ในที่สุด Nissan Motor ก็เลือกที่จะนำชื่อ Cima มาปัดฝุ่นใหม่กันอีกครั้งหนึ่ง การกลับมาครั้งนี้มาแปลก Nissan จับนำ
Fuga Hybrid เวอร์ชันฐานล้อยาวมาแปลงหน้าตาและเพิ่มความหรูหราอีกระดับหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นสูตรสำเร็จของ Cima ใน
สมัยก่อนที่จะจับนำ Cedric บางเจเนเรชั่นหลัง ๆ มาดัดแปลงให้แตกต่างกันมาก
ความเป็นมาของ Nissan Cima รถซีดานหรูรุ่นเดอะเริ่มมีมาตั้งแต่ปี 1988 ในฐานะซีดานรุ่นใหญ่ที่มีขนาดโตกว่าและหรู
กว่า Nissan Cedric โดยอาศัยพื้นฐานทางวิศวกรรมร่วมกับ Nissan Cedric/Gloria ถ้าจะเทียบคู่แข่งให้ถูกก็ต้องไป
แข่งขันกับ Toyota Crown Majesta แต่เชื่อหรือไม่ว่า Nissan Cima เป็นรถที่มาก่อน Toyota Crown Majesta ถึง 3
ปีเลยทีเดียว
Nissan Cima เจเนเรชั่นแรกปี 1988 สามารถคว้ายอดจำหน่ายมากถึง 64,000 คันในปีแรกที่วางจำหน่าย ตลอดเวลา 4
ปีก็มียอดขายสะสมมากถึง 120,000 คัน จนกระทั่งเจเนเรชั่นที่ 4 รุ่นปี 2001 (โครงสร้างตัวถังและงานวิศวกรรมทั้งหมด
เป็นฝาแฝด Nissan President) ยุค Carlos Ghosn ให้กำเนิด Nissan ยุคใหม่ก็ได้ยุติการผลิตลงในปี 2010 ด้วยเหตุผล
ของการประหยัดงบการผลิตที่ตอนนั้นสภาวะเศรษฐกิจยังไม่แน่นอนเท่าไร และนั่นก็ทำให้ Cima เจเนเรชั่นใหม่ถือกำเนิด
ขึ้นในรูปแบบพิเศษ
Nissan Cima Modelchange รหัสตัวถัง Y51 ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐาน Nissan Fuga เวอร์ชันขยายฐานล้อยาวซึ่งเพิ่ง
เปิดตัวไปในนาม Infiniti M LWB ในงาน AutoChina 2012 ไปแล้ว Nissan Motor ชูจุดเด่น Cima เจเนเรชั่นใหม่ว่า
เป็นรถที่สุดยอดในด้านประสบการณ์การขับขี่
รูปลักษณ์รถทั้งคันแทบไม่ต้องถอดความก็ทราบได้เลยว่ามันคือ Nissan Fuga ขยายฐานล้อยาว แต่แปลงรูปลักษณ์
ด้านหน้าให้ดูหรูหราและแปลกตามากขึ้น เน้นการออกแบบที่ลดเสียงรบกวนรอบคัน เนื้อที่ห้องโดยสารตอนหลังก็
กว้างขวางสุดขีดตามความหรูขั้นสูงสุดจากการขยายฐานล้อยาวถึง 3 เมตร และยังติดตั้งหน้าจอสีขนาด 7 นิ้วหลังพนัก
พิงศีรษะเบาะคู่หน้า
จุดเด่นของ Nissan Cima คือการติดตั้งขุมพลัง Hybrid ตัดต่อกำลังด้วยคลัทช์คู่อัจฉริยะ เครื่องยนต์สันดาปภายใน
VQ35HR 306 แรงม้าที่ 6,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 37.5 กิโลกรัมเมตรที่ 5,000 รอบต่อนาที จับคู่มอเตอร์ไฟฟ้า
HM34 68 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 27.5 กิโลกรัมเมตร จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ พวงมาลัยเป็นแบบไฟฟ้าไฮโดรลิคให้
ประสบการณ์การบังคับดีเหมือนพวงมาลัยไฮโดรลิคแท้
Nissan ตั้งเป้าจำหน่าย Cima แค่ขำ ๆ เพียง 1,000 คันต่อปีเท่านั้น