อช่วยให้การบังคับเลี้ยว เบาแรง ลดภาระการหน่วงเครื่องยนต์ และลดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงลงได้
อีกระดับหนึ่ง

BMW เคลมว่า X6 ActiveHybrid ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาเพียง 5.6 วินาที
อีกทั้งยังมีอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ย 10.1 กิโลเมตร/ลิตร และอัตราการคายไอเสีย
คาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพียง 231 กรัมต่อกิโลเมตร ตามมาตรฐานการวัด EU5 (EURO Step 5)

 

 

 

 

 

 

อีกรุ่นหนึ่งที่ BMW เปิดตัวพร้อมกันในวันนี้ คือ ซีรีส์ 7 ActiveHybrid ซึ่งถ้าให้พูดกันตรงๆก็คือ
นำเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนไฮบริด ใน X6 ActiveHybrid มาวางลงในตัวถังของ ซีรีส์ 7 ใหม่
รหัสรุ่น F01/F02 นั่นเอง เพียงแต่มีการปรับปรุงสมรรถนะให้เหมาะสมกับขนาดและน้ำหนักตัวรถ

7 ActiveHybrid จะมีให้เลือก 2 ขนาดตัวถัง คือ รุ่นฐานล้อมาตรฐาน มีความยาว 5,072 มิลิเมตร
กว้าง 1,902 มิลลิเมตร (รวมกระจกมองข้างแล้วจะกว้าง 2,134 มิลลิเมตร แต่ถ้าวัดจากแผงประตู
ในห้องโดยสารซ้าย-ขวา จะกว้าง 1,540 – 1,541 มิลลิเมตร) สูง 1,484 – 1,485 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อยาว 3,070 มิลลิเมตร

กับรุ่นระยะฐานล้อยาว ที่จะเพิ่มความยาวตัวถังออกไปอีก เป็น 5,212 มิลลิเเมตร
และเพิ่มระยะฐานล้อให้ยาวขึ้น เป็น 3,210 มิลลิเมตร

ความแตกต่างจากรุ่นธรรมดาที่จะเห็นได้ขากภายนอก คือสัญลักษณ์ ActiveHybrid 7 ที่ติดอยู่
บริเวณเสาหลังคาคู่หลัง C-Cpillar ทั้ง 2 ฝั่ง และที่ฝากระโปรงหลัง เท่านั้น!

ยิ่งถ้าพูดถึงห้องโดยสารแล้ว ยิ่งแทบไม่ต่างอะไรกันเลย อาจจะมีการตกแต่งที่เบาสบายตาขึ้น
ลดลายไม้อันฟุ่มเฟือย บนพวงมาลัยออกไปบ้าง ออกแนว Minimalist มากขึ้น นิดหน่อย

แต่ความแตกต่างที่แท้จริง ซ่อนอยู่ข้างใต้ฝากระโปรงหน้า 7 ActiveHybrid วางเครื่องยนต์
บล็อก V8 DOHC 32 วาล์ว 4,395 ซีซี กรอกบะสูบ x ช่วงชัก 88.3 x 89 มิลลิเมตร
อัตราส่วนกำลังอัด 10.0 : 1 เหมือนกับใน X6 ActiveHybrid นั่นเอง

สิ่งที่ไม่เหมือนกัน คือ กำลังสูงสุด 449 แรงม้า (HP) ตั้งแต่ 5,500 – 6,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 650 นิวตันเมตร (66.23 กก.-ม.ที่ รอบตั้งแต่ 2,000 – 4,500 รอบ/นาที
มาในแบบ Flat Torque กันเลยทีเดียว

เมื่อทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า แบบ 3 Phase synchronous น้ำหนัก 23 กิโลกรัม
ติดตั้งระหว่างเครื่องยนต์ และชุดเกียร์ ให้กำลัง 20 แรงม้า (HP) ซึ่งสามารถเพิ่มขึ้น
ได้ถึง 27 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 210 นิวตันเมตร (21.39 กก.-ม.) แล้ว
จะได้พละกำลังรวมกันถึง 465 แรงม้า (HP) และแรงบิดสูงสุด มหาศาลถึง
700 นิวตันเมตร (71.33 กก.-ม.)…จะแรงกันไปไหนเนี่ย? 

ระบบส่งกำลังเป็นแบบอัตโนมัติ 8 จังหวะ และระบบ Auto Start-Stop
เครื่องยนต์ดับเองทันทีที่รถจอดนิ่งติดไฟแดง พอเหยียบคันเร่ง ถ้ากำลังไฟ
ยังเหลือพอ ก็จะดึงรถออกตัวไปก่อน เมื่อเหยีบคันเร่งจนถึงจุดที่ผู้ขับต้องการ
กำลังเร่งแซง เครื่องยนต์จะติดขึ้นทำงานเองโดยอัตโมัติ แถมมีระบบ e Boost เหมือน X6 อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม แบ็ตเตอรีที่ใช้ กลับเป็นแบบ ลิเธียม ไอออน (ไม่เหมือนกับ X6) ขนาด
กว้าง 37 เซ็นติเมตร ยาว 22 เซ็นติเมตร สูง 23 เซ็นติเมตร น้ำหนัก 27 กิโลกรัม
ติดตั้งฝังตัวในห้องเก็บของด้านหลังรถ โดยมีพื้นที่ห้องเก็บของ เหลือ 460 ลิตร
ตามมาตรฐาน VDA เยอรมัน

ส่วนระบบห้ามล้อ เป็นแบบ Recuperation เช่นเดียวกับ X6 ActiveHybrid เพียงแต่ เพิ่มขนาด
จานเบรกให้ใหญ่ขึ้นจาก เส้นผ่าศูนย์กลาง x ความหนา 345 x 24 มิลลิเมตร ใน X6 ActiveHybrid
เป็น 374 x 36/มิลลิเมตร ที่ล้อคู่หน้า และ 370 x 24 มิลลิเมตร ที่ล้อคู่หลัง สวมเข้ากับยาง แบบ
Low Rolling resistance ด้านหน้า ขนาด 245/45 R19 98Y RSC ล้ออัลลอย 8.5J x 19 นิ้ว
ส่วนล้อหลัง เป็นขนาด 275/40 R19 101Y RSC ล้ออัลลอย 8J x 19 นิ้ว

สมรรถนะที่ ทางโรงงานเคลมไว้นั้น อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ต่ำเพียง 4.9 วินาที
ความเร็วสูงสุด ล็อกไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตามมาตรฐานรถเยอรมัน ส่วนอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
ตามมาตรฐาน EU นั้น ในเมืองทำได้ 12.6 ลิตร / 100 กิโลเมตร นอกเมือง 7.6 ลิตร / 100 กิโลเมตร
เฉลี่ยรวม 9.4 ลิตร / 100 กิโลเมตร และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ต่ำระดับ 219 กรัม / 1 กิโลเมตร
ผ่านมาตรฐานไอเสีย EURO Step 5 เรียบร้อยแล้ว

7 ActiveHybrid จะถูกผลิตขึ้น ณ โรงงาน Dingolfing ตั้งอยูาทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง
มิวนิค ไปประมาณ 70 ไมล์ ร่วมกับสายการผลิตของ ซีรีส์ 7 และรถรุ่นอื่นๆอีกไม่กี่รุ่น
เพื่อให้พร้อมทำตลาด ร่วมกับ X6 ActiveHybrid ช่วงปลายปีนี้ ทันทีที่งาน แฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ ปิดฉากลง

—————————————————-///————————————————–

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ เฉพาะ บทความ
ลิขสิทธิ์ภาพ เป็นของ BMW AG

เผยแพร่ครั้งแรก ใน www.headlightmag.com
13 สิงหาคม 2009