วันที่ 23 มกราคม 2014 Honda Automobiles ประเทศไทยได้จัดงานเปิดตัว Honda City Modelchange เจเนเรชั่นที่
4 ที่ศูนย์นิทรรศการและการจัดประชุม ไบเทค บางนา กรุงเทพฯ ถือเป็นการเปิดตัว Honda City โฉมใหม่ล่าสุดเป็น
ประเทศที่ 2 ต่อจากประเทศอินเดียไม่นานนักพร้อมกับชูความสมบูรณ์ที่สุดในบรรดารถยนต์ B-Segment Sedan ด้วย
คุณสมบัติรอบคันที่โดดเด่นและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเกินหน้าเกินตาหลาย ๆ ค่าย
All New Honda City เจเนเรชั่นที่ 3 ได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิด Advanced Cool Stunner โดยมาพร้อมดีไซน์โดด
เด่นรอบคัน ที่พวกเขาเคลมว่าให้ความรู้สึกพรีเมียมตั้งแต่ไฟหน้าจรดไฟท้าย ภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบให้มี
ความกว้างขวาง ติดตั้งเครื่องยนต์ i-VTEC 1.5 ลิตร ที่มาพร้อมกับระบบเกียร์ CVT ใหม่ที่พัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธ
ดรีม ให้การตอบสนองที่ดีและประหยัดน้ำมัน รองรับพลังงานทางเลือก E85 ติดตั้งเทคโนโลยีอัจฉริยะและมาตรฐานความ
ปลอดภัยสูงสุด
Honda City โฉมใหม่ ได้รับการพัฒนาด้วยแนวคิดใหม่ในการออกแบบยนตรกรรมของ Honda คือ “Exciting H
Design” ซึ่ง H ในที่นี้หมายถึง ต้องการให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารเป็นศูนย์กลาง (Human Center) โดยนำแนวคิด “Man-
Maximum Machine-Minimum” มาเป็นแกนหลักในการพัฒนา ซึ่งสะท้อนถึง 3 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ “High
Tech” ที่แสดงถึงนวัตกรรมอันทันสมัยแต่สามารถใช้งานได้ง่าย “High Tension” โครงสร้างที่แสดงถึงพลังแห่งการ
ขับเคลื่อน และ“High Touch” ทุกรายละเอียดของการออกแบบเพื่อตอบสนองต่อประสาทสัมผัสทั้งห้า
การออกแบบตัวถังภายนอกได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “Sleek Crossmotion” ผสานแนวคิด “Man-Maximum
Machine-Minimum” จึงเป็นการออกแบบที่รวมเอาด้านหน้าที่มีความโฉบเฉี่ยว ปราดเปรียวมากขึ้นและด้านข้างที่ดูมี
พลังเข้าไว้ด้วยกัน โดยดีไซน์ด้านหน้าให้ความโดดเด่นในด้านสายตา 3 จุด คือ มุมด้านหน้าที่ลาดลง ดีไซน์กันชน
ออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ กระจังหน้าและไฟหน้าแบบ Solid Wing ที่ให้ความทันสมัยและดูสปอร์ตไปในตัว
การออกแบบด้านข้างเน้นการใช้เส้นสายด้านข้างที่ลึกและคมชัด ส่วนด้านหลังจะเน้นลายเส้นที่ต่อเนื่อง เชื่อมต่อไฟคู่ท้าย
ด้วยคิ้วฝากระโปรงเพิ่มความหรูหราและให้รถดูกว้างขึ้น ส่วนไฟท้ายแบบ Brilliant cut ให้ความหรูหรา โดดเด่นแม้
ในขณะจอดนิ่งและดูเตะสายตาในขณะวิ่งบนท้องถนน
นอกจากนี้ยังเพิ่มความสปอร์ตด้วยการติดตั้งเสาอากาศแบบครีบฉลาม (เฉพาะรุ่น V+,SV และ SV+) ล้ออัลลอยขนาด 16
นิ้ว (เฉพาะรุ่น SV และ SV+) ดีไซน์สปอร์ต นอกจากภายนอกที่ให้อารมณ์สปอร์ตบ้างแล้ว Honda city ใหม่ก็ยังเพิ่มพื้นที่
ห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายให้มีขนาดใหญ่ขึ้นที่สามารถจุได้ถึง 536 ลิตร
ห้องโดยสารได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “Layered Floating Cockpit” ซึ่งเป็นแนวทางการออกแบบแผง
ภายในที่กำลังเป็นกระแสในกลุ่มรถยนต์ญี่ปุ่น ทำให้มันดูล้ำสมัยและมีความสปอร์ต โดยมีการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ ทั้ง
ยังให้ความสะดวกสบายในการใช้งาน การออกแบบคอนโซลหน้าเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกันกับคอนโซลกลางแบบ T Zone
ดูความเรียบหรู
พร้อมดีไซน์พื้นที่ห้องโดยสารด้านหลังให้กว้างสบายยิ่งขึ้น ขยายความกว้างของพื้นที่บริเวณหัวไหล่ขึ้นอีก 40 มิลลิเมตร
พื้นที่วางขาผู้โดยสารด้านหลังเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 60 มิลลิเมตร เบาะนั่งด้านหลังยังได้รับการออกแบบองศาให้เอนอยู่ใน
ตำแหน่งที่เหมาะสมกับสรีระ และยังสามารถปรับพับได้แบบ 60:40 เพิ่มพื้นที่วางสัมภาระได้อย่างเต็มที่ (เฉพาะรุ่น SV
และ SV+) นอกจากนี้ยังเพลิดเพลินตลอดการเดินทางด้วยลำโพงถึง 8 ตำแหน่ง ให้ความสุนทรีย์ตลอดการเดินทาง
ไฮไลต์สำคัญของ All New Honda City ก็คือเครื่องยนต์ SOHC i-VTEC 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 117 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ
ต่อนาที แรงบิดสูงสุด 146 นิวตัน-เมตร ที่ 4,700 รอบต่อนาที ผสานกับเกียร์ CVT ใหม่ ที่ได้รับการพัฒนาภายใต้
เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม ขยายอัตราทดเกียร์ให้กว้างขึ้น พร้อมระบบ G-Design Shift ช่วยให้อัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมี
ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมอัตราเร่งที่ตอบสนองได้เร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังรองรับพลังงานทางเลือก E85 ได้อีกด้วย
ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ ยังมาพร้อมกับระบบ ECO Coaching ช่วยควบคุมเครื่องยนต์ให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมาก
ที่สุด โดยระบบจะปรับการทำงานของเครื่องยนต์ ลิ้นปีกผีเสื้อ และระบบเกียร์ ให้ทำงานสัมพันธ์กันในขณะรถวิ่ง
นอกจากนี้ ระบบจะปรับการทำงานของระบบปรับอากาศและการหมุนเวียนอากาศภายในห้องโดยสารให้เหมาะสมกับ
อุณหภูมิภายนอกรถ
Honda City ใหม่ มาพร้อมกับโครงสร้างตัวถังนิรภัย G-CON ช่วยปกป้องห้องโดยสารจากการชนรอบทิศทาง และ
เทคโนโลยีความปลอดภัยหลากชนิด อาทิ ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) ช่วยให้การบังคับพวงมาลัยเมื่อต้องการเบรก
กะทันหัน พร้อมระบบกระจายแรงเบรกควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) ระบบควบคุมการทรงตัว (VSA) เพิ่มการยึด
เกาะถนน ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA) สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS)
และ ISOFIX & Child Anchor จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น
นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีความปลอดภัยพิเศษอื่น ๆ อีก อาทิ ถุงลม 6 ตำแหน่ง ได้แก่ ถุงลมคู่หน้า Dual SRS ถุงลม
ด้านข้างคู่หน้าแบบอัจฉริยะ i-Side Airbag และม่านถุงลมด้านข้าง Side Curtain Airbags (เฉพาะรุ่น SV+) กล้องส่อง
ภาพด้านหลังปรับมุมมองได้ 3 ระดับ (เฉพาะรุ่น V+, SV และ SV+) ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการถอย โดยสามารถเลือกดูมุม
กล้องที่แตกต่างกันได้ทั้งแบบ 130 องศา, 180 องศา และมุมมองจากด้านบน
และนี่คือฟีเจอร์ที่โดดเด่นของ Honda City โฉมใหม่ที่จะทำให้ตัวรถดูเข้ายุคสมัย iPad และ Tablet ครองเมือง ได้แก่
• ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว แบบ Advanced Touch (เฉพาะรุ่น V+, SV และ SV+) รองรับการ
เชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย แสดงผลอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง และยังรองรับการเชื่อมต่อภาพและเสียงผ่าน HDMI
รองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri Eye Free Mode (สำหรับ iPhone 4s ขึ้นไป) รองรับการเชื่อมต่อ HondaLink
Application (เฉพาะ Smart Phone บางรุ่น)
• ระบบปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมแผงควบคุมแบบสัมผัส (เฉพาะรุ่น V+,SV และ SV+)
• มาตรวัดเรืองแสงพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID (เฉพาะรุ่น V, V+,SV และ SV+)
• ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์แบบอัจฉริยะ One Push Ignition System (เฉพาะรุ่น V, V+,SV และ SV+)
• ระบบควบคุมประตูอัจฉริยะ Honda Smart Key System (เฉพาะรุ่น V, V+, SV และ SV+)
• พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น ให้การควบคุมทุกสิ่งได้ดั่งใจเพียงปลายนิ้วสัมผัส
o ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยแบบ 7 สปีด (เฉพาะรุ่น SV และ SV+)
o ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (เฉพาะรุ่น SV และ SV+)
o สวิตซ์ควบคุมเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัทพ์บนพวงมาลัย (เฉพาะรุ่น V+,SV และ SV+)
Honda City ใหม่ มีให้เลือก 6 รุ่น ได่แก่ รุ่น S MT, S AT, V, V+, SV และรุ่น SV+ โดยมีให้เลือก 7 สี ได้แก่ สีเทาโมเดิร์น
สตีล (เมทัลลิก) สีแดงคาร์เนเลียน (มุก) สีดำคริสตัล (มุก) สีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก) และสีขาวทาฟเฟต้า และ 2 สี
ใหม่ ได้แก่ สีน้ำเงินบริลเลียนท์ สปอร์ตตี้ (เมทัลลิก) สีน้ำตาลโกลเด้น (เมทัลลิก) ส่วนภายในห้องโดยสาร รุ่น S, V และ V+
เป็นเบาะผ้าสีเบจ และรุ่น SV และ SV+ เป็นเบาะผ้าสีดำ