By : J!MMY & Pan Paitoonpong

ตลาดรถยนต์ในเมืองไทย ตลอดปี 2018 ปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์ ด้วยตัวเลขยอดขายสรุปจากทาง Toyota Motor (Thailand) ว่ามีจำนวนมากถึง 1,039,158 คัน นับเป็นสถิติยอดขายรถยนต์รวมในประเทศไทย สูงเกินกว่า 1 ล้านคัน ได้เป็นครั้งแรก ในรอบ 4 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา และถือเป็นครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์ประเทศไทย เพิ่มขึ้นจากปี 2017 / 2560 ซึ่งอยู่ที่ 871,647 คัน มากถึง 19.2% แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 397,542 คัน เพิ่มขึ้น 14.8% รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ 641,616 คัน เพิ่มขึ้น 22.1% รถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง SUV/PPV) 511,676 คัน เพิ่มขึ้น 20.6% รถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) 447,069 คัน เพิมขึ้น 22.6% และ SUV/PPV 64,607 คัน

แนวโน้มที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา ซึ่งยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องมาถึงปีนี้ นั่นคือ ความนิยมในรถยนต์นั่งกลุ่ม SUV ทั้งขนาดเล็ก และ ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ การเติบโต ของกลุ่ม Sub-Compact (B-Segment) Crossover SUV ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยที่ครองตัวเป็นโสด หรือเพิ่งเริ่มมีครอบครัว จะเป็นลูกค้ากลุ่มสำคัญที่จะขับเคลื่อนยอดขายบรรดารถยนต์ B-Segment Crossover SUV เหล่านี้ ให้เติบโตขึ้น

อย่างไรก็ตาม ตลาดรถเก๋ง C-Segment ประกอบในประเทศ มีแนวโน้มที่จะฟื้นกลับมาอีกครั้ง จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในภาพรวม สวนทางกับรถยนต์นั่งขนาดใหญ่ D-Segment ประกอบในประเทศ ซึ่งมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2014 ด้วยเหตุผลที่ว่า ลูกค้าจำนวนไม่น้อย เบื่อรถเก๋ง หรือมีปัญหาน้ำท่วมแถวบ้านและที่ทำงานอยู่เนืองๆ จึงอยากได้รถยนต์ยกสูงจำพวก SUV มากขึ้น โดยหวังว่าจะลุยน้ำท่วมได้มากกว่ารถเก๋งทรงเตี้ยที่พวกเขาขับใช้งานกันอยู่ นอกจากนี้ ลูกค้าส่วนใหญ่ มองว่า ด้วยค่าตัวระดับ 1.3 – 1.8 ล้านบาทที่ไล่เลี่ยกัน SUV จะมีพื้นที่ห้องโดยสารมากกว่า และบรรทุกผู้โดยสารพร้อมสัมภาระได้มากกว่ารถเก๋งแบบเดิม นั่นจึงทำให้ ยอดขายของ SUV ทั้งแบบ Crossover Urban SUV และ SUV/PPV ที่สร้างจากเฟรมแชสซีส์รถกระบะ จึงเพิ่มขึ้นและเบียดบังส่วนแบ่งตลาดของรถเก๋ง D-Segment ไปมาก

ไม่เพียงเท่านั้น การที่ผู้ผลิต Premium Brand ฝั่งยุโรป ต่างเปิดตัวรถยนต์ขนาดเล็ก ราคาถูก ออกมา เรียกลูกค้าในช่วง 3 ปีมานี้ เพิ่มขึ้น ทำให้ลูกค้าที่คิดจะซื้อ รถเก๋ง D-Segment ตัดสินใจเพิ่มเงินอีกนิด เพื่อขยับขึ้นไปอุดหนุน รถเก๋ง หรือ SUV จาก ค่ายยุโรป เพื่อหวังผลด้านภาพลักษณ์ของตนเองและครอบครัว มากขึ้น ทำให้รถเก๋งกลุ่มนี้ ทั้ง Toyota Camry , Honda Accord และ Nissan Teana ต้องหันไปพึ่งพาตลาดกลุ่ม Fleet และลูกค้า Young Generation ซึ่งเป็นคนโสด แต่มีรายได้สูงเป็นพิเศษ ซึ่งมีจำนวนไม่เยอะนัก

ขณะเดียวกัน ตลาดกลุ่มหลักของเมืองไทย อย่างรถกระบะ ก็ยังมีการฟาดฟันกันต่อเนื่อง ปี 2018 ที่ผ่านมา  Toyota ปรับโฉม Minorchange ให้กับ Hilux Revo จนสามารถทำยอดขาย กลับขึ้นมาแซง Isuzu D-Max ได้อีกครั้ง ขณะที่ Ford ได้สร้างกรณีศึกษาด้านการตลาดครั้งใหม่ ด้วยการเปิดตัวรถกระบะที่แพงสุดเท่าที่เคยมีมาในบ้านเราอย่าง Ford Ranger Raptor แต่ทำสถิติ โควต้ายอดขายของประเทศไทย สำหรับปี 2018 ทั้ง 2,000 คัน ถูกจับจองหมดในเวลารวดเร็ว ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อ Ford ค้นพบปัญหา Defect ของระบบส่งกำลัง ก็รีบแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว ผิดไปจากในอดีตอย่างมาก ขณะเดียวกัน Mitsubishi Triton ก็ถูกปรับโฉม Big Minorchange ใหม่ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2018 และได้รับความสนใจจากลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

อีกกระแสสำคัญ ที่ยังเกิดขึ้นต่อเนื่องจากปี 2018 และจะต่อเนื่องถึงปี 2019 นั่น คือ การที่ประชาคมสื่อมวลชน และ ผู้นำความคิด หรือผู้นำธุรกิจจากทั่วโลก ต่างมองว่า รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ทั้ง Hybrid , Plug-in Hybrid หรือ EV (Electric Vehicle) จะเริ่มได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ ควบคู่ไปกับการเตรียมพร้อมให้กับผู้บริโภค เพื่อเตรียมนำเทคโนโลยี รถยนต์ขับขี่เองอัตโนมัติ Autonomous Drive พร้อมกับระบบ Ai (Artificial Intelligence) เข้ามาใช้กับรถยนต์ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไป

สำหรับในประเทศไทย ยังคงมีปัญหามากมาย เพราะจากคำถามที่ผู้เขียน เคยตั้งไว้ในบทความเดียวกันนี้เมื่อปีแล้ว ว่า “เราคนไทย พร้อมจริงๆหรือ สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า?” ดูเหมือนว่า ผ่านไปแล้ว 1 ปี ก็ยังไม่มีคำตอบแน่ชัดจากทั้งภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีเพียงผู้ผลิตอย่าง Hyundai Kia และ Nissan รวมทั้ง BYD จากจีน เท่านั้น ที่พยายามจะเข้ามาเปิดตลาดรถยนต์ไฟฟ้า EV ในบ้านเรา ทว่า เมื่อเปิดตัวออกมา ราคารถยังแพงกว่าตัวเลขในใจของผู้บริโภคไปมาก  ทำให้เสียงเรียกร้องของกลุ่มประชาชนที่อยากใช้รถยนต์ไฟฟ้า ค่อยๆเหี่ยวแห้งเพราะหมดหวังไปในระดับหนึ่ง แทบไม่ต้องไปนับรถยนต์ไฟฟ้า จากผู้ผลิตชาวไทยหน้าใหม่อย่าง EA ซึ่งดูจะยังต้องใช้เวลาอีกนาน กว่าจะพร้อมออกจำหน่ายได้จริง

ในปีนี้ ผู้เขียน จะยังขอยืนยันความคิดเห็นเดิมเหมือนเช่นปีที่แล้ว นั่นคือ สิ่งที่เราอยากเห็นภาครัฐ ดำเนินงานควบคู่ไปกับภาคเอกชน ในช่วงที่เรากำลังจะเริ่มก้าวเข้าสู่ยุครถยนต์พลังงานไฟฟ้า เต็มรูปแบบ นอกเหนือจากการให้ความรู้กับประชาชน และผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย ถึงคุณประโยชน์ และข้อควรระวังในการใช้งานรถยนต์เหล่านี้แล้ว เราควรเตรียมโครงสร้างพื้นฐาน เช่นสถานีชาร์จไฟแบบเร่งด่วน (Quick Charge) ตามสถานที่สำคัญต่างๆ ให้เพียงพอกับความต้องการที่จะค่อยๆเพิ่มมากขึ้น อาจต้องสร้างแรงจูงใจในการลงทุนให้กับภาคเอกชน ในการนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้า รวมทั้งสถานีชาร์จไฟ หรือ ตู้ชาร์จตามบ้าน มาผลิต/ประกอบในประเทศไทย เป็นกรณีพิเศษในระยะเวลาสั้นๆ ทั้งเพื่อการจำหน่ายในประเทศ และ การส่งออกไปยังต่างประเทศ

ขณะเดียวกัน เราจำเป็นต้องเร่งส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยี และ องค์ความรู้ ให้กับนักเรียน นิสิต นักศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถาบันอาชีวะศึกษาทั่วประเทศ เพื่อผลิตบุคคลากรที่มีความรู้ความสามารถ และ เชี่ยวชาญในการซ่อมบำรุง การดูแลรักษา ไปจนถึงการพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้า ให้เพิ่มมากขึ้นกว่านี้ เพื่อรองรับการขยายตัวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ไม่เพียงเท่านั้น เรายังต้องคิดและวางแผนเรื่องการกำจัดของเสีย แบตเตอรี่ชำรุดหมดอายุการใช้งาน และ ชิ้นส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นระบบ เข้มงวด รัดกุม และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของชุมชนให้น้อยที่สุดอีกด้วย

ปี 2019 นี้ มีสิ่งที่จะต้องจับตามองด้วยกัน 6 ประเด็นสำคัญ ดังนี้

  1. เราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในตลาดรถยนต์ขนาดเล็ก ที่ชัดเจนมากขึ้น เพราะนับจากปลายปีนี้เป็นต้นไป กลุ่มรถยนต์นั่ง B-Segment อาจถูกรวมเข้ากับ ECO-Car “ในทางพฤตินัย” ด้วยเหตุจากแรงจูงใจด้านภาษีสรรพสามิต จึงทำให้ผู้ผลิตทั้งหลาย  พากันลดความจุกระบอกสูบ Downsizing แล้วเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ๆเข้าไปในเครื่องยนต์ เช่นระบบอัดอากาศ TurboCharger เพื่อให้มลพิษต่ำลงจนเข้าข้อกำหนดของโครงการ ECO Car Phase 2 ให้ได้ ดังนั้น ผู้ผลิตที่ล้าหลัง ปรับตัวช้ากว่าชาวบ้าน อาจอยู่ไม่รอด
    ในระยะยาว Honda จะมีการเปลี่ยนแปลงที่เยอะมากสุด เพราะ จะยกเลิกการทำตลาด ECO-Car รุ่น Brio แล้วเปิดตัว Honda City และ Jazz ใหม่ ด้วยเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร Turbo 120 แรงม้า (PS) ลงมาสู้ในกลุ่ม B-Segment ECO-Car ด้วย ขณะที่ Nissan และ Mitsubishi Motors ต่างก็มีคิวจะต้องเปิดตัว Nissan Almera Full ModelChange และ Mitsubishi Mirage Full Model Change ชนกัน พร้อมๆกัน 3 แบรนด์รวด ในช่วง ไตรมาส 4 ของปี 2019 นี้ด้วยเช่นกัน การแข่งขันที่รุนแรงของตลาด B-Segment นี้ จะลากยาวไปจนถึงปี 2020 ซึ่งจะมี Mazda 2 ใหม่ และ Mitsubishi Attrage ใหม่ เปิดตัวตามมา ก่อนจะซาลงในปี 2021 และกลับมาคึกคักอีกครั้งในปี 2022 จากการเปิดตัว Toyota B-Segment ECO-Car รุ่นใหม่ยกตระกูล
  2. ตลาดรถยนต์นั่ง C-Segment (1.6 – 2.0 ลิตร) จะกลับฟื้นคืนความคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2019 จะมีการเปลี่ยนโฉมใหม่ แบบ Full ModelChange ของผู้เล่นรายสำคัญในตลาดกลุ่มนี้ ทั้ง Mazda 3 และ Toyota Corolla Altis ใหม่ เพื่อท้าชิง แชมป์อันดับ 1 ในกลุ่มนี้อย่าง Honda Civic  นอกนั้น กว่าที่ Nissan จะพร้อมส่ง C-Segment รุ่นใหม่ มาเปิดตัวทำตลาดแทน Nissan Sylphy อาจต้องรอกันจนถึงปี 2020
  3. ให้จับตาดูการฟาดฟันกันของ 4 ผู้ผลิตรถยนต์ระดับ Premium ทั้ง Audi ,BMW , Mercedes-Benz และ Volvo ให้ดี เพราะทุกค่าย ต่างจะเตรียมแผนเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่จนอุ่นหนาฝาคั่ง ชนิดที่เยอะมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะ กลุ่ม Premium C-Segment ซึ่งมี BMW 3-Series G20 Full ModelChange , Mercedes-Benz C-Class Plug-in Hybrid Minorchange และ Volvo All New S60 ใหม่ รวมทั้งกลุ่ม SUV ไปจนถึงกลุ่ม High Performance Brand ทั้ง Mercedes-AMG และ BMW ตระกูล M ที่จะพร้อมใจกันออกมาดวลศึกกันอย่างหนัก ในปี 2019
  4. ด้านรถยนต์พลังงานทางเลือก เราจะได้เห็นบรรดารถยนต์แบบ Plug-in Hybrid เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยเพิ่มมากขึ้น แต่สำหรับใครที่คาดหวังจะเห็นรถยนต์ไฟฟ้า EV รุ่นอื่นๆ นอกเหนือจาก Nissan LEAF , Kia Soul EV และ Hyundai Ioniq แล้ว ต้องขอบอกว่า จะมีเพียง 3 รุ่น ที่น่าสนใจจริงๆ นั่นคือ Hyundai Kona Electric ที่จะเปิดตัวในช่วงงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคมนี้ รวมทั้ง Mercedes-Benz EQC SUV , และ MG eZS เท่านั้น
  5. กลุ่ม รถกระบะ จะมีการเปลี่ยนแปลง ที่น่าจับตามอง ตั้งแต่ปีนี้ จนถึง 2022 ทั้งการเข้ามาของผู้เล่นหน้าใหม่ ที่ยังน่ากังขาถึงการดูแลลูกค้า อย่าง MG Pickup ในช่วง ไตรมาส 3 ปี 2019 รวมทั้งการเปลี่ยนโฉม / ปรับโฉม ทั้ง Full ModelChange และ Minorchange ที่จะเริ่มจาก Isuzu D-Max ใหม่ ในช่วงปลายปี 2019 , Mazda BT-50 PRO ใหม่ ปี 2020 เช่นเดียวกับ Chevrolet Colorado ในปี 2020 ,Toyota Hilux Revo Minorchange ปี 2020 , Nissan Navara Minorchange ปี 2020 Mitsubishi Triton ปี 2021 และ Ford Ranger ที่ควงคู่มากับ Volkswagen Amarok ในปี 2022
  6. ส่วน SUV / PPV ประกอบในประเทศไทย อาจมีเพียงแค่การปรับอุปกรณ์เล็กๆน้อยๆ หรือปรับโฉม Minorchange ให้กับ Toyota Fortuner , Mitsubishi Pajero Sport Minorchange , Isuzu MU-X และ Urban SUV อย่าง Nissan X-Trail  เท่านั้น เพราะทุกค่าย ต่างยังคงพากันซุ่มเงียบ พัฒนารถกระบะ และ SUV/PPV รุ่นใหม่ เพื่อไปถล่มกันตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไป

เป็นประจำทุกต้นปีที่ J!MMY จะเขียนบทความสรุปความเคลื่อนไหวของปีก่อน และ สรุปความเคลื่อนไหว ของบรรดารถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่จะเปิดตัวในปีนี้ รวมทั้ง Update ข้อมูลการพัฒนา รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ล้ำไปไกลล่วงหน้าก่อนสื่อรายใดถึง 4 ปี เผยแพร่ลงในเว็บไซต์ ของเรา Headlightmag.com เป็นประจำในช่วงเดือนมกราคม เพื่อเป็นของขวัญ สำหรับคุณผู้อ่าน ใช้เป็นข้อมูลในการเตรียมวางแผนซื้อรถยนต์ล่วงหน้า หรือสำหรับเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ของผู้คนที่ทำงานในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ของบ้านเรา

แต่ในปีนี้ จะพิเศษมากกว่าปีก่อนๆ เพราะ คุณ Pan Paitoonpong จะร่วมให้ข้อมูล ในบทความนี้ โดยมุ่งเน้นไปที่ รถยนต์จากผู้ผลิตฝั่งยุโรปทั้งหมด ซึ่งจะเจาะลึกลงไปละเอียดกว่าปีก่อนๆค่อนข้างมาก และคาบเกี่ยวต่อเนื่องไปจนถึงปี 2022 และ 2023 ในบางกรณี

ความเคลื่อนไหวในตลาดรถยนต์เมืองไทยนับจากปี 2019 นี้ จนถึงปี 2022 จะเป็นอย่างไร จะมีรถยนต์รุ่นไหนเข้ามาเปิดตัวในบ้านเรา รอให้ได้เป็นเจ้าของกัน และมีเทคโนโลยีอะไรที่จะเข้ามาให้ผู้บริโภคชาวไทยได้สัมผัสกันบ้าง ทุกอย่างทุกข้อสงสัย มีคำตอบให้คุณได้อ่านกันแล้ว…ข้างล่างนี้…!


***หมายเหตุ***

1. ปีนี้ บางค่าย จะไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่ทำตลาด อาจมีเพียงแค่รุ่นกระตุ้นตลาดเท่านั้น แต่เราก็ยังคงบรรจุแบรนด์เหล่านั้น ไว้ในบทความประจำปีนี้ เพราะในปี 2020 แต่ละค่ายเหล่านั้น จะกลับมามีความเคลื่อนไหวกันอีกครั้ง

2. ปีนี้ มีรายชื่อของแบรนด์รถยนต์ ที่เราจำเป็นต้องขอถอดออกจากบทความสรุปในปีนี้อย่างน่าเสียดาย ดังนี้

  • Alfa Romeo : แม้ว่าจะมีพ่อค้าชาวสิงค์โปร์ สั่งนำเข้า Alfa Romeo มาเปิดตลาดเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา ด้วยวิธีการพิลึกพิลั่น คือ ให้ลูกค้าสั่งซื้อผ่าน Internet แต่ไม่มีศูนย์บริการ ให้ไปหาซ่อมกันเอาเอง เราก็ขอไม่นับการทำตลาดแบบนี้ เนื่องจากเป็นผู้นำเข้าราย่อย ซึ่งทาง Headlightmag มีนโยบาย ไม่ลงบทความใดๆให้กับผู้ค้ารายย่อยทุกรายอยู่แล้ว
  • Citroen กับ Skoda ได้ยุติการทำตลาดในประเทศไทยไปเรียบร้อยแล้ว ในปี 2017 ที่ผ่านมา อย่างน่าเสียดายยิ่ง เหตุผลที่เราพอบอกได้ก็คือ ” มีปัญหาภายในองค์กรหลายประการ ”
  • Fiat, Lotus, Proton  ยังคงถูกถอดออก เพราะไม่สามารถสืบหาข้อมูลแผนการนำรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดในบ้านเราได้เลยจริงๆ และตลอดปี 2018 ที่ผ่านมา แทบทุกแบรนด์ที่เอ่ยนามมาข้างต้น ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆในตลาดบ้านเราเลย
  • ทางฝั่ง Peugeot อาจมีรถยนต์รุ่นใหม่ ออกขายอยู่ แต่ยากเกินจะสืบหาแนวทางว่าจะนำรถยนต์รุ่นใดเข้ามาจำหน่ายในอนาคต
  • ด้าน Ssangyong นั้น แม้จะยังดำเนินกิจการอยู่ และยังไม่หนีหายไปไหน แต่หลังอกหักจากการทดลองนำ Tivoli เข้ามาทดลองตลาด เมื่อปี 2016 และขายได้แค่เพียง 2 คัน ทำให้ เราแทบไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆของแบรนด์ SUV จากเกาหลีใต้รายนี้ อีกเลย
  • ขณะเดียวกัน Volkswagen ก็เพิ่งประกาศจับมือกับ Ford ทำรถกระบะในบ้านเรา ดังนั้น ปีนี้จึงขอจับรวบยอดเอาไว้กับแบรนด์ Ford เป็นกรณีพิเศษเลยก็แล้วกัน เพราะนอกเหนือจากนั้น ก็แทบไม่มีความเคลื่อนไหวอื่นใดเลย ปล่อยให้ตัวแทนจำหน่าย ในบ้านเรา (ไทยยานยนต์) ขายแต่รถตู้ Caravelle รุ่นล่าสุดกันต่อไป เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น ในเวลานี้
  • ไม่เพียงเท่านั้น เรายังขอตัด Tata Motors ออกจากบทความ เนื่องจากพวกเขา เพิ่งประกาศยุติการผลิตรถกระบะในประเทศไทยไปเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2018 ที่ผ่านมา ดังนั้น Tata Motors จะยังคงสั่งนำเข้ารถบรรทุกขนาดเล็ก Tata Ace มาทำตลาดต่อไป และเท่ากับว่า จะไม่มีความเคลื่อนไหวในฝั่งรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และ รถกระบะในประเทศไทย ไปอย่างไม่มีกำหนด จึงไม่มีความจำเป็นต้องนำเสนอความเคลื่อนไหวใดๆที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ส่วนบุคคลและรถกระบะของ Tata อีกนับจากนี้
  • ส่วนค่ายรถยนต์จากประเทศจีน ทุกราย ขอยังไม่นำมารวมในครั้งนี้ เนื่องจากนโยบายต่างๆของบริษัทเหล่านี้ ไม่ค่อยจะนิ่งพอ

3. ข้อมูลทั้งหมดในบทความนี้ ได้รับการตรวจสอบและยืนยันแล้วว่าถูกต้อง ตรงกับข้อมูลที่เราได้รับจากหลายแหล่งข่าว ณ วันที่นำบทความชิ้นนี้ ขึ้นเผยแพร่ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป อาจมีข้อมูลดิบ และ/หรือ ข้อมูลที่กลั่นกรองแล้วปรากฎขึ้นอีกได้ตลอดเวลา ข้อมูลเหล่านั้น อาจคลาดเคลื่อนหรือเพิ่มเติมข้อมูลเดิมจากบทความชิ้นนี้ย่อมเป็นไปได้ เกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น เนื่องจากรายงานข่าวประเภทเจาะโครงการลับ หรือ Spyshot นั้น ไม่มีสื่อมวลชนเล่มใดรายใดในโลก ที่รายงานได้ถูกต้อง ตรงกับความเป็นจริง 100% ต่อให้เป็นฝรั่งมังค่าก็ตาม

คุณผู้อ่านควรติดตามข่าว “ ด้วยวิจารณญาณ เหตุผลในเชิงตรรกะ หรือเกมการตลาดอย่างปราศจากอคติ ” รวมทั้งศึกษาจากข้อมูลที่ปรากฎอยู่ในสื่ออื่นๆ ประกอบกันด้วยอยู่เสมอ เพื่อความสดใหม่ของข้อมูล โดยเฉพาะ ช่วงหลังจากบทความนี้ เผยแพร่สู่สาธารณชนแล้ว

4. บทความนี้ ใช้อ้างอิงได้ 1 ปี คือนับจากวันที่ 1 มกราคม 2019 ถึง 31 ธันวาคม 2019 เท่านั้น หลังจากนี้ ให้ติดตามอ่านข้อมูลอัพเดทได้ จากบทความสรุปรถใหม่ 2020 – 2023 ในเดือน มกราคม 2020

5. ถ้าต้องการนำบทความนี้ ไปเผยแพร่ที่ไหน ติดต่อมาที่ [email protected] เพื่อ ขออนุญาตกันเสียให้ถูกต้องตามธรรมเนียม ก่อนจะนำไปเผยแพร่ ต่อไป ทั้งนี้ ขอสงวนสิทธิ์ในการอนุญาต เพื่อให้นำไปเผยแพร่ เพื่อเป็นประโยน์แก่สาธารณชน และ ไม่ใช่เพื่อนำไปใช้ในทางธุรกิจใดๆทั้งสิ้น

เมื่อได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ได้ ขอความกรุณา ขึ้นเครดิตของผู้เขียน และทำลิงค์ มายัง เว็บไซต์ Headlightmag.com ให้ถูกต้องเรียบร้อยด้วย การนำบทความไปเผยแพร่ต่อ โดยไม่ขึ้นเครดิต และไม่มีการบอกกล่าวมายังข้าพเจ้า หรือนำบทความนี้ไปดัดแปลงเป็นบทความของตนเอง ถือเป็นการ ละเมิดลิขสิทธิ์ ผู้ละเมิด จะถูกดำเนินคดี ตามที่ กฎหมายบัญญัติไว้ สูงสุด โดยไม่มีการยอมความใดๆทั้งสิ้น!

(โดยเฉพาะพวกหน้าด้าน copy ไปทั้งดุ้น หรือ Copy ไปดัดแปลง ตกแต่งแก้ไข เพื่อโพสต์ใน Website หรือ Facebook หรือ ลอกไปลงใน ช่อง YouTube ของตนเองกันโครมๆ  ปีก่อนๆ ก็จัดการกันมาบ้างแล้ว ถ้ายังไม่ฟัง ก็จะต้องเจอไม้แข็งกันเสียบ้าง อย่าชุ่ย ! มักง่าย ! แค่ส่งอีเมลล์มาขอนำไปลงเว็บกันดีๆ เราก็อนุญาตแล้ว ไม่เห็นจะยากเย็นวุ่นวายนักหนา หาก ไม่ใช่เพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้า ก็ยินดีอนุญาตให้นำไปเผยแพร่เกือบจะทุกรายอยู่แล้ว ใส่ ชื่อผู้เขียน ชื่อเว็บไซต์ และทำลิงค์ให้เว็บไซต์ของเราด้วย แค่นี้ หวังว่าคงไม่ยากไปนะครับ !

แต่สำหรับพวกที่อ้างตัวว่าเป็นสื่อมวลชน บางจำพวก รวมทั้ง พวกเพจผีใน YouTube ถ้าจะให้ดี ก็ควรหาข้อมูลเอง เขียนบทความเอง กันเสียบ้าง ไม่ใช่สักแต่ว่าจะลอกงานคนอื่นเขาไปเรียกยอดเพจยอด Like ยอด Subscribe กันอย่างไร้ยางอาย !)

Aston Martin

  • 2019 : DBX (Brand New SUV)/ DBS Superleggera Volante/ Rapide EV/ Valkyrie (World Premier) / DBS Superleggera (Thailand Premier)
  • 2020 : DBX (Thailand Premier) / New Mid-engine supercar
  • 2021 : Lagonda Brand New Saloon

ปีที่่แล้ว Heritage Motor Sales & Service ผู้นำเข้ารถสปอร์ตแบรนด์คู่ใจสายลับ 007 จากสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการ ในเครือของ MGC Asia (Milllenium Group) นำรถสปอร์ตรุ่น Vantage ใหม่ Full ModelChange เข้ามาอวดโฉมในงาน Bangkok International Motor Show เมื่อ 28 มีนาคม 2018 พรอมเปิดราคาไว้ที่ 16.99 ล้านบาท ตามด้วยการเผยโฉม DB11 V8 Volante ในงาน BIG Motor Sales เมื่อ 16 สิงหาคม 2018 ก่อนที่จะจัดงานเปิดตัว Vantage อย่างเป็นทางการอีกครั้ง เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2018 ณ สถานฑูตอังกฤษ และทั้งหมดนั่น คือความเคลื่อนไหวของ Aston Martin ในบ้านเราตลอดปีที่ผ่านมา

สำหรับปี 2019 เราคงต้องจับตาดูโครงการพัฒนา SUV คันแรกของค่าย อย่าง Aston Martin DBX ที่ต้องเกิดมาเพื่อเข้าร่วมชิงส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่ม Luxury SUV ซึ่งมีคู่แข่งที่ดูสมน้ำสมเนื้อกันที่สุด อย่าง Porsche Cayenne กับ Maserati LeVante เขายึดครองอยู่นานแล้ว หากไม่ทำออกมาขายกับเขาบ้าง ก็อาจมีปัญหาเรื่องผลประกอบการตามมาในอนาคตแน่ๆ ล่าสุด พวกเขาเพิ่งปล่อยภาพถ่ายแบบ Official Spyshot (ภาพรถทดสอบ ที่ทางโรงงาน ถ่ายเอง เผยแพร่เอง) ทั้ง 6 รูป ข้างบนนี้ เมื่อ 13 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา

เครื่องยนต์ของ DBX จะมีให้เลือกทั้งแบบ เบนซิน V8 4.0 ลิตร Twin Turbocharger กับ เบนซิน V12 Fourcam 48 วาล์ว 5.2 ลิตร Twin Turbocharger ซึ่งยกมาจาก Aston Martin Vantage และ DB11 ที่วางจำหน่ายอยู่แล้วในปัจจุบัน แต่ในขณะเดียวกันทาง Aston Martin ก็ต้องการที่จะพัฒนาขุมพลังของตัวเองขึ้นมาใช้ แหล่งข่าวจากต่างประเทศ ระบุว่า พวกเขากำลังซุ่มพัฒนา ขุมพลัง Hybrid ซึ่งมีเครื่องยนต์แบบ 6 สูบเรียง Turbocharger พ่วง มอเตอร์ไฟฟ้า เป็นตัวสร้างโอกาสทางการขาย สำหรับประเทศที่มีภาษีอัตราพิเศษสำหรับรถยนต์ Hybrid และยังช่วยลดค่าเฉลี่ยการปล่อยก๊าซ CO2 (carbon dioxide) ของรถยนต์ทั้งหมดในค่ายลงจากเดิม

อย่างไรก็ตาม เครื่องยนต์ใหม่นี้จะยังไม่มีให้เลือกในวันที่ DBX เปิดตัวสู่ตลาดโลก ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2019 คงต้องรอหลังจากนั้นอีกพักใหญ่ สำหรับประเทศไทย เราอาจต้องรอกันจนถึงงาน Bangkok International Motorshow 2020 จึงจะได้เห็น DBX จอดอวดโฉมอยู่ในงาน ด้วยค่าตัวที่อาจจะแพงเกิน 18 ล้านบาท ไปพอสมควร

ประเด็นเรื่อง CO2 เป็นเรื่องใหญ่ของผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกในตอนนี้ โดยเฉพาะผู้ผลิตรถสปอร์ตระดับสูงทั้งหลาย การที่ Aston Martin ต้องการขายรถให้ได้มากกว่า 10,000 คันต่อปีทั่วโลก ทำให้ต้องเข้ากฎของ สหภาพยุโรป ว่าด้วยการพิจารณาการปล่อยมลภาวะเฉลี่ยของรถยนต์ทั้งค่าย ในอดีต Aston Martin เคยสร้างแต่รถสปอร์ต เครื่องยนต์ V8 และ V12 ขนาดใหญ่โตนั้น ไม่ได้เกื้อหนุนในเรื่องนี้ จนต้องเล่นมุกสุดพิสดาร ด้วยการสั่งซื้อ Toyota IQ มาดัดแปลงเป็น Aston Martin Cygnet ออกขาย แบบไม่ค่อยเต็มใจนัก เพื่อลดค่าเฉลี่ย CO2 ของทั้งค่ายลง ในตอนนี้ Aston Martin กำลังมองหาทางออก ในแบบที่สามารถทำให้ลูกค้าพอใจได้ และ Aston Martin Rapide-E คือหนึ่งในคำตอบจากพวกเขา

Rapide-E 5ถูกพัฒนาขึ้นด้วยความร่วมมือจากพันธมิตรอย่าง Williams Advanced Engineering (WAE) โดยเวอร์ชันต้นแบบ ออกเผยโฉมครั้งแรก เมื่อ 21 ตุลาคม 2015 ก่อนที่ Aston Martin จะออกมายืนยันการผลิตออกจำหน่ายจริง เมื่อ 26 มิถุนายน 2017 และล่าสุด เพิ่งมีการออกมายืนยันอย่างเป็นทางการ  ถึงสเป็ก และตัวเลขทางเทคนิค เมื่อ 12 กันยายน 2018

Rapide-E ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 65kWh เชื่อมต่อกับแบ็ตเตอรี Lithium-ion ขนาด 800 V ที่ให้กำลังรวมสูงถึง 610 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 950 นิวตันเมตร สามารถเดินทางได้ไกลกว่า 320 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟเต็มหนึ่งครั้ง สวมยาง Pirelli P Zero ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายในเวลาต่ำกว่า 4 วินาที อัตราเร่ง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ต่ำกว่า 1.5 วินาที!! และทำความเร็วสูงสุดได้ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง

Rapide-E จะถูกสร้างขึ้นที่โรงงาน St. Athan แห่งเดียวกับสายการผลิตของ DBX เบื้องต้น Aston Martin ยืนยันตัวเลขการผลิตว่าจะจำกัดจำนวนไว้เพียงแค่ 155 คัน แต่ถ้าได้รับความนิยมเกินคาดก็จะขยายจำนวนการผลิตต่อไประหว่างรอการพัฒนารถไฟฟ้ารุ่นถัดไป โดยมีกำหนดเริ่มผลิตในไตรมาสที่ 4 ของปี 2019

เมื่อกลางปีที่ผ่านมา Aston ได้เผยโฉมรถรุ่น DBS Superleggera ซึ่งมีตำแหน่งทางการตลาดเสมือนมาแทนรุ่น Vanquish โดยการนำเครื่องยนต์ 5.2 ลิตรทวินเทอร์โบ 12 สูบจาก Mercedes-AMG ที่อยู่ใน DB11 มาปรับแต่งเพิ่มพลังจนได้แรงม้าถึง 725 แรงม้า เพิ่มขึ้นจาก Vanquish V12 มากกว่า 100 ตัว เวอร์ชั่นหลังคาแข็งนี้จะพร้อมสำหรับการเปิดตัวในประเทศไทยในปี 2019 โดยอาจมีการโชว์โฉมก่อนในช่วง Bangkok International Motorshow แล้วค่อยประกาศราคา (ซึ่งไม่น่าจะถูก เพราะถือเป็นสปอร์ตไลน์ปกติรุ่นสูงสุดของค่าย)

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ที่เมืองนอก ก็จะมีการเปิดตัว DBS Superleggera Volante ซึ่งก็คือเวอร์ชั่นเปิดประทุนของตัวโหด 725 แรงม้านั่นเอง ทั้งนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะมีการนำเวอร์ชั่นเปิดประทุนมาขายในไทยหรือไม่

สำหรับสปอร์ตรุ่นเล็กอย่าง Vantage นั้น แม้ว่าเพิ่งเปิดตัวรุ่น V8 Twin Turbo ในเมืองไทยไปเมื่อปี 2018 แต่สายข่าวของเราที่ยุโรปก็ตาคม ไปเจอ Vantage แบบที่มีท่อไอเสีย 4 ท่อวิ่งทดสอบอยู่แถว Nurburgring จึงเป็นไปได้ว่า Aston Martin มีแผนที่จะนำ Vantage ออกจำหน่ายหลากรุ่นหลายแบบเช่นเดียวกับในเจนเนอเรชั่นก่อน ดังนั้น เราจะมีโอกาสได้เห็น Vantage S ที่เพิ่มพลังจาก 510 เป็น 550 แรงม้า และ..เราอาจได้เห็นการกลับมาของ Vantage V12S ซึ่งคงใช้ขุมพลังอื่นใดไปไม่ได้นอกจากรุ่น 5.2 ลิตร Twin Turbo ที่ประจำการอยู่แล้วใน DB11 ทั้งหมดนี้ จะเกิดขึ้นในปี 2019 – 2020

หนึ่งในแผนการดำเนินธุรกิจของ Aston Martin คือ “จะต้องมี Hyper Car ราคาสูงเสียดฟ้าขายเสมอ” เนื่องจากพวกเขามองว่ามันเป็นตัวสร้างรายได้ชั้นดี (ไม่เหมือนกับ Bugatti Veyron ซึ่งขาดทุนในทุกคันที่ขาย)หังจากประสบความสำเร็จไปแล้วกับ Aston Martin Vulcan คราวนี้ พวกเขาก็จะส่ง Aston Martin Valkyrie Hyper Car เครื่องยนต์วางกลางลำตัว Mid-ship Engine เบนซิน 12 สูบ DOHC 48 วาล์ว 6.5 ลิตร พ่วงการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า จนมีพลังมากมายถึง 1,130 แรงม้า (PS) !!! พวกเขาตั้งเป้าว่าจะผลิต Valkyrie ในจำนวนจำกัดแค่ 150 คัน โดยจะใช้เป็นรถแข่ง 25 คัน และส่งให้ลูกค้าทั่วไป 125 คัน มีกำหนดเริ่มส่งมอบให้ลูกค้าตั้งแต่ช่วงปลายปี 2019 นี้ ไปจนถึงปี 2020

อีกหนึ่งโครงการลับของ Aston Martin ที่ Andy Palmer CEO ของค่ายเคยกล่าวไว้ในปี 2017 ก็คือ Super Car เครื่องยนต์วางกลางลำตัว Mid-Ship Engine เขามองว่าใน Line Up ปกติ จะมีแค่รถสปอร์ต หรือ GT อย่าง Vanquish กับ DBS Superleggera จากนั้นข้ามมาอีกทีก็จะเป็น Hyper Car ที่ “แค่รวยยังซื้อไม่ได้” อย่าง Vulcan และ Valkyrie นั่นแปลว่า ยังมีพื้นที่สำหรับรถ Super Car อีกรุ่นที่จะมาแทรกตัวตรงกลางได้ Palmer มองว่า Aston มีความสามารถในการผลิตรถสปอร์ตแบบ Mid-Ship Engine ได้ รวมทั้งยังมีขุมพลัง 4.0 ลิตร กับ 5.2 ลิตร ที่มีสมรรถนะสูงอยู่แล้ว ดังนั้น จึงมีโอกาสที่จะได้เห็นคู่แข่งของ Ferrari 488GTB, McLaren 720S, และ Lamborghini Huracan ออกมาในช่วงปี 2020-2021

สำหรับ Lagonda ซึ่งเป็นแบรนด์ย่อยใหม่ภายใต้การดูแลของ Aston จะเน้นการทำรถหรูหราที่มีขนาดตัวโตกว่าและแพงกว่ารถรุ่นปกติ เพิ่งจะเผยโฉมรถยนต์ต้นแบบ Lagonda Vision Concept ไปในงาน Geneva Motor Show เมื่อ 6 มีนาคม 2018 ในปัจจุบันยังไม่มีการเผยรายละเอียดออกมาเท่าไหร่ พวกเขาบอกเพียงแต่ว่า เส้นสายบนรถต้นแบบคันนี้ จะปรากฎอยู่บน Lagonda Saloon 4 ประตู ที่มีกำหนดจะออกสู่ตลาดในปี 2021 เป็นลำดับแรก ก่อนที่รุ่น Coupe และ SUV ตามออกมาใน 1 ปีหลังจากนั้น

———————————

Audi

  • 2019 : A1/ A3/ Q3/ Q4/ Q6/ A4 Minorchange / e-tron / TT Minorchange
  • 2020 : Q7 Minorchange
  • 2021 : Q9 Flagship SUV/ e-tron GT production version

Audi ในประเทศไทยโดยผู้แทนจำหน่าย Meister Technik ทำเซอร์ไพรส์ด้วยการเร่งเวลานำเข้ารถหลายรุ่นในช่วงปี 2018 ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น  A7 Sportback, A8, Q8 และส่งท้ายปีด้วย A6 Avant โดยสำหรับ Q8 นั้นต้องขอบคุณพลังของทีมงานชาวไทยที่เจรจาจนได้ขาย Q8 พวงมาลัยขวาเป็นตลาดแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเปิดตัวหลังเยอรมนีแค่ราว 4 เดือนเท่านั้น

สำหรับปี 2019 Meister Technik เพิ่งยื่นเรื่องขอรับส่งเสริมการลงทุน ในกิจการรถยนต์ไฟฟ้า และชิ้นส่วนกับทาง BOI ทันก่อนครบกำหนดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2018 ที่ผ่านมา สดๆร้อนๆ โดยวางแผนการลงทุนใช้ชิ้นส่วนในประเทศ และตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศ เพียงแต่ว่า เราจะได้เห็น Audi Made in Thailand ได้ ก็ต้องรอจนกว่ายอดขายในแต่ละปี จะปีนข้ามระดับ 3,000 คัน ขึ้นไป ซึ่งนั่นก็น่าจะไม่นานเกินรอ

ไม่เพียงเท่านั้น ในปีนี้ Audi “จะมีการเปิดตัวรถใหม่ ทุก 2 เดือน” เพื่อแสดงให้ประจักษ์ว่าพี่มาคราวนี้ มาจริง และลูกค้าจะได้เห็นรถยนต์รุ่นใหม่ๆ อย่างที่เมืองนอก ได้ใช้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เริ่มต้นกันด้วยรุ่น Entry Level สำหรับพาลูกค้า เริ่มเปิดประตูสู่แบรนด์สี่ห่วง ในช่วงแรกที่เริ่มทำตลาดเมืองไทย Audi มี Q2 เป็น Crossover รุ่นเล็ก ที่ขายไม่ค่อยออก เพราะเปิดราคามาแรงถึง 2 ล้านบาทต้นๆ  ลูกค้าเห็นแล้วไม่ปลื้ม ทำให้ต่อมา ต้องลดราคาลงเหลือ 1.99 ล้านบาท จนพอจะระบายสต็อกไปได้ ดังนั้น ปีนี้ Audi จึงเตรียมนำเข้า Audi A1 รถเล็กพริกขี้หนู ที่มีความสดใหม่มากที่สุดรุ่นหนึ่งในขณะนี้ เพราะเพิ่งเปิดตัว ในตลาดโลก เมื่อ 18 มิถุนายน 2018 ที่ผ่านมา พวกเขาคาหวังว่า A1 จะช่วยขยายโอกาสในการจับลูกค้ากลุ่มที่เริ่มต้นตัดสินใจมองหา “Premium Brand คันแรกในชีวิต” รวมถึงเป็นไก่ชนพิกัดเล็กเอาไว้คอยกวนใจ MINI Hatchback เล่นๆ

ขุมพลังที่มีจำหน่ายในตลาดโลกช่วงเริ่มต้น ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1.0 ลิตร Turbocharger 94 (PS) และ 116 แรงม้า (PS) ตามมาด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร Turbocharger 150 แรงม้า (PS) และปิดท้ายด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Turbocharger 200 แรงม้า (PS) โดยไม่มีเงาของขุมพลัง Diesel ให้เห็นกันเลย

เราอาจต้องรอให้ A1 พวงมาลัยขวา ถูกนำไปขึ้นสายการประกอบกันเสียก่อน จึงจะมีลุ้นว่าอาจได้เห็การเปิดตัวในบ้านเรา ช่วงครึ่งหลังของปี 2019 นี้ โดยยังไม่มีรายละเอียดว่าจะได้เครื่องยนต์แบบใดมาให้คนไทยเลือก

ความเห็นของผู้เขียน (Pan Paitoonpong) มองว่าผู้ซื้อรถยุโรปไม่น่าพอใจกับขุมพลัง 1.0 ลิตร แต่เครื่องยนต์ 1.5 ลิตรนั้นมีแรงเพียงพอ และถ้าจัดออพชั่นรุ่นเริ่มต้นแบบเท่ากับที่มีใน Q2 ก็จะเป็นรถยุโรปแบรนด์พรีเมียมที่ราคาถูกที่สุดรุ่นหนึ่ง ในขณะที่รุ่น 2.0 ลิตรนั้นคงมีราคาทะลุ 2 ล้าน แต่หากได้รับการสนับสนุนจากทางเมืองแม่ที่เยอรมนี อาจทำราคาในระดับ 2 ล้านบานต้นๆ ลูกค้าจะได้รถเล็กตัวแรงขับสนุกจากเมืองเบียร์ในราคาที่วัยรุ่นซื้อได้ แม้จะไม่ใช่รุ่น quattro แต่ด้วยเทคนิคช่วงล่างและโครงสร้างพื้นตัวถัง MQB เหมือน Golf GTi Mk.7 มันต้องมีพิษสงประทับใจคนเท้าหนักแน่นอน

รุ่นต่อไปที่ “ยังไงๆ ก็ต้องมาเมืองไทยแน่ๆ” นั่นคือ Audi TT  Minorchange เผยโฉมในตลาดโลกตั้งแต่ 19 กรกฎาคม 2018 ก็จะมาเปิดตัวในไทย ปี 2019 เป็นหนึ่งในรถ 6 รุ่นที่เป็นกุญแจหลักสำหรับฟันยอดขายในปีหน้า ที่ผ่านมา TT ถือเป็นรถแจ้งเกิดให้กับทางผู้แทนจำหน่ายในไทย เพราะครึ่งหนึ่งของรถที่ขายได้ทั้งปี เป็น TT รุ่น quattro 45TFSI

รุ่นใหม่อาจใช้ขุมพลังเดิม ที่จับคู่กับเกียร์ S-tronic เปลี่ยนจาก 6 เป็น 7 จังหวะ ซึ่งน่าจะช่วยให้ TT ปล่อยมลพิษน้อยลงและประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น..มากพอให้หาล้อัลลอย ที่หน้าตาดูดีกว่าเดิม สวมเข้าไปแล้ว ยังทำการทดสอบ จนค่า CO2 ไม่เกิน 150 กรัม/กิโลเมตรได้หรือไม่

อีกรุ่นที่น่าสนใจก็คือ Audi A3 ตัวถัง 8V ซึ่งเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2013 และเพิ่ง Facelift ไปในปี 2017 หากจะนำเข้ามาจำหน่าย อาจต้องพิจารณาความคุ้มค่าในการนำรถยนต์ที่ใกล้หมดอายุโมเดลมาขายในประเทศไทย ในปัจจุบัน Audi กำลังนำรถทดสอบพรางตัวของเจนเนอเรชั่นถัดไปวิ่งทดสอบอยู่ในยุโรป โดยมีกำหนดเผยโฉมในตลาดบ้านเกิดในช่วงกลางปี 2019 นี้ ดังนั้นในเมื่อ A3 ตัวถัง 8V ใกล้วันตกรุ่นขนาดนี้ จะเอาเข้ามาขายในไทยแค่ปีเดียวจะคุ้มหรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถตระกูล A นั้นไม่ใช่บ่อทำเงินหลักของ Meister Technik

ถ้าจะนำรุ่นปัจุบันมาขายเล่นก่อน 1 ปีนิดๆ และพิจารณาตามสไตล์การทำตลาดของ Audi เราคงได้รุ่น 1.4 ลิตร Turbocharger ขับเคลื่อนล้อหน้า กับอุปกรณ์ที่น่าจะใกล้เคียงหรือดีกว่าที่เราเห็นใน Q2 ไม่มากนัก เพราะการเป็นรถนำเข้า ถ้าหากประเคนอุปกรณ์เต็มพิกัดและใส่ระบบ quattro หรือเครื่องแรงๆ ราคาจะดีดไปไกลจน A-Class Sedan เห็นแล้วยิ้มรอเก๋ๆ

แต่ในกรณีของ Audi Q3 ใหม่ จะแตกต่างกันไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะเวอร์ชั่นพวงมาลัยซ้ายเพิ่งเผยโฉมไปในเดือนกรกฎาคมปี 2018 และเป็นรถที่มีความได้เปรียบคู่แข่ง เพราะ BMW X1 ก็ขายมานานและยังไม่มีโมเดลใหม่จนกว่าจะจบทศวรรษนี้ อีกทั้งยังเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเจริญเติบโตในประเทศไทย ภายในปี 2019 เราจึงน่าจะมีโอกาสได้เห็น Q3 แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะได้ใช้เครื่องยนต์แบบใด อาจเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Turbocharger 190-230 แรงม้า (PS) และDiesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Turbocharger 190 แรงม้า (PS) ซึ่งเป็นเครื่องยนต์สหกรณ์วางขวางของ Audi ก็เป็นได้

Image source: motor1.com

ถัดมา ในปี 2019 ช่วงปลายปี จนถึงต้นปี 2020 จะถึงเวลาปรับโฉมให้กับ Audi Q7 Minorchange จากข้อมูลล่าสุด เส้นสายด้านหน้าจะถูกปรับปรุงให้ดูเพรียวขึ้น เป็นไปในทิศทางเดียวกับด้านหน้าของ Audi Q8 ที่เพิ่งเปิดตัวไปในปี 2018 ที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ชุดไฟท้ายก็จะถูกเปลี่ยนมาเป็นดวงไฟสว่างเป็นแฉก คล้าย Q8 อีกเช่นกัน ภายในห้องโดยสาร จะถูกปรับปรุงเยอะกว่าภายนอก โดยจะมีการนำแผงหน้าปัด (Dashboard) พร้อมจอ Monitor สี TouchScreen แบบ Digita มาใช้ ด้านขุมพลังขับเคลื่อนนั้น มีความเป็นไปได้ที่จะใช้เครื่องยนต์ เบนซิน V6 DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร Turboharger พ่วงกับระบบ Mild-hybrid 340 แรงม้า (PS) ซึ่งแรงกว่าเครื่องยนต์ซูเปอร์ชาร์จ 333 แรงม้า (PS) ในปัจจุบัน แต่ปล่อยมลพิษน้อยลง

คนไทยจะได้สัมผัส Q7 Minorchange เร็วแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับการเปิดตัวในเยอรมนี หาก Q7 เผยโฉมในตลาดโลกภายในไตรมาสสุดท้ายของปี 2019 ก็เป็นไปได้ว่า เราจะได้เห็น Q7 Minorchange บนโชว์รูมในกรุงเทพฯ ช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2020 เป็นอย่างช้าที่สุด

ช่วงเวลาใกล้เคียงกันกับการเปิดตัว Q7 Minorchange ในเมืองนอก Audi ก็อาจเผยโฉม A4 Minochange ซึ่งมีการปรับปรุงงานออกแบบด้านหน้ารถขึ้นมาใหม่ ให้สอดรับกับแนวทางการออกแบบที่ใช้กับ Q8 ในปัจจุบัน รูปทรงของไฟหน้า/กันชนหน้าและกระจังหน้าจะเปลี่ยนไปจากเดิมแบบเห็นได้ชัด ในขณะที่ด้านท้ายอาจยังคงมีเส้นสายหลักเหมือนเดิม แต่รายละเอียดของหลอดไฟท้ายอาจเปลี่ยนเป็นทรงแฉกเหมือนใน Q8

ถ้าหาก A4 เผยโฉมตรงตามกำหนดที่เมืองนอก คือภายในช่วงไตรมาส 3 หรือ 4 ของปี 2019 ประเทศไทยเองก็อาจได้เห็น A4 Minorchange เร็วสุดคือช่วงต้นปี 2020

Image source: autoevolution

นอกจาก Q7 ไมเนอร์เชนจ์ที่มีความเป็นไปได้สูงในการมาถึงตลาดประเทศไทยแล้ว  ปี 2019 ในตลาดโลก Audi จะรุกหนักด้วย SUV สไตล์ Coupe หลากหลายโดยอาศัยพื้นฐานทางวิศวกรรมจากรุ่นที่มีขายอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Q4 (หรืออาจเปลี่ยนชื่อเป็น Q3 Sportback) ซึ่งใช้แพลทฟอร์ม MQB เครื่องวางขวางของ Q3 ตามมาด้วย Q6 ซึ่งก็คือ Q5 เวอร์ชั่น Coupe SUV Style นั่นเอง

ส่วน Q9 นั้น ยังไม่มีใครเห็นโฉมหน้าของรถทดสอบ เราทราบแต่เพียงว่ามันจะมาเป็น Flagship ของรถ SUV ที่มีความหรูหรา และมีขนาดตัวโตยิ่งกว่า Q7 ขึ้นไปอีก Audi มีความตั้งใจที่จะสร้างรถรุ่นนี้มาเพื่อตลาดอเมริกัน และจีนโดยเฉพาะ ดังนั้นความคุ้มค่าที่จะนำมาขายในไทยจึงยังเป็นเรื่องที่น่ากังขา

สำหรับรถขุมพลังไฟฟ้า Audi ก็ได้นำ e-tron บอดี้ SUV มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ 608 แรงม้า มาเผยโฉมในช่วงปลายปี 2018 ตามที่สัญญาไว้ และยังนำรถรุ่น e-tron GT Concept ออกมาโชว์โดยบอกว่ารถคันนี้จะถูกพัฒนาต่อจนเป็นเวอร์ชั่นขายจริงที่พร้อมส่งมอบให้ลูกค้าได้ในปี 2021 รถคันนี้ใช้โครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาร่วมกับ Porsche Taycan และติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด กำลังขับรวม 590 แรงม้า ใช้แบตเตอรี่ขนาด 90 kWh ที่ทำให้วิ่งได้ไกล 400 กิโลเมตร

ลูกค้าชาวไทย จะได้สัมผัสกับ ตระกูล e-tron บอดี้ SUV กันแน่นอน เนื่องจาก ทางบริษัทแม่ในเยอรมนี เขาอยากให้ e-tron เข้าไปทำตลาดในทุกประเทศให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ และที่สำคัญ คู่แข่งอย่าง Mercedes-Benz ก็มีแผนนำรถพลังไฟฟ้ามาจำหน่ายแล้วยังลงทุนมหาศาลสร้างโรงงานแบตเตอรี่ในไทยอีก ดังนั้น Audi ก็จะชิงความได้เปรียบ ด้วยการนำเข้าเจ้า e-tron นี้ มาโชว์ตัวที่งาน Bangkok International Motor Show 2019 ปลายเดือน มีนาคม 2019 นี้ อย่างฉับไวเช่นเคย

____________________________

BENTLEY

  • 2019 : Continental GT Convertible & Bentayga Plug-in (Thailand Premier) /
    Flying Spur & New EV Sportscar (World Premier)
  • 2020 : Flying Spur Saloon (Thailand Premier)

ปี 2018 AAS Auto Service ประกาศราคาและเปิดรับจอง Continental GT Coupe ด้วยตัวเลข 21.5 ล้านบาท เมื่อ 12 มกราคม 2018 ก่อนจะนำรถคันจริง มาจัดแสดงในงาน BangkokInternational Motor Show เมื่อ 28 มีนาคม 2018 ร่วมกับ Bentley Bentayga Diesel ก่อนจะปิดท้ายความเคลื่อนไหวด้วยการเปิดตัว Bentley Bentayga ขุมพลัง V8 เบนซิน ในงาน Motor Expo เมื่อ 29 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา

สำหรับตลาดต่างประเทศ Bentley เพิ่งเผยโฉม Continental GT Convertible (GTC) รุ่นใหม่ไปเมื่อปลายปี 2018 ที่ผ่านมา และผู้แทนจำหน่ายทางไทยอย่าง AAS ก็ไม่รอช้า กำลังเดินหน้าเจรจาเอาเข้ามาขายอยู่และคาดว่าภายในครึ่งแรกของปี 2019 เศรษฐีไทยจะมีโอกาสได้ซื้อกัน เครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนก็เหมือนกับรุ่น W12 Coupe ที่ขายในไทยมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ของปี เป็นแบบ 6.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ 635 แรงม้า ให้แรงบิดสูงสุดถึง 900 นิวตันเมตร

ในช่วงปี 2019 นี้ Bentley ก็จะเริ่มนำขุมพลังทางเลือก มาทยอยติดตั้งให้กับ Continental GT ทั้ง 2 ตัวถัง เนื่องจากการใช้พื้นโครงสร้างตัวถังแบบ MSB ซึ่งแชร์กันใช้กับ Porsche Panamera ดังนั้น ไม่ต้องสืบก็รู้ได้ว่า Continental GT V8 รุ่นต่อไป ก็จะใช้เครื่องยนต์ V8 Fourcam 32 วาล์ว 4.0 ลิตร 530-550 แรงม้า (PS) และล่าสุด จะมีการนำขุมพลัง Plug-in Hybrid มาใส่ด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น ขุมพลัง Hybrid เสียบปลั๊ก บล็อกนี้ ก็จะถูกส่งไปติดตั้งอยู่ใน Bentley Bentayga Plug-in Hybrid รถยนต์ Hybrid แบบผลิตขายจริง คันแรกในประวัติศาสตร์ของ Bentley

ข้อมูลทางเทคนิค ยังไม่ถูกเปิดเผยออกมามากนัก ทราบแต่เพียงว่า Bentayga Plug-in Hybrid จะใช้เครื่องยนต์เบนซิน V6 DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร Turbocharger พ่วงกับมอเตอร์ไฟฟ้า ยังไม่มีการแจ้งขนาดแบตเตอรี่ Lithium-ion แต่ Bentley เคลมว่ารถคันนี้สามารถแล่นได้ด้วยการใช้ไฟฟ้าล้วนๆ หรือ EV Mode ไกลประมาณ 50 กิโลเมตร เดาได้ไม่อยากเลยว่า มันก็คือชุดขุมพลังและระบบขับเคลื่อนแบบเดียวกับใน Porsche Cayenne e-Hybrid เพื่อนร่วมเครือญาติร่วมค่าย ที่มีพลัง 462 แรงม้า (PS) นั่นเอง

Bentayga Plug-in Hybrid มีกำหนดขึ้นสายการผลิต และออกจำหน่ายจริงในปี 2019 รวมถึงจะมีการส่งมาขายในประเทศไทย อาจเป็นช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2019 นี้ ด้วยราคาที่ถูกลงกว่ารุ่น V8 เบนซิน ที่ขายในไทยตอนนี้ (21.5 ล้านบาท) จากเหตุผลด้านภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิต จนทำให้กลายเป็น Bentley ยุคใหม่ที่ราคาถูกที่สุด (แต่ยังเกินเอื้อมสำหรับคนทั่วไป) อย่างไรก็ตามอย่าคาดหวังราคาให้เป็นตัวเลข 7 หลัก เพราะไม่งั้นก็จะแย่งลูกค้ากันเองกับ Porsche Cayenne e-Hybrid

ปลายปี 2019 ถึงต้นปี 2020 Bentley จะมีรถโมเดลใหม่เปิดตัวอีก 2 รุ่น ได้แก่ รถสปอร์ต EV ขนาดกลางคันใหม่ ซึ่งอาจมีรายละเอียดทางการออกแบบที่ใกล้เคียงกับรถต้นแบบ EXP 12 6e คันที่อยู่ในภาพบน โดย Wolfgang Durheimer CEO ของ Bentley บอกว่าก่อนหน้านี้ทาง Bentley มีความประสงค์ที่จะลองสร้างรถ SUV พลังไฟฟ้าที่ขนาดตัวเล็กกว่า Bentayga ลงมา แต่ในปัจจุบันโครงการดังกล่าวถูกพับไปก่อน แล้วดันโครงการรถสปอร์ต EV ขึ้นมาแทน อาจต้องรอถึงช่วงกลางปี 2019 จึงจะมีรายละเอียดของขุมพลังขับเคลื่อนออกมามากกว่านี้ แต่ถ้าใครอยากรู้ไวๆ ลองดูข้อมูลต่างๆของ Porsche Taycan ดูได้ เพราะอาจไม่แตกต่างกันนัก

ต่อมา คือรถซาลูนหรู มียศทางการตลาดระดับเดียวกับ Continental GT อย่าง Flying Spur (ไม่มีคำว่า Continental นำหน้าตั้งแต่รุ่นก่อนหน้านี้) ซึ่งกำลังวิ่งทดสอบเพิ่มเติมอยู่ในขณะนี้ รูปทรงเท่าที่เห็น พอจะบอกได้ว่ารุ่นใหม่จะดูเพรียวลมขึ้นในลักษณะเดียวกับที่ Continental GT ใหม่ดู “ผอมสลิม” ลงจากรุ่นก่อน ขุมพลังที่มีให้เลือก ก็ยกยวงมาจาก Continental GT คือ W12 6.0 ลิตร, V8 4.0 ลิตร และทาง Bentley ยืนยันมาแล้วว่าจะมีรุ่น V6 3.0 ลิตร Plug-in Hybrid ตามออกมา

สิ่งที่คุณควรรู้ไว้ก็คือ Bentley ยังประกาศด้วยว่า Flying Spur นี้จะเป็นรถรุ่นสุดท้ายของ Bentley ที่จะมีเครื่องยนต์สันดาปภายในล้วนๆให้เลือกซื้อ เพราะรุ่นใหม่ที่ตามมานับจากปี 2021 เป็นต้นไป จะมีมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยในการขับเคลื่อนทั้งหมด

____________________________

BMW / MINI

  • 2019 : 3-Series Full Model change 320d CBU / 330e Made in Thailand / X7 / Z4 20i & M40i / 7-Series LCI / X5 Plug-in Hybrid + Made in Thailand / X6 (Global)/ X4 ” Hot Version ”
  • 2020 : X3 EV (iX3) / 4 Series Full Model Change / X1 LCI/ MINI-e (EV)

ปี 2019 จะเป็นปีทำงานหนักสำหรับคนใน BMW Thailand อีกครั้งเพราะเป็นเวลาที่มีรถหรูหลายรุ่นเปิดตัวชนกัน เริ่มกันตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกของปีด้วยรถยนต์ที่จะมากู้สถานการณ์อย่าง BMW ซีรีส์ 3 ตัวถัง G20 ที่เพิ่งจะเผยโฉมหน้ากันไปเมื่อเดือนตุลาคม 2018 ที่ผ่านมา

ในช่วงต้นปี ซีรีส์ 3 ที่ขายในไทย จะยังเป็นรถนำเข้าแบบสำเร็จรูปยกคัน มีขุมพลังให้เลือก 2 รูปแบบ คือ 320d เครื่องยนต์ B47 Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร TwinPower Turbo 190 แรงม้า (HP) ขับเคลื่อนล้อหลังด้วย เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ แต่ยังไม่แน่ว่าจะมีระดับการตกแต่งแบบใดให้เลือกบ้าง โดยปกติ BMW มักจะมีรุ่นย่อยพื้นฐาน Luxury ซึ่งตกแต่งแบบเอาใจคนแก่ 1 รุ่น และแบบ M Sport อีก 1 รุ่นย่อย เป็นแบบนี้มาตลอดในระยะ 3-4 ปีให้หลังมานี้

อย่างไรก็ตามไฮไลท์เด่นของซีรีส์ 3 น่าจะไปอยู่ที่ช่วงท้ายปี เมื่อมีการเปลี่ยนจากการนำเข้า เป็นการนำชิ้นส่วนรถเข้ามาประกอบภายในประเทศ (SKD) โดยเมื่อถึงเวลานั้น ก็อาจยังมี 320d เป็นทางเลือกแบบพระรอง ในขณะที่บทพระเอกจะเป็นของ 330e ซึ่งมาพร้อมกับขุมพลังเบนซิน 2.0 ลิตรเทอร์โบ 184 แรงม้า บวกกับมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมฟังก์ชั่น Xtraboost ซึ่งจะสามารถระเบิดพลังสูงสุดรวม 292 แรงม้าได้เป็นช่วงสั้นๆ นอกจากนี้ยังเพิ่มขนาดแบตเตอรี่จาก 7.6 เป็น 12 kWh ทำให้สามารถวิ่งในโหมดไฟฟ้าล้วนได้ไกล 60 กิโลเมตร

ในขณะที่ 3 Series Saloon เริ่มทำตลาดในไทย ทางฝั่ง Munich ก็กำลังทดสอบ 3-Series และเพื่อนพ้องตัวถังแบบอื่นที่จะตามมา เช่น 3 Series Touring ซึ่งน่าจะได้ใช้รหัสรุ่น G21 และ 4 Series ทั้ง Coupe และเปิดประทุน Convertible (รหัสรุ่น G23 และ G22 ตามลำดับ) ก็กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาเช่นเดียวกัน จุดเด่นของรุ่นเปิดประทุนก็คือมีการเปลี่ยนหลังคา จากเดิมเป็นหลังคาแข็งพับได้ 3 ชิ้น ก็จะเปลี่ยนเป็นหลังคาผ้าใบ ซึ่งก็เป็นไปในทางเดียวกันกับ 8 Series และ Z4 ที่ล้วนกลับไปใช้หลังคาผ้าใบเช่นเดียวกัน โดยทีมวิศวกรให้เหตุผลว่ามันช่วยลดน้ำหนักส่วนเกินได้ 100 กิโลกรัม

3 Series Touring น่าจะเปิดตัวในตลาดโลกอย่างเร็วก็คือต้นปี 2019 ส่วน 4 Series นั้นต้องรอไปถึงช่วงปลายปี ส่วนขุมพลังขับเคลื่อนแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเบนซินหรือดีเซล จะยกมาจากซีรีส์ 3 ซาลูน ยกเว้นแต่ขุมพลังไฮบริดซึ่งยังไม่มีการกล่าวถึงในรุ่นซีรีส์ 4 ส่วนรุ่นแรงสุดอย่าง M3 กับ M4 นั้น ในช่วงนี้เริ่มมีการแอบทดสอบกันที่สนาม Nurburgring แต่กว่าจะทำตลาดได้ก็คงต้องรอไปถึงปี 2020 หรือหลังจากนั้น ซึ่งจะเป็นเวลาใกล้เคียงกับช่วงที่ 4 Series มาเปิดตัวในไทย

อย่างไรก็ตาม โอกาสในการมาทำตลาดในไทยสำหรับรุ่น Touring นั้น อย่าเพิ่งคาดหวังมาก เพราะที่ผ่านมา รถยนต์แบบ Station Wagon หรือ Touring ทั้ง 3 Series และ 5 Series รุ่นปัจจุบัน ต่างมียอดขายน้อยมาก จน BMW Thailand อาจเริ่มมองว่าไม่คุ้มที่จะนำเข้ามาจำหน่าย

สำหรับใครที่รอ รถสปอร์ตเปิดหลังคารุ่น Z4…ขอแสดงความยินดีด้วย เพราะในปี 2019 BMW Z4 (G29) พวงมาลัยขวา ซึ่งพัฒนาร่วมกันกับ Toyota จะถูกส่งเข้ามาเปิดตัวในประเทศไทย คราวนี้ ไม่ได้มาแค่รุ่น sDrive20i 2.0 ลิตรเทอร์โบ 197 แรงม้า (HP) เท่านั้น แต่ยังจะมีรุ่น “M40i” เครื่องยนต์ B58 เบนซิน 6 สูบ DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตรเทอร์โบ 340 แรงม้า (HP) เข้ามาขายด้วย กระนั้น อาจต้องทำใจเพราะ Z4 ใหม่ เวอร์ชันไยจะมีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะเท่านั้น อีกทั้งราคาขายปลีก ก็ดูแล้วไม่น่าจะเป็นมิตรเท่าไหร่ (ลองดูราคาของ M2 ซึ่งเป็นรถยนต์ Coupe 2 ประตู หลังคาแข็งก่อนก็ได้) กำหนดเปิดตัว น่าจะเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุด คือ งาน ฺBangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2019

อีกรุ่นหนึ่งที่อาจจะมาแบบเซอร์ไพรส์ก็คือ X4 เวอร์ชั่นพลังแรง 6 สูบ Turbo ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่แน่ชัดว่าเป็นรุ่นใด แต่ถ้าลองไล่เรียงดูจากบรรดารุ่นย่อยทั้งหมดของ X4 ที่มีจำหน่ายอยู่ในตลาดโลกตอนนี้ จะมีเพียงแค่ 2 รุ่นเท่านั้นที่เข้าข่าย นั่นคือ X4 xDrive M40d เครื่องยนต์ Diesel 6 สูบ DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร Turbocharger 326 แรงม้า (HP) หรือ X4 xDrive M40i ซึ่งดูมีความเป็นไปได้สูงกว่า เพราะสามารถแชร์สต็อคอะไหล่เครื่องยนต์กับ Z4 M40i ได้ แต่เพื่อรับกับน้ำหนักตัวที่มาก X4 ตัวแรงจะได้พลังเพิ่มจาก 340 เป็น 355 แรงม้า (HP) เพื่อไปท้าชิงกับ Mercedes AMG GLC43 Coupe ได้อย่างสมศักดิ์ศรี

อย่างไรก็ตาม รุ่น Top Performance model อย่าง X4M ขุมพลัง 6 สูบ DOHC 24 วาล์ว Turbocharger ก็อยู่ในระหว่างการเตรียมเปิดตัวที่ยุโรป ในปี 2019 นี้ ถ้าหาก BMW Thailand เกิดบ้าจี้ สั่งนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคัน มาขายกันจริงๆ อาจทำให้ลูกค้าช็อค 2 จังหวะ ช็อคแรก คือ ไม่คิดว่ามันจะมา กับช็อกที่ 2 ก็คือ ค่าตัวที่น่าจะแพงระเบิด หากถามว่าแพงแค่ไหน ลองดูราคา M4 รุ่นปัจจุบันเป็นเกณฑ์ก็แล้วกัน

ส่วนแฝดผู้พี่ อย่าง BMW X3 นั้น จะถูกเพิ่มทางเลือกใหม่ ด้วยเวอร์ชั่นขุมพลังไฟฟ้าล้วนในชื่อ BMW iX3 เพราะก่อนหน้านี้ BMW ได้ไปจดลิขสิทธิ์ชื่อทางการค้าเอาไว้ครบตั้งแต่ iX1-iX9 แล้วหลังจากนั้นก็มีคนถ่ายภาพลับรถ X3 หน้าตาสีสันชวนนึกถึงร้านอาหารสีฟ้านี้ได้ที่สวีเดน ซึ่งมีคนแอบสำรวจพบใต้ท้องที่แตกต่างจาก X3 ทั่วไปและไม่มีปลายท่อไอเสีย คำถามคือ BMW จะใช้วิธีเอาขุมพลังไฟฟ้าจับใส่ในรถที่มีอยู่แล้วงั้นหรือ? เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็จะขาดข้อได้เปรียบทางรูปลักษณ์ต่อรถอย่าง Mercedes-Benz EQC และ Audi e-tron แต่ถ้าจะเอาออกมาขายให้เร็วที่สุด ก็ต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น

ยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมถึงขุมพลังและขนาดแบตเตอรี่ของ iX3 แต่ภายในปี 2019 รายละเอียดต่างๆน่าจะมีมากขึ้น เพราะกำหนดการเผยโฉมอาจเป็นช่วงปลายปี 2019 และพร้อมส่งมอบให้ลูกค้าได้ในปี 2020

อีก 1 รุ่นที่จะเผยโฉมในเวลาไล่เลี่ยกันกับ iX3 ก็คือ SAV ขนาดเล็กของทางค่าย X1 LCI (Minorchange) ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยที่ชิ้นส่วนด้านหน้าทั้งหมด และชุดไฟท้ายลายใหม่ ส่วนภายในห้องโดยสารนั้น ยังไม่สามารถยืนยันได้เพราะรถทดสอบที่แล่นอยู่ในเยอรมนี ตีผ้าคลุมแดชบอร์ดปิดไว้เกือบหมด แต่เป็นไปได้ว่าอาจมีดีไซน์ใหม่ที่คล้าย BMW X2

นอกนั้น ก็แทบไม่ค่อยมีความปลี่ยนแปลงอื่นใดมากนัก คนที่ใช้ X1 รุ่นปัจจุบัน อยู่อาจไม่ต้องน้ำตาตกเศร้าใจกันไปนัก ด้านขุมพลังและระบบขับเคลื่อน ก็ยังเป็นแบบเดิมเนื่องจาก BMW ลงทุนไปมากมายมหาศาลกับเครื่องตระกูล B37, B38, B47 และ B48 ส่วนเกียร์คลัตช์คู่แบบใหม่นั้น ก็ใช้อยู่กับรุ่นเบนซินตั้งแต่ปี 2018 อยู่แล้ว

X1 LCI มีกำหนดเผยโฉมในช่วงปลายปี 2019 สำหรับเมืองไทยอาจต้องรอถึงปี 2020 เนื่องจากเท่าที่ทราบมา ไม่มี X1 LCI อยู่ในแผนเปิดตัวของ BMW Thailand ในปี 2019

ส่วนใครก็ตามที่ชื่นชอบรถท้ายตัดตัวสั้นขับเคลื่อนล้อหลังอย่าง 1 Series ก็ต้องขอบอกไว้เลยว่า เจนเนอเรชั่นปัจจุบันจะเป็นรุ่นสุดท้ายที่ใช้แพลทฟอร์มขับหลัง เพราะเมื่อรถรุ่นใหม่เปิดตัวในปี 2019 คุณจะได้ BMW แฮทช์แบ็คขับหน้า ใช้โครงสร้างพื้นฐานที่ยกมาจาก UKL2 ของ MINI Countryman ตัวใหม่ สาเหตุที่จำเป็นต้องใช้รูปแบบขับเคลื่อนล้อหน้าเพราะการทำรถเล็กให้มีเนื้อที่ห้องโดยสารกว้างขึ้น 1 Series รุ่นใหม่ จะใช้ขุมพลังเดียวกันกับที่มีใน X2 เริ่มต้นตั้งแต่เครื่อง 1.5 ลิตร 3 สูบเทอร์โบ ไปจนถึง 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบ เวอร์ชั่นแรงที่สุดอาจมีแรงม้าได้ราว 231 ตัว เท่ากับเครื่องยนต์ John Cooper Works ของ MINI

ข่าวที่ไม่สู้จะดีอีกเรื่องที่ได้ยินมาก็คือ 2 Series ตัวถังคูเป้และเปิดประทุนตัวใหม่ที่จะตามออกมา 1 ปีหลังจาก 1 Series ก็จะใช้โครงสร้างตัวถังแบบเครื่องยนต์วางขวางขับเคลื่อนล้อหน้าเช่นเดียวกัน นี่ก็หมายความว่า BMW คันเล็กขับหลังพลัง 6 สูบ ก็จะสิ้นสุดลง ณ เจนเนอเรชั่นปัจจุบัน

มาที่รถขนาดใหญ่ขึ้นสักหน่อย BMW X5 รุ่นใหม่ ถูกสั่งเข้ามาเผยโฉมตั้งแต่งาน Motor Expo 2018 ราคาของรุ่น X5 xDrive30d ขุมพลัง Diesel 6 สูบ DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร เปิดราคามาแล้วเมื่อกลางเดือน มกราคม 2019 เคาะที่ 5,699,000 บาท (อ่านได้ที่นี่)

แต่หลังจากนั้น เมื่อเข้าสู่ครึ่งหลังของปี หรืออาจเป็นช่วงใกล้ Motor Expo เดือนพฤศจิกายน 2019 BMW ก็มีแผนเตรียมนำชิ้นส่วน X5 เข้ามาประกอบในประเทศ และเปลี่ยนเป็นรุ่น xDrive45e Plug-in Hybrid ซึ่งพัฒนาไปไกลจาก xDrive40e ในเจนเนอเรชั่นก่อนหน้านี้มาก ทั้งเรื่องขุมพลังสันดาปภายในที่เปลี่ยนจาก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Turbocharger สุดแสนเก่า ไปเป็นเครื่องยนต์รหัส B58 เบนซิน 6 สูบเรียง DOHC 24 วาล์ว เทอร์โบรุ่นใหม่ เพิ่มพลังรวมกับมอเตอร์ จากเดิม 313 เป็น 394 แรงม้า (HP) มีแบตเตอรี่ที่โตกว่าเดิม และวิ่งแบบ EV Mode ได้ไกลกว่าเดิมอีก 20 กิโลเมตร

ส่วนแฝดผู้น้อง สไตล์ Coupe SUV หลังคาเตี้ยอย่าง X6 ใหม่ รหัสตัวถัง G06 นั้น กำลังอยู่ในระหว่างการวิจัยและปรับแก้ส่วนต่างๆเป็นขั้นสุดท้าย แม้ว่าทาง BMW ยังไม่ได้บอกใบ้ว่า X6 ใหม่จะมาถึงเมื่อไหร่ แต่สายข่าวฝรั่งยุโรป (ที่เว็บเราต้องจ่ายค่า ซื้อภาพถ่าย Spyshot จากพวกเขา ปีละหลายหมื่นบาท) บอกมาว่า X6 บอดี้เดิม มีกำหนดที่จะยุติการผลิตที่โรงงาน Spartanburg, USA ในเดือนกรกฎาคม 2019 ดังนั้นช่วงเวลาดังกล่าวน่าจะเป็นเวลาเฉิดฉายของเจนเนอเรชั่นใหม่

ดังนั้น การมาถึงของ X6 ใหม่ จะเกิดขึ้นในยุโรป ช่วงกลางปี 2019 และสำหรับลูกค้าชาวไทย น่าจะได้เห็น X6 อย่างเร็วสุดในงาน Motor Expo 2019 และช้าสุดคือช่วงไตรมาสแรกของปี 2020

สำหรับ BMW X7 SUV ขนาดยักษ์ใหญ่ยาว 5.15 เมตร มาพร้อมกับที่นั่ง 3 แถว 6 ที่นั่ง หลายคนอาจคิดว่า BMW Thailand ไม่น่าจะเอาเข้ามาจำหน่าย ปรากฎว่า เอาเข้าจริงแล้ว พวกเขากำลังเตรียมจะสั่งเข้ามาขาย เพื่อเพิ่มทางเลือกรุ่นย่อยให้กับบรรดารุ่นสูงสุดของตระกูล “BMW Elite Models” ในไทย มีครบรุ่นตั้งแต่ 7 Series, 8 Series, i8 และ X7

จับตาดูในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีว่าเราจะได้ X7 ขุมพลังใด ถ้าให้ลองแทงล็อตเตอรี่สหกรณ์ใบพัดขาวฟ้า ก็คงหนีไม่พ้นรุ่น 30d ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ Diesel 6 สูบเรียง DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร 265 แรงม้า (HP) ซึ่งประจำการอยู่แล้วใน 730Ld เวอร์ชันไทย แต่สำหรับเครื่องยนต์เบนซินบล็อกใหญ่ V8 4.4 ลิตรทวินเทอร์โบ 462 แรงม้า (HP) บอกได้ว่า อาจมีลุ้น เพราะขุมพลังดังกล่าว มันก็ถูกวางอยู่ใน M850i ที่เพิ่งเปิดตัวในเมืองไทย เมื่อปีที่แล้ว เหมือนกัน

และเมื่อพูดถึง Elite Models ของ BMW ก็ต้องไม่ลืมที่จะบอกว่า 7 Series LCI (Minorchange) ก็อยู่ในช่วงสุดท้ายของการพัฒนา โดยจะมีการปรับปรุงรายละเอียดของชุดไฟหน้า / ไฟท้าย เปลือกกันชนหน้า / หลัง แต่ภายในห้องโดยสาร อาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากเท่ารุ่นอื่นๆ เพราะของที่มีอยู่แต่เดิมนั้น ก็เพียบพร้อมและหรูหราพอจะฟัดเหวี่ยงกับคู่แข่งอยู่แล้ว เพียงแต่จะมีการ Update บรรดา Software ระบบต่างๆ รวมทั้งระบบ Multimedia เวอร์ชันใหม่ให้ทันสมัยตามยุค ในเมืองนอก มีการเผยหน้าตากันไปแล้วในวันที่ 16 มกราคม และอาจจะมาถึงไทยเร็วสุดในช่วงครึ่งแรกของปี หรืออาจจะรอเปิดตัว พร้อมๆกับ X7 กันไปเลย

ขุมพลังมีรายงานว่า BMW 7-Series LCI จะปรับปรุงรุ่น 740e iPerformance โดยเปลี่ยนไปใช้ชื่อ 745e iPerformance ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบ 3.0 ลิตร พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 388 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ส่วนรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในอย่าง 740i, 750i และ M760i ยังคงอยู่เช่นเดิม

ส่วนขุมพลังสำหรับเวอร์ชันไทยนั้น ไม่น่าจะหนีไปจากเวอร์ชั่นปัจจุบัน โดยยืนพื้นกับรุ่น 730Ld เครื่องยนต์ Diesel 6 สูบ DOHC 24 วาล์ว Turbocharger และอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งเป็นขุมพลัง Plug-in Hybrid ที่จะต้องรอดูกันว่าจะเป็นรุ่น “740Le” เครื่องยนต์เนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร  Turbocharger พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้าแบบรุ่นเดิม หรือจะได้อัปเดตเป็น “745Le” เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร Turbocharger พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้า แบบเดียวกับที่จะมาใน X5 xDrive45e ในช่วงปลายปี 2019 ไปเลย เพื่อให้สะดวกต่อการสต็อกอะไหล่ หากเป็นทางเลือกหลัง 745Le จะยิ่งน่าสนใจเพิ่มทวีคูณ

ด้านเวอร์ชัน Coupe อย่าง 8 Series Coupe ซึ่งเพิ่งเปิดตัวในเมืองไทยไปนั้น ก็มีความเคลื่อนไหวต่อเนื่อง เพราะในต่างประเทศ มีการเปิดตัวเวอร์ชันเปิดประทุน 8 Series Convertible ไปเรียบร้อยแล้ว และมีโอกาสจะส่งมาเปิดตัวในเมือไทยต่ออีกระลอก ล่าสุด 8 Series Gran Coupe 4 ประตู ก็กำลังถูกทดสอบในยุโรป

สำหรับประเทศไทยนั้น 8 Series Gran Coupe ยังไม่อยู่ในแผนการเปิดตัวปีหน้า ณ ปัจจุบัน จึงเป็นไปได้ว่าเราอาจต้องรอจนปี 2020 ถึงจะได้มีโอกาสเห็นกันในตลาดประเทศไทย รถรุ่นนี้จะได้จำนวนเครื่องยนต์แบบใหม่เพิ่มเติมจากรุ่น Coupe/Convertible ซึ่งแต่เดิมจะมี 840d และ M850i คราวนี้จะมีรุ่น 840i เบนซิน และ M850d ดีเซลพลังสูงมาให้ แต่ BMW ยืนยันแล้วว่า “ไม่มี V12 นะจ๊ะ”

ข้ามาดูแบรนด์ MINI กันบ้าง นอกจากเวอร์ชั่น LCI ของ John Cooper Works แล้ว น่าจะยังไม่มีอะไรใหม่ๆมาถึงไทย ภายในปี2019 เพราะ MINI-E ที่เป็น MINI พลังไฟฟ้าล้วนเวอร์ชั่นพร้อมขายจริงนั้นจะยังไม่พร้อมที่จะออกจากโรงงานจนกว่าจะเดือนพฤศจิกายน 2019 และกว่าจะส่งถึงมือลูกค้าจริง เราอาจต้องรอไปถึงไตรมาสที่ 2 ของปี 2020

นั่นก็เป็นสาเหตุที่การเปิดตัวของ MINI Hatchback เจนเนอเรชั่นต่อไปอาจต้องเลื่อนไปจากเดิม เพราะหากไม่เช่นนั้น MINI-E (หรือ Cooper E) จะมีเวลาในการทำตลาดน้อยมาก MINI Hatchback รุ่นต่อไปอาจเปิดตัวในช่วงปลายปี 2020 และส่งมอบจริงในช่วงปี 2021 โดยจะยกเลิกการใช้โครงสร้างตัวถัง UKL เปลี่ยนมาเป็นแพล็ตฟอร์มใหม่ ชื่อ FAAR (Front Antriebs ArchitektuR ภาษาเยอรมัน..อ่านว่า ฟรอนท์ อานเทรียบส์ อาร์คชิเทคทัวร์..กว่าจะอ่านออกก็เกือบเป็นบ้า) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานแบบใหม่ที่ BMW Group พัฒนามาใช้กับรถเก๋งขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเครื่องยนต์วางขวาง ยุคต่อไป

ส่วนบอดี้อื่นๆนั้น Clubman จะมีการอัปเดตอีกครั้งในปี 2019 และเปลี่ยนตัวถังใหม่แพลทฟอร์ม FAAR ในปี 2022 ในขณะที่ Countryman มีกำหนด LCI ประมาณปี 2020 และเปลี่ยนเป็นตัวถังใหม่ในปี 2023-2024 แต่นั่นอาจยังเป็นอนาคตที่เร็วเกินไปที่จะสรุปได้ในขณะนี้

____________________________

CHEVROLET 

  • 2019 : All New Small SUV (from SAIC Indonesia) call ” Captiva “…!?/
    Colorado / Trailblazer Model Year 2019 & Special Model
  • 2020 – 2021 : Colorado Full Model Change / New SUV ? / New Minivan ?
  • 2022 : Trailblazer Full Model Change

ตลอดปี 2018 หลังจากปรับโครงสร้างองค์กรขนานใหญ่ในปีก่อนๆ Downsizing ลดพนักงาน ลดทุกสิ่งอย่าง แม้กระทั่งลดจำนวนรุ่นรถยนต์ ให้เหลือเพียงแค่ Colorado กับ Trailblazer เป็นหัวหอกหลัก โดยยังผลิต Captiva และ Cruze Minorchange ขายต่อไปจนกว่าชิ้นส่วนจะหมด GM พยายามประคับประคองยอดขายทั้งรถกระบะ Colorado และ SUV / PPV รุ่น Trailblazer อย่างยากลำบาก ท่ามกลางสภาพการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งแก้ปัญหาบริการหลังการขาย ด้วยการเพิ่มความเข้มงวดในมาตรฐานของช่าง ปิดโชว์รูมและศูนย์บริการไป 4 แห่ง แต่จับมือนักลงทุน เปิดดีลเลอร์รายใหม่อยู่บ้างประราย

กระนั้น GM ก็ยัง หาช่องทาง เปิดตัวรุ่นพิเศษให้กับรถยนต์อเนกประสงค์ และรถกระบะของพวกเขาในบ้านเรา ได้อยู่ตลอด เริ่มจาก 8 มีนาคม 2018 ด้วย Captiva สีขาวมุก ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการปรับปรุงอุปกรณ์ครั้งสุดท้าย ตามด้วย Chevrolet Colorado High Country สีใหม่ Dark Shadow Metallic และ High Country Storm สีใหม่ Orange Crush รวมทั้ง ชุดแต่ง Phoenix Edition สำหรับ Trailblazer เมื่อ 27 มีนาคม 2018 ในงาน Bangkok Motor Show จากนั้น ตามด้วย Colorado รุ่นปี 2019 พร้อมชุดแต่ง Thunder เมื่อ 8 พฤษภาคม 2018 รวมทั้ง Chevrolet Trailblazer Z71 สีดำทมิฬ ที่ได้ ปิดท้ายกับ รุ่นพิเศษ สีดำทมึฬ  Chevrolet Colorado Midnight (ไก่ตอน) Edition จำนวนจำกัด 100 คัน เมื่อ 21 พฤศจิกายน 2018 ก่อนส่งเข้างาน Motor Expo อีก 6 วันหลังจากนั้น

งาน Motor Expo ครั้งนี้นี่เอง ที่ GM/Chevrolet เริ่มปล่อยข่าว ออกมาว่า ปี 2019 นี้ พวกเขาจะเริ่มประเดิมปีด้วย Surprise สำคัญ นั่นคือ การเปิดตัว SUV รุ่นใหม่ ถอดด้าม รุ่นแรกในรอบหลายปี สำหรับตลาดเมืองไทย แน่นอนว่า หลายคนพากันคาดเดาไปต่างๆนาๆ ว่าน่าจะเป็น รุ่นนั้น รุ่นนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้เขียน ขอยืนยันให้ตรงนี้ว่า SUV คันดังกล่าว…

  • ไม่ใช่ Chevrolet Blazer ใหม่ ซึ่งเพิ่งจะเปิดตัวแต่ยังไม่พร้อมทำตลาดในอเมริกาเหนือเลย
  • ไม่ใช่ Chevrolet Equinox ซึ่ง มีฐานผลิตอยู่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น หากนำเข้ามาขายในไทย เสียภาษีอ่วม ราคาขายแพงแน่
  • ไม่ใช่ Chevrolet Trax / Tracker Small Crossover Hatchback SUV ที่ขายกันมาตั้งแต่ปี 2014 แล้ว ไม่มีแผนมาไทยแน่ๆ

ทุกท่านครับ…SUV รุ่นใหม่ดังกล่าว…มีชื่อว่า… Chevrolet Captiva…

แต่เดี๋ยวก่อน…ถ้าคุณกำลังคิดว่า พวกเขาจะเปลี่ยนโฉมใหม่แบบ Full ModelChange ให้กับ Captiva คันเดิม คุณกำลังเข้าใจผิดอย่างมหันต์!! อ่านย่อหน้าข้างล่างนี้ให้ดีๆ…!!

เรื่องของเรื่องก็คือ GM จับมือกับ SAIC ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในจีน เจ้าของแบรนด์ MG รวมทั้ง Wuling บริษัทรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็ก มาตั้งแต่ปี 2002 ตั้งบริษัทร่วมกันในชื่อ SGWM (SAIC – GM-Wuling Motor) ผลิตรถยนต์แบรนด์ท้องถิ่น อย่าง Baojun (เน้นขายรถเก๋งขนาดกลาง กับ SUV) และ Wuling (เน้นขายรถตู้ขนาดเล็ก และระกระบะเล็ก ที่เคยเข้ามาขายในไทยอยู่พักหนึ่ง)

SGWM จับมือ ร่วมกันพัฒนา B-Segment SUV รุ่นใหม่ขึ้นมา เพื่อทำตลาดในประเทศกำลังพัฒนา ตั้งแต่ จีน Asia ไปจนถึง South America โดยอาศัยทีมงานวิศวกรทั้งจากอังกฤษ และจีน โดย SGWM วางแผนให้มีการผลิต ทั้งโรงงานของตนในจีน และที่ Indonesia!!

ตามแผนของ GM และ SAIC ต่างฝ่าย ต่างจะเปิดตัว SUV คันนี้ ในชื่อที่ต่างกันออกไปตามแต่ละประเทศที่ถูกส่งเข้าไปทำตลาด เริ่มจากการเผยโฉมครั้งแรก ณ งาน Auto Guangzhou เมื่อ 17 พศจิกายน 2017 ในชื่อ Baojun 530 จากนั้น จึงส่งไปเผยโฉมในงาน Gaikindo Indonesia International Auto Show เมื่อเดือนสิงหาคม 2018 ด้วยชื่อ Wuling SUV ตามด้วยการเปิดตัว ใน Bogota Motor Show ที่ประเทศ Colombo ในชื่อ Chevrolet Captiva เมื่อ 10 พฤศจิกายน 2018 แต่ถ้าไปเปิดตัวใน India ช่วงไตรมาส 2 ปี 2019 รถคันนี้ จะถูกเปลี่ยนไปขายในชื่อ MG SUV และจะกลายเป็น SUV แบบแรกของ MG ในแดนภารตะ!! (แต่ สำหรับเมืองไทย รถคันนี้ จะไม่มีขายในโชว์รูม MG แน่นอน)

ฟังดูงงๆหน่อยนะครับ…เหตุผลของการใช้ชื่อ Captiva มาสวมให้กับ B-Segment SUV คันนี้ ทั้งที่รุ่นเดิมแรกเริ่มของ Captiva เป็น C-Segment SUV นั้น ดูเหมือนว่า ไม่มีอะไรในกอไผ่ เพราะ GM เพิ่งจะประกาศยุติการผลิต Captiva รุ่นแรก ทั่วโลก เมื่อ 13 กันยายน 2018 มานี่เอง ดังนั้น เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการทำตลาด การเลือกใช้ชื่อที่ติดหูลูกค้าอยู่แล้ว มาสวมให้กับ SUV รุ่นใหม่เลย โดยไม่จำเป็นต้องแคร์รากเหง้าที่มาของรถ นั่นก็เป็นปกติวิสัยของผู้ผลิตรถยนต์ชาวอเมริกันอยู่แล้ว

Captiva ใหม่นี้จะมีขนาดตัวถังยาว 4,ุ655 มิลลิเมตร กว้าง 1,836 มิลลิเมตร สูง 1,760 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,750 มิลลิเมตร วางเครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร (1,451 ซีซี) จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ MFI (Multi Fuel Injection) พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharger 147 แรงม้า (HP) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 230 นิวตัน-เมตร (20.38 กก.-ม.) ที่ 2,000 – 3,800 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT

พวงมาลัย Rack & Pinion พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering) ระบบกันสะเทือนหน้าแบบ MacPherson Strut พร้อมช็อกอัพ และคอยล์สปริง ส่วนด้านหลังเป็นแบบอิสระ คอยล์สปริง ดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมตัวช่วยทั้งระบบป้องกันล้อล็อก  ABS , ระบบกระจายแรงเบรก EBD , ระบบควบคุมเสถียรภาพ ESC (Electronic Stability Control) พร้อมระบบป้องกันล้อหมุนฟรีตอนออกตัว Tractionn Control , ระบบช่วยขึ้นเนิน HSA (Hill Start Assist) , ระบบช่วยลงเนิน HDA (Hill Descent Assist) , ระบบป้องกันการพลิกคว่ำ Roll Over Mitigation ,ถุงลมนิรภัย 6 ใบ ฯลฯ

ยังไม่แน่ชัดว่า Captiva เวอร์ชันไทย จะถูกตัดอุปกรณ์ออกไปมากน้อยแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ GM มีกำหนดเผยโฉม B-Segment SUV รุ่นใหม่คันนี้ ในประเทศไทย เป็นครั้งแรก ในงาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคม 2019 ก่อน แต่ยังไม่พร้อมส่งมอบในทันที ต้องรอหลังจากนั้นไปอีกราวๆ 3-4 เดือน ถึงจะมีการเปิดตัวเวอร์ชันจำหน่ายจริง สำหรับประเทศไทยตามมา

สิ่งที่น่าจับตาดูก็คือ ถ้ากระแสตอบรับ พอไปได้ โอกาสที่ GM จะหา Crossover SUV หรือ Minivan 7 ที่นั่ง รุ่นอื่นๆ เข้ามาจำหน่ายในบ้านเรานั้น ก็จะมีความเป็นไปได้สูงขึ้น ดังนั้น เท่ากับว่า ในตอนนี้ อะไรๆก็ยังไม่แน่นอน และยังเปลี่ยนแปลงได้อยู่

ความน่าเป็นห่วงก็คือ ตัวรถถูกพัฒนาขึ้นโดย พันธมิตร SAIC-GM (เจ้าของแบรนด์ MG) ในจีน ผวกกับการประกอบจากโรงงาน “ใหม่เอี่ยมอ่อง” ของพันธมิตร SAIC-GM ใน Indonesia แม้ว่าจะมีเสียงร่ำลือจากสื่อมวลชนฝั่งจีนแผ่นดินใหญ่ ว่า วัสดุในห้องโดยสาร และการขับขี่ในเบื้องต้น ทำได้ดีกว่าที่คิด แต่ GM/Chevrolet อาจต้องทำการบ้านอย่างหนัก เพื่อจะแก้ไขทุกความข้องใจของทั้งสื่อมวลชนและผู้บริโภค ที่มีต่อ B-Segment SUV 7 ที่นั่ง คันนี้ เพื่อที่จะยืนยันเรื่องการควบคุมคุณภาพของทั้งชิ้นส่วน และการประกอบ ว่าจะยังมั่นใจได้ในมาตรฐานระดับโลก และแตกต่างจากบรรดารถยนต์ Made in Indonesia คันอื่นๆที่เคยเข้ามาจำหน่ายในบ้านเรา

หลังจากนั้น เราก็จะยังคงได้เห็น รถกระบะ Colorado และ Trailblazer รุ่นตกแต่งพิเศษ Special Edition กระตุ้นตลาด ตามกันออกมา อย่างน้อยๆ น่าจะมีรวมกันราวๆ 2 – 3 รุ่น เจอกันทุกๆ ช่วงที่มีงานแสดงรถยนต์ ทั้ง Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคม , BIG Motor Sales ช่วงกลางเดือนสิงหาคม และ Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน

หนึ่งในจำนวนรุ่นพิเศษเหล่านั้น มีแนวโน้มว่า เราอาจได้เห็น เวอร์ชันแปลกๆ ที่เน้นการตกแต่งแบบเต็มพิกัด อย่างรุ่น High Country หรือ Storm ตามมาอีกระลอก แม้จะยังไม่ถึงขั้นปรับปรุงและยกระดับสมรรถนะ ให้เป็น Hi-Price , Hi-Performance Truck แบบ Ford Ranger Raptor อย่างเช่นที่พวกเขาเริ่มลองทำกับ Chevrolet Colorado ZR2 Bison ที่จะออกสู่ตลาด North America ในเดือนมกราคม 2019 นี้ แต่อย่างน้อย ก็เป็นไปได้ว่า ลูกค้าบ้านเรา อาจได้เป็นเจ้าของ Colorado รุ่นตกแต่งพิเศษ ในแนวทางเดียวกับ เวอร์ชัน Australia ในชื่อ Holden Colorado HSV Sports Cat ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดยทีม HSV (แผนกทำรถแข่ง และรถยนต์สมรรถนะสูงของ Holden) ไหนๆ ก็ไหนๆ คราวนี้ อยากจะฝากบอกว่า ควรเปลี่ยนชื่อรุ่นจากเดิมอย่างพวก High Country Storm (บ้านนาและพายุ) มาใช้ชื่อเท่ๆ เหมือนรถกระบะในตลาดอเมริกาเหนือ อย่าง Trail Boss หรือ RST บ้างก็ได้ อย่ามัวแต่เอา พายุ ลมฝน และดินฟ้าอากาศ มาตั้งชื่อรุ่นย่อยกันอยู่เลย เดี๋ยวจะโดนชาวบ้านแซวว่าเป็น Colorado Weather Forecast Edition (รุ่นพิเศษ กรมอุตุนิยมวิทยา) กันพอดี!

สำหรับ Chevrolet Camaro รถยนต์ Sport Coupe 2 ประตู แนว Muscle Cars อันโด่งดัง นั้น ดูเหมือนว่า โอกาสที่จะส่งเข้ามาขายเมืองไทย แทบไม่เหลือแล้ว เพราะแม้ว่า รุ่นปรับโฉมใหญ่ Minorchange จะเพิ่งเปิดตัวไปในปี 2018 ที่ผ่านมา ทว่า จนป่านนี้ GM ยังไม่ทำเวอร์ชันพวงมาลัยขวาออกมาเลยสักที บอกได้เพียงว่า คงต้องทำใจสถานเดียว

หลังจากนี้ละ ? อนาคตของ GM / Chevrolet ในเมืองไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป ? แม้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา GM ยืนยันว่า สำหรับตลาดประเทศไทยแล้ว พวกเขาจะยังคงเดินหน้ารักษาฐานที่มั่นในตลาด รถกระบะ และ SUV / PPV กันเพียง 2 รุ่น แบบนี้ อีกยาวๆ แต่ในอนาคต พวกเขาก็พยายามมองหาช่องทางนำรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้ามาเปิดตลาดในบ้านเราอยู่ตลอด โดยมุ่งเน้นไปที่ Crossover SUV และรถยนต์พลังไฟฟ้า EV เพียงแต่ว่า จังหวะและโอกาส รวมทั้งนโยบายจากสำนักงานใหญ่ที่ Detroit สหรัฐอเมริกา ยังไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อสถานการณ์ของตลาดเมืองไทยมากนัก

ที่แน่ๆ อนาคตของโรงงาน GM ที่ระยอง ยังพออยู่รอดต่อไปได้อีกอย่างน้อยๆ ก็ 5 ปีขึ้นไป เพราะล่าสุด GM เปิดไฟเขียวให้ มีการพัฒนารถกระบะ Colorado และ Trailblazer รุ่นต่อไป โดยจะยังคงให้ศูนย์การผลิตที่จังหวัดระยอง ยังคงเป็นฐานการผลิตสำคัญที่จะส่งออกทั้งรถกระบะ / SUV/PPV สำเร็จรูป และชิ้นส่วน CKD ไปยังตลาดโลก เหมือนเช่นรุ่นแรก (2003) และ รุ่นปัจจุบัน (2011)

อย่างไรก็ตาม หลังจากแยกทางกับ Isuzu แล้ว GM ตั้งใจจะลงทุนพัฒนารถกระบะรุ่นใหม่ ด้วยตนเองต่อไปตามลำพัง โดยไม่ง้อใครทั้งสิ้น เหตุผล ที่ผู้บริหารของ GM แถลงไว้ในการ แยกทางกับ Isuzu เมื่อปี 2017 ก็คือ “ เนื่องด้วยการแข่งขันที่รุนแรงในปัจจุบัน ทำให้ GM ต้องการสร้างรถกระบะ ให้มีเอกลักษณ์ในแบบของตนเอง มากขึ้น พวกเราต้องการจะฉีกหนี แนวทางการทำธุรกิจให้ต่างจากค่ายญี่ปุ่นอย่างชัดเจน ดังนั้นแนวทางการพัฒนาตัวรถ จึงต้องต่างออกไปด้วยเช่นกัน ทำให้ต้องยุติความสัมพันธ์ในครั้งนี้ลง ”

ความเลื่อนไหวล่าสุดจากฝั่งอเมริกาเหนือก็คือ Colorado ใหม่ จะถูกพัฒนาขึ้น บนโครงสร้างพื้นตัวถังและ Chassis ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ในชื่อ GM VSS-T platform (Vehicle Set Strategy – Truck) โดยยังคงมี GM-Brazil เป็นแม่งานหลักของโครงการทำรถกระบะใหม่ เช่นเดิม ขณะที่ GM-Holden ใน Australia จะเป็นฐานสำคัญในการทดสอบด้านสมรรถนะ และ ความทนทาน

คาดว่า Colorado รุ่นต่อไป จะถูกยกระดับทั้ง เครื่องยนต์รุ่นใหม่ เกียร์อัตโนมัติ 8 และ 10 จังหวะ ตามแต่ละตลาด หรือแต่ละรุ่นย่อย เพิ่มอุปกรณ์ความปลอดภัยระดับ Hi-Tech ทั้งหลาย ไปจนถึงระบบ Infotainment แบบใหม่ ไม่เพียงเท่านั้น คาดว่าจะมีการยุบรวม Colorado เวอร์ชันอเมริกาเหยือ และรถกระบะ S-10 รุ่นดั้งเดิม ที่ลากขายอยู่ในตลาด South America และ Africa รวมเข้าด้วยกันเป็นรุ่นเดียว แต่มีแนวโน้มว่า อาจจะยังคงแยกเวอร์ชันไทยและตลาดโลก ออกจากเวอร์ชัน North-South America ออกจากกัน เหมือนรุ่นปัจจุบัน เนื่องจาก ผู้บริโภคชาวอเมริกัน ยังต้องการรถกระบะ Mid-Size Truck ที่มีตัวถังกว้างกว่า รถกระบะเวอร์ชันไทย

มีแนวโน้มว่า Colorado รุ่นที่ 3 จะมีกำหนดออกสู่ตลาดเมืองไทย เป็นแห่งแรกในโลก เหมือนเช่นเคย ภายใน ช่วงปลายปี 2020 – 2021 ซึ่งจะเป็นช่วงที่ตลาดรถกระบะจะกลับมาร้อนแรงอย่างหนักในบ้านเรากันอีกครั้งพอดี !

หลังการเปิดตัว Colorado รุ่นที่ 3 GM อาจทิ้งช่วงไปอีกพักใหญ่ เกือบ 1 ปี ก่อนจะปล่อย Trailblazer รุ่นที่ 2 ตามออกมาในปี 2021 – 2022 โดยจะยังคงถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังและ Chassis GM VSS-T และรายละเอียดงานวิศวกรรม ต่างๆ ร่วมกับ Colorado รุ่นที่ 3 แต่คราวนี้ มีแนวโน้มว่า  รูปลักษณ์ภายนอก อาจได้แรงบันดาลใจมาจาก Chevrolet Tahoe / Suburban และ GMC Yukon / Yukon Denali รุ่นล่าสุด คือ เน้นการผสมผสานความหรูหรา ให้เข้ากับความบึกบึนแบบทรงกล่องตามสไตล์ รถกระบะและ SUV ฝั่ง North America

____________________________

Ferrari

  • 2019 : F173 (488GTB Replacement) World Premier
  • 2020 : GTC4 Lusso Replacement
  • 2021 : “Purosangue” Ferrari First SUV

ความเคลื่อนไหวสำคัญของ Cavalino Motor ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถสปอร์ตพันธ์ม้าลำพองจากเมือง Maranello ประเทศ Italy เพียงอย่างเดียวในปีที่ผ่านมา นั่นคือ การจัดงานเปิดตัว รถสปอร์ตเปิดประทุนหลังคาแข็งพับได้ Ferrari Portofino อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เมื่อ 7 มิถุนายน 2018 ที่ผ่านมา ตั้งราคาไว้ที่ 20.9 ล้านบาท

ทว่า ความเคลื่อนไหวในต่างประเทศของ Ferrari นั้น น่าจับตามองให้ดี เพราะหลังจากการเสียชีวิตของ Sergio Marchionne ประธานใหญ่ FCA Group (Fiat Chrysler หนึ่งในผู้ถือหุ้นสำคัญของ Ferrari) ค่ายม้าป่าผยองใช้เวลาไม่นานในการทบทวนแผนธุรกิจใหม่และนำเสนอ Five-year plan ต่อคณะกรรมการและผู้ถือหุ้นเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยกลยุทธ์การตลาดจะเริ่มจากการแบกเซกเมนต์รถในค่ายตัวเองออกอย่างชัดเจน เป็น Sports (เช่น 488GTB, 812 Superfast), Gran Turismo (เช่น GTC4 Lusso, Portofino), Special Series (เช่น 488 Pista) และ Icona หรือ Icon (รถพิเศษจับตลาดเศรษฐีพันล้าน)

นอกจากนี้ CEO คนใหม่ Louis Camilleri ยังบอกอีกว่าภายในปี 2022 รถใหม่ของ Ferrari ที่ขายนั้นจะมี 60% ที่เป็นรถไฮบริด และอีกภายใน 5 ปีนับจากวันนี้ Ferrari จะเปิดตัวรถรุ่นใหม่ทั้งหมด 15 รุ่นด้วยกัน พร้อมทั้งเผยว่าจะมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Platform) ใหม่สำหรับ Ferrari ในอนาคต 2 แบบ แบบแรกสำหรับรถเครื่องวางกลาง และแบบที่สองสำหรับรถเครื่องวางหน้า ทั้งสองแบบสามารถปรับขนาดให้รองรับรถตัวถังต่างๆกัน และล้วนรองรับการทำเป็นรถไฮบริด

หลังจากเปิดตัว 488 Pista และ Pista Spider ไปในปี 2018 ก็จะเป็นการสั่งลาโมเดล “488” และเตรียมหลีกทางให้กับรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางลำรุ่นใหม่ รหัสโครงการพัฒนา F173 ใช้ขุมพลัง V8 DOHC 32 วาล์ว 3.9 ลิตร Twin Turbo ที่พัฒนาต่อจากเครื่องของ 488 Pista ให้กำลังสูงสุด 723 แรงม้า (HP) เพิ่มจาก 488GTB เดิมที่มีอยู่ 661 แรงม้า (HP) และตัวเลขเหล่านี้ยังไม่รวมพลังที่จะได้รับจากมอเตอร์ไฟฟ้า ขึ้นอยู่กับว่า Ferrari จะนำมาใช้กับรถรุ่นนี้หรือไม่ เพราะก่อนสิ้นชีพ Sergio Marchionne กล่าวไว้ว่า Ferrari จะมีเครื่อง V8 Turbo Hybrid มาในปี 2019 จากนั้นจะตามด้วย รุ่นเปลี่ยนโฉมของ GTC4 Lusso ในปี 2020

นอกจาก F173 แล้ว Ferrari ยังได้นำโครงสร้างพื้นฐานเดียวกันนี้ ไปพัฒนาต่อเป็น Super Car ขนาดเล็ก โดยขุดเอาแบรนด์ ” Dino ” ซึ่งตั้งตามชื่อลูกชายของ Enzo Ferrari กลับมาทำตลาดใหม่อีกครั้ง มันเป็นรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางลำตัว Mid-Ship Engine ที่มีขนาดตัวถังและระยะฐานล้อสั้นกว่า F173 ใช้เครื่องยนต์ V6 (วี-หก พิมพ์ไม่ผิด) ขนาด 2.9 ลิตร Twin Turbo พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้า ที่น่าจะสร้างพละกำลังได้ 610 แรงม้า (HP) ทำตลาดอยู่ในกลุ่มใกล้เคียงกับ Portofino และ มีราคาถูกกว่า F173

ล่าสุด Ferrari ยังไม่ละทิ้งความคิดที่จะสร้างรถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางลำตัว รุ่นเล็กกว่า F173 แต่ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าอย่างไรก็อาจต้องรอไปถึงปี 2023 กว่าที่จะผลิตและส่งมอบให้ลูกค้าได้ ทั้งนี้เราอาจได้เห็นหน้าตาของรถเวอร์ชั่นผลิตจริงกันก่อนภายในปลายปี 2022


(Image Source : www.TruckAndSUV.com)

ส่วน SUV คันแรกของ Ferrari ที่พวกเขายืนยันมาตั้งแต่ปี 2018 ว่าจะสร้างออกมาขายอย่างแน่นอนนั้น ล่าสุด Ferrari ออกมาประกาศแล้วว่า SUV รุ่นแรกสุดนี้ จะมีชื่อเรียกว่า “Ferraai Purosangue” และเลื่อนกำหนดเปิดตัวจากปี 2020 เป็นปี 2021 โดยเป็นรถที่สร้างบนแพลทฟอร์มใหม่ล่าสุดที่ทำมาสำหรับรถเครื่องวางหน้า ติดตั้งเกียร์เอาไว้ท้ายรถและขับเคลื่อนสี่ล้อเหมือนกับ GTC4 Lusso  ทั้งนี้ Ferrari ไม่ยอมใช้คำว่า SUV กับรถของตัวเอง เพราะคิดเอาเองว่าฟังแล้วไม่เข้ากัน เลยให้สื่อมวลชนเรียกเสียใหม่ว่า FUV – Ferrari Utility Vehicle (ห้ะ!?)

Purosangue จะใช้ตัวถังหลักอะลูมิเนียมเพื่อเซฟน้ำหนักตัว ซึ่งจะต้องเตรียมไว้รับกับชุดขับเคลื่อนและขุมพลังแบบไฮบริด ซึ่งอาจเป็นเวอร์ชั่นและพิเศษของขุมพลัง V6 2.9 ลิตรทวินเทอร์โบที่ Ferrari ซุ่มพัฒนาอยู่ หรือเป็นเครื่อง V8 3.9 ลิตรทวินเทอร์โบ และยังสามารถเรียกกำลังเสริมจากมอเตอร์ได้อีก 161 แรงม้า ทำให้ Purosangue ไฮบริดอาจมีพลังได้เกิน 700 แรงม้า Ferrari เคลมว่า มันจะต้องแรงและเร็วกว่ารถรุ่นอื่นในเซกเมนต์รวมถึง Lamborghini Urus และทำความเร็วทะลุ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม Ferrari พูดในเชิงปฏิเสธแบบไม่เต็มปากนักว่า การที่ Purosangue ใช้โครงสร้างพื้นฐานใหม่ร่วมกับรถที่จะมาแทน GTC4 Lusso ไม่ได้หมายความว่ามันจะได้เครื่องยนต์ V12 มาใช้ บ่งชี้ว่าแท้จริงแล้ว Ferrari ต้องการเน้นเครื่อง V8 หรือ V6 ซึ่งจะสามารถทำให้ขยายพื้นที่สำหรับห้องโดยสารได้มาก เป็นสิ่งที่เหมาะกับจุดประสงค์ของการเป็น SUV มากกว่า

สำหรับคนที่ยังหลงใหลเสน่ห์ของเครื่องยนต์ V12 แบบไร้เทอร์โบ Ferrari ก็จะยังคงผลิตต่อไป แต่มีมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวช่วย โดยยังไม่ได้คอนเฟิร์มว่าจะเป็น Mild-hybrid หรือ Plug-in อย่างเต็มรูปแบบ ด้วยเหตุผลจากความเข้มงวดด้านมลพิษ ของสหภาพยุโรป

____________________________

FORD

  • 2019 : Ranger & Everest Special Edition
  • 2020 : Ranger & Everest Last Minorchange
  • 2021 : Ranger & Everest Special Edition
  • 2022 : Next Generation Ranger / Everest (๋with new Partner “VW”!!)

ตลอดปี 2018 ที่ผ่านมา Ford ทุ่มการทำตลาดอย่างหนักหน่วง ในทุกช่องทาง รวมทั้งกระหน่ำเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ลงสู่ตลาด มากถึง 4 รุ่นรวด ในปีเดียว เริ่มจากการเปิดตัว รถกระบะรุ่นพิเศษสมรรถนะโหดพอๆกับราคาอย่าง Ford Ranger Raptor ออกสู่ตลาด กันเสียที เมื่อ 8 กุมภาพันธ์ 2018 หลังจากปล่อยให้รอมานาน Raptor ได้สร้างความฮือฮา ในฐานะรถกระบะที่แพงระยับที่สุดในตลาด แต่ถึงกระนั้น ค่าตัว 1,699,000 บาท ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับกลุ่มลูกค้าระดับเศรษฐีชาวไทย ที่พากันเหมารถรุ่นปี 2018 ไปจนหมดโควต้าสำหรับเมืองไทย ทั้ง 2,000 คัน จนหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว! กลายเป็นกรณีศึกษาด้านการตลาดเรื่องใหม่ สำหรับวงการรถยนต์เมืองไทยไปเรียบร้อยแล้ว

จากนั้น รุ่นปรับโฉม Minorchange ของ Ford Everest เมื่อ 10 กรกฎาคม 2018 รถกระบะ Ranger Minorchange เมื่อ 20 กรกฎาคม 2018

ไม่เพียงเท่านั้น ช่วงปลายปี Ford ยังสร้างความฮือฮา ด้วยการนำเข้า รถสปอร์ตระดับตำนานอย่าง Ford Mustang กลับมาเปิดตัวในเมืองไทยอีกครั้ง เมื่อ 4 ตุลาคม 2018 หลังจากหายหน้าหายตาไปเกินกว่า 30 – 40 ปี ทั้งหมดนี้ ช่วยสร้างยอดขาย ให้ Ford จนทำให้ชื่อเสียงของแบรนด์อเมริกันอันดับ 2 กลับขึ้นมาครองใจผู้ใช้รถชาวไทยได้อีกครั้ง

กระนั้น ด้านปัญหาค้างเก่า จากปัญหาเกียร์ Dual Clutch Power Shift ของ Ford Fiesta ,Focus และ EcoSport จนลูกค้าจำนวนมาก ยังเข็ดขยาดกับบริการหลังการขายจากช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา  ในที่สุด ศาลคุ้มครองผู้บริโภค มีคำสั่งให้ Ford ชดใช้ลูกค้า 308 ราย รวมมูลค่า 23 ล้านบาท แต่ ศาลก็ยังยกฟ้องลูกค้า 12 ราย ที่มีการดัดแปลงสภาพรถไปก่อนหน้านี้ คำตัดสินมีขึ้นเมื่อ 21 กันยายน 2018 ที่ผ่านมา และกลายเป็นคดีประวัติศาสตร์อีกเคสหนึ่งของเมืองไทย

สำหรับปี 2019 Ford ยืนยันแล้วว่า พวกเขาจะไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่ถอดด้าม ไม่มีรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน Full ModelChange หรือรุ่นปรับโฉม Minorchange ใดๆ ทั้งสิ้น อาจมีเพียงแค่ เวอร์ชันพิเศษของ รถกระบะ Ranger หรือ SUV รุ่นปรับอุปกรณ์ประจำปีของ SUV/PPV รุ่น Everest รวมทั้ง Ford Mustang ล็อตใหม่ ที่จะเข้ามาทำตลาดต่อเนื่องจากล็อตแรกซึ่งขายหมดไปแล้ว ได้ยินลอยๆว่า คราวนี้จะมีชุดเครื่องเสียงระดับ Premium Grade ติดตั้งมาให้จากโรงงาน Flatrock มลรัฐ Michigan กันเลยทีเดียว เพียงแต่ว่า ลูกค้าเองก็คงต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกหลายหมื่นบาท ตามธรรมเนียม

ปี 2020 คาดว่าอาจจะมีการปรับโฉม ให้กับ Ranger และ Everest กันอีกครั้ง ก่อนที่พวกเขาจะค่อยๆเริ่มแผนการเปิดตัวรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน Full ModelChange ให้กับ สองศรีพี่น้อง คู่นี้ ให้เราได้เห็นกันในช่วงปี 2022

ทว่า การเปลี่ยนโฉมครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องไม่ธรรมดา เพราะหลังจากที่เจรจากันมาพักใหญ่ ในที่สุด Ford ก็หันกลับไปจับมือกับกิ๊กเก่าอย่าง Volkswagen ซึ่งเคยร่วมงานกันมาตั้งแต่สมัยพัฒนารถตู้ Minivan รุ่นยอดนิยม 3 ฝาแฝด อย่าง Volkswagen Sharan / Seat Alhambra และ Ford Galaxy เมื่อช่วงปลายทศวรรษ 90 แล้ว

Ford และ Volkswagen เพิ่งร่วมกันออกแถลงการณ์ ประกาศความร่วมมือในการลงนามข้อตกลงอย่างเป็นทางการ ในการพัฒนารถกระบะร่วมกัน เมื่อ 16 มกราคม 2019 ที่งาน Detroit Auto Show ในเมือง Detroit มลรัฐ Michigan, USA (ดีทรอยท์ สหรัฐอเมริกา) Volkswagen Group และ Ford Motor Company ประกาศความร่วมมือในการลงนามข้อตกลงอย่างเป็นทางการ ในการพัฒนารถกระบะร่วมกัน

Herbert Diess ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Volkswagen และ Jim Hackett ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Ford Motor Company ยืนยันว่า บริษัททั้ง 2 มีแผนพัฒนารถตู้เชิงพาณิชย์ และ รถกระบะขนาดกลางเพื่อจำหน่ายในตลาดทั่วโลกในปี 2022

นั่นหมายความว่า…ทั้งคู่ตกลงกันอย่างเป็นทางการแล้ว ว่า Volkswagen Amarok รุ่นต่อไป จะถูกพัฒนาขึ้น ในลักษณะ ฝาแฝดร่วมแชสซีส์ และใช้โครงสร้างวิศวกรรมพื้นฐานร่วมกับ Ford Ranger รุ่นต่อไป แต่จะมีรูปทรงเส้นสาย และงานออกแบบ ที่แตกต่างกัน เพื่อให้มีบุคลิกเป็นไปตามแต่ละแบรนด์

นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้สูงมาก ที่ Volkswagen จะย้ายฐานการผลิตรถกระบะ Amarok รุ่นต่อไปของตน มาขึ้นสายการผลิตเดียวกับ Ford Ranger ที่โรงงาน Ford Thailand Manufacturing (FTM) จังหวัดระยอง ด้วยเหตุผลจาก สิทธิประโยชน์ด้านภาษี เท่ากับว่า Volkswagen ก็ไม่ต้องลงทุนตั้งโรงงานใหม่เอง รวมทั้ง ไม่ต้องมองหาโรงงานประกอบรถยนต์แบรนด์อื่น มาช่วยรับจ้างผลิต เหมือนอย่างที่พวกเขาเคยซุ่มทำการศึกษาในประเทศไทย เงียบๆ มาก่อนหน้านี้

ตอนนี้ ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่า Ranger และ Amarok รุ่นต่อไป จะมีหน้าตาอย่างไร เครื่องยนต์อะไร ราคาเท่าไหร่ เพราะกว่าที่ทั้ง 2 แบรนด์ จะเริ่มได้ข้อสรุป ก็คงต้องรอไปถึงปี 2021 และกว่าที่ทั้งคู่จะเข็นรถกระบะรุ่นใหม่ของตนออกมาขายได้จริงๆ ก็คงต้องรอกันถึงปี 2022

____________________________

HONDA

  • 2019 : Civic 5 Door “ BLUE ” with ” SENSING ” / ACCORD Full Model Change / CITY Full Model Change (1.0 Turbo)
  • 2020 : JAZZ Full Model Change (1.0 Turbo) / CITY Hybrid / CR-V Minorchange
  • 2021 : JAZZ Hybrid / New Beginner Crossover SUV / HR-V Full Model Change
  • 2022 : New CIVIC

2018 ถือเป็นปีที่ Honda ทิ้งช่วง ว่างเว้นจากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่แบบแกะกล่องไปบ้าง เพื่อจะใช้เวลาทั้งหมด ทำยอดขายให้สูงสุด เพื่อหวังจะครองแชมป์ตลาดรถยนต์นั่งในเมืองไทย ต่อเนื่องอีกสมัย ดังนั้น ความเคลื่อนไหวหลักๆของ Honda ก็มีเพียงแค่ การขึ้นบ้านใหม่ ย้ายสำนักงานใหญ่ จากโกดังดัดแปลง ปากซอย อุดมสุข (สุขุมวิท 103) ไปอยู่บนอาคาร Phiraj Tower ที่ BITEC สี่แยกบางนา และเริ่มปรับตัวตามยุคสมัย โดยเริ่มให้พนักงานบางแผนกที่ไม่จำเป็นต้องนั่งประจำออฟฟิศ ไม่ต้องมีโต๊ะทำงานของตนเอง แถมยังสามารถนั่งปั่นงานจากบ้านหรือที่แห่งใดในโลกก็ได้!

นอกนั้น ก็มีเพียงแค่ การปล่อย Honda Civic RED 5 ประตู ในงาน ฺBangkok Motor Show ตามด้วยการปรับโฉม Minorchange ครั้งใหญ่ให้กับ Honda HR-V ช่วงเดือนสิงหาคม 2018 ก่อนงาน BIG Motor Sales และล่าสุด สร้างเรียกเสียงมหาชน ในงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2018 ทั้งการปรับทัพ Honda CR-V ด้วยการเพิ่มรุ่น 5 ที่นั่ง เสริมเข้ามาจากเดิมที่มีแต่แบบ 7 ที่นั่ง รวมทั้งปรับโฉมให้กับ Honda Civic Minorchange โดยตัดสีแดงออก แล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินแทน พร้อมกับเพิ่ม ระบบตัวช่วยความปลอดภัย Honda SENSING มาให้ครบครัน ในราคาเพิมขึ้นแค่ราวๆ 20,000 บาท และมีให้เลือกเฉพาะตัวถัง Sedan ก่อน เท่านั้น

ปี 2019 ถ้าใครอยากได้ Honda Civic MY2019 พร้อมระบบ Honda SENSING ในตัวถัง 5 ประตู คาดว่าเจอกันได้ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ โดยรายละเอียดอุปกรณ์ต่างๆ ที่เพิ่มเข้ามา ก็จะเหมือนๆกันกับรุ่น Sedan ทุกประการ

แต่นั่นเป็นเพียงแค่ออร์เดิร์ฟเรียกน้ำย่อยเท่านั้น เพราะในปีนี้ Honda จะจัดหนักจัดเต็ม กับการเปิดตัว 2 รถยนต์รุ่นสำคัญ สำหรับตลาดเมืองไทย ซึ่งรุ่นแรกนั้น ก็เพิ่งส่งขึ้นไปอวดโฉมบนเวทีในงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังจากนั้น ก็เพิ่งพาสื่อมวลชนจากเมืองไทย ไปลองขับสั้นๆ กันถึง Los Angeles มลรัฐ California ในสหรัฐอเมริกามาหมาดๆ ช่วงกลางเดือนมกราคม 2019 นี่เอง

ถูกต้องแล้วครับ เรากำลังพูดถึง Honda Accord Gen10 ใหม่ ซึ่งแม้จะเปิดตัวเมื่อ 14 กรกฎาคม 2017 และ ออกสู่ตลาดอเมริกาเหนือไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อ 18 กันยายน 2017 ทว่า กว่าจะมาถึงเมืองไทย ต้องใช้เวลานานมากกว่าปกติพอดู เนื่องจาก คราวนี้ ทีมงานฝั่ง American Honda Motor เขามามีส่วนร่วมในการพัฒนารถคันนี้มากกว่าแต่ก่อน (แม้จะไม่ถึงขั้นเข้ามาเป็นแม่งานหลักในการพัฒนา เหมือนเช่นกรณีของ Honda Civic รุ่นปัจจุบัน ก็ตาม) เท่ากับว่า ต้องมีการปรับตัวภายในองค์กรกันพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องของการทำราคา และ การควบคุมต้นทุนในการนำเข้ามาประกอบขายในบ้านเรา ซึ่งเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย

อีกทั้งในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2018 พี่เบิ้มเจ้าตลาดกลุ่ม D-Segment อย่าง Toyota ก็ชิงเปิดตัว Camry ใหม่ ออกมาเก็บกวาดลูกค้ากันก่อนพอสมควร ทำให้ Honda เอง ต้องตัดสินใจ ปรับแผน ด้วยการนำ Accord G10 คันทดลองประกอบ ขึ้นไปจอดตั้งโชว์บนแท่นหมุน ในงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2018 ทั้งที่ตอนแรก ไม่ได้มีแผนว่าจะนำมาจัดแสดงเสียด้วยซ้ำ ไม่ต้องบอกก็รู้กันดีว่า Honda จำเป็นต้องทำแบบนี้ เพื่อดักกระแสลูกค้าที่จะเดินไปจอง Camry ว่า ” ช้าก่อนนะจ้ะทุกท่าน Accord ใหม่ ใกล้พร้อมเปิดตัวแล้วนะ รออีกหน่อยได้ไหม ? ”

Honda Accord G10 เวอร์ชันไทย จะมีเครื่องยนต์ให้เลือก เพียง 2 แบบ และ ไร้เงาของขุมพลัง 2.0 Turbo ตัวแรง 252 แรงม้า (PS) อย่างแน่นอน เนื่องจากในตลาดโลกเครื่องยนต์ 2.0 Turbo จะมาทำหน้าที่แทน V6 3.5 ลิตร เดิม รายละเอียดเบื้องต้น มีดังนี้

เบนซิน 1.5 ลิตร VTEC Turbo

เครื่องยนต์ L15 เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,498 ซีซี หัวฉีด PGM-FI Direct Injection พร้อมระบบแปรผันวาล์ว Dual VTC และ Turbocharger จาก Mitsubishi MHI รุ่น TD03 กำลังสูงสุด 192 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร (26.49 กก.-ม.) ที่ 1,600 – 5,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า (ขุมพลังนี้จะมาแทนที่เครื่องยนต์ เบนซิน 2.0 ลิตร และ 2.4 ลิตร K24 รุ่นเดิม)

เบนซิน 2.0 Hybrid i-VTEC i-MMD (3rd Generation)

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,996 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 81.0 x 96.7 มิลลิเมตร กำลังอัด 13.5 : 1 หัวฉีด PGM-FI จุดระเบิดแบบ Atkinson Cycle พร้อมระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC 143 แรงม้า (SAE) ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 17.82 กก.-ม.ที่ 3,500 รอบ/นาที พ่วงด้วย มอเตอร์ไฟฟ้า AC Synchronous Permanent Magnet 2 ลูก 181 แรงม้า (SAE) ที่ 5,000 – 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 32.01 กก.-ม.ที่ 0 – 2,000 รอบ/นาที เมื่อทำงานร่วมกัน จะได้พละกำลังรวมทั้งระบบ 212 แรงม้า (SAE) ที่ 6,200 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ E-CVT มีการปรับปรุงใหม่เป็นเจเนอเรชั่นที่ 3 มีการย้ายชุดแบตเตอรี่จากท้ายรถ มาไว้ที่ใต้เบาะนั่งด้านหลัง

Accord จะถูกติดตั้งระบบความปลอดภัย Honda SENSING มาให้เต็มพิกัด แถมยังเพิ่มระบบช่วยหมุนพวงมาลัยถอยเข้าจอดอัตโนมัติ (ซึ่งยังไม่มีในเวอร์ชันอเมริกา) มาให้คนไทยได้ใช้ก่อนอีกด้วย! ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังเลือกนำ Mercedes-Benz E-Class กับ BMW 5-Series มาเป็น Benchmark ในการปรับปรุงเรื่องคุณภาพการขับขี่ โดยมองข้ามขั้นขึ้นไปจาก Toyota Camry (รุ่นที่แล้ว) กันไปเลย ดังนั้น ข้าวของที่ใส่มาให้ ล้วนแล้วแต่เป็นสเป็กพิเศษ ที่เหนือกว่าเดิมทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น พวงมาลัย Dual-Pinion แบบ อัตราทดเฟืองแปรผัน (Variable Ratio) พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering) จาก ZF ระบกันสะเทือนหน้าแบบ MacPherson Strut ด้านหลังแบบ Multi-ink พร้อมเหล็กกันโคง หน้า-หลัง ในขนาดที่แตกต่างกัน แถมด้วยช็อกอัพ สเป็กพิเศษเพื่อการซับแรงสะเทิอนที่ดีขึ้น และปรับบุคลิกการขับขี่ ให้เน้นไปในแนว “Sport”ยิ่งขึ้น

ทั้งคู่จะถูกเปิดตัวพร้อมกันในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2019 นี้ โดยรุ่นที่จะพร้อมส่งมอบก่อนเพื่อนคือ 1.5 ลิตร Turbo ส่วนรุ่น 2.0 ลิตร Hybrid จะมีกำหนดขึ้นสายการผลิต ในอีก 2 เดือนถัดมา คือราวๆ เมษายน 2019

(Illustrated By : KNK)

จากนั้น ทิ้งช่วงไปจนถึงไตรมาส 4 ปี 2019 ต่อเนื่องกันไปจนถึง ปี 2020 ก็จะถึงเวลาของ การเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันให้กับ B-Segment Sedan และ Hatchback รุ่นขายดีที่สุด ทั้ง Honda City ใหม่ และ Honda Jazz ใหม่ ซึ่งจะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดอีกครั้งหนึ่งของทั้ง 2 รุ่นนี้ ในตลาดเมืองไทย

นั่นก็เพราะว่า Honda ตัดสินใจ ยืนหยัดพิกัดขนาดตัวรถไว้ในกลุ่ม B-Segment เช่นเดิม แต่เปลี่ยนขุมพลังใหม่ เป็นแบบ Downsizing 3 สูบ 1.0 ลิตร VTEC Turbo มาวางแทน เพื่อให้เข้ามาอยู่ในกลุ่ม ECO-Car Phase 2 ซึ่งจะว่าไปแล้ว นี่เป็นกลยุทธ์เดียวกับที่ Mazda ใช้ใน Mazda 2 จนประสบความสำเร็จในตลาดเมืองไทยเป็นอย่างดีมาแล้ว นั่นหมายความว่า ต่อจากนี้ รถเก๋ง B-Segment กับ กลุ่ม ECO-Car จะถูกควบรวมเข้าด้วยกันอย่างจริงจัง เสียที ไม่ได้แยกประเภทออกจากกันตามพิกัดเครื่องยนต์ ทั้งที่มีขนาดตัวถังเท่าๆกัน อีกต่อไป!

ขุมพลังใหม่สำหรับทั้ง City และ Jazz รุ่นต่อไป จะมีให้เลือก 2 แบบ ดังนี้

เบนซิน 3 สูบ 1.0 ลิตร VTEC Turbo

เครื่องยนต์ใหม่ เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 998 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก 73.0 x 78.7 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.0 : 1 พร้อมระบบแปรผันวาล์ว ทั้งแบบ VTEC และ Dual VTC พ่วง Turbocharger แบบ Single Scroll ของ Borg Warner กำลังสูงสุดประมาณ 120 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 200 นิวตัน-เมตร (20.38 กก.-ม.) ที่ 2,000 – 4,500 รอบ/นาที ยกมาจาก Civic 1.0 Turbo เวอร์ชันจีน แต่จะมีการปรับปรุงให้สามารถเติมน้ำมัน Gasohol E85 ตามออกมาในภายหลัง

เบนซิน 1.5 ลิตร Hybrid i-MMD (New Generation)

เครื่องยนต์ L15 เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,498 ซีซี หัวฉีด PGM-FI เดิม แต่ปรับปรุงระบบ Hybrid ใหม่ โดยเพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไป รวมเป็น 2 ลูก (เนื่องจากการพัฒนายังไม่เสร็จสิ้น ดังนั้น รายละเอียดทางเทคนิคและตัวเลขพละกำลัง จึงยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในตอนนี้)

ด้านรูปร่างหน้าตานั้น City ใหม่ จะมีเส้นสายที่สวยงามลงตัวและดูสมส่วน มากสุดเท่าที่ Honda เคยสร้าง City ออกมา โดยจะมีรูปลักษณ์ภายนอก อิงกับ Honda Insight ชุดไฟหน้าและไฟท้าย เรียวยาว กระจังหน้าแบบ Solid Wing  ส่วนชุดไฟท้าย ค่อนข้างคล้ายคลึงกับ BMW 3-Series G20 รุ่นใหม่ล่าสุด ส่วนงานออกแบบภายใน อย่าคาดหวังมากนัก


(Photo : www.Carscoops.com)

ขณะเดียวกัน Honda Jazz ใหม่ ก็เพิ่งจะถูกช่างภาพอิสระ แอบบันทึกภาพไว้ได้ ขณะแล่นทดสอบอยู่ทางตอนใต้ของยุโรป ต่อให้พรางตัวมากขนาดไหน ก็ยังเผยให้เห็นเส้นสายตัวรถที่มาในลักษณะเดิม คือ ป้อมๆกลมๆ เป็นลูกหมู กระจังหน้า จะยังเป็นแบบ Solid Wing เหมือน Honda รุ่นใหม่ๆ ในช่วง 3-4 ปีมานี้

ทว่า ฝากระโปรงหน้าจะไม่ตั้งชันมากเท่ารุ่นก่อนๆอีกแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น เสาหลังคาคู่หน้าจะลาดเทมากขึ้น ทำให้ต้องออกแบบกระจกหูช้าง (กระจกโอเปร่าคู่หน้า) ให้ใหญ่โตบานทะโร่โท่ มากกว่าเดิม คล้ายกับ Opel / Vauxhall Zafira รุ่นปัจจุบันในตลาดโลกตอนนี้ หากดูผ่านๆ อาจคล้ายกับ Fiat Punto Gen.3 ที่เลิกผลิตไปแล้ว เมื่อไม่นานมานี้

กระนั้น เห็นได้ชัดว่า ตัวรถจะถูกเพิ่มความยาว ระยะฐานล้อ (Wheelbase) มากขึ้นกว่าเดิม เพื่อเพิ่มพื้นที่โดยสารด้านหลัง และพื้นที่วางสัมภาระ ให้กว้างขวางและอเนกประสงค์มากยิ่งขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น ดูเหมือนว่า ทีมวิศวกร จะพยายามวางตำแหน่งเบาะคนขับให้อยู่ตรงกลางระหว่างล้อหน้าและหลัง มากขึ้นตามไปด้วย แน่นอนว่า ทีมออกแบบภายใน จะยังคงรักษาเบาะนั่งแถวหลัง ที่สามารถพับเก็บได้ดีที่สุดในกลุ่ม B-Segment ทุกคันในโลกนี้ เอาไว้เช่นเดิม แต่อาจเพิ่ม อุปกรณ์ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าให้ตัวรถมากยิ่งขึ้น เช่นระบบ Honda SENSING ซึ่งในตลาดโลก น่าจะเป็นเวอร์ชันเต็ม ส่วนเวอร์ชันไทย อาจถูกตัดทอนออกบ้างในบางส่วน หรือไม่ ก็จะยังไม่มีติดตั้งมาให้ในช่วงแรกที่เปิดตัว ก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น ในตอนนี้

(รายละเอียดเพิ่มเติม คลิกอ่านต่อได้ ที่นี่ CLICK HERE)

All NEW Honda Fit/Jazz และ City Platform ใหม่ จะเปิดตัวพร้อมกันทั่วโลกภายในช่วง ไตรมาส 3 ของปี 2019 แต่จะมีจังหวะการเปิดตัวที่ไม่เหมือนกัน ดังนี้

  • Japan : Jazz จะถูกเปิดตัวออกมาก่อนในญี่ปุ่น ภายใต้ชื่อ Honda Fit เหมือนเช่นเคย มีทั้งรุ่นเครื่องยนต์ 3 สูบ 1.0 ลิตร VTEC Turbo และรุ่น Hybrid ที่จะเผยโฉมออกมา พร้อมกันในทันที ส่วนเวอร์ชัน Sedan อย่าง City นั้น ยังไม่แน่ชัดว่า จะถูกส่งไปจำหน่ายที่ญี่ปุ่น ในฐานะรุ่นเปลี่ยนโฉม Full Model Change ของ Honda GRACE ด้วย หรือไม่
  • Thailand : ในจังหวะเดียวกันกับที่ Honda ญี่ปุ่น เปิดตัว Fit/Jazz ใหม่ ตรงกันข้าม เราก็จะได้สัมผัสกับ City ใหม่ ก่อนใครในโลก อีกตามเคย เช่นเดียวกัน ในช่วงเวลา ไล่เลี่ยกัน ไม่ทิ้งห่างกันนานนัก ประเดิมด้วยขุมพลัง 3 สูบ 1.0 ลิตร VTEC Turbo ก่อน

ส่วนรุ่น Hybrid i-MMD ของทั้ง 2 รุ่น จะตามมา อีกประมาณ 1 ปี หลังการเปิดตัวของแต่ละรุ่น นั่นหมายความว่า City Hybrid น่าจะเปิดตัวได้ก่อน ช่วงประมาณ ไตรมาส 4 ปี 2020 ส่วน Jazz Hybrid น่าจะคลอดตามมา ราวๆ ไตรมาสแรก ปี 2021

ด้านกลุ่ม Crossover และ SUV ของ Honda มีความเคลื่อนไหวสำคัญที่น่าจับตามอง เพราะหลังจากนี้ Honda จะต้องปรับกลยุทธ์การทำตลาด รถยนต์อเนกประสงค์กลุ่มนี้เสียใหม่ ทั้งหมด ด้วยการผลักให้ แต่ละรุ่น เติบโตขึ้นไปเพื่อรองรับกับความเปลี่ยนแปลงของกลุ่มลูกค้าที่เริ่มเปลี่ยนไป

CR-V พี่ใหญ่สุดของกลุ่ม นับจากนี้ จนถึงปี 2020 จะยังไม่มีอะไรแปลกใหม่ หากจะมีก็เพียงแค่รุ่นปรับอุปกรณ์เล็กๆน้อยๆเท่านั้น เพราะ Honda วางแผนจะปรับโฉมครั้งใหญ่ Minorchange ในปี 2020 โดยเป้าหมายหลัก อยู่ที่การ ปรับรายละเอียดห้องโดยสาร ให้สบายขึ้น ตามติดเวอร์ชัน North America คาดว่าน่าจะออกสู่ตลาดเมืองไทย ช่วงปลายปี 2020 เป็นอย่างเร็วที่สุด โดยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเครื่องยนต์อื่นใด ยืนหยัดอยู่กับเครื่องยนต์ เบนซิน 2.4 ลิตร i-VTEC และ Diesel 1.6 ลิตร Turbo เหมือนเดิม

จากนั้น Honda จะลากขาย CR-V Gen 5 รุ่นปัจจุบันนี้ กันไปอีก 2 ปี ก่อนจะเปลี่ยนโฉมใหม่หมดจรดทั้งคัน พร้อมยกระดับขึ้นไปจาก C-Segment SUV ไปเป็น D-Segment SUV ช่วงปลายปี 2022 ถึงกลางปี 2023 เมื่อถึงเวลานั้น อาจจะได้เห็น CR-V Hybrid ในเมืองไทย ก็เป็นได้ แต่สำหรับรุ่นปัจจุบัน จะยังไม่มีขุมพลัง Hybrid แน่นอน แม้จะเป็นรุ่น Minorchange ก็ตามเถอะ

ขณะที่ HR-V Crossover รุ่นขายดี และทำรายได้ให้ Honda เยอะเป็นประวัติการณ์อยู่พักใหญ่นั้น หลังการปรับโฉม Minorchange ครั้งล่าสุดไปแล้ว นับจากนี้ จะไม่มีการปรับโฉมใดๆอีก อาจมีเพียงแค่การปรับทัพ เสริมอุปกรณ์ กันไปจนกว่าจะหมดอายุตลาดในปี 2021

กระนั้น โครงการพัฒนา HR-V Gen.2 ก็เดินทางมาถึงช่วงกลางตามระยะเวลาที่กำหนดแล้ว โดย HR-V รุ่นต่อไป จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังร่วมกับ Civic รุ่นใหม่่ รวมทั้งจะถูกอัพเกรดขนาดตัวถัง จากพิกัด B-Segment Crossover SUV เดิม ขึ้นไปเป็น C-Segment Crossover SUV เต็มตัวกว่านี้ ด้านขุมพลังสำหรับเวอร์ชันญี่ปุ่น จะเป็นเครื่องยนต์ เบนซิน Hybrid แบบใหม่ล่าสุด 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร พ่วงกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว และจะมีให้เลือก ถึง 2 ตัวถัง ทั้งแบบ Crossover มาตรฐาน และ Coupe Crossoverท้ายลาดยิ่งกว่าเดิม สไตล์เดียวกับ BMW X4 หรือ Mercedes-Benz GLC

คาดว่า เราจะได้เห็น HR-V Gen 2 กันในฐานะ รถยนต์ต้นแบบกันก่อน ณ งาน Tokyo Motor Show เดือนตุลาคม 2019 นี้ ก่อนที่เวอร์ชันจำหน่ายจริง จะคลอดตามมาช่วงปี 2020 และจะมีกำหนดเปิดตัวในประเทศไทย (เบื้องต้น) คือปี 2021 ขณะนี้ รายละเอียดต่างๆยังห่างไกลจากความจริงมากโข จึงไม่มีข้อสรุปด้านรายละเอียดทางเทคนิคอื่นใด

การยกระดับ HR-V ขึ้นไป นั่นหมายความว่า Honda จะต้องพัฒนา Crossover SUV ขนาดเล็กรุ่นใหม่ มาอุดช่องว่างเดิมที่ขาดหายไป Honda เริ่มต้นศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการนี้กันมานานหลายปีดีดัก ถึงขั้นเคยสร้างรถยนต์ต้นแบบ 7 ที่นั่งในชื่อ Honda Concept XS-1 ออกอวดโฉมในงาน Auto Expo 2014 ที่ India มาแล้ว เพื่อชิมลางให้สาธารณชนได้รู้ว่า Honda กำลังวางแผนที่จะทำรถยนต์ประเภทนี้ออกมา

จากข้อมูลของ AUTOCAR INDIA ระบุว่า Honda จะแบ่งออก SUV ขนาดเล็กรุ่นใหม่ ออกเป็น 2 รุ่น คันแรกจะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังของ Honda Brio AMAZE รุ่นล่าสุด และมีขนาดตัวถังยาวไม่เกิน 4 เมตร ตามนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ของรัฐบาล India ค่อนข้างแน่นอนว่า SUV ขนาดเล็ก วางเครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.2 ลิตร รวมทั้ง เครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.4 ลิตร และสั้นกว่า 4 เมตร คันนี้ จะไม่มีขายในบ้านเราแน่นอน เพราะเป็น SUV ที่ทำขึ้นมาเพื่อเอาใจตลาด India และประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ โดยเฉพาะ

ส่วน B-Segment Crossover SUV อีกรุ่นหนึ่ง ที่มีแผนอยู่ว่าจะมาเปิดตัวในเมืองไทย จะมีขนาดตัวถังยาวประมาณ 4.2 – 4.3 เมตร แต่ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่า จะเป็นแบบ 5 ที่นั่ง หรือ 7 ที่นั่งกันแน่ อีกทั้ง จนถึงตอนนี้ ก็ยังไ่ม่ชัดเจนว่า Crossover รุ่นที่ 2 นี้ จะใช้ Platform จาก Honda Brio Amaze รุ่นล่าสุด หรือเปลี่ยนไปใช้พื้นตัวถังร่วมกับ Honda Fit/Jazz และ City ใหม่ กันแน่ แต่กว่าที่จะเปิดตัว ก็คงต้องรอกันจนถึงหลังปี 2021 – 2022 ซึ่งในปีนั้น นอกจากจะชนกับ Small Crossover คันเล็กรุ่นใหม่จาก Toyota พอดีด้วยแล้ว Honda Civic เก๋ง C-Segment รุ่นขายดี ก็จะได้เวลาเปลี่ยนโฉมใหม่ Full Model Change กันพอดี

ส่วน Honda Mobilio และ BR-V พี่น้องสองศรี 7 ที่นั่ง ที่แม้ผลิตขายในไทย แต่ออกแบบมาเอาใจชาว Indonesia นั้น จนถึงป่านนี้ แผนการพัฒนารุ่นเปลี่ยนโฉม Full Model Change ของทั้ง คู่ ยังเงียบกริบ เสียจนชวนให้สงสัยว่า B-Segment Crossover รุ่นที่กำลังจะทำออกมาใหม่นี้ จะเข้ามาทำตลาดแทน BR-V เดิมหรือเปล่า ดังนั้น ณ ตอนนี้ จึงมีเพียงแค่ แผนการปรับโฉม Minorchange ให้กับ Mobilio อีกครั้ง ซึ่งจะเกิดขึ้นที่ Indonesia ก่อน ภายในช่วงไตรมาสแรกของ ปี 2019 นี้ จากนั้น เวอร์ชันไทยจึงจะตามมาในช่วงครึ่งหลังของปีเดียวกัน และถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็ควรจะได้เห็น BR-V Minorchange ในปี 2020 ทั้งที่ Indonesia และในเมืองไทย

สำหรับใครที่ยังคงรอคอยและคาดหวังจะเห็น Sub-Compact Minivan 7 ที่นั่ง อย่าง Honda FREED Gen.2 ใครก็ตามที่ถามไถ่ว่า Honda Freed จะกลับมาขายในบ้านเราหรือไม่ ? ขอตอกย้ำค้ำยันให้มั่นเหมาะตรงนี้อีกครั้งเลยว่า เลิกรอไปได้เลย เพราะจนถึงวันนี้ (มกราคม 2019) ทาง Honda Automobile (Thailand) ยังไม่มีแผนการนำเข้า Freed รุ่นใหม่ล่าสุด มาทำตลาดในเมืองไทย ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะมาในรูปรถนำเข้าทั้งคันจากประเทศเพื่อนบ้าน หรือ นำมาขึ้นสายการประกอบที่บ้านเราก็ตาม เหตุผลที่อธิบายได้ง่ายสุด ก็คือ ยังไม่มีการผลิตใน Indonesia และ ต่อให้มี ก็อาจจะ ” ทำราคาขายให้ถูกพอจะแข่งขันกับชาวบ้านเขา ไม่ได้ ”

ไม่เพียงเท่านั้น Honda Brio และ Brio AMAZE รุ่นล่าสุด ซึ่งเพิ่งเปิดตัวที่ India ไปในช่วงต้นปี 2018 บนถนนบ้านเรานั้น ก็จะเป็นอีก 2 รุ่น ที่จะไม่ถูกนำเข้ามาผลิตขายในเมืองไทยอย่างแน่นอนแล้วเช่นกัน เหตุผลก็คือ Honda ตัดสินใจจะนำเทคโนโลยีเครื่องยนต์แบบ Downsizing เบนซิน 3 สูบ 1.0 ลิตร Turbo มาวางให้กับ City และ Jazz ใหม่ เพื่อเข้าร่วมโครงการ ECO Car Phase 2 ของรัฐบาลไทย ไปแล้ว หากนำ Brio และ Amaze ใหม่ มาทำขาย ก็อาจจะซ้ำซ้อน และขายไม่ออก เพราะรูปทรงก็ออกแบบมาเอาใจคน India มากกว่า หน้าตาไม่ค่อยสวย แถมขนาดตัวถังยังเล็ก และสู้ชาวบ้านชาวช่องเขาไม่ได้เลย อาจไม่คุ้มหากปล่อยให้ทำตลาดต่อไป จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนำ Brio และ Amaze ใหม่ มาผลิตขายในบ้านเราตามแผนเดิม (ที่เคยวางไว้ว่า จะเปิดตัวในปี 2016) อีก ให้ชีช้ำเล่น ดังนั้น โครงการนี้ จึงถูกพับแผนไปเรียบร้อยแล้ว

____________________________

HYUNDAI

  • 2019 : Kona Electric
  • 2020 : Ioniq EV Minorchange
  • 2021 : H-1 / Grand Starex Full Modelchange

ผลของการลั่นวาจาเอาไว้ของชาวเกาหลีใต้ ที่ว่า “ต่อไปนี้ Hyundai เมืองไทย จะต้องขายรถยนต์รุ่นอื่นด้วย ไม่ใช่อยู่รอดได้เพียงแค่รถตู้ H-1 อย่างเดียว” ในที่สุด ปี 2018 ที่ผ่านมา Hyundai Motor Thailand บริษัทร่วมทุนกันระหว่าง Hyundai Motor เกาหลีใต้ และ Sojitsu บริษัท Trading Company ก็มีรถยนต์รุ่นใหม่เข้ามาขายในบ้านเรา ถึง 2 รุ่น ในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้ง Hyundai Ioniq Electric รถยนต์พลังไฟฟ้า EV ล้วนๆ ที่เข้ามาเปิดตลาดในงาน Bangkok Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2018 ตัดหน้า Nissan LEAF ได้สำเร็จ

อีกรุ่นนึ่งก็คือ รุ่นปรับโฉม Minorchang ของรถตู้ Hyundai H-1 และ Grand Starex รุ่นขายดีที่สุดของพวกเขา ในเมืองไทย จัดงานเปิดตัวไปแล้ว เมื่อ 9 สิงหาคม 2018 ที่ผ่านมา ถึงจะเปลี่ยนหน้าตาใหม่ให้ไฉไลขึ้น แต่ด้วยเหตุที่ ทาง Hyundai เกาหลีใต้ ยังคงงี่เง่าอยู่ จะกั๊กแผงหน้าปัดแบบใหม่ เอาไว้ให้ลูกค้าในบ้านเกิดของตนใช้ เพียงเท่านั้น ทำบ้าอะไรไม่รู้ เวอร์ชันไทย ก็เลยยังคงต้องทนพบเจอแผงหน้าปัดชุดเดิมๆ เครื่องยนต์เดิมๆ และ งานวิศวกรรมแบบเดิมๆ ทั้งหมด

ในปี 2019 แนวทางการตลาดของ Hyundai ที่มุ่งเน้นสร้างความแตกต่างไปจากผู้เล่นทุกราย ด้วยการฉีกออกไปบุกเบิกตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าล้วนๆ จะยิ่งชัดเจนขึ้น ด้วยการส่ง Hyundai Kona Electric สี Ceramic Blue หลังคาขาว พร้อมภายในสีเดียวกับตัวถังภายนอกรถ มาอวดโฉมในงาน Motor Expo เมื่อ 27 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา ก่อนที่จะแย้มกระซิบมาว่า พวกเขามีแผนจะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า รุ่นที่ 2 สำหรับตลาดเมืองไทย คันนี้ ในช่วงต้นปีหน้า

Kona เป็น B-Segment Crossover SUV ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเน้นเอาใจตลาดยุโรปเป็นหลัก เผยโฉมครั้งแรกเมื่อ 19 มิถุนายน 2017 ก่อนส่งไปเปิดตัวในงาน Frankfurt Motor Show ต้นเดือนตุลาคม 2017 ส่วนรุ่น Electric นั้น ตามมาติดๆในช่วงต้นปี 2018

Kona Electric ลู่ลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ (Aerodynamic) Cd 0.288 มีตัวถังยาว 4,180 มิลลิเมตร กว้าง 1,800 มิลลิเมตร สูง 1,555 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,600 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า/หลัง 1,565 / 1,575 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวเปล่า 1,685 – 1,713 กิโลกรัม ตามแต่ละรุ่นย่อย น้ำหนักรวมบรรทุก 2,170 กิโลกรัม สวมล้อขนาด 7.0J X 17 นิ้ว พร้อมยางขนาด 215/55 R17 พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลังมีขนาด 373 ลิตร (VDA) แต่เมื่อพับเบาะทั้งหมด จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,174 ลิตร (VDA)

ขุมพลัง เป็นมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) !! แรงบิดสูงสุด 395 นิวตัน-เมตร (40.25 กก.-ม.) พ่วงกับ แบ็ตเตอรีขาด 64 kWh (กิโลวัตต์/ชั่วโมง) ส่งกำลังด้วย Single Speed Reductionn Gear ตัวเลขจากโรงงานระบุว่า อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ใน 7.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 167 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระยะเบรกจาก 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง จนหยุดนิ่ง 42.3 เมตร ระยะทางแล่นได้ไกลสุดถึง 482 กิโลเมตร ต่อการชาร์จไฟแบบปกติ 1 ครั้ง!

พวงมาลัยเป็นแบบ Rack & Pinion พร้อม Power ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering) ระบบกันสะเทือนหน้าแบบ MacPherson Strut ด้านหลังแบบ Multi-Link

ยืนยันอีกครั้งว่า Kona Electric จะถูกเปิดตัวในเมืองไทยอย่างแน่นอน ภายในช่วงงาน Bangkok Motor Show ไตรมาสแรก ปี 2019 แต่หลังจากนั้น เรายังไม่แน่ใจว่า Hyundai Tucson Minorchange หรือบรรดารถยนต์พลังไฟฟ้ารุ่นอื่นๆของ Hyundai จะทะยอยตามเข้ามาเปิดตลาดในบ้านเราต่อ ได้อีกเมื่อไหร่?

พอถึงปี 2020 มีความเป็นไปได้สูงว่า Hyundai Ioniq Electric ซึ่งเพิ่งจะเปิดตัวในบ้านเราไปในปี 2018 ก็น่าจะมีรุ่นปรับโฉม Minorchange ตามเข้ามาเปิดตัวในประเทศไทย หลังจากที่รุ่น Plug-in Hybrid เพิ่งเผยโฉมไปใน เกาหลีใต้ เมื่อ 28 มกราคม 2019 สดๆร้อนๆ

ส่วนใครที่ถามไถ่ถึงรุ่นเปลี่ยนโฉมของ H-1 และ Grand Starex บอกได้เลยว่า พวกเขาเพิ่งปรับโฉม Minorchange กันไป ดังนั้น กว่าจะมีรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ Full ModelChange เราคงต้องทนเห็นรถตู้รุ่นปัจจุบันกันไปยาวๆ จนถึง ปี 2021!!

____________________________

ISUZU

  • 2019 : MU-X MY2019 / D-Max Full ModelChange
  • 2020 : MU-X Full ModelChange
  • 2021 : D-MAX & MU-X Hybrid (?)

ปีที่ผ่านมา Isuzu พยายามรักษาฐานที่มั่นในตลาดรถกระบะของเมืองไทยเอาไว้ได้เป็นอย่างดี แม้ว่ายอดขายในภาพรวม จะอยูในอันดับ 2 และโดนเจ้าตลาดอย่าง Toyota แซงนำหน้าขึ้นไปเพียง 1,350 คัน เท่านั้น!! (?) ด้านรถยนต์รุ่นใหม่ พวกเขา เลือกกระตุ้นตลาดด้วย การปล่อย D-Max X-Series เวอร์ชันตกแต่งเอาใจวัยรุ่น เมื่อ 26 มกราคม 2018 ตามด้วย MU-X Iconic ออกมาเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2018 แล้วก็ทิ้งช่วง มาจนถึง D-Max STEALTH รุ่นตกแต่งพิเศษ เมื่อ 20 ตุลาคม 2018 นี่ยังไม่นับรถบรรทุกรุ่นใหม่ FRR เมื่อ 20 กันยายน 2018 อีกต่างหาก

ปี 2019 จะถือเป็นปีที่ Isuzu เริ่มมีความเคลื่อนไหวมากขึ้นกว่าในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา พวกเขาจะเริ่มประเดิมปีใหม่ ด้วย MU-X รุ่นพิเศษ สีแดง ซึ่งจะเปิดตัวภายใน เดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2019 นี้ มาพร้อมถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง แล้วเสียที หลังจากที่ลูกค้ารอคอยกันมานานแสนนาน นั่นเท่ากับว่า จะเหลือเพียง Chevrolet Trailblazer เท่านั้นที่ให้ถุงลมนิรภัย แค่ 3 ตำแหน่ง

จากนั้น ใครที่ถามไถ่ว่า เมื่อไหร่ D-Max จะเปลี่ยนโฉมทั้งคันกันเสียที คงต้องรอลุ้นระทึกกันแล้ว เพราะจู่ๆ ก็มีภาพ Spyshot ของ รถทดสอบ ซึ่งคาดว่าจะเป็น Isuzu D-Max Full Modelchange หลุดออกมา ขณะทดสอบในสภาพภูมิอากาศหนาวเย็น เมื่อ ช่วงกลางดึก คืนวันที่ 24 มกราคม 2019 ที่ผ่านมา

D-Max ใหม่ นี้ จะเป็นรถกระบะรุ่นแรกของ Isuzu ที่พวกเขาพัฒนาขึ้นเอง ร่วมกับ Mazda โดยไม่พึ่งพาความช่วยเหลือจาก พันธมิตรเก่าแก่อย่าง General Motors (GM) / Chevrolet ที่เคยจับมือกันพัฒนารถกระบะ มาตั้งแต่ปี 1970 อีกต่อไป เพราะทั้งคู่ ประกาศร่วมกัน ตั้งแต่ 22 กรกฎาคม 2016 เป็นต้นมา ว่าขอยุติการพัฒนาและผลิตรถกระบะออกจำหน่ายร่วมกันทั่วโลก ตลอด 45 ปี

เหตุผลของการยุติความสัมพันธ์ครั้งนี้ มาจากความไม่ลงรอยกันระหว่างทั้งคู่ ที่มีมาช้านานแล้ว GM ต้องการสร้างรถกระบะให้มีเอกลักษณ์ในแบบของตนเอง และพวกเขา ” เชื่อว่า ” สามารถลงทุนทำเองได้ตามลำพัง Isuzu จึงจำเป็นต้องมี พาร์ทเนอร์รายใหม่ มาร่วมแชร์ค่าใช้จ่ายในการพัฒนา มากขึ้น และชื่อของพันธมิตรรายใหม่ นั้นก็คือ Mazda

ต้นเหตุของการที่ GM จะประกาศหย่าร้างกับ Isuzu นั่นคือ เพียง 10 วัน ก่อนหน้านั้น Mazda ก็ได้ประกาศความร่วมมือในการพัฒนารถกระบะรุ่นใหม่ กับ Isuzu เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2016 หลังจาก Mazda ตัดสินใจเลือกจะแยกทางกับ Ford โดยจะไม่พัฒนารถกระบะรุ่นต่อไปร่วมกันอีก เช่นเดียวกัน Ford ไม่แยแสอยู่แล้ว เพราะสุดท้าย พวกเขาจับมือกับ Volkswagen ร่วมกันทำ Ford Ranger และ Volkswagen Amarok รุ่นต่อไป ที่จะคลอดในปี 2022 แต่ Mazda ไม่มีเงินมากพอที่จะพัฒนารถกระบะรุ่นใหม่ได้เอง จึงต้องหาพันธมิตรมาช่วยแชร์ค่าใช้จ่ายในการพัฒนา และ Isuzu คือทางออกที่ดีสุดของ Mazda นั่นเอง

จากภาพถ่าย จะเห็นว่า หากดูผิวเผิน ตัวรถอาจมีเส้นสายไม่ต่างจากรุ่นปัจจุบันนัก แต่ถ้ามองกันให้ดี จะพบว่า ตัวถังภาพรวม มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่นเดียวกับกระจังหน้าซึ่งใหญ่โต กว่าเดิม ชุดไฟหน้า เป็นแบบเดียวกันกับภาพถ่ายที่หลุดออกมาเมื่อช่วงปลายปี 2018 ไม่มีผิดเพี้ยน แถมยังมีรายละเอียดแตกต่างกันหลายจุด

ด้านขุมพลัง ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า D-Max ใหม่จะมีเครื่องยนต์ให้เลือกในเบื้องต้น 2 แบบ มีทั้ง เครื่องยนต์ รหัส RZ4E-TC Diesel 4 สูบเรียง DOHC 16 วาล์ว 1,898 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก 80 x 94.4 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 16.5 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด Commonrail Direct Injection พร้อมระบบอัดอากาศ แบบ Turbocharger แปรผันครีบ VGS และ Intercooler กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร (35.66 กก.-ม.) ที่ 1,800-2,600 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ / เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ซึ่งเป็นขุมพลังที่ประจำการอยู่แล้วใน D-Max รุ่นปัจจุบ้ัน

ส่วนรุ่น Top คาดว่า Isuzu จะปลด ขุมพลัง Diesel 3.0 ลิตร VGS Turbo ออกไป เพื่อแทนที่ด้วย เครื่องยนต์ใหม่ ตระกูล RZ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.4 ลิตร จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด Commonrail Direct Injection พร้อมระบบอัดอากาศ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่า เป็นแบบ Turbo เดี่ยว หรือ Twin-Turbo แต่พละกำลังน่าจะเกินกว่า 190 แรงม้า (PS) และเน้นแรงบิดในรอบต่ำ เพื่อความประหยัดน้ำมัน อันเป็นจุดขายที่มีมาช้านานของ Isuzu

D-Max ใหม่ Full ModelChange มีกำหนดเปิดตัวที่ยังไม่แน่นอน แต่คาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงปลายปี 2019 จนถึงช่วงไตรมาสแรก ปี 2020  (รายละเอียดเพิ่มเติม คลิกอ่านได้ที่นี่ CLICK HERE)

จากนั้น เว้นช่วงกันไปอีก 1 ปีเต็ม เวอร์ชัน SUV/PPV -v’ D-Max หรือ รุ่นเปลี่ยนโฉม Full ModelChange ของ MU-X ก็จะถูกพัฒนาเสร็จสิ้น และพร้อมออกสู่ตลาดในช่วง ปลายปี 2020 โดยใช้เครื่องยนต์ 2 รุ่นข้างต้น เช่นเดียวกัน

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีความเป็นไปได้สูงว่า Isuzu อาจกำลังซุ่มพัฒนารถกระบะ ขุมพลัง Diesel Hybrid เป็นอีกเวอร์ชันหนึ่งให้เลือกกันอีกด้วย! ซึ่งก็เป็นไปตามความคาดหมาย หลังจากการประกาศอัตราภาษีสรรพสามิต แบบใหม่ ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อรถกระบะและ SUV/PPV ขุมพลัง Hybrid มากขึ้น แต่เราจะยังไม่เห็นเครื่องยนต์ Diesel Hybrid จาก Isuzu จนกว่าจะผ่านพ้นปี 2020 – 2021 ขึ้นไป

____________________________

JAGUAR

  • 2019 : I-PACE (Thailand Premier) // XE Minorchange (Global), New XJ (EV)
  • 2020 : New Flagship SUV (J-PACE)

อนาคตของ Jaguar ในขณะนี้ เหมือนเด็กมัธยมปลายที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ไม่รู้จะเลือกไปเรียนในคณะไหนที่จะส่งเสริมอนาคตอันดีงามของตัวเอง ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา พวกเขาก็เหมือนเด็กมัธยมต้นที่เลือกทางเดินถูก สละความโบราณและชิ้นส่วนที่เคยแชร์กับ Ford ได้ “พ่อยก” เงินหนาใจดีอย่าง Tata Motors ทำให้ Jaguar มีชีวิตที่ดูรุ่งโรจน์อยู่พักใหญ่ แต่ในปัจจุบัน ยอดขายในตลาดหลักลดลงมาก ความนิยมในรถสปอร์ตและซาลูน (ซึ่งเป็นสิ่งที่ Jaguar ถนัดมาตลอด) ก็ลดลงเพราะกระแสของ SUV/Crossover

ผลกระทบดังกล่าวทำให้ Jaguar ขาดทุนสะสมถึง 90 ล้านปอนด์ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2018 และอาจนำพาไปสู่การปลดพนักงานครั้งใหญ่ของกลุ่ม Jaguar/Land Rover ถ้าสถานการณ์ไม่ดีขึ้น

เมื่อไม่นานมานี้ ทาง Autocar ประเทศอังกฤษได้ตีข่าวทิศทางของ Jaguar ในอนาคต โดยสรุปความได้ว่าผู้บริหารของค่ายเริ่มคิดที่จะเปลี่ยน Jaguar ให้เป็น “Total EV brand” ทำแต่รถยนต์ไฟฟ้าขายเพียงอย่างเดียวภายใน 10 ปีหลังจากนี้ โดยเบนเป้าจากเดิมที่เล็ง BMW หรือ Mercedes-Benz เป็นคู่แข่ง เป็น Tesla แทน

ก้าวแรกของค่ายนี้สู่โลกแห่ง EV คือ Jaguar I-PACE ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า EV สไตล์ Crossover 5 ที่นั่ง ที่เผยโฉมครั้งแรก มาตั้งแต่งาน L.A. Auto Show เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2016 แต่กว่าจะพร้อมออกสู่ตลาดจริง ก็เพิ่งจะเริ่มขายได้ เมื่อ เดือนมีนาคม 2018 มานี้เอง

I-Pace เป็น SUV-Crossover สไตล์สปอร์ต แบบ 5 ที่นั่ง มิติตัวรถ ยาว 4, 680 มิลลิเมตร, กว้าง 1,890 มิลลิเมตร และ สูง 1,560 มิลลิเมตร ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ล้อคู่หน้า และหลัง ตำแหน่งละ 1 ลูก ให้กำลังสูงสุดรวม 406 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร (71.38 กก-ม.) ใช้แบตเตอรี่ขนาด 90 kWh คาดว่าสามารถเดินทางเป็นระยะทางสูงสุด 482 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง การชาร์จไฟจาก 0-80% ทำได้ภายในเวลา 90 นาที (1 ชั่วโมงครึ่ง) โดยที่ชาร์จ 50 kW แบบชาร์จเร็ว (Fast Charging) อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 4.0 วินาที ความจุที่เก็บสัมภาระด้านท้ายอยู่ที่ 530 ลิตร และ เนื่องจากไม่มีเครื่องยนต์จึงมีที่เก็บสัมภาระด้านหน้ารถอีก 36 ลิตร

โครงสร้างของ Jaguar I-PACE ทำจากวัสดุอะลูมิเนียม ช่วยให้น้ำหนักเบา ทั้งยังมีค่าความแข็งเชิงแรงบิด (Torsional Rigidity) ที่ 36kNm/degree ซึ่งถือว่าสูงที่สุดเท่าที่ Jaguar เคยทำมา ช่วงล่างมีระบบ Air Suspension ให้ติดตั้งเพิ่ม โดยระบบจะลดความสูงลง 10 มิลลิเมตร โดยอัตโนมัติ เมื่อใช้ความเร็วมากกว่า 105 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อลดการต้านลม

ระบบ Air Suspension ยังสามารถยกความสูงขึ้นเพื่อเพิ่ม Ground Clearance ไว้ใช้ในกรณีที่นำไปลุยทาง off-road ด้วย ส่วนช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบ Double Wishbone ด้านหลังเป็นแบบ Integral Link rear axle

สำหรับความเคลื่อนไหวในประเทศไทยนั้น มีข่าวว่าทาง Inchcape ผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการจะนำ I-PACE มาขายตั้งแต่ครึ่งหลังของปีก่อน แต่คาดว่าน่าจะมีข้อติดขัดบางประการ จึงต้องเลื่อนมาเป็นปี 2019 แทน และ I-PACE น่าจะเป็นโมเดลใหม่สดเพียงรุ่นเดียวของ Jaguar ที่เปิดตัวในไทยภายในช่วง 2-3 ปีนับจากวันนี้ (ไม่นับรุ่นที่อัปเดตหรือไมเนอร์เชนจ์) เจอกันในงาน Bangkok International Motor Show 2019 นี้

ส่วนรถเก๋ง Premium C-Segment Saloon อย่าง Jaguar XE ซึ่งเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2015 และถูกคาดหมายว่าจะแย่งยอดขายกับ Mercedes-Benz C-Class,BMW 3 Series และ Audi A4 แต่ผลที่ออกมากลับไม่ดีตามที่คาด ในปี 2017 XE ขายได้ 19,000 คันในยุโรป ส่วน C-Class ได้ยอดกว่า 170,000 คัน สิ่งนี้ ประกอบกับยอดขายของ F-PACE ที่ฟันไปได้ 70,000 กว่าคันในปีเดียวกัน  ทำให้ Jaguar เริ่มทบทวนความคิดที่จะสร้างซาลูนเจนเนอเรชั่นใหม่ แต่ในระหว่างที่การตัดสินใจยังไม่ตกผลึก พวกเขาก็ตัดสินใจทำ XE ไมเนอร์เชนจ์ ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวสู่ตลาดโลกกลางปี 2019

XE ไมเนอร์เชนจ์ยังมีโครงสร้างหลักเหมือนเดิมทุกประการ จะมีการเปลี่ยนแปลงแค่ไฟหน้า ไฟท้าย กระจังหน้าและกันชน แต่ในส่วนของระบบขับเคลื่อนนั้น จะมีการเพิ่มระบบ Mild Hybrid ที่ช่วยลดมลภาวะและใช้ไฟฟ้าแบบ 48V ในลักษณะคล้ายกันกับทาง Audi และ Mercedes-Benz เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร V6 เบนซิน ถูกถอดออกจากไลน์การผลิตตั้งแต่ปี 2018 และไม่น่าจะกลับมาผลิตใหม่ คงเหลือแต่เครื่องยนต์เบนซินและดีเซล 2.0 ลิตรตระกูล Ingenium เท่านั้น

เมื่อถึงเวลาที่ XE ใหม่เปิดตัวในไทย ซึ่งน่าจะเป็นต้นปี 2020 ทาง Jaguar ที่เมืองนอกน่าจะแน่ชัดแล้วกับอนาคตของรถซาลูนของค่าย แค่ในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็มีกระแสข่าวหนาหูมากว่าทั้ง XE และ XF จะยุติการทำตลาดในปี 2023 โดย Jaguar จะไปเอา SUV พลังไฟฟ้าขนาดใหญ่กว่า e-tron และ EQC มาขายแทน ส่วน Jaguar XJ (X351) ที่ลากสังขารขายมาครบ 10 ปี ก็จะยังมีต่อไปจนกว่ารถ EV Saloon ขนาดใหญ่จะเปิดตัวในปี 2019 ช่วงปลายปี และอาจมาทำตลาดแทน XJ อย่างถาวรโดยไม่มีรุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายในให้เลือกอีกต่อไป

Image source : AUTOCAR UK

ภายในปี 2020-2021 Jaguar จะมีรถ SUV ที่ขนาดโตกว่า F-PACE จำหน่าย โดยใช้ชื่อว่า J-PACE (สบายหนุ่ม…!!??) เป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Porsche Cayenne โดยอาศัยโครงสร้างพื้นฐานอะลูมิเนียมจาก Range Rover รวมถึงอาจยืมเครื่องยนต์กลไกต่างๆ และระบบไฮบริดมาใช้ด้วย ทั้งนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า การที่ Jaguar เริ่มอยากเลิกใช้เครื่องยนต์ V8 5.0 ลิตรจาก Ford แล้วไปหยิบยืม V8 4.4 ลิตรของ BMW ใช้แทนก่อนหน้านี้ อาจส่งผลกับทางเลือกขุมพลังที่ติดตั้งลงใน J-PACE

สำหรับอนาคตรถสปอร์ตของทางค่ายอย่าง F-Type นั้น อยู่ในช่วงวิกฤติ เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมานั้น F-Type ที่ออกมาในฐานะตัวสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ในแง่ของการเป็นรถสปอร์ต กลับไม่ได้รับการโปรโมท และไม่ได้สร้างกระแสมากเท่าที่ควร ถึงแม้ Jaguar จะทำเวอร์ชั่นหลังคาแข็ง และท้ายสุดคือยอมเอาเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรมายัดใต้ฝากระโปรงแล้ว ยอดขายของ F-Type ก็อยู่ที่แค่เพียงปีละ 10,000 คันบวกลบ สิ่งนี้ทำให้ผู้บริหารเริ่มมีความเห็นแตกออกเป็นสองฝ่าย ว่า Jaguar ควรทำอย่างไรกับรถตระกูลนี้

อย่างไรก็ตาม หาก F-Type ถูกสั่งให้ไปต่อ โครงการวิจัยและพัฒนาก็จะเริ่มต้นในปี 2019 (ตามคำบอกเล่าของ Ian Callum บอสฝ่ายออกแบบ) ซึ่งก็แปลว่าเราจะต้องอยู่กับ F-Type รุ่นปัจจุบันไปจนกว่าจะปี 2022 ส่วนรถสปอร์ตแบบ 2+2 ที่จะมาทำตำแหน่งทางการตลาดของ XK นั้น ทราบแค่เพียงว่าท่านพ่อยก Ratan Tata เจ้าของเงินก้อนใหญ่เคยเปรยว่า “อยากให้มี” แต่หลังจากวิกฤติขาดทุนและยอดขายที่เอนเอียงไปทางด้านรถ SUV/Crossover อย่างมากในปีที่ผ่านมา อาจทำให้พ่อยกยอมเปลี่ยนใจ

____________________________

KIA MOTORS

  • 2019 : Niro Plug-in Hybrid or eNiro ?
  • 2020 : Brand New B-SUV for emerged market (Codename : SP2)

หลังจากเปิดตัว Sport Saloon รุ่น Stinger ก็ขายไปได้แค่ 1 คัน จากที่นำเข้ามาทั้งหมด 2 คัน ซึ่งก็ต้องทำใจ เพราะราคารวมภาษีนำเข้า มันเทียบเท่ากับรถยุโรประดับ Premium Brand เลยทีเดียว รวมทั้ง Kia Soul EV รถยนต์พลังไฟฟ้าล้วนแบบแรกที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเมืองไทย ด้วยค่าตัวที่แพงถึง 2.297 ล้านบาท ซึ่งพอมียอดขายบ้าง ไม่กี่คัน ทำให้ ปี 2018 Kia ต้องพยามกระตุ้นตลาด รถตู้อย่างต่อเนื่องด้วย Grand Carnival Minorchange ที่เปิดตัวในช่วงกลางปี พร้อมกับเทียบเชิญ หมอโอ๊ค และ โอปอ ปาณิสรา อารยะสกุล กับครอบครัว มาเป็น Presenter และนั่นดูจะเป็นความเคลื่อนไหวเดียวของ Kia ในปีที่ผ่านมา

สำหรับปี 2019 นี้ ยนตรกิจ Kia Motor ผู้นำเข้าและจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ก็ยังไม่ลดละความพยายามสรรหารถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้ามาเปิดตลาดในเมืองไทย แม้จะต้องเจอข้อจำกัดด้านภาษีนำเข้า และภาษีสรรพสามิต ซึ่งทำให้ราคาขายปลีกของรถยนต์นำเข้า ไม่ว่ารุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ แพงขึ้นมากอย่างที่ไม่ควรเป็น ซึ่งนี่คืออุปสรรคสำคัญในการทำตลาดของ Kia ในเมืองไทยมาตลอด

ปีนี้ Kia กำลังใช้ความพยายามอยู่ว่า จะหาทาง นำ Niro รถยนต์นั่งแบบ B-Segment Crossover เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยให้ได้ เพียงแต่ว่า ตอนนี้ ยังติดขัดอยู่ในเรื่อง การขอราคาพิเศษ จากบริษัทแม่ในเกาหลีใต้ ทำให้จนถึงตอนนี้ เรายังไม่รู้ว่า Kia จะสามารถนำเข้า Niro ทั้งรุ่น Plug-in Hybrid กับ eNiro (EV) มาได้ทั้ง 2 รุ่น หรือได้แค่เพียงรุ่นใดรุ่นหนึ่ง หรือ อาจจะแพงจนทำราคาไม่ได้ จนต้องยกเลิก ไม่นำเข้าซะเลย กันแน่ เนื่องจากว่า หากไม่ได้มีการช่วยเหลือจากสำนักงานใหญ่ ค่าตัวของ Niro ก็อาจจะแพงเท่าๆกับ Soul EV คือคันละราวๆ 2.2 ล้านบาท กันเลยทีเดียว

Niro Plug-in Hybrid มีรายละเอียดทางเทคนิคภาพรวม ที่เหมือนกันกับ Niro Hybrid ซึ่งออกสู่ตลาดมาตั้งแต่ปี 2016 มีขนาดตัวถังยาว 4,355 มิลลิเมตร กว้าง 1,805 มิลลิเมตร สูง 1,545 มิลลิเมตร แต่มีระยะฐานล้อยาวถึง 2,700 มิลลิเมตร วางขุมพลัง เพียงแบบเดียว และเหมือนกันทั่วโลก เป็นเครื่องยนต์ Kappa เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.6 ลิตร จุดระเบิดแบบ Atkinson Cycle 105 แรงม้า (PS) ที่ 5,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 15.0 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที พ่วงกับมอเตอร์ไฟฟ้า 43.5 แรงม้า (PS) พร้อมระบบ Re-generative Brake และขับเคลื่อนล้อหน้าด้วย เกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 6 จังหวะ แบบมีโหมด บวก/ลบ Sportmaticเพียงแต่ว่ามีการเพิ่ม ปลั๊กเสียบชาร์จบริเวณเหนือซุ้มล้อด้านหน้าฝั่งซ้าย มาให้ และมีการ Upgrade แบ็ตเตอรี ขึ้นมาให้มีความจุ 24.7 Ah. ให้กำลังไฟ 8.9 kWh กำลังสูงสุด 59 กิโลวัตต์ แรงดันไฟฟ้า 360 V

เมื่อรวมการทำงานทั้งระบบเข้าด้วยกัน จะได้กำลังสูงสุด 139 แรงม้า (HP) ที่ 5,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 26.91 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที สามารถขับขี่ด้วยไฟฟ้าล้วนๆอย่างเดียว 42.3 กิโลเมตร ระยะทางแล่นทั้งหมดเมื่อใช้น้ำมันและไฟฟ้าร่วมกัน 912.8 กิโลเมตร

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัย Rack & Pinion พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า MDPS (Motor Driven Power Steering) ระบบกันสะเทือนหน้า MacPherson Strut ด้านหลังแบบ Multi-Link พร้อมเหล็กกันโคลงทั้งหน้า-หลัง  ระบบห้ามล้อ เป็นดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Braking System) จานเบรกคู่หน้า 11 นิ้ว คู่หลัง 11.2 นิ้ว

ส่วน eNiro ซึ่งเป็นเวอร์ชัน ไฟฟ้าล้วนๆ ไม่ใชเครื่องยนต์สันดาปเลย เพิ่งเปิดตัวในงาน Paris Auto Salon เดือนกันยายน 2018 ที่ผ่านมา สดๆร้อนๆ มอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) แบ็ตเตอรีความจุ 67.0 kWh วางตรงกลางด้านหน้ารถ แล่นได้ไกลถึง 385 กิโลเมตร มาพร้อมสารพัดเทคโนโลยีตัวช่วยด้านความปลอดภัย ทั้งระบบ LKA (Lane Keeping Assist) ระบบ LFA (Lane Following Assist) ไปจนถึงระบบ RCCW (Rear Cross Traffic Collision Warning) ฯลฯ

หากทุกฝ่าย หาข้อยุติเรื่องราคาและสเป็กของ Niro สำหรับตลาดเมืองไทยได้สำเร็จ เราอาจได้เห็น Niro Plug-in Hybrid หรือ eNiro ร่ใดร่นหนึ่ง หรือทั้ง 2 รุ่น เข้ามาเปิดตัว ในงาน BIG Motor Sales ช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2019 นี้

อีกรุ่นหนึ่ง ซึ่ง น่าจับตามอง นั่นคือ All New B-Segment Crossover SUV รุ่นใหม่ล่าสุด สำหรับตลาดประเทศกำลังพัฒนา ภายใต้รหัสโครงการ SP2 ซึ่ง Kia ได้เปิดเผยโครงการนี้ สู่สาธารณชน ผ่านการเปิดตัวรถยนต์ต้นแบบ Kia SP Concept ในงานแสดงรถยนต์ที่ India อย่าง Auto Expo เมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2018 หรือเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา Kia ตั้งเป้าหมายให้รถคันนี้ บุกไปทำตลาดได้ในแทบทุกประเทศที่มีรถยนต์ Kia จำหน่ายอยู่ ล่าสุด มีข่าวจากทางฝั่ง India ว่า อาจจะได้ใช้ชื่อรุ่น Kia Tusker

กำหนดเปิดตัวในตลาดโลก คือช่วงไตรมาส 1-2 ของปี 2019 แต่จนถึงตอนนี้ ยังไม่แน่ชัดว่า รถคันนี้ จะถูกสั่งเข้ามาจำหน่ายในเมืองไทยได้หรือไม่ ถ้าสมมติว่า สเป็กลงตัว ราคาสวยงาม เราก็อาจเห็น B-SUV คันนี้ ในงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2019 นั่นคือการมองโลกในแง่ดีมากสุดแล้ว

____________________________

LAND ROVER

  • 2019 : New Evoque in Thailand / All New Defender L851 (World Premier)
  • 2020 : All New Defender L851 (Thailand Premier) / Special Model
  • 2021 : All New Range Rover (MLA Platform)

ปีที่แล้ว Inchcape ผู้นำเข้า และจำหน่าย Jaguar LandRover ในบ้านเรา สร้างความฮือฮา ด้วยการ หั่นราคาขายปลีกอย่างเป็นทางการของ Range Rover Velar ลง คันละ 1 ล้านบาท!! สำหรับรถยนต์ระดับราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท แล้ว นี่ถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน ในวงการรถยนต์บ้านเรา ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวสำคัญของ Land Rover ในเมืองนอก คือการเปิดตัว All New Range Rover Evoque มาแทนตัวเดิมซึ่งไ้ด้รับความนิยมอย่างสูงมากจากทั่วโลก และทำตลาดมานาน 7-8 ปี เมื่อ 22 พฤศจิกายน 2018

รูปลักษณ์ภายนอกในภาพรวม มีเส้นและและสัดส่วนที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นเดิมมากนัก รวมถึงหลังคาสไตล์ลาดจากด้านหน้าลงไปหาด้านท้าย แต่จุดที่เปลี่ยนคือการดีไซน์ด้านหน้าใหม่ รายละเอียดบนเปลือกกันชน กระจังหน้า ช่องดักอากาศ รวมถึงรายละเอียดของไฟหน้า/ไฟท้าย ที่ถูกขัดเกลาให้ทันสมัยขึ้น มีลูกเล่นมากขึ้น

ขุมพลังขับเคลื่อนของ Evoque ใหม่ในตลาดโลก เกือบทั้งหมดยกเว้นรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อราคาประหยัดสุด จะใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 48V Mild-Hybrid (Synchronous Reluctance Motor) เพื่อช่วยในการออกตัว แบตเตอรี่ 46.2 V Lithium-ion ส่วนตัวเครื่องสันดาปภายใน จะมีให้เลือกดังนี้

  • TD4 (150PS) Diesel 2.0 ลิตร Turbo 150 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร
  • TD4 (180PS) Diesel 2.0 ลิตร Turbo 180 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร
  • SD4 (240PS) Diesel 2.0 ลิตร Turbo 240 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร
  • SI4 (200PS) เบนซิน 2.0 ลิตร Turbo 200 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 340 นิวตันเมตร
  • SI4 (250PS) เบนซิน 2.0 ลิตร Turbo 250 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 365 นิวตันเมตร

ในรุ่น 150 แรงม้าจะมีเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะให้เลือก นอกเหนือจากนั้นไป จะเป็นเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ แม้ยังไม่มีการระบุว่ารุ่นใดจะถูกนำเข้ามาขายในไทย แต่พอคาดเดาได้ว่าเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 180 แรงม้าที่ให้กำลังใกล้เคียงกับคู่แข่งฝั่งเยอรมนีน่าจะเป็นตัวยืน แต่อาจมีลุ้นสำหรับรุ่นที่มีสมรรถนะสูงกว่านั้น

ทาง Inchcape ผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ จะนำ Evoque ใหม่เข้ามาเปิดตัวในเมืองไทย อย่างเร็วที่สุดภายในปลายปี 2019 นี้ หรือ อาจจะต้องขยับเป็นช่วงต้นปี 2020 คงต้องรอติดตามข่าวคราวกันอย่างใกล้ชิด

รุ่นต่อมาของ Land Rover ก็คือ Defender ใหม่ ซึ่งเป็นการผสมผสานแนวคิดในแง่การใช้งาน ระหว่างการลุยไม่เกรงฝุ่นโคลนของ Defender รุ่นเดิม (ซึ่งขายมาตั้งแต่ปี 1983) เข้ากับความง่ายในการใช้งานแบบครอบครัวอย่างที่รุ่น Discovery เคยมีเมื่อก่อนเปลี่ยนศตวรรษ จากนั้นในเรื่องของการออกแบบ ทาง Land Rover กล่าวว่ามันจะเหมือนกับการนำเอา Defender รุ่นเก่ามาบวกกับเส้นสายที่ไฮเทคของรุ่น Velar แต่จากทรวดทรงของรถทดสอบพรางตัวที่เห็น พนันได้ว่าหลายส่วนจะทำให้นึกถึง Discovery รุ่นที่ 3-4 เช่นกัน

Land Rover Defender ใหม่ จะใช้เครื่องยนต์ Ingenium เบนซิน 2.0 ลิตร Turbo และ Diesel 2.0 ลิตร Turbo วางตามยาวด้านหน้า และในภายหลังจะมีเครื่องยนต์ใหม่แบบ 6 สูบเรียง ตามออกมา ซึ่งเครื่องยนต์รุ่นนี้จะแบ่งให้ Jaguar ใช้ด้วย แถมยังมีการพัฒนาขุมพลังให้รองรับการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ นั่นหมายความว่า Defender รุ่นไฮบริดก็อาจตามออกมาในอนาคต

Defender ใหม่จะแตกแขนงตัวถังออกเป็นหลายแบบ รุ่นฐานล้อยาว 5 ประตูหลังคาปกติ อาจเผยโฉมก่อนในปี 2019 ตามมาด้วยรุ่น 2 ประตูฐานล้อสั้นหลังคาแข็ง และรุ่น 2 ประตูหลังคาผ้าใบ แต่ในภาพรวม Land Rover กล่าวว่าลูกค้าตลาดพวงมาลัยขวาจะได้รับมอบ Defender ภายในปี 2020 อย่างแน่นอน และตัวถังของ Defender จะมีการขยายหรือปรับดีไซน์สร้างเป็นโมเดลแยกออกมาภายใต้ธีมการออกแบบเดียวกัน ลองนึกถึง Range Rover/ Range Rover Sport และ Discovery/Discovery Sport ดูจะเข้าใจ แต่รถรุ่นนี้จะยังไม่มาจนกว่าจะปี 2023 ที่แน่ๆ เวอร์ชันไทย อาจต้องรอกันจนถึงปี 2020

หลังจากการเผยโฉมของ Defender ไป Land Rover อาจเผยโฉม Range Rover รุ่นพิเศษ ซึ่งยังไม่มีรายละเอียดใดๆออกมา แต่ที่แน่ๆ All New Range Rover ตัวโตเรือธงของค่ายจะเปิดตัวใหม่ในปี 2021 พร้อมกับโครงสร้างพื้นฐานใหม่ที่เรียกว่า MLA – Modular Longitudinal Architecture เพื่อช่วยให้ตัวรถมีสมรรถนะที่ดีขึ้นและชดเชยกับน้ำหนักแบตเตอรี่ที่จะต้องแบกเพิ่มในเวอร์ชั่น Plug-in/Full EV ซึ่ง Land Rover ต้องการผลิต SUV แบบไฟฟ้าล้วนโดยอาศัยโครงสร้างนี้เป็นพื้นฐาน และจะแบ่งไปใช้ต่อกับรุ่นอื่นๆในอนาคต

Range Rover รุ่นปัจจุบันมีปัญหาจากน้ำหนักตัว ในรุ่น V8 ซูเปอร์ชาร์จนั้น ปาเข้าไปถึง 2,606 กิโลกรัม ซึ่ง Bentley Bentayga รุ่น W12 ยังเบากว่าอยู่ถึง 166 กิโลกรัม

____________________________

Lamborghini

  • 2019 : Huracan SV / Urus Plug-in Hybrid
  • 2020 : All New Aventador (Coming with Hybrid/no Turbo) / Huracan Minorchange
  • 2021 : New Lamborghini Saloon
  • 2022 : Huracan’s replacement

ปีที่ผ่านมา Lamborghini เปลี่ยนมือผู้แทนจำหน่ายในไทย โดยจัดงานแถลงข่าวเมื่อ 2 สิงหาคม 2018 แต่งตั้ง ผู้แทนจำหน่าย ในประเทศไทยรายใหม่ Renazzo Motor (เรนาสโซ มอเตอร์) ในเครือ Sharich Holdings (ชาริช โฮลดิ้ง) ได้สิทธิ์ ” Lamborghini Bangkok ” จำหน่าย และ ให้บริการหลังการขายรถยนต์ Lamborghini ไปโดยเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงปี 2018 ที่ผ่านมา และได้ทำการเปิดตัว Urus SUV เวอร์ชั่นเครื่องยนต์เบนซิน 4.0 ลิตร Twin TurboCharger 659 แรงม้า (PS) ไปเรียบร้อยแล้วเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2018 ก่อนส่งเข้างาน Motor Expo ทันทีในวันรุ่งขึ้น

หลังจากเริ่มต้นปี 2019 เป็นต้นไป Lamborghini Bangkok จะพยายามนำรถรุ่นอื่นเข้ามาขาย รวมถึงรุ่นพิเศษที่จะมีจำนวนจำกัดมากอย่าง Aventador SVJ ไปพร้อมกันกับการก่อร่างสร้างอาคารหลักของ Lamborghini ฺBangkok เพื่อใช้เป็นที่รับซ่อมบำรุงรถและเป็นโชว์รูมจัดจำหน่าย

สำหรับความเคลื่อนไหวในต่างประเทศนั้น เราจะได้เห็นเวอร์ชั่นพิเศษของ Lamborghini Huracan ตามมาในอีกไม่นานนัก ซึ่งอาจใช้ชื่อว่า Lamborghini Huracan SV ซึ่งใช้เครื่องยนต์เดิมแต่เพิ่มพละกำลังจาก 640 แรงม้า (PS) ในรุ่น Performante เป็น 660 แรงม้า (PS) โดยประมาณ หรืออีกนัยหนึ่ง อาจทำเป็นรุ่น Superleggera น้ำหนักเบาและสมรรถนะสูงออกมาเลย

ตามต่อด้วย Lamborghini URUS Plug-in Hybrid เวอร์ชันเสียบปลั๊กชาร์จไฟบ้านได้ ให้กำลังสูงสดถึง 748 แรงม้า (PS) และมีโปรแกรมการขับี่ให้เลือกถึง 3 Mode ได้แก่ EV Mode , Hybrid Mode และ Hold Mode มีกำหนดเปิดตัว ในปี 2019 แตกว่าจะเริ่มส่งมอบได้จริง คงต้องรอกันถึงปี 2020

กระนั้น Maurizio Reggiani : Chief Technical Officer ของ Lamborghini กล่าวว่า Lamborghini ยังไม่มีแผนที่จะทำรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Full EV ออกมาขายภายใน 5 ปีนี้ (แม้ว่าบริษัทแม่อย่าง Audi จะทำ e-tron ออกมาแล้วก็ตาม) ในทางตรงกันข้าม ทางค่ายกระทิงดุยังพยายามเรียกหาประสิทธิภาพจากเครื่องยนต์แบบไร้ระบบอัดอากาศ ซึ่งให้การตอบสนองต่อคันเร่ง และมีเสียงก้องกังวานสะใจลูกค้ามากกว่าเครื่องยนต์ Turbo หมายความว่า Super Car รุ่นใหญ่คันใหม่ ที่จะมาแทน Aventador ก็จะยังใช้เครื่องยนต์ V12 อยู่

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สามารถลดมลภาวะลง ตามกฎหมายของสหภาพยุโรปที่เข้มงวดขึ้น Lamborghini จึงถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องติดตั้งระบบ Hybrid ซึ่งอยู่ในระหว่างการพัฒนา ที่ยังมีความเห็นไม่ลงรอยกันระหว่างฝ่าย Product Development กับวิศวกร โดยในช่วงแรกระบุว่า Lamborghini Aventador V12 รุ่นใหม่จะใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็ก วิ่งแบบ EV mode ได้เป็นระยะทางสั้นๆ แต่ทาง Product Developement บอกว่าตลาดใหญ่อย่างจีนต้องการให้มันสามารถวิ่งโหมดไฟฟ้าล้วนได้ไกล 50 กิโลเมตร หรือมากกว่านั้น

การตัดสินใจนี้จะมีผลต่อน้ำหนักของตัวรถ ซึ่งแม้ทางวิศวกรจะพยายามใช้วัสดุน้ำหนักเบาขั้น Advance เข้ามาช่วยแล้ว น้ำหนักของ V12 Supercar คันใหม่ก็จะยังมากกว่าเดิม 150-300 กิโลกรัม

จากนั้น ในปี 2021 Lamborghini จะเปิดตัวรถเก๋ง Sport Saloon 4 Door ของค่าย ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยนำรถต้นแบบ 4 ประตูอย่าง Estoque ในภาพข้างบนนี้ เผยโฉมตั้งแต่งาน Paris Autoshow ปี 2008 หรือ 1 ทศวรรษมาแล้ว พร้อมกับประกาศจะสร้างรถสปอร์ต 4 ประตู รุ่นนี้ออกขาย ทว่าโครงการนี้กลับถูกดองนานพอๆกับวิสกี้เพราะ Lamborghini เอาทุนทรัพย์ไปวิจัยและพัฒนาโปรเจคท์ SUV ก่อน และออกมาเป็น URUS จนแทบจะเกลี้ยง

รถสปอร์ต 4 ประตูรุ่นใหม่นี้อาจมีดีไซน์ที่ใกล้เคียง Estoque แต่ต้องมีการปรับรายละเอียดกันอีกมากตามระยะเวลาที่ผ่านมา เครื่องยนต์ในรถต้นแบบ เป็นเครื่อง V10 TFSI 5.2 ลิตรของ Gallardo ดัดแปลงมาวางด้านหน้า แต่ทว่ารถเวอร์ชั่นผลิตขายจริง มีแนวโน้มสูงมากที่จะใช้แพลทฟอร์ม MSB ร่วมกับ Porsche Panamera รุ่นปัจจุบัน รวมถึงใช้ขุมพลังเดียวกันที่นำมาปรับแต่งให้มีแรงม้าสูงขึ้น อย่างเช่นเครื่องยนต์ 659 แรงม้าใน Urus รุ่นปัจจุบัน แน่นอนว่าเพื่อลดค่าเฉลี่ย CO2 ของรถทั้งค่าย Lamborghini Saloon รุ่นใหม่จะมีรุ่นไฮบริดให้เลือก โดยยกมาจาก Panamera Turbo S e-Hybrid

ล่วงเข้าสู่ปี 2022 ก็จะถึงเวลาเปลี่ยนโฉมใหม่ให้กับ Huracan ซึ่งอาจมาพร้อมชื่อรุ่นใหม่อีกตามเคย จากข้อมูลในปี 2017 บ่งชี้ว่า Lamborghini จะเลิกแชร์โครงสร้าง Platform และงานวิศวกรรมร่วมกับ Audi R8 เสียที โดยจะหันมาพัฒนาโครงสร้าง Carbon Fiber เพื่อใช้เป็นการภายในเอง นอกจากนี้ยังเคยมีข่าวว่า Lambochini รุ่นเล็กคันใหม่นี้ จะเลิกใช้เครื่อง V10 Non-Turbo และ เปลี่ยนมาวาง เครื่องยนต์ของ Porsche Panamera V8 DOHC 32 วาล์ว 4.0 ลิตร อย่างไรก็ตาม ผู้บริหาร Maurizio Reggiani ยืนยันเสียงแข็งว่า “ตราบใดที่ผมยังเป็น Chief Technical ที่นี่ ผมจะไม่ยอมเอาเครื่อง Turbo ใส่ในซูเปอร์คาร์ 2 ประตูของค่ายเด็ดขาด มันเป็นเรื่องของเสียงและอารมณ์ ถ้าขับแล้วไม่มีอารมณ์ มันก็ไม่ใช่ Super Car จากเรา”

อย่างไรก็ตาม เราคงต้องติดตามกันต่อไป ภายในปี 2020 อนาคตสำหรับรถรุ่นต่างๆน่าจะชัดเจนขึ้นกว่าในตอนนี้

____________________________

Mazda

  • 2019 : MY 2019 for 4 Models / Mazda 3 Full Model Change / CX-8 Minorchange (Thailand Premier)
  • 2020 : Mazda 2 (Global Launch + Mild Hybrid) / CX-5 Minorchange / BT-50 Pro “no SUV/PPV”

ปี 2018 นับเป็นปีที่ Mazda มียอดขายพุ่งทะยาน ขึ้นเป็น 70,475 คันเติบโตจากปี 2017 ซึ่งทำได้ 51,355 คัน และนั่นก็นำมาซึ่งปัญหาหลายประการ ตั้งแต่เรื่องศูนย์บริการทั่วไป มีคุณภาพและมาตรฐานตกต่ำลง วิเคราะห์ปัญหาลูกค้าไม่จบ ตามด้วยปัญหาน้ำดันใน CX-5 Diesel ปัญหาเขม่า ใน Mazda 2 Diesel รวมถึง ปั้มติ๊กเสียไว ใน CX-5 เบนซิน หรือแม้กระทั่งเกียร์อัตโนมัติ ใน Mazda 2 และ Mazda 3 จนผู้บริโภคอิดหนาระอาใจกันเป็นจำนวนมาก เท่านั้นไม่พอ Mazda ยังสร้างเรื้องอื้อฉาวให้ตัวเอง ด้วยการตัดสินใจ ฟ้องร้องดำเนินคดีกับลูกค้าที่สร้างความเข้าใจผิดให้เกิดขึ้นกับสาธารณชน ในประเด็นที่ต่อเนื่องตามมา แน่นอนว่า ทำให้หลายๆคน เกิดภาพลบในใจเป็นจำนวนมาก และยากจะหลีกเลี่ยง

ด้านรถยนต์รุ่นใหม่ ปีที่แล้ว Mazda กระตุ้นตลาดด้วยการปรับอุปกรณ์ ให้กับ Mazda 2 MY2018 เมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2018 จากนั้น ตามด้วย Mazda 3 MY2018 เมื่อ 19 มีนาคม 2018 รวมทั้ง Mazda MX-5 RF เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ในงาน Bangkok International Motor Show 26 มีนาคม 2018 ต่อด้วย Mazda CX-3 MY2018 เมื่อ 20 กรกฎาคม 2018 รวมไปถึง Mazda 3 Minorchange เมื่อกรกฎาคม 2018 ที่มาเสริมทัพหลังปรับอุปกรณ์ MY2018 ไปก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน และ ปิดท้ายด้วย BT-50 Pro Thunder เมื่อ 17 กันยายน 2018

ในปี 2019 Mazda จะมีความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ นั่นคือ การเปิดตัว Mazda 3 Full Modelchange ซึ่งเพิ่งเผยโฉมไปในงาน L.A.Auto Show เมื่อ 28 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา สดๆร้อนๆ

HighLight สำคัญของ Mazda 3 ใหม่ ก็คือ

  • KODO Design Version 2.0
  • การปรับปรุงงานออกแบบทั้งคัน และเลือกวัสดุภายในกับการเก็บเสียง โดยเทียบมาตรฐานใกล้เคียงรถยุโรปมากขึ้น
  • เครื่องยนต์ ที่มีทั้งการนำบล็อคเดิมมาปรับปรุงใหม่ทั้งเบนซินและ Diesel พร้อมขายในต้นปี 2019 และเครื่องยนต์ใหม่ SKYACTIV-X + M-Hybrid (Mild Hybrid System)
  • ครั้งแรกของ Mazda 3 ที่ใช้ช่วงล่างหลังแบบคานบิดแทนแบบอิสระ

เครื่องยนต์ในตลาดโลก มีให้เลือก 4 แบบ ดังนี้

เบนซิน 1.5  SKYACTIV-G (วางใน Mazda 3 ปี 2013 – 2018 และ MX-5 ND)

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,496 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 74.5 x 85.8 มิลลิเมตร กำลังอัด 13.0 : 1 กำลังสูงสุด 114 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตร (15.28 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที

เบนซิน 2.0 SKYACTIV-G (วางใน Mazda 3 ปี 2013 – 2018)

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,997 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.5 x 91.2 มิลลิเมตร กำลังอัด 13.0 : 1 กำลังสูงสุด 156 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 199 นิวตันเมตร (20.27 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที

เบนซิน 2.5 SKYACTIV-G (วางใน Mazda 6 และ CX-5)

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,488 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 89.0 x 100.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 13.0 : 1 กำลังสูงสุด 190 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 252 นิวตันเมตร (25.67 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที

Diesel 1.8 SKYACTIV-D Turbo (วางใน Mazda CX-3 Japan Version)

เครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,756 ซีซี. 4 สูบ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 79.0 x 89.6 มิลลิเมตร กำลังอัด 14.8 : 1 กำลังสูงสุด 116 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร (27.51 กก.-ม.) ที่ 1,600 – 2,600 รอบ/นาที

และเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด เบนซิน SKYACTIV-X 2.0

เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยีใหม่ SPCCI (Spark-Controlled Compression Ignition) ตัวเลขอย่างเป็นทางการของเครื่องยนต์ใหม่นี้ ยังไม่มีประกาศออกมา แต่ทาง Mazda ได้เผยข้อมูลเบื้องต้นว่าจะสามารถสร้างพละกำลังได้ราวๆ 187 – 190 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุดประมาณ 230 นิวตันเมตร ซึ่งผลจากการทดสอบ เครื่องยนต์ SKYACTIV-X จะให้พละกำลังเกือบเท่าเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร SKYACTIV-G แต่มีอัตราสิ้นเปลือง และ CO2 ต่ำเกือบเท่าเครื่องยนต์ SKYACTIV-D 1.5 ลิตร

หลังการเปิดตัวในตลาดโลกแล้ว Mazda 3 ใหม่ จะถูกนำมาขึ้นสายการผลิตในประเทศไทย และเปิดตัวอย่างฉับไว ตามเกาะติดตลาดโลก ช่วงประมาณ เดือนมิถุนายน – กรกฎาคม 2019 นี้ ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลา ไล่เลี่ยกันกับ Toyota Corolla Altis Full ModelChange พอดีๆ งานนี้ คงได้เห็นช้างสาร ทำศึกยุตหัตถีกันสนุกสนานแน่ๆ

ไม่เพียงเท่านั้น Mazda ยังวางแผนที่จะส่ง Mazda 3 ขุมพลัง เบนซิน 2.0 ลิตร Mild-Hybrid มาประกอบ และเปิดตัวในประเทศไทยอีกด้วย ซึ่งต้องรอดูนโยบาย และท่าทีของภาครัฐ ในการกำหนดอัตราภาษีต่างๆ ให้สอดคล้อง และเหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจของทุกฝ่ายในระยะยาว  คาดว่า อาจได้เห็นกันในช่วงปี 2020 เป็นอย่างเร็วที่สุด

ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน (J!MMY) คือ อย่าเพิ่งนำขุมพลัง SKYACTIV-X มาวางลงใน Mazda 3 รุ่นประกอบในประเทศ โดยเด็ดขาด ! จนกว่าจะมีการทดสอบเป็นเวลายาวนานมากพอให้มั่นใจได้ว่า จะไม่มีปัญหาใดๆกับคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศไทย ถ้าต้องทดสอบกันเป็นปี ก็ต้องทำ! จะได้ไม่ต้องไปเกิดปัญหาใดๆเมื่อถึงมือลูกค้า เหมือนเช่น Mazda หลายๆรุ่นในปัจจุบันนี้!

นี่ เตือนแล้วนะ!

ส่วนใครที่รอคอย การมาถึงของ Mazda CX-8 ข่าวอัพเดทล่าสุดก็คือ จากเดิมที่มีกำหนดเปิดตัว ในงาน Motor Expo 2018 ปรากฎว่า Mazda ตัดสินใจ เลื่อนเปิดตัว เป็นช่วงครึ่งหลังของปี 2019 เพื่อรอให้รุ่น Minorchange ออกสู่ตลาดในญี่ปุ่นเสียก่อน เพื่อจะได้นำรุ่นใหม่เข้ามาขายไปเลยทีเดียว ลดความเสี่ยงจากการโดนลูกค้าด่าลงไปได้บ้าง

CX-8 เผยโฉมครั้งแรกในญี่ปุ่น เมื่อ 20 กันยายน 2017 เป็นการนำ CX-5 มาเพิ่มความยาวตัวรถ เพื่อเพิ่มเบาะนั่งแถวที่ 3 เข้าไป ซึ่งเมื่อผู้เขียนลองนั่งจริง ที่ญี่ปุ่น ในงาน Tokyo Motor Show พบว่า หากคุณตัวสูงไม่เกิน 170 เซนติเมตร และต้องเข้าไปนั่งบนเาะแถว 3 ศีรษะของคุณจะไม่เฉี่ยวชนกับเพดานหลังคา

เครื่องยนต์ มีเพียงแบบเดียว เป็นขุมพลัง SKYACTIV-D Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,188 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 86.0 x 94.2 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 14.4 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด Common-rail Direct Injection พ่วง Turbocharger กำลังสูงสุด 190 แรงม้า (PS) ที่ 4,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร (45.85 กก.-ม.) ที่ 2,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า และ ขับเคลื่อน 4 ล้อ Real-time AWD

กำหนดเปิดตัว Mazda CX-8 ในบ้านเรา น่าจะเกิดขึ้นได้ ราวๆ ปลายปี 2019 นั่นเท่ากับว่า งานนี้ Mazda ปล่อยให้ลาก Late ล่าช้ากว่าตลาดญี่ปุ่น ถึงเกือบ 2 ปี กันเลยทีเดียว!

ย่างเข้าปี 2020 รายการต่อไปที่เราจะได้พบกันอย่างแน่นอน คือ Mazda 2 Full ModelChange ซึ่งในตอนนี้ ยังไม่มีข้อมูลตัวรถออกมามากนัก เพราะทาง Mazda กำลังตัดสินใจกันอยู่ว่า จะุนำ Hatchback 5 ประตู เพื่อจับยกสูง ขายออกมาในแนว Small Crossover Hatchback หรือว่าจะยืนหยัดอยู่กับตัวถัง 5 ประตูแบบเดิม แล้วเพิ่มตัวถัง Sedan สำหรับหลายๆประเทศ นอกญี่ปุ่น เหมือนรุ่นนี้ตามเดิมกันต่อไปหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือจะมีขุมพลังเบนซิน Mild-Hybrid ให้เลือกในตลาดโลกอย่างแน่นอน

(Photo : theophiluschin.com)

ส่วนความคืบหน้าโครงการพัฒนารถกระบะ BT-50 PRO รุ่นต่อไป ที่ Mazda ตัดสินใจเซ็นใบหย่า กับ Ford แล้วหันไปสวมแหวนหมั้นกับเจ้าบ่าวคนเก่าที่คุ้นเคยอย่าง Isuzu นั้น มีความคืบหน้าเพิ่มเติมเพียงแค่การยืนยันว่า

  1. ไม่ปิดโรงงาน AAT อย่างแน่นอน เพราะยังผลิตรถเก๋ง Mazda ขายทั่ว Asia/Oceania
  2. แต่จะโยกสายการผลิตรถกระบะรุ่นต่อไป จ้างให้ Isuzu ไปประกอบแทน
  3. เครื่องยนต์กลไก Frame Chassis ทั้งหมด ใช้ร่วมกับ D-Max รุ่นต่อไป !! (นั่นหมายถึง จะถ่ายทอดความประหยัด ตามมาด้วยครบถ้วน! เราจะได้เห็น BT-50 รุ่น 1.9 Ddi อย่างแน่นอน!)
  4. อย่างไรก็ตาม รูปลักษณ์ภายนอก Mazda จะขอออกแบบ BT-50 ใหม่เองทั้งคัน
  5. ยืนยันว่า ไม่ใช่แค่ D-Max ใหม่ เปลี่ยนโลโก้ที่กระจังหน้า แน่นอน!
  6. เพื่อประหยัดต้นทุน เสาและโครงหลังคา กระจกหน้า และโครงประตู จะใช้ร่วมกัน
  7. ไม่ใช่แค่นั้น Mazda จะขอเซ็ตช่วงล่างรถกระบะของตนเองอย่างหนักหน่วงเหมือนรุ่นเดิม

คาดว่า Mazda น่าจะร่วมกันพัฒนารถกระบะรุ่นใหม่กับ Isuzu แล้วเสร็จ จนสามารถกำหนดวันออกเรือน ส่งตัว และ จัดพิธีเลี้ยงฉลองมงคลสมรส ได้ อย่างช้าที่สุด ภายในปี 2020 ไม่ลากยาวไปจนถึง 2021 อย่างแน่นอน โดยจะปล่อยให้ฝาแฝดผู้พี่ อย่าง Isuzu D-Max ประเดิมเปิดตัวกันไปก่อน

สำหรับคำถามที่ว่าในเมื่อ จับมือกับ Isuzu อย่างนี้ แล้ว Mazda จะนำ MU-X รุ่นต่อไป มาปรับงานออกแบบ ออกจำหน่ายในแบรนด์ Mazda หรือไม่ คำตอบที่ผู้บริหาร Mazda ทั้งฝั่งญี่ปุ่น และฝั่งไทย ยืนยันหนักแน่นมาหลายรอบแล้วก็คือ “จะไม่มี SUV/PPV จาก Mazda อย่างแน่นอน”

____________________________

MASERATI

  • 2019 : Alfieri (World Premier)
  • 2020 : Alfieri (Thailand Premier) / Alfieri Cabriolet (World Premier)
  • 2021 : Alfieri EV version
  • 2022 : All New Quattroporte/ All New Levante / Smaller SUV / All New Ghibli

ความเคลื่อนไหวของแบรนด์รถยนต์ “ตรีศูล” ในเมืองไทย ภายใต้การดูแลของกลุ่ม MGC Asia (Millennium Group) ในปีที่ผ่านมา มีเพียงแค่การเปิดตัว Maserati Ghibli Saloon ใหม่ ครบทั้งขุมพลังเบนซิน และ Diesel Turbo เริ่มต้นที่ 6.99 ล้านบาท เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2018

สำหรับตลาดโลก Maserati เตรียมแผนการที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ว่าจะเปิดตัวรถอย่างน้อย 6 รุ่นภายในปี 2022 และทิศทางของค่ายนั้น ชัดเจนแล้วว่าจะทยอยยุติบทบาทของเครื่องยนต์ดีเซลที่ใช้ในรถรุ่นต่างๆลง และหันไปหาเทคโนโลยี Plug-in Hybrid หรือ Battery EV (รถพลังไฟฟ้าเพียว) โดยในการนำเสนอแผนธุรกิจ 5 ปีต่อผู้ถือหุ้นเมื่อกลางปี 2018 สิ่งเหล่านี้คือข้อมูลที่ผู้บริหารนำเสนอต่อที่ประชุม

รถสปอร์ตอย่าง Alfieri เผยโฉมเวอร์ชั่นต้นแบบมาตั้งแต่ปี 2014 กำหนดเดิมจะเผยโฉมในปี 2018 แต่ก็มีอันต้องเลื่อนไป เวอร์ชั่นผลิตจริงอาจโชว์หน้าตาได้อย่างเร็วสุดก็ปลายปี 2019 และกว่าจะผลิตพร้อมส่งขึ้นโชว์รูมจริงก็ต้องเป็นปี 2020 โดยในระหว่างนี้จะเป็นปีที่อ่อนแอของ Maserati เพราะไม่มีรถรุ่นใหม่สดเปิดตัวเลย

สาเหตุของความล่าช้าในการเปิดตัว Alfieri มีทั้งเรื่องวิศวกรรมและนโยบาย แรกเริมเดิมที รถรุ่นนี้ถูกกำหนดให้เป็นรถสปอร์ตพิกัดเล็ก แทรกตัวเข้าไปอยู่ข้างใต้ Maserati Gran Turismo โดยใช้เครื่องยนต์ V8 Fourcam 32 วาล์ว 4.7 ลิตร ไม่มี Turbochargerทว่า เมื่อ Ferrari ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์ป้อนให้ Maserati ยกเลิกแผนการทำเครื่องเบนซิน V8 แบบที่ไม่มีเทอร์โบและหันไปพึ่งเทคโนโลยีไฮบริด Maserati ก็ต้องปรับตัวตาม ประกอบกับตลาดรถสปอร์ตทั่วโลก ทำยอดขายได้น้อยลงทุกวี่วัน Alfieri จึงแปรบทจากน้องเล็ก กลายเป็นรถรุ่นใหม่ที่มาแทน Gran Turismo ไปเลย

แพลทฟอร์มของ Alfieri จะเป็นแบบใหม่ที่ไม่เคยใช้ที่ไหนมาก่อน ขุมพลังในช่วงเปิดตัว คาดว่าจะเป็นแบบ Plug-in Hybrid ประกอบไปด้วย เครื่องยนต์ V6 DOHC 24 วาล์ว ขนาด 2.9-3.0 ลิตร Turbocharger มีกำลังตั้งแต่ 416 – 527 แรงม้า (PS) เสริมพลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า และมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ออกมาประเดิมก่อน ในปี 2019

หลังจากปี 2020 เป็นต้นไป Maserati ก็จะเปิดตัวรุ่น Alferi Cabriolet เปิดประทุน และเวอร์ชั่น EV ล้วน ที่ใช้แบตเตอรี่ 800V แบบใหม่ ที่ทำมาเพื่อแข่งกับ Tesla โดยโฆษกของ Maserati บอกว่าเวอร์ชั่น EV ของ Alfieri จะสามารถเร่ง 0-100 ได้ภายใน 2 วินาที

หลังจากเปิดตัวรถสปอร์ตเสร็จ ก็จะเป็นคิวของรถอีก 4 รุ่น ซึ่งจะประกอบไปด้วย

  • Quattroporte Saloonโฉมใหม่
  • Levante SUV โฉมใหม่
  • SUV พิกัดเล็ก ขนาดตัวประมาณ Alfa Romeo Stelvio
  • รถใหม่ที่จะมาแทน Maserati Ghibli

โดยรถทั้งหมด จะมีโครงสร้างพื้นฐานวิศวกรรมแบบใหม่ ที่ต่างจาก Platform เดิมในปัจจุบัน ใช้เครื่องยนต์ V6 DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร พ่วง TurboCharger + มอเตอร์ไฟฟ้า แบบ Plug-in Hybrid เป็นตัวยืนพื้น และมีเวอร์ชั่น Full-Battery Electric ให้เลือกใช้ในทุกรุ่น ส่วนขุมพลัง V8 Fourcam 32 วาล์ว 3.9 ลิตร TurboCharger นั้น อาจถูกสงวนไว้เฉพาะใน Quattroporte หรือ Levante เวอร์ชั่นผลิตจำนวนจำกัดเท่านั้น

____________________________

McLaren

  • 2019 : 720S Spider (Thailand Premier) / Senna GT-R Limited Edition (Global)
  • 2020 : Speedtail (Start of delivery)

ถึงแม้จะเกิดเรื่องอื้อฉาว จาการบุกเข้าตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ DSI  เมื่อ 18 พฤษภาคม 2017 จนทำให้สิทธิ์ในการจำหน่าย Lamborghini ต้องถูกยกเลิกไป แต่ในปี 2018 ที่ผ่านมา บริษัท Niche Cars ได้เคลียร์ปัญหาเกี่ยวกับคดีซึ่งเกี่ยวพันกับ DSI จนจบ และได้แถลงข่าวพร้อมเดินหน้าต่อ ปัจจุบันนี้ Niche Cars ยังคงเป็นผู้แทนจำหน่ายของ McLaren และเดินหน้าพัฒนาอู่ซ่อมตัวถังและเทคนิค ทำการ Re-launch รุ่น 720S ใหม่ในช่วงกลางปีด้วยราคาที่ถูกลง และในช่วงงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา ยังมีการนำรุ่น 600LT ซึ่งถูกผลิตขึ้นในจำนวนจำกัด เข้ามาขาย รวม 2 คัน อีกด้วย จึงเป็นสัญญาณได้ว่าต่อจากนี้ McLaren ในไทยจะสามารถทำธุรกิจต่อได้อย่างเป็นปกติเสียที

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงรถรุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวนับจากนี้ ทาง Niche Cars ยังไม่สามารถยืนยันได้แบบ 100% ดังนั้นเราจึงต้องพิจารณาจากการเปิดตัวรถรุ่นหลักของเมืองนอก ซึ่งหากไม่นับบรรดารุ่นพิเศษต่างๆแล้ว ก็คงมีเพียงแค่ 720S Spider ซึ่งเปิดตัวไปในเดือนธันวาคม 2018 ที่ผ่านมา นี่อาจจะเป็นรถสปอร์ตเพียงรุ่นเดียว ที่มีแนวโน้มว่าจะนำมาเปิดตัวในเมืองไทย ภายในปีนี้

จุดเด่นของ 720S Spider อยู่ที่หลังคากระจก โครงเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ พัฒนาจนมีน้ำหนักเบาเพียงแค่ 49 กิโลกรัม และใช้เวลาในการเลื่อนเปิดหรือปิดแค่ 11 วินาที เร็วกว่าหลังคาของ 650S รุ่นเดิมถึง 6 วินาที ทางด้านขุมพลังเครื่องยนต์ ยังคงใช้เป็น รหัส M840T เบนซิน V8 Fourcam 32 วาล์ว 3,994 ซีซี. Twin TurboCharger 720 แรงม้า (PS) ที่ 7,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 770 นิวตันเมตร (78.46 กก.-ม.) ที่ 5,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Dual-Clutch 7 จังหวะ (SSG : Seamless Shift Gearbox) ขับเคลื่อนล้อหลัง ทำอัตราเร่ง 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน 7.9 วินาที ตามหลังรุ่นหลังคาแข็งแค่ 0.1 วินาทีเท่านั้น

นอกจากนี้ ในปี 2019 McLaren Senna GTR ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นดิบเถื่อนสำหรับการวิ่งบนสนามแข่งเท่านั้น ก็จะเริ่มเข้าสู่การผลิตจริง พื้นฐานของรถรุ่นนี้ก็คือ McLaren Senna รถพิเศษที่สร้างขึ้นเป็นเกียรติให้กับอดีตนักแข่งของทีมอย่าง Ayrton Senna โดยผลิตมาแค่ 500 คันและถูกจับจองหมดตั้งแต่ล้อรถยังไม่แตะโชว์รูมด้วยซ้ำ

Senna GTR ใช้เครื่องยนต์ V8 Fourcam 32 วาล์ว 3,994 ซีซี Twin TurboCharger เหมือนรุ่นปกติ แต่จะมีการปรับเพิ่มแรงม้า จากเดิม 800 แรงม้า (PS) เป็น 825 แรงม้า (PS) หรือมากกว่า ในขณะที่น้ำหนักตัวจะเบาลง เปลี่ยนล้อและยางเป็นสเป็คสำหรับสนามแข่ง เพิ่มความกว้างของตัวรถและมีขนาดชุด Aero Part ที่ใหญ่ขึ้น ในย่านความเร็วสูง Senna รุ่นปกติจะสร้างแรงกดตัวถังได้เท่ากับน้ำหนัก 800 กิโลกรัม แต่ Senna GTR จะเพิ่มเป็น 1,000 กิโลกรัม อุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นจะถูกถอดออกทั้งหมด เกียร์ที่ใช้เป็นแบบที่จูนมาสำหรับการวิ่งในสนามโดยเฉพาะ

แม้ว่าใครก็ตามที่ซื้อ Senna GTR ไป จะขับมันได้เฉพาะในสนามแข่ง (เนื่องจากลักษณะและเสียงของรถไม่ผ่านกฎหมายสิ่งแวดล้อมของหลายประเทศ) แต่รถทั้งหมด 76 คันก็น่าจะขายได้หมดในเวลาอันรวดเร็วทั้งที่กำหนดผลิตและเริ่มส่งมอบคือเดือนกันยายน 2019

สำหรับ McLaren Ultimate Series อันเป็นกลุ่มรถสปอร์ตระดับ Hyper GT Car นั้น พวกเขาเพิ่งเผยโฉม McLaren Speedtail  ไปแล้วอย่างเป็นทางการ เมื่อ 26 ตุลาคม 2018  แต่อันที่จริง ตัวรถยังต้องการเวลาสำหรับการทดสอบขั้นสุดท้ายก่อนเริ่มส่งมอบให้ลูกค้าได้ภายในปี 2020

Speedtail มีรหัสในการพัฒนาว่า P23 ก่อนหน้านี้ หลายคนเข้าใจว่า มันคือรถสปอร์ตที่จะมาแทน McLaren P1 แต่ความจริงแล้ว รูปแบบของรถ ทำมาเพื่อเน้นการขับความเร็วสูงและการวิ่งเป็นระยะไกล เน้นความสบายในการขับมากกว่า P1 หรือ Senna ดังนั้น มันจึงนับเป็นตัวแทนของ McLaren F1 ซูเปอร์คาร์ที่สร้างสถิติความเร็วโลกตั้งแต่ปี 1993

ด้านขุมพลังขับเคลื่อนนั้น McLaren ยังไม่บอกอะไรมากไปกว่าการใช้ระบบ Hybrid มีกำลังสูงสุดรวม 1,050 แรงม้า ด้วยน้ำหนักตัวเพียง 1,430 กิโลกรัม ทำอัตราเร่ง 0 – 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ใน 12.8 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 403 กิโลเมตร/ชั่วโมง Wayne Bruce โฆษกของ McLaren กล่าวไว้ในงานแถลงข่าวว่า “นี่คือรถคันแรกที่ถูกสร้างขึ้นให้คุณเดินทางด้วยความเร็วสูงมากๆ แต่ยังสามารถพาเพื่อนไปชมการแสดง Opera ได้ ้ด้วยยางชุดเดียวกัน”

สนนราคาในอังกฤษ จะอยู่ที่ประมาณ 1,750,000 ปอนด์หรือราว 68 ล้านบาท แพงกว่า Senna GTR อยู่ 20 ล้านบาทโดยประมาณ ที่สำคัญคือ McLaren จะผลิตเป็นจำนวนจำกัดแค่ 106 คันเหมือนรุ่น F1 โดยผู้ที่จะมีสิทธิ์ซื้อได้ ต้องเป็นลูกค้า Super VIP ที่ McLaren เชื้อเชิญเองเท่านั้น สำหรับอภิมหาอมตะโคตรเศรษฐีในเมืองไทย คงต้องบอกว่า ขอแสดงความเสียใจด้วย เพราะดูเหมือนว่า ทั้ง 106 คัน ถูกจับจองไปหมดเรียบร้อยแล้ว ก่อนงานเปิดตัวเสียด้วยซ้ำ!!!

นอกเหนือไปจากรถ 3 รุ่นนี้ อนาคตของ McLaren ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีการผลิตรุ่นไหน และกี่แรงม้า จากการแถลงแผนดำเนินธุรกิจของทางค่าย สรุป ณ ครึ่งปีแรกของ 2018 บอกว่าจะมีรถรุ่นใหม่ 17 โมเดล ซึ่งเมื่อหักลบ Senna GTR, Speedtail และรุ่นพิเศษของ 720S ออกไปแล้วก็น่าจะยังเหลืออีก 13-14 รุ่น ไม่มีการกล่าวถึงอนาคตของรถ 540C, 570S หรือ 720S มากไปกว่าเรื่องการใช้ขุมพลัง Hybrid สำหรับ Super Car เจนเนอเรชั่นถัดไป

ส่วนรถที่จะมาแทน P1 จริงๆนั้น ต้องรอไปจนถึงปี 2025 เพราะผู้บริหารบอกว่าเทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่สามารถสร้างรถคันใหม่ที่เร็วกว่า P1 ได้อย่างเป็นรูปธรรม

สำหรับกระแสข่าวที่ว่า McLaren เริ่มสนใจที่จะสร้าง SUV นั้น Mike Flewitt : CEO ของค่าย ย้ำว่า พวกเขาจะไม่ทำ SUV ขายแน่นอน ตรงกันข้าม เขาเชื่อว่าโลกของ Performance Car ในยุคต่อไปนั้น จะแข่งกันที่ความเบา ไม่ใช่เรื่องแรงม้า และการทำ SUV นั้นขัดกับปรัชญาเรื่องความเบาของ McLaren ทั้งหมด

____________________________

Mercedes-Benz

  • 2019 : Thailand Premier : AMG CLS 53 Made in Thailand / AMG E 53 Coupe’ (CBU) / C-Class Plug-in Hybrid / AMG C43 Sedan / E-Class Plug-in Hybrid Facelift / A-Class Sedan / AMG A35 / EQC /  GLE / G-Class G350d
  • World Premier : CLA/ GLC Minorchange / E-Class Minorchange
  • 2020 : GLC Coupe Minorchange / EQA / S-Class Full ModelChange
  • 2021 : C-Class Full ModelChange (W206) / EQB

Mercedes-Benz เป็นค่ายยุโรปแบรนด์พรีเมียมที่ขยันเปิดตัวรถบ่อยที่สุด และสำหรับประเทศไทยนั้นก็นับว่าปล่อยหมัดชนิดไม่ยอมให้คู่แข่งได้พักหายใจกันเลยทีเดียว มาตั้งแต่ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา

สำหรับปี 2019 นี้ เตรียมพบกับ ” กองทัพรถใหม่มากกว่า 17 – 20 รุ่นย่อย ” ได้ในปี 2019 ที่จะถึงนี้ เริ่มกันด้วยการแถลงข่าวเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ครั้งแรก ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2019 นี้ ประเดิมกันด้วย Mercedes-Benz CLS 300d AMG Premium ประกอบในประเทศ ที่เพิ่งเปิดราคาอย่างเป็นทางการ 4,390,000 บาท ไปเมื่อ 21 มกราคม 2019 (รายละเอียดตัวรถ คลิกอ่านได้ที่นี่ CLICK HERE) 

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีแนวโน้มว่า Mercedes-AMG CLS 53 อันเป็นตัวแรงสุด อาจถูกนำเข้ามาประกอบในประเทศไทย หลังจากถูกสั่งเข้ามาเปิดตัวในบ้านเรา กันแบบคาดไม่ถึง ในงาน Motor Expo เมื่อ 28 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา คาดว่าจะมีการประกาศข่าวนี้ ในงานแถลงข่าว วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2019 นี้ เช่นเดียวกัน (รายละเอียดของตัวรถ สามารถ คลิกเข้าไปอ่านในบทความทดลองขับ ของ J!MMY จากประเทศสเปน ได้ที่นี่ CLICK HERE)

เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีกระแสข่าวตามมาอีกว่า ในงานแถลงข่าววันเดียวกัน Mercedes-Benz Thailand ก็จะประกาศ นำเข้า เวอร์ชันแรงสุดในตระกูล E-Class Coupe อย่าง Mercedes-AMG E53 Coupe 4MATIC+ (C238) เข้ามาจำหน่ายด้วย เพื่อเสริมทัพกับ E-Class Coupe ทั้ง E300 และ ตามมาด้วย E200 ที่เปิดตัวไปตั้งแต่งาน Bangkok International Motor Show เมื่อ 28 มีนาคม 2018 รายละเอียดเบื้องต้น คลิกอ่านได้ ที่นี่ CLICK HERE

ยังครับ ยังไม่จบ คิวถัดไป จะเป็นตระกูล C-Class Minorchange ระลอก 2 หลังจากช่วงปลายปี 2018 Mercedes-Benz Thailand ใช้เวที งาน Motor Expo (28 พฤศจิกายน 2018) จัดหนัก ส่ง C-Class Minorchange C 220d Diesel รุ่น Avantgarde / Exclusive / AMG Dynamic เปิดตัวใน ที่อัดทั้งอุปกรณ์และราคามาอย่างน่าสนใจ และมีจำนวนจำกัดแค่ ประมาณ 1,400 คัน เท่านั้น รวมทั้ง C200 Coupe 1.5 ลิตร Turbo  EQ Boost กับ Performance Car อย่าง Mercedes-AMG C43 Coupe Facelift

คราวนี้ก็จะได้เวลาสานต่อ ด้วย Mercedes-AMG C 43 Saloon รุ่นประกอบไทย ซึ่งเห็นตั้งท่าจะเอามาประกอบขายตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว หากยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจไปเสียก่อน ก็น่าจะได้เห็นกันในช่วงต้นปี 2019 ด้วยค่าตัวที่คาดว่าน่าจะไล่เลี่ยกับรุ่น Coupe

นอกจากตัวแรงแล้ว Mercedes-Benz C-Class รุ่นสามัญชนคนเดินดิน (แต่รวย) ก็จะมีการอัปเดตเช่นเดียวกัน ที่ผ่านมา รุ่น C 220d โดยเฉพาะตัวท้อป AMG Dynamic ได้รับความนิยมเหลือล้นจนขายหมดเร็วกว่าที่คาดเอาไว้ คงเหลือแต่รุ่นย่อย Avantgarde ที่ยังพอเหลือให้ซื้อหากันอยู่บ้าง และในช่วงไตรมาสแรกของปีอาจมีการเสริมรุ่นย่อยใหม่ให้กับ C 220d เพื่อดึงความสนใจตลาดต่ออีกระยะ แต่ยังไม่ทราบว่าจะเป็นรุ่นย่อยที่มีอุปกรณ์มากหรือน้อยเพียงใด..ทราบแต่เพียงว่าถ้าคุณอยากได้ C-Class แล้วไม่ชอบรถไฮบริด คุณเหลือเวลาน้อยแล้วล่ะครับ เพราะตอนนี้ 1,400 คันที่พวกเขาเตรียมไว้ขาย ใกล้หมดเต็มแก่แล้ว

ส่วน C 300e Plug-in Hybrid ก็จะมาเป็นน้องใหม่ที่ถูกเล็งไว้ว่า จะผลิตขายในบ้านเรา อย่างจริงจัง เป็นลำดับถัดไป โดยมีให้เลือก 3 ระดับความหรูตามประเพณีของ C-Class โดยแม้จะไม่มีการเผยกำหนดเปิดตัว C300e จาก Mercedes-Benz Thailand ก็ตาม เราทราบว่าทาง Mercedes-Benz Australia จะนำรถรุ่นนี้มาขายในเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ดังนั้นการเปิดตัวในตลาดประเทศไทยจึงไม่น่าตามหลังนาน และอาจมาทัน Bangkok International Motorshow ปลายเดือนมีนาคม 2019 นี้

นอกจาก C300e แล้ว Mercedes-Benz E-Class รุ่น E350e Plug-in Hybrid เดิมก็จะถูกแทนที่ด้วย E300e Plug-in Hybrid ใหม่ เช่นเดียวกัน แต่ E-Class อาจจะไม่ได้เปิดตัวพร้อม C-Class ตั้งแต่ต้นปี เพราะจนถึงตอนนี้ E 350e ยังมีรถที่ค้างอยู่ในสต็อคอีกพอสมควร ต้องหาทางระบายออกให้หมดเสียก่อน

ทั้ง C 300e และ E 300e จะใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Turbocharger พ่วงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังรวมสูงสุด 320 แรงม้า (PS) แรงกว่าเดิมประมาณ 40 แรงม้า (PS) ส่วน แรงบิดรวมสูงสุด อยู่ที่ 700 นิวตันเมตร (71.33 กก.-ม.) และเปลี่ยนขนาดแบตเตอรี่จาก 6.38 kWh เป็น 13.5 kWh เพิ่มพิสัยการวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วน จาก 30 เป็น 50 กิโลเมตร ส่วนเรื่องราคานั้น ไม่ต้องกลัวว่าจะโดดไปไกลมาก เพราะพิจารณาจากวิธีการจัดรุ่นจัดอุปกรณ์ของ Mercedes-Benz Thailand ในระยะหลังๆมานี้มีลูกล่อลูกชนน่ากลัวกว่าสมัยก่อนนัก ขึ้นชื่อว่าเป็นรถประกอบในประเทศเมื่อใด ราคาต้องได้ และออพชั่นต้องโดน ถ้าไม่เจอรถมีปัญหา Defect อย่างที่แล้วมา ก็คงไม่มีอะไรหยุดค่ายนี้ได้

อย่างไรก็ตาม ต้องบอกคุณผู้อ่านไว้ด้วยว่าในช่วงเวลาที่ท่านกำลังอ่านบทความนี้ Mercedes-Benz ที่เยอรมนีก็กำลังนำ E-Class Minorchange ออกวิ่งทดสอบอยู่ ทั้งบอดี้ซาลูน และ E-Class Coupe ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะการออกแบบในส่วนหน้ารถ เห็นได้ชัดว่ายังไม่ได้ใช้ไฟหน้าตามแนวทางการออกแบบใหม่อย่างที่เราเห็นในรุ่น CLS แบบ 100% ถ้าหากกะตามระยะเวลาทดสอบและนำรถสู่ตลาดเท่าที่สังเกตได้ เวอร์ชั่นไมเนอร์เชนจ์ของ E-Class น่าจะเผยโฉมในตลาดโลกช่วงปลายปี 2019 หรือช้าสุดคือมีนาคม 2020 แต่ยังไม่ทราบว่าจะมาถึงเมืองไทยเมื่อใด

หากพูดถึงรถเล็กอย่าง A-Class นั้น ทางผู้บริหาร Mercedes-Benz ไทยยืนยันนั่งยันนอนยันว่า ตัวถัง Hatchback ไม่มาจำหน่ายในบ้านเรา เพราะเหตุผลที่ตรงไปตรงมามากๆ ว่า “เห็นอยากได้กัน แต่พอเอามาก็ขายได้อยู่แป๊บเดียวก็ร่วง” ทว่า A-Class Sedan 4 Door นั้น มาแน่นอน เพียงแต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะเปิดตัวในเดือนใดของปี 2019

ไม่เพียงเท่านั้น จนถึงตอนนี้ เราก็ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่า A-Class Sedan เวอร์ชันไทย จะได้ใช้ขุมพลังใดบ้าง แต่คาดว่าน่าจะมีรุ่น A 200 เครื่องยนต์ เบนซิน 1.3 ลิตร Turbocharger 163 แรงม้า (PS) เป็นตัวตั้ง และมีเครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Turbocharger เป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการความแรงมากขึ้น แต่การจะได้เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร 188 หรือ 221 แรงม้า (PS) หรือไม่นั้น ยังคาดเดาได้ยาก

ส่วน Mercedes-AMG A 35 Sedan 306 แรงม้านั้น มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะมา เพราะช่วงหลังมานี้ทีมงาน Mercedes-Benz (Thailand) เน้นการผลักดันแบรนด์ ” Mercedes-AMG ” อย่างจริงจัง และกำลังเฟ้นหา AMG รุ่นล่างราคาถูกมาป้อนลูกค้า

สิ่งหนึ่งที่เรายังบอกไม่ได้ก็คือ เมื่อทางไทยเอา A-Class 4 ประตูมาขายแล้วอนาคตของ CLA จะเป็นอย่างไรในเมื่อรูปแบบของรถนั้นใกล้เคียงกัน แต่ก็ยังมีช่องว่างในการทำตลาดสำหรับคนที่ต้องการความโฉบเฉี่ยวของหลังคาแบบคูเป้

Mercedes-Benz CLA Generation ที่ 2 เพิ่งเผยโฉมเป็นครั้งแรกในโลก ณ งาน CES The International Consumer Electric Show 2019 ที่ Las Vegas มลรัฐ Nevada สหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกที่ Mercedes-Benz เลือกเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ในงานแสดงเครื่งไฟฟ้า และอุปกรณ์ Electronics จากทั่วทุกมุมโลกเช่นนี้

ไม่ต้องแปลกใจ เพราะ Mercedes-Benz เลือกใช้งานนี้ ในการเปิดตัว ระบบควบคุมอุปกรณ์ในรถ รุ่นใหม่ล่าสุดในชื่อ Mercedes-Benz UX Interface และ CLA ก็จะเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่ได้ใช้ ระบบใหม่นี้ นั่นเอง ช่วงแรกที่เปิดตัว CLA ใหม่ มีเครื่องยนต์ M260 เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,991 ซีซี Turbocharger 225 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร (35.66 กก.-ม.) ที่ 1,800 – 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ Dual Clutch 7G-DCT 7 จังหวะ ับเคลื่อนล้อหลัง ปล่อยก๊าซ CO2 141 กรัม/กิโลเมตร เพียงแบบเดียว

ส่วนเวอร์ชันแรงอย่าง Mercedes-AMG CLA 35 รุ่น 306 แรงม้า (PS) และ Mercedes-AMG CLA45 ที่อาจมีพลังสูงกว่า 400 แรงม้า (PS) พร้อมระบบ Hybrid แบบ EQ Boost ก็จะเผยโฉมตามออกมาภายในปี 2019 เช่นเดียวกัน แต่จนถึงป่านนี้ ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปว่า CLA ใหม่ จะถูกสั่งนำเข้ามาจำหน่ายในบ้านเรา ช่วงใดของปี 2019

ในฐานะที่ ผู้เขียน (J!MMY) ไปสัมผัสคันจริงในงาน CES 2019 มาเรียบร้อยแล้ว ขอเรียนให้ทราบว่า อย่าคาดหวังกับความเปลี่ยนแปลงด้านสรีระศาสตร์ใดๆ กับภายในห้องโดยสารของ CLA ใหม่เลย เพราะนอกจาก การเข้า – ออก จากบานประตูคู่หน้า และด้านหลัง แทบไม่แตกต่างจากรุ่นปัจจุบันแล้ว พนักศีรษะเบาะนั่งคู่หน้า (ซึ่งออกแบบรวมเข้ากับพนักพิงเบาะหน้าไปเลย) มันก็ดันหัวกบาลตามเดิม แถมพื้นที่โดยสารด้านหลัง ก็ยังไม่เหลือ Headroom มาให้เหมือนเดิม นั่นแปลว่า ถ้าคุณตัวสูง 170 เซ็นติเมตรแล้วละก็ ทำใจได้เลย นั่งเบาะหลังแล้ว หัวจะติด ชนเพดานหลังคาเหมือนรุ่นปัจจุบัน เป๊ะ!

ตามหลังจากการเผยโฉม CLA ไม่นาน ก็จะเป็นเวลาที่รถ SUV อย่าง Mercedes-Benz GLE เริ่มถูกส่งมอบให้ลูกค้าในยุโรป เริ่มต้นในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนเป็นต้นไป ในปัจจุบันยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องยนต์ มากไปกว่าจะเริ่มต้นทำตลาดด้วยขุมลัง เบนซิน 6 สูบ DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร Turbocharger 372 แรงม้า (PS) ใน GLE450 4MATIC

มีแนวโน้มว่า Mercedes-Benz (Thailand) น่าจะรอให้มีการเปิดตัวรุ่น Diesel Turbo หรือรุ่น Plug-in Hybrid ก่อน เพราะจะมีโอกาสในการทำราคาได้ถูกกว่า จากภาษีที่ถูกกว่า ถ้าตลาดพวงมาลัยซ้ายส่วนใหญ่รวมถึงประเทศจีนจะได้สัมผัส GLE ใหม่ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2019 ดังนั้นโอกาสที่จะมาไทยเร็วสุดคือครึ่งหลังของปี หรือไม่เช่นนั้นก็อาจต้องดึงไปรอเป็นต้นปี 2020

นอกจากนี้ จะมีการนำเข้า Mercedes-Benz EQC รถ SUV ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้ามาจำหน่ายในประเทศไทย! และนี่ไม่ได้มาด้วยโชคช่วย แต่เพราะทางบริษัทแม่ที่เยอรมนีความต้องการที่จะผลักดันรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของตน ให้แจ้งเกิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนหน้านี้เราก็ได้ทราบกันอยู่แล้วว่า Mercedes-Benz มีการลงทุนมหาศาลเพื่อสร้างโรงงานสำหรับผลิตแบตเตอรี่ในประเทศไทย และเดินหน้าประสานงานกับหน่วยงานรัฐอย่างต่อเนื่อง

EQC ที่จะเข้ามาขายในไทยนั้น น่าจะเป็น EQC แบบ 2 มอเตอร์ขับเคลื่อน 4 ล้อที่มีพลังถึง 408 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 765 นิวตันเมตร (77.9 กก.-ม.) เมื่อชาร์จแบตเตอรี่เต็มจะสามารถวิ่งได้ไกล 450 กิโลเมตร (อาจน้อยกว่านั้นเมื่อมาพบกับอากาศร้อนและการใช้งานแบบไทยๆ)

กำหนดการเปิดตัว Mercedes-Benz EQC ในประเทศไทย จะเกิดขึ้น ประมาณ ช่วงไตรมาสที่ 3 หรืออย่างช้าคือช่วง Motor Expoของปี 2019 นี้

สำหรับออฟโรดขาโหด สำหรับมหาเศรษฐี สายลุย ตัวจริงอย่าง Mercedes-Benz G-Class นั้น เปิดตัวรุ่นใหม่ไปตั้งแต่ปีที่แล้ว และต้องรอนานกว่าหนึ่งปีถึงจะได้มาขายในไทย เพราะว่าพวกฝรั่งเล่นเปิดมาด้วยรุ่น G500 (หรือ G550 ในตลาดอเมริกาเหนือ) เครื่องยนต์เบนซิน V8 4.0 ลิตร Turbocharger ล้วนๆ ตามมาด้วย G63 ทำให้ไม่มีขุมพลังที่เหมาะสำหรับการนำมาขายในประเทศไทย

จนกระทั่ง เดือนธันวาคม 2018 ที่ผ่านมานี้เอง Mercedes-Benz ถึงเปิดตัว G 350d ซึ่งใช้ขุมพลัง Diesel 6 สูบเรียง DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร 286 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร (ุ61.14 กก.-ม.) ที่ 1,200 – 3,200 รอบ/นาที แบบเดียวกับที่อยู่ใน S-Class S 350d ที่มีขายในประเทศไทยอยู่แล้ว มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4MATIC) ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic

ดังนั้นจึงไม่ต้องเดาว่า G-Class ตลาดประเทศไทยจะต้องเปิดตัวพร้อมกับขุมพลังนี้แน่นอนในปี 2019 แต่อย่าคาดหวังเรื่องราคา มากนัก เพราะรุ่นเก่า G 350d โฉมก่อนก็อยู่แถวๆ 8 ล้านกว่าบาท แล้ว

สำหรับรถ SUV/Crossover ขนาดกลางอย่าง Mercedes-Benz GLC และ Mercedes-Benz GLC Coupe นั้น ก็ได้มาถึงช่วงครึ่งกลางของเจนเนอเรชั่นแล้ว ดังนั้นแน่นอนว่าภายใน 2 ปีนับจากวันนี้ทั้งสองรุ่นจะมีเวอร์ชั่น Minorchange ออกมา โดย GLC จะเผยโฉมในตลาดโลกปี 2019 นี้ ส่วนประเทศไทยนั้นต้องรอดูก่อนว่าตลาดโลกเผยโฉมเมื่อไหร่ ให้บวกไปอีก 4-5 เดือนก็น่าจะได้เห็นกัน

รายละเอียดการปรับปรุงในคราวนี้ ก็คือ เครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.1 ลิตร ใน GLC250d จะถูกเปลี่ยนเป็นขนาด 2.0 ลิตร (อาจใช้ชื่อรุ่น GLC220d) ที่มีตัวเลขแรงม้าน้อยลง แต่เรี่ยวแรงไม่น้อยลง แถมยังประหยัดขึ้น ระบบไฟฟ้าและแผงหน้าปัด (Dashboard) จะถูก Upgrade ไปในทิศทางเดียวกับ C-Class ไมเนอร์เชนจ์ ไม่ว่าจะเป็นจอกลางที่ใหญ่ขึ้น หน้าปัดสี TFT แบบไฮโซในตัวท้อป พร้อมระบบปฏิบัติการณ์ใหม่ Mercedes-Benz UX เป็นต้น

ส่วน GLC Coupe นั้นค่อนข้างแน่ชัดว่าจะต้องรออีกประมาณ 1 ปีหลังการเปิดตัว GLC เวอร์ชั่นปกติ และใช้ขุมพลังเดียวกัน ซึ่งในเมืองนอก อาจมีรุ่น GLC53 (AMG) ที่นำเครื่องยนต์กับเกียร์จาก CLS53 มาใส่ ส่วนเวอร์ชั่นไทยนั้นก็ยังมีลุ้น เพราะพักหลังบริษัทนี้เขาใจกล้าเรื่องทางเลือกมากกว่าสมัยก่อน ส่วนรุ่นปกติที่ไม่ใช่ AMG จะใช้ขุมพลังเบนซินเทอร์โบ 4 สูบแรงม้าใกล้เคียงของเดิมใน GLC250

ต่อมา ในปี 2020 รถยนต์พลังไฟฟ้าขนาดเล็กอย่าง Meredes-Benz EQA จะถึงคราวเปิดตัวสู่ตลาดโลก หน้าตาของรถนั้นอาจมีความแตกต่างจาก EQA Concept ที่เคยเผยโฉมครั้งแรกในงาน Frankfurt Motor Show เดือนกันยายน 2017 และเพิ่งนำมาโชว์ตัวในงาน Motor Expo เดือนพฤศจิกายน 2018 อยู่บ้าง ถ้าอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร ให้ลองจินตนาการ โดยนำเส้นสายหลักของ Concept Car ไปบวกกับรายละเอียดกระจก หลังคาและกระจกมองข้างกับภายในของ A-Class Hatchback รุ่นล่าสุด  ขับเคลื่อนด้วย มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ให้กำลังสูงสุด 268 แรงม้า (PS)

สำหรับรถระดับ Flagship อย่าง Mercedes-Benz S-Class Full ModelChange นั้น มีกำหนดเปิดตัวแบบโมเดลเชนจ์ในช่วงปลายปี 2020 หรือต้นปี 2021 เป็นอย่างช้า (อายุตลาดของ S-Class เจนเนอเรชั่นหลังๆมาจะอยู่ประมาณตัวถังละ 7 ปี) สิ่งที่จะเป็นเทคโนโลยีใหม่ของรถรุ่นนี้คือระบบขับเคลื่อนกึ่งอัตโนมัติซึ่งประกอบด้วย Distronic Active Proximity Control และ Active Steer Assist ซึ่งทำงานร่วมกับระบบความปลอดภัยอื่นในรถและระบบนำทาง ทำให้สามารถยกระดับการขับแบบกึ่งอัตโนมัติจาก Level 2 ที่มีอยู่ในรุ่นปัจจุบันกลายเป็น Level 3 ที่สามารถใช้ขับไปในเมือง หยุดรถและออกรถเองที่ไฟแดงและเลี้ยวเองตามทางแยกได้

ส่วนขุมพลังขับเคลื่อนนั้น ยังไม่มีรายละเอียดครบ แต่ทราบว่าจะมีรุ่น S 560e ไฮบริดแบบเสียบปลั๊ก ซึ่งสามารถวิ่งใน EV Mode ได้ไกล 50 กิโลเมตรเช่นเดียวกับ C300e และ E300e นอกจากนี้ขนาดของรถก็จะขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมและมีห้องโดยสารที่กว้างขึ้น แต่จะมี S-Class รุ่น Full-EV ออกมาหรือไม่นั้น ทาง Mercedes-Benz ยังไม่ยืนยัน เนื่องจากขนาดของแบตเตอรี่จะกินที่ในห้องโดยสาร และที่สำคัญ พวกเขามีโครงการที่จะทำ EQS ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าขนาดโตสุดอยู่แล้วแม้จะเป็นแผนระยะยาวไปในอนาคตก็ตาม

จากนั้นในปี 2021 Mercedes-Benz C-Class ใหม่รหัสตัวถัง W206 สู่ตลาดโลก รถรุ่นนี้จะใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบ MRA2 ที่ปรับปรุงขึ้นจาก MRA เวอร์ชั่นเดิมโดยการผนวกเทคโนโลยีบางส่วนที่ใช้อยู่ใน Mercedes-Benz EQC เข้าไปด้วย ซึ่งแน่นอนว่าโครงสร้างนี้จะถูกนำไปใช้กับ E-Class W214 เช่นเดียวกัน C-Class W206 จะมีเครื่องยนต์ดีเซล OM654 แบบ 4 สูบอย่างที่ใช้อยู่ในรุ่นปัจจุบัน แต่สำหรับรุ่นดีเซล 6 สูบจะได้เครื่องยนต์แบบใหม่ที่ยกมาจาก S-Class ทั้งแบบเทอร์โบเดี่ยว 286 แรงม้า และเทอร์โบคู่ 340 แรงม้า ส่วนในเวอร์ชั่นตัวแรงและ AMG ก็แน่นอนว่าจะได้ใช้ขุมพลัง 6 สูบเรียง 3.0 ลิตรที่มีแรงม้าระดับ 400 ตัวขึ้นไป แต่อนาคตของเวอร์ชั่น V8 ทวินเทอร์โบอย่าง C63 นั้น ยังเป็นที่น่าจับตาว่าจะถูกตัดออกแล้วแทนที่ด้วยขุมพลัง Plug-in Hybrid สมรรถนะสูงหรือไม่

ปิดท้ายปี 2021 ด้วย Mercedes-Benz EQB ซึ่งเป็นรถขนาดอยู่ตรงกลางระหว่าง EQA และ EQC โดยในปัจจุบันนั้น แหล่งข่าวบอกว่าโครงสร้างพื้นฐานจะใช้ร่วมกับ EQA แต่ปรับทรงรถให้เป็นกล่องสูง มีลักษณะเป็น SUV ใกล้เคียงกับรถรุ่น GLB และใช้มอเตอร์คู่ 268 แรงม้าของ EQA ในการขับเคลื่อนเช่นกัน

ยอมรับว่าปีที่ผ่านมา และปีต่อๆไปนี้เป็นปี “ดาวดุ” เพราะขยันเปิดตัวของใหม่กันเหลือเกิน แค่ในเมืองไทยนี้ก็อาจจะต้องจัดงานเปิดตัวกันทุกๆ 2 เดือนเพราะน่าจะมีรถใหม่หรือขุมพลังทางเลือกใหม่รวมแล้ว 5-8 รุ่นได้เลยทีเดียว อย่าว่าแต่คนใน Mercedes-Benz (Thailand) จะเหนื่อยเลย คนเขียนบทความนี้ (Pan) กว่าจะสรุปมาได้ทั้งหมดนี่ก็ใกล้บ้าเหมือนกัน

สิ่งที่อยากจะฝากถึง Mercedes-Benz (Thailand) ก็คือ ยิ่งมีปริมาณรุ่นรถยนต์เข้ามาจำหน่ายมากๆ ยิ่งต้องเตรียม จัดการแก้ไขปัญหาด้านบริการหลังการขาย ที่ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ตามไปด้วย ไม่ว่าปัญหาต่างๆเห่านั้น จะเกิดขึ้นจากชิ้นส่วนภายในตัวรถ หรือ จากการดูแลไม่ทั่วถึงของดีลเลอร์ต่างๆ เพราะปัจจุบันนี้ ในสายตาของลูกค้า บริการหลังการขายของ Mercedes-Benz (Thailand) นับวันยิ่งแย่ลง จนเริ่มทำท่าว่าจะแย่กว่า Ford และ ใกล้เคียงกับ Mazda เข้าไปเรื่อยๆแล้ว

____________________________

MG

  • 2019 : Maxus T60 Pickup-Truck / MG eZS / HS
  • 2020 : MG GV
  • 2021 : Smart Car / Autonomous Drive!

หลังสร้างปรากฎการณ์ ถล่มตลาด B-Segment Crossover SUV ด้วย MG ZS ที่อัดแน่นด้วยอุปกรณ์อำนวยคามสะดวกมากมาย โดยเฉพาะ หลังคา Panoramic Glass Roof และระบบ Infotainment “i-Smart” เมื่อ 14 พฤศจิกายน 2017 จนทำให้ลูกค้าพากันมองข้ามอัตราเร่งที่แสนจะอืดอาดยืดยาด และกินน้ำมันเอาเรื่อง มุ่งหน้าเข้าโชว์รูม MG เซ็นใบจองอุดหนุนมากมาย พอถึงปี 2018 ผู้ผลิตรถยนต์จาก SAIC ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมยานยนต์แดนมังกร ก็ส่งรถยนต์รุ่นใหม่ เพียงแค่รุ่นเดียว นั่นคือ MG 3 Minorchange เปลี่ยนเครื่องยนต์และเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะลูกใหม่ ออกสู่ตลาดเมื่อ 21 มิถุนายน 2018 จากนั้น จึงมีรุ่น Limited Edition ตามออกมา เมื่อ 16 พฤศจิกายน 2018

ปี 2019 ถือเป็นปีที่ MG จะต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ เพราะแม้ว่าในช่วงครึ่งแรกของปี จะยังไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่ ทว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี พวกเขาตั้งใจจะเปิดตลาดรถกระบะ MG ในบ้านเรา เป็นครั้งแรกในโลก โดยนำรถกระบะ Maxus T60 จากบริษัท Maxus ในเครือของ SAIC ซึ่งเปิดตัว และ ออกจำหน่ายในแดนมังกร มาตั้งแต่ 6 พฤศจิกายน 2016 เข้ามาผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย โดยเปลี่ยนมาพะโลโก้ MG แทน

งานนี้ SAIC ไม่ได้มองแค่เล่นๆ เพราะมีการเตรียมงานกันมายาวนานหลายปีแล้ว คาดว่า โรงงานแห่งใหม่ของ MG ที่เพิ่งเปิดดำเนินการไปสดๆร้อนๆ เมื่อเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา จะกลายเป็นฐานการผลิตรถกระบะรุ่นใหม่นี้ เพื่อส่งออกไปยังทั่วโลก

T60 มีตัวถังยาว 5,365 มิลลิเมตร กว้าง 1,900 มิลลิเมตร ความสูงรุ่นกระบะส่งของ 1,722 มิลลิเมตร รุ่น Cab และ 4 ประตู ตัวเตี้ย 1,809 มิลลิเมตร รุ่น 4×4 สูง 1,845 มิลลิเมตร หากเป็นรุ่นฐานล้อยาวพิเศษจะเพิ่มความยาวตัวถังอีก 315 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อรุ่นช่วงสั้นยาว 3,155 มิลลิเมตร รุ่นช่วงยาว 3,470 มิลลิเมตร พื้นที่กระบะของรุ่น 4 ประตู ฐานล้อมาตรฐานจะมีความยาว 1,485 มิลลิเมตร กว้าง 1,510 มิลลิเมตร สูง 530 มิลลิเมตร

รูปลักษณ์ ภายนอกดูร่วมสมัย ไม่แตกต่างจากรถกระบะในท้องตลาดมากนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว 2 ปี รองรอยแห่งความเชยก็เริ่มเข้ามาเยือนบ้างเป็นธรรมดา ชุดไฟหน้าเป็นแบบ LED พร้อม Daytime Running Light และระบบปรับมุมองศาจานฉาย ตามการเลี้ยวของพวงมาลัย AFS มาให้เป็นออพชัน ส่วนภายในห้องโดยสาร ก็จะติดตั้ง ระบบ i-Smart เข้ามาด้วย

ขุมพลังในตลาดเมืองจีนตอนนี้ มีให้เลือกเพียงแบบเดียว เป็นแบบ VM Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.8 ลิตร ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ Common-Rail 3rd Generation จาก BOSCH พ่วงด้วย Turbocharger มีให้เลือก 2 ระดับความแรง ทั้งแบบมาตรฐาน 136 แรงม้า (PS) ที่ 3,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 310 นิวตัน-เมตร (31.5 กก.-ม.) ที่ 1,500 – 3,000 รอบ/นาที และแบบ Hi-Output 150 แรงม้า (PS) ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 360 นิวตัน-เมตร (36.68 กก.-ม.) ที่ 1,600 – 2,800 รอบ/นาที จับคู่เกียร์ธรรมดา 5 หรือ 6 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะโดย Punch Powertrain ซัพพลายเออร์ระบบเกียร์จากเบลเยี่ยม กับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ จาก BorgWarner

ส่วนช่วงล่างหลัง Maxus T60 เป็นตับแหนบ ที่ถูกออกแบบจุดยึดโดยคำนึงถึงความสะดวกสบายในการขับขี่หากมีการบรรทุกเบาและสามารถรองรับการบรรทุกหนักได้ ด้านระบบความปลอดภัยจะติดตั้งระบบควบคุมการทรงตัว และเสถียรภาพ ESP, ระบบเตือนเปลี่ยนเลน Lane Departure กับ ถุงลมนิรภัยมากถึง 6 ใบ เป็นต้น

สิ่งที่ต้องจับตาดูกันต่อไปคือ MG จะใช้กลยุทธ์ วางรุ่นย่อย กับออพชัน ให้สัมพันธ์กับราคาขาย ได้น่าสนใจมากพอจะยั่วให้บรรดาเถ้าแก่เจ้าของกิจการ ลองเปลี่ยนใจจากค่ายญี่ปุ่นมาได้มากน้อยแค่ไหน อีกทั้งเรายังต้องรอให้ทางจีนกับอังกฤษ พัฒนาเครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Common-rail Turbocharger ให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน ทั้งหมดนี้ ต้องทำควบคู่ไปกับการเตรียมยกระดับเครือข่ายผู้จำหน่ายทั่วประเทศรองรับเอาไว้ให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ คงต้องรอกันจนถึงช่วงครึ่งหลังของปี 2019 จึงจะได้เห็นรูปโฉมคันจริงกันเสียที

คันต่อมา ที่มีแนวโน้มสูงว่าอาจจะโผล่เข้ามาเปิดตลาดในเมืองไทยนั้น คือ MG eZS เวอร์ชันขับเคลื่อนด้วยมเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ ซึ่งต่อยอดมาจาก MG ZS B-Segment Crossover SUV ที่ขายดีอย่างเหลือเชื่อในบ้านเราตอนนี้ SAIC เพิ่งเปิดตัว eZS ไปในงาน Guangzhou Auto Show เมื่อ 15 – 16 พฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมานี้เอง

รูปลักษณ์ภายนอก บนตัวถังที่มีความยาว 1,314 มิลลิเมตร กว้าง 1,809 มิลลิเมตร สูง 1,620 มิลลิเมตร มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,585 มิลลิเมตร มีความแตกต่างจาก ZS รุ่นปกติ เพียงแค่ กระจังหน้า เปลี่ยนมาเป็นแบบปิดทึบ ซ่อนจุดชาร์จไฟไว้ด้านหลังสัญลัษณ์ MG รวมทั้งการปรับ รายละเอียดเส้นสายบริเวณส่วนล่างของเปลือกกันชนหน้าใหม่, เพิ่มระบบประตู Smart Entry, กุญแจ Keyless ออกแบบขึ้นใหม่, ล้ออัลลอย ขนาด 17 นิ้ว ลวดลายใหม่ มาพร้อมกับยาง 215/50 R17 และ สีตัวถังใหม่

ส่วนภายใน แตกต่างจากรุ่นปกติ ตรงที่ ชุดคอนโซลกลางแบบ 2 ชั้น มีช่องเสียบ USB 2 จุด พร้อมปลั้กไฟ 12V บริเวณชั้นล่าง ส่วนด้านบน จะพบว่าคันเกียร์หายไป แต่ใช้การควบคุมด้วยสวิตช์มือหมุน แบบเดียวกับ Jaguar / Land Rover รุ่นใหม่ๆ พร้อมกันนี้ ยังติดตั้ง เบรกมือไฟฟ้า พร้อมระบบ Auto Hold เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน รวมถึงมีที่พักแขนตรงกลางและช่องเก็บของ, ที่วางแก้วน้ำพร้อมฝาเลื่อนเปิด – ปิด และ ช่อง USB เพื่อเสียบชาร์จโทรสับมือถือ สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง เพิ่มมาให้อีกด้วย

รายละเอียดทางเทคนิคเบื้องต้นก็คือ eZS ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) ติดตั้งแบตเตอรี่ Lithium-ion จำนวน 3 แผง ซึ่งพัฒนาโดย SAIC Era Power Battery System (ยังไม่ทราบตัวเลขปริมาณความจุ และ แรงดัน) ไว้บนบริเวณพื้นตัวถังรถ โดยสามารถวิ่งได้เป็นระยะทาง 335 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน NEDC) แต่อย่างไรก็ดี ถ้าหากใช้การวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดไม่เกิน 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทาง MG ระบุว่า ระยะทางที่วิ่งได้จะถูกยืดออกไปเป็น 428 กิโลเมตร เลยทีเดียว

กำหนดการเปิดตัวในไทย อาจเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุด ภายในตั้งแต่ช่วงกลางปี 2019 เป็นต้นไป

อีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย เพื่อทำตลาดแทน MG GS นั่นคือ MG HS C-Segment Crossover SUV รุ่นใหม่ โดยชื่อรุ่น HS ย่อมาจากคำว่า Hormones และ Sense สามารถตีความได้ว่า มันเป็นรถยนต์ที่สะท้อนถึงพลังของความเยาว์วัย ความน่าหลงใหล มอบประสบการณ์การขับขี่จากประสาทสัมผัสหลายมิติ

HS มีขนาดตัวถัง ยาว 4,574 มิลลิเมตร กว้าง 1,876 มิลลิเมตร สูง 1,664 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,720 มิลลิเมตร มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ระดับความแรง ทั้งรุ่น 20T เป็นขุมพลังเบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,490 ซีซี Direct Injection พ่วง Turbocharger กำลังสูงสุด 169 แรงม้า (PS) ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร (25.47 กก.-ม.) ที่ 1,700 – 4,400 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 7 จังหวะ และรุ่น 30T วางขุมพลัง เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,995 ซีซี Direct Injection พ่วง Turbocharger กำลังสูงสุด 231แรงม้า (PS) ที่ 5,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร (36.68 กก.-ม.) ที่ 2500 – 4,000 รอบ/นาที โดยจะมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อให้เลือก มีความเป็นไปได้ว่าจะจับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และ เกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 6 จังหวะ พวงมาลัยแบบ Rack & Pinion พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า EPS (Electric Power Steering) ระบบกันสะเทือนหน้า MacPherson Strut ด้านหลังเป็นแบบ Multi-Link

หากไม่มีอะไรผิดพลาด ลูกค้าชาวไทยอาจได้สัมผัสกับ HS ในบ้านเรา ภายในช่วงปี 2019 นี้ ซึ่งจะเป็นช่วงที่ MG จะเริ่มทำเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน Autonomous Drive มาให้คนไทยได้เริ่มสัมผัสกัน ตามที่พวกเขาเคยประกาศเอาไว้เมื่อ 2 ปีก่อน

ท้ายสุด ด้านความเคลื่อนไหวของรถตู้ G10 ที่เคยมีข่าวว่า จะถูกส่งเข้ามาแข่งกับ รถตู้ Hyundai H-1 นั้น ปรากฎว่า หลังจากติดปัญหาด้านโครงสร้างภาษีสรรพสามิต ทำให้ ทางจีนเองก็ต้องถอยกลับไปตั้งหลักกันก่อน แต่ดูเหมือนจะตั้งนานไปหน่อย เพราะจนป่านนี้ ก็ยังตั้งหลักกันไม่เสร็จสักที

MG ก็เป็นอีกบริษัทหนึ่ง ที่จะต้องปรับปรุงเรื่องบริการหลังการขาย กันอย่างจริงจัง ให้มากกว่านี้ เพื่อรองรับกับปริมาณลูกค้าที่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากสุดคือ คุณภาพของชิ้นส่วนที่นำมาประกอบขึ้นเป็นคันรถ ไม่ว่าจะมาจากในประเทศไทย หรือจีน ย่อมต้องมีการเข้มงวดด้านคุณภาพให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ อีกทั้งระบบไฟฟ้า ที่ควบคุมอุปกรณ์ต่างๆของตัวรถ ควรจะปรับปรุงให้มีความเสถียรมากยิ่งกว่านี้ ไม่ใช่ว่า ยังไม่พร้อม หรือพัฒนาไม่เสร็จ ก็รีบปล่อยออกมาขาย ใหลูกค้าต้องมาทนแบกรับเวรกรรมกันเอาเอง


(Photo : www.Motor1.com)

MITSUBISHI MOTORS

  • 2019 : Pajero Sport Minorchange / All New Mirage
  • 2020 : All New Attrage (with 1.0 L Turbo Engine?)
  • 2021 : LANCER?

ถึงแม้จะมีรถยนต์รุ่นใหม่หลักๆ ตลอดปี 2018 เพียงรุ่นเดียว แต่ Mitsubishi Motors ก็พยายามกระตุ้นตลาด ด้วยสารพัดรุ่นย่อยใหม่ และ รุ่นพิเศษ ของพี่น้องในตระกูล เริ่มจากการเปิดตัว Mitsubishi Pajero Sport MY (Model Year) 2018 เมื่อ 13 มีนาคม 2018 ตามด้วย Mitsubishi Mirage Limited Edition หลังคาดำ เมื่อ 6 มีนาคม 2018 ต่อเนื่องกับ Mirage รุ่นปรับอุปกรณ์ MY 2018 เมื่อ 18 มิถุนายน 2018 เปิดตัว Mitsubihi Triton Big Minorchange เมื่อ 9 พฤศจิกายน 2018 และกระตุ้นตลาดให้กับ Pajero Sport ด้วยรุ่นพิเศษ Mitsubishi Pajero Sport Elite Edition เมื่อ 22 พฤศจิกายน 2018

Pajero Sport รุ่นปัจจุบัน ถือเป็น SUV/PPV รุ่นขายดี และมีการปรับโฉมบ่อยครั้งที่สุดรุ่นหนึ่งในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ Mitsubishi Motors ในเมืองไทย เพราะพี่ท่านเล่นปรับโฉม ปรับอุปกรณ์ กันทุกปี แม้กระทั่งเพิ่มลูกเล่นนิดๆหน่อยๆ ก็ปรับอุปกรณ์กันเฉยเลย บ่อยเสียจนแทบจะใกล้เคียงกับ Mitsubishi Lancer Champ ขวัญใจมหาชน ในยุค 1985 – 1997 แล้วนะนั่น

แต่ยังครับ…ยังไม่จบ ในเมื่อ Triton เพิ่งปรับโฉม Minorchange ไป แน่นอนว่าคิวถัดไป ก็หนีไม่พ้น Pajero Sport ที่จะได้ฤกษ์ปรับโฉม Minorchange ครั้งใหญ่กันเสียที และจะเกิดขึ้นในปี 2019 นี่แหละ ล่าสุด มีภาพถ่าย Spyshot หลุดออกมา ขณะแล่นทดสอบในสภาพภูมิอากาศอันหนาวเหน็บ คาดว่าจะมีการปรับโฉมบริเวณด้านหน้า รวมทั้งชุดไฟท้าย ทรงไม้เท้า ที่หลายคนไม่ชอบ ให้ดูดีขึ้น ส่วนภายในห้องโดยสาร น่าจะปรับปรุงไม่เยอะ อ้างอิงได้จาก Triton Minorchange

คาดว่า เราอาจจะได้เห็น Mitsubishi Pajero Sport รุ่นปรับโฉม Minorchange ในช่วงประมาณเดือนสิงหาคม 2019 อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับงาน BIG Motor Sales เป็นอย่างช้าที่สุด

(รายละเอียดเพิ่มเติม คลิกอ่านได้ ที่นี่)

(Illustrated By : KNK)

รถยนต์อีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งมีคิวจะต้องเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน แบบ Full ModelChange ในปีนี้ นั่นคือ Mitsubishi Mirage Hatchback 5 ประตู ซึ่งออกสู่ตลาดมาตั้งแต่ปี 2012 แล้ว หากนับอายุจนถึงตอนนี้ ก็ปาเข้าไป 7 ปีกว่าๆ สมควรแก่เวลาต้องเปลี่ยนตัวถังใหม่กันเสียที

Trevor Mann : Corporation chief operating officer และ Vincent Cobee : Vice-president of product strategy ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนต่างประเทศ เมื่องานเปิดตัว Triton Minorchange ในประเทศไทย ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2018 ที่ผ่านมา ว่า ถึงแม้เทรนด์ของตลาดรถยนต์ทั่วโลก จะหันไปอุดหนุน SUV มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไงๆ Mitsubishi Motors ก็ยังจำเป็นต้องมีรถเก๋งขนาดเล็ก เอาไว้ดึงดูดลูกค้า เข้ามายังโชว์รูม โดยเฉพาะ กลุ่มลูกค้าที่ไม่เคยสนใจในแบรนด์ Mitsubishi Motors มาก่อน Mann ยืนยันว่า Mirage ใหม่ จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง CMF-B ของ Renault – Nissan ร่วมกันกับ Nissan Micra เวอร์ชันยุโรป ที่เปิดตัวไปเมื่อ 2 ปีก่อน

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่เล็ดรอดออกมาในตอนนี้ น้อยมากๆ มีเพียงการยืนยันว่า รูปลักษณ์ด้านหน้า จะถูกออกแบบขึ้นตามแนวทาง Dynamic Shield แบบเดียวกับ ญาติพี่น้องร่วมสายพันธ์ Mitsubishi รุ่นใหม่ๆ ในตอนนี้ และเส้นสายตัวถังจะมีความเฉียบคมขึ้นกว่ารุ่นปัจจุบันซึ่งดูเรียบง่ายเกินไป แค่นั้น ยังไม่มีการยืนยันใดๆ แม้กระทั่งรายละเอียดของเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง แม้จะมีความเป็นไปได้ว่า Mirage ใหม่ อาจยังไม่ได้ใช้เครื่องยนต์ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1.0 ลิตร Turbo จาก Nissan Almera ใหม่

กำหนดเปิดตัว จะเกิดขึ้นในช่วง ปลายไตรมาส 4 ปี 2019 อาจจะเป็นเพียงการอวดโฉมในงาน Tokyo Motor Show เดือนตุลาคม 2019 กันก่อน  จากนั้น ก็เริ่มส่งมาขึ้นเวทีในงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2019 ซึ่งก็เท่ากับว่า ไทม์มิงการเปิดตัว จะเหมือนกับ Mirage รุ่นปัจจุบัน เมื่อปี 2011 – 2012 เปี๊ยบ!

หลังจากนั้น ในปี 2020 ก็จะถึงคิวของ Mirage เวอร์ชัน Sedan 4 ประตู หรือ Mitsubishi Attrage ซึ่งคาดว่า จะมีชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้าแตกต่างกันไปเล็กน้อย แต่จะใช้เครื่องยนต์กลไก ระบบส่งกำลัง ช่วงล่าง รวมทั้งอะไหล่ตัวถังอย่าง เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar กระจกยังลมหน้า บานประตูคู่หน้าทั้งยวง เสาหลังคาคู่กลาง B-Pillar แผงหน้าปัด และเบาะนั่งคู่หน้า รวมทั้งชิ้นส่วนอะไหล่ในบริเวณดังกล่าว ร่วมกัน เป็นอย่างน้อย

สำหรับ รถเก๋งอย่าง Lancer นั้น แม้จะเพิ่งถูกยกเลิกการผลิตไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2018 ที่ผ่านมา  หลังครบอายุตลาด 11 ปี พอดี แต่ Mitsubishi Motors เอง ก็กำลังอยู่ในช่วงวางแผน และเตรียมการพัฒนากันอยู่ โดยมีแนวโน้มว่า จะใช้พื้นตัวถัง CMF-C ของ Renault – Nissan ร่วมกับ Sylphy / Sentra และ Juke รุ่นต่อไป กระนั้น เวลานี้ ยังไม่มีข้อมูลอื่นใดมากมายไปกว่านี้ และคาดกันว่า กว่าจะคลอดออกมาจำหน่ายได้นั้น คงไม่มีทางเร็วไปกว่าปี 2021 แน่ๆ

____________________________

NISSAN

  • 2019 : X-Trail Minorchange / ALMERA (1.0 Turbo or E-POWER)
  • 2020 : KICKS e-Hybrid / Sylphy or Sentra Full Modelchange / Navara & Terra Minorchange
  • 2021 : Note e-Power (Next Generation)

ปี 2018 ถือเป็นปีที่เหนื่อยยากของ Nissan เพราะแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงสิ่งต่างๆ ภายในองค์กรมากมายขนาดไหน แต่ด้วยปัญหาเดิมๆ นั่นคือ การเมืองในองค์กรระดับนานาชาติ มันหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่ทีมงานในเมืองไทยจะทนไหว แถมด้วย Policy บ้าบอคอแตกมากมายเต็มไปหมด ส่งผลกระทบให้การเปิดตัวรถยนต์รุ่นต่างๆ ตลอดปีที่ผ่านมา ทั้ง Nissan Terra (16 สิงหาคม 2018) Nissan Teana Last Minorchange สั่งลาก่อนปิดตำนาน Cefiro / Teana D-Segment รุ่นใหญ่ของตนในเมืองไทย (1 พฤศจิกายน 2018) และการเปิดราคาขาย Nissan LEAF ที่ 1.99 ล้านบาท แต่ไม่มีระบบ Pro Pilot มาให้ (28 พฤศจิกายน 2018 ใน Motor Expo) เรียกเสียงฮือฮา และ ก่นด่าจากบรรดาลูกค้าเก่า แฟนพันธ์ุแท้ และ กองเชียร์ จนเซ็งเป็ดไปตามๆกัน

สำหรับปี 2019 Nissan จะประเดิมศักราชใหม่ ด้วยการเปิดตัว Nissan X-Trail Minorchange ซึ่งถูกเลื่อนจากกำหนดการเดิมในช่วง ปลายปี 2018 มาเป็นช่วงไตรมาสแรกของปี 2019 แทน

ความเปลี่ยนแปลง จะเกิดขึ้นที่ชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้าของรถ อันได้แก่เปลือกกันชนหน้า พร้อมกระจังหน้า แบบใหม่ ยกชุดมาจากเวอร์ชันญี่ปุ่น ชุดไฟหน้าแบบใหม่ รวมทั้งจะมีการปรับปรุงแผงหน้าปัดใหม่ ให้สวยงาม ร่วมสมัยขึ้นเล็กน้อย อีกทั้งยังจะเพิ่มสารพัดอุปกรณ์ตัวช่วยด้านความปลอดภัย และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบาย ให้ทัดเทียมกับคู่แข่งในตลาดมากกว่าที่เป็นอยู่

อย่างไรก็ตาม ทางเลือกขุมพลัง อาจมีการตัดรุ่นเครื่องยนต์ MR20DD เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร ออกไป เหลือไว้แค่เครื่องยนต์ QR25DE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.5 ลิตร เหลือเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ไว้ในรุ่น Hybrid เท่านั้น พ่วงกับมอเตอร์ไฟฟ้า เท่ากับว่า จะลดลง จาก 3 แบบ เหลือเพียง 2 แบบ

ล่าสุด Nissan ร่อนหมายเชิญงานแถงข่าวเปิดตัว X-Trail Minorchange ออกมาแล้ว ว่าจะเกิดขึ้น ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2019 ที่ The Link Asok-Makkasan คาดว่ารุ่นเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร จะมีให้เลือก 3 รุ่นย่อย ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น ไปถึงรุ่นท้อป โดยทำราคาลดลงมาใกล้เคียง 2.0 ลิตรเดิม จากนั้นแทรกด้วยรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 Hybrid 2 รุ่นย่อย รอติดตามกันว่า ราคา และ สเป็คจะเป็นอย่างไร

(Illustrated By : KNK)

ไม่เพียงเท่านั้น ในปี 2019 Nissan จะมี รถยนต์ อีก 1 รุ่นสำคัญ จ่อคิวรอเปิดตัวในประเทศไทย นั่นคือรุ่นเปลี่ยนโฉม Full Modelchange ของ Nissan ALMERA Full Modelchange ซึ่งยังไม่มีภาพถ่ายใดๆยืนยันความเคลื่อนไหวในการพัฒนาออกมาให้เห็นกันเลยในตอนนี้

Nissan ALMERA Full ModelChange จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง V-Platform ที่ถูกปรับปรุงใหม่ โดยรูปลักษณ์ภายนอกนั้น ด้านหน้า จะมีเค้าโครงจาก Nissan Micra รุ่นล่าสุด ซึ่งทำตลาดในยุโรป ส่วนบั้นท้าย จะได้เส้นสายมาจาก Nissan Altima ใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวในสหรัฐอเมริกา กับจีน (และยืนยันแล้วว่า…ทั้ง Micra และ Altima ใหม่ จะไม่มาเมืองไทยอย่างแน่นอน…ทั้งปีทั้งชาติ ทีของดีๆนะ ชอบเก็บเอาไว้ขายแต่พวกฝรั่งหัวทองกันอยู่ได้ ไม่เคยหรอก ที่จะแบ่งของดีๆเหล่านั้นมาให้คนไทยได้อุดหนุนกันบ้าง)

ไม่เพียงเท่านั้น คราวนี้จะยังมีการเปลี่ยนขุมพลังใหม่ มาเป็นแบบ เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1.0 ลิตร คาดว่า จะมีกำลังสูงสุด ประมาณ 100 แรงม้า (PS) เพียงแต่ว่า ยังไม่มีข้อสรุปเร่องกำลังม้าที่แน่ชัด แต่ที่แน่ๆ Almera ใหม่ จะยังคงใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน CVT ตามเดิม

ปัญหาสำคัญของ ALMERA ใหม่ ก็คือ กำหนดการเปิดตัว จริงอยู่ว่า ลูกค้าชาวจีน จะได้ยลโฉม ALMERA ใหม่กันก่อน ในเดือนเมษายน 2019 จากนั้น จึงตามด้วยประเทศไทย ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วง ไตรมาส 4 ปี 2019

ทว่า…นั่นเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ Honda จะเปิดตัว City ใหม่ ขุมพลัง 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 1.0 ลิตร เช่นกัน แต่มีพละกำลังสูงกว่า คือ 120 แรงม้า (PS) โดยประมาณ

ดังนั้น นอกจากจะต้องคำนึงถึงการทรงตัว และการปรับเซ็ตพวงมาลัย กับช่วงล่าง ให้เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ จนเทียบเท่ากับ Nissan Note หรือดีกว่านั้นแล้ว Nissan จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเซ็ตตัวเลขแรงม้า ให้สูงขึ้นจากเป้าหมายเดิม โดยยังต้องคำนึงถึงการปล่อยก๊าซ CO2 ไม่ให้เกินกว่าข้อกำหนดของรถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการ ECO Car Phase 2 ของรัฐบาลไทยด้วย…ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว

ย่างเข้าสู่ปี 2020 ก็น่าจะถึงเวลาที่ Sub-Compact Crossover SUV อย่าง Nissan KICKS จะออกมาขึ้นโชว์รูมในเมืองไทยได้สักที หลังจากเจอโรคเลื่อน โดนดอง เป็นแตงกวา มานานหลายปีแล้ว

KICKS เปิดตัวในตลาดโลก เมื่อ 24 กรกฎาคม 2016 ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง V-Platform เช่นเดียวกับ March Note และ Almera จุดเด่นอยู่ที่ การติดตั้งระบบ Around View Monitor และระบบตรวจจับการเคลื่อนไหวของวัตถุ ระบบ Chassis Dynamic Control ซึ่งมีทั้งระบบการควบคุมการทรงตัวขณะเลี้ยงโค้ง (Active Trace Control) ระบบสร้างเสถียรภาพขณะวิ่งทางลูกคลื่น (Active Ride Control), ระบบ Active Engine Brake เป็นต้น รวมทั้งพื้นที่ในห้องโดยสาร ที่แก้ปัญหาความคับแคบจาก Juke ได้สำเร็จ

ช่วงแรกที่เปิดตัว KICKS วางเครื่องยนต์ HR16DE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.6 ลิตร 109 แรงม้า (PS) ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT ที่มีอยู่แล้วใน Sylphy เวอร์ชันไทย

ทว่าตอนนี้ ความเคลื่อนไหวล่าสุดก็คือ Nissan กำลังวางแผนจะเปิดตัว Kicks ในประเทศไทย ด้วยรูปโฉมแบบ Minorchange พร้อมทั้งเปลี่ยนขุมพลัง มาเป็นแบบ HYBRID e-POWER (เครื่องยนต์ HR12DE จาก March Almera และ Note เชื่อมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า) เพียงอย่างเดียว ไม่มีเครื่องยนต์สันดาปเพียวๆให้เลือก และนี่เป็น อีกเหตุผลที่ KICKS มาถึงเมืองไทยช้ากว่าปี 2016 นอกเหนือจากเหตุผลซ่อนเร้น ด้านเกมการเมืองในองค์กร Nissan ระหว่างประเทศ บางประการ จนทำให้กำหนดออกขายในเมืองไทย เลื่อนออกไปไกลจนถึงปี 2019

อยากขอเตือน Nissan ไว้ตรงนี้ว่า ลูกค้าในกลุ่ม B-Segment SUV นี้ เป็นกลุ่มที่คล้ายคลึงกับลูกค้าของ Nissan Juke และตามปกติแล้ว กลุ่มลูกค้าของ Nissan มักจะมีการคำนึงถึงเรื่องราคา (Price Sensitive) ค่อนข้างสูง อีกทั้งยังค่อนข้างไม่มั่นใจกับเทคโนโลยี Hybrid ดังนั้น หากเป็นไปได้ ควรมีเครื่องยนต์สันดาปปกติ มาให้ลูกค้าได้เลือก อย่างน้อยสัก 1-2 รุ่นย่อย ก็ยังดี

ขนาด ยักษ์ใหญ่เจ้าตลาด อย่าง Toyota ยังไม่กล้าเสี่ยงเต็มตัว เปิดตัว C-HR ออกมา ด้วยทางเลือกขุมพลังถึง 2 แบบ แบรนด์รองอย่าง Nissan เองก็ควรพิจารณาประเด็นนี้ ให้จงหนัก!

(Photo : www.Autohome.com.cn)

ด้านความเคลื่อนไหวของ รถเก๋ง C-Segment Sedan รุ่นใหม่ ที่จะเปิดตัวทำตลาดแทน Sylphy ภายใต้รหัสโครงการพัฒนา L21B นั้น ล่าสุด มีภาพถ่าย Spysot จากเว็บไซต์ Autohome.com.cn ประเทศจีนหลุดออกมา เมื่อ 12 ธันวาคม 2018 เห็นได้ชัดเลยว่า รูปลักษณ์ภายนอก มีกลิ่นอายจาก Nissan Altima และ Maxima อันเป็น Sedan รุ่นใหญ่สำหรับตลาดอเมริกาเหนือ กันมาเต็มๆ ลบภาพความน่าเบื่อของ Sylphy/Sentra รุ่นเดิมลงไปได้เยอะ ส่วนกระจังหน้าแบบ V-Motion นั้น มาเป็นไฟท์บังคับ หลีกเลี่ยงไม่ได้

ด้านรายละเอียดขุมพลัง ในตลาดโลก จะมีขุมพลัง ให้เลือกหลายหหลาย เน้นหนักไปที่ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ตามเคย นอกจากนี้จะยังมีขุมพลังตัวแรง Hybrid เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Turbocharger พ่วง มอเตอร์ไฟฟ้า มาให้เลือกด้วย แต่เชื่อว่า เครื่องยนต์ดังกล่าว ยังไงๆก็คงมาไม่ถึงประเทศไทย ถ้าตราบใดที่นโยบายของสำนักงานใหญ่ใน Yokohama ยังชอบ กั๊กของดีๆ ไว้ขายชาวยุโรปและลูกค้าบ้านตัวเองกันอยู่อย่างนี้

กำหนดการเปิดตัว Sylphy ใหม่ ในตลาดโลก จะเกิดขึ้นภายในปี 2019 นี้ ทว่า กว่าที่ลูกค้าเมืองไทยจะได้เป็นเจ้าของกัน อาจต้องรอไปจนถึงปี 2020 เลยทีเดียว ผู้เขียนได้แต่คาดหวังว่า เมื่อถึงเวลาที่ C-Segment รุ่นใหม่คันนี้เปิดตัวในบ้านเรา ก็ควรจะเปลี่ยนกลับไปใช้ชื่อ Sentra ซึ่งเคยถูกนำมาใช้ในประเทศไทย ช่วงปี 1986 – 1996 อันเป็นชื่อที่เหมาะสมกับตัวรถ และง่ายต่อการจดจำมากกว่า Sylphy เป็นอย่างยิ่ง!

ด้านรถกระบะ Nissan Navara และ SUV/PPV อย่าง Nissan Terra นั้น ยังคงต้องลากทำตลาด

ท้ายสุด หลายคนที่ถามไถ่ว่า Nissan ยังคิดจะนำ Note e-Power มาทำตลาดในเมืองไทยหรือไม่ คำตอบที่ผู้เขียนยืนยันได้ก็คือ พวกเขาคิด และ วางแผนกันอยู่ เพียงแต่ว่า ไม่ใช่รุ่นปัจจุบัน ซึ่งเปิดตัวในญีุ่่ปุ่นมานานแล้ว ขายดีมานานแล้ว และมีการนำเข้ามาแล่นทดสอบในเมืองไทย นานแล้ว

คราวนี้ Nissan กำลังลองทำในสิ่งที่ต่างออกไป พวกเขาวางแผนจะนำ Note รุ่นต่อไป มาเปิดตัวในประเทศไทย ควบคู่กับการใช้โรงงานผลิตของ Mitsubishi Motors ที่แหลมฉบัง เป็นฐานการผลิตและส่งออก Note รุ่นใหม่ กลับไปยังญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศทั่วโลกอีกด้วย โดยขุมพลังที่จะวางลงใน Note ใหม่เวอร์ชันไทย เป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นเครื่องยนต์ Hybrid e-Power ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ให้มีอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงดีขึ้นกว่าเดิม กว่าที่เราจะได้เห็น Note ใหม่ คันจริง อาจต้องรอไปจนถึงปี 2020 – 2021

____________________________

PORSCHE

  • 2019 : Thailand Premier :  911 (992) / Taycan
  • World Premier : 911 Cabriolet / 911 Turbo /911 GT3 / 911 Carrera GTS / Cayenne Coupe
  • 2020 : Cayman & Boxster Full Model Change
  • 2021 : EV Crossover

ปีที่แล้ว AAS ผู้จำหน่าย รถสปอร์ตนำเข้าจากเยอรมนี ทะยอยเปิดตัว Porsche รุ่นใหม่ๆ เพื่อรองรับกับความต้องการของลูกค้า ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจาก Panamera 4 E-Hybrid Sport Turismo เมื่อ 29 มกราคม 2018 ตามมาด้วย การเปิดตัว Cayenne e-Hybrid เมื่อ 14 กันยายน 2018 ปิดท้ายด้วยการเปิดตัว SUV รุ่นเล็ก Macan ใหม่ ในงาน Motor Expo (28 พฤศจิกายน 2018)

ขณะเดียวกัน ในต่างประเทศ รุ่นเปลี่ยนโฉม Full Modelchange ของรถสปอร์ตรุ่นหลักประจำแบรนด์อย่าง 911 เพิ่งเผยโฉมไปเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2018 บนแท่นหมุนของงาน L.A.Auto Show ใน Los Angeles , California สหรัฐอเมริกาและกลายเป็น Hi-light สำคัญของ Porshce ในปี 2018 เลยทีเดียว

992 มีตัวรถที่กว้างขึ้น ยาวขึ้น และขยายฐานล้อจากรุ่น 991 ออกไปอีก 45 มิลลิเมตรเพื่อเพิ่มความสบายภายในห้องโดยสาร ดีไซน์ภายนอกแม้จะดูคล้ายรถรุ่นเดิม แต่ไฟท้ายใหม่ได้รับอิทธิพลมาจาก Panamera และ Cayenne พอสมควร ส่วนภายในนั้น ปรับเปลี่ยนแดชบอร์ดเป็นแบบใหม่ เพิ่มระบบควบคุมฟังก์ชั่นต่างๆของรถโดยผ่านจอทัชสกรีนแบบที่คล้ายกันกับใน Cayenne

ในช่วงแรกที่เปิดตัว จะมีให้เลือกแค่ 3 รุ่น ได้แก่รุ่น Carrera เครื่องยนต์ Flat-6 3.0 ลิตรทวินเทอร์โบ ปรับเพิ่มแรงม้าจาก 370 เป็น 385 แรงม้า รุ่น Carrera S ซึ่งใช้เครื่องยนต์บล็อกหลักเดียวกับ Carrera แต่ปรับพลังเพิ่มเป็น 450 แรงม้า (มากกว่ารุ่นที่แล้ว 30 แรงม้า และเท่ากับรุ่น Carrera GTS 911) และท้ายสุดกับ Carrera 4S ที่ใช้เครื่องยนต์ 450 แรงม้าบวกกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ระบบส่งกำลัง ในช่วงเปิดตัวจะมีเพียงแค่เกียร์คลัตช์คู่ PDK 8 จังหวะรุ่นใหม่ แต่ในภายหลังอาจมีการนำเกียร์ธรรมดา 7 จังหวะมาใช้ เพราะ Porsche ไม่น่าทิ้งฐานลูกค้าที่ชอบสับเกียร์เองง่ายๆ

ตัวเลขสมรรถนะของ Carrera 4S + Sport Chrono package นั้น ทำอัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายใน 3.2 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 306 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รายละเอียดเพิ่มเติม คลิกอ่านได้ ที่นี่ Click Here

911 รหัสรุ่น 992 มีกำหนดถูกส่งมาเปิดตัวในประเทศไทย อย่างฉับไว ภายในช่วง ครึ่งหลังของปี 2019 นี้ อย่างแน่นอน เพียงแต่ว่า ช่วงแรก อาจจะมีเฉพาะรุ่นเริ่มต้น ทั้ง Carrera และ Carrera 4S กันไปก่อน

หลังจากการเปิดตัวของ 992 รุ่นปกติ ในปี 2019 ก็จะมีรุ่นอื่นๆทยอยตามออกมาเรื่อยๆ ในภาพบนสุดคือรุ่น Cabriolet ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการทดสอบ และมีกำหนดเปิดตัวในช่วงครึ่งแรกของปี 2019 โดยรุ่นที่มีให้เลือก ก็จะเริ่มต้นกับรุ่น Carrera Cabriolet และ Carrera S Cabriolet ซึ่งมีแรงม้า 385 และ 450 แรงม้าตามลำดับ รายละเอียดต่างๆก็เหมือนกับตัวคูเป้ ยกเว้นส่วนของหลังคา

คันต่อมาคือ 911 GT3 ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวหนาหู ว่า Porsche จะเลิกใช้เครื่องยนต์ NA รอบจัด 9000 RPM แบบที่ใช้มาตลอดแล้วหันไปคบกับเครื่องเทอร์โบ 3.8 ลิตรแทน แต่ล่าสุดหลังจากที่มีรถทดสอบออกวิ่งแถวๆ Nurburgring และรอบเมือง Stuttgart บรรดาช่างภาพสปายช้อตได้ยินเสียงเครื่องยนต์แล้วบอกว่าเสียงมันไม่เหมือนเครื่องเทอร์โบ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่า 992 รุ่น GT3 นั้นจะยังใช้เครื่องยนต์ 6 สูบนอนไร้เทอร์โบตามเดิม

ซึ่งก็เป็นสิ่งที่สมเหตุผล เพราะถ้าไม่เช่นนั้นแล้วตำแหน่งการตลาดจะทับซ้อนกับ 911 Turbo และ GT2 อย่างไม่ต้องสงสัย เจตนาของผู้บริหาร Porsche เองก็อยากให้มีรถรอบจัดไร้เทอร์โบอย่างน้อย 1-2 รุ่นในค่ายอยู่แล้ว ส่วนระบบส่งกำลัง จะมีทั้งเกียร์คลัตช์คู่ PDK 8 จังหวะตัวใหม่ และเกียร์ธรรมดาซึ่งยังไม่แน่นอนว่าจะเป็นแบบ 6 จังหวะเหมือน GT3 เดิม หรือขยับไปใช้ 7 จังหวะแบบรุ่น 3.0 ลิตรทวินเทอร์โบ ปี 2019 ก็จะได้ฤกษ์เปิดตัวในตลาดโลก และมาถึงไทยในปี 2020

สำหรับคนที่มองหาความไม่ธรรมดา แต่ไม่มีงบพอจะไปเล่นรุ่น 911 Turbo หรือ GT3 ก็คงต้องเลือก 911 Carrera GTS ซึ่งจะมาในแนวทางเดิม คือเหมือนกับเอา Carrera S/ Carrera 4S มาอัพพลัง ติดตั้ง Sport Chrono Package ให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และใช้ล้ออัลลอยแบบ Center-locking พร้อมอุปกรณ์อื่นๆ แต่ขายในราคาถูกกว่าการเอา Carrera S ไปติดตั้งอุปกรณ์เหล่านั้นเพิ่มเติมเอง Carrera GTS จะมีให้เลือกทั้งแบบหลังคาแข็ง ทาร์ก้า และเปิดประทุน มีทั้งรุ่น GTS และ 4 GTS ขับเคลื่อน 4 ล้อ พลังแรงม้าน่าจะเพิ่มจาก 450 ในรุ่นเดิมไปอยู่ที่ประมาณ 480 หรือมากสุด 500 แรงม้า กำหนดการเปิดตัวยังไม่แน่ชัด อาจเป็นเดือนมกราคม 2020 หรือเร็วกว่านั้น

เหตุที่เป็นอย่างนั้น เพราะ Porsche ต้องวุ่นกับการจัดการ Portfolio 911 หลายรุ่นภายในปีเดียว นอกจากจะต้องส่งมอบ 922 Carrera ให้ทันแล้ว ยังต้องเปิดตัวรุ่น Cabriolet, GT3 และอาจจะต้องรวมรุ่น 911 Turbo เข้าไปด้วย ซึ่งสำหรับ 911 Turbo นั้น น่าจะถูกปรับปรุงให้มีแรงม้าสูงยิ่งกว่าเดิม ซึ่งในโฉม 991 รุ่น Turbo S ก็ทำตัวเลขได้ถึง 580 แรงม้า (PS) แล้ว มีแนวโน้มว่า เมื่อ 911 Turbo รุ่นใหม่ คลอดออกมา น่าจะมีกำลังสูงสุดระหว่าง 570-620 แรงม้า (PS) เลยทีเดียว มีกำหนดเปิดตัวในเดือนกันยายน 2019

ความเคลื่อนไหวต่อมา ทางด้านของรถขุมพลังไฟฟ้านั้น มีข่าวมาว่าทีม Porsche ประเทศไทยกำลังเสาะหาช่องทางการบริการเรื่องจุดชาร์จไฟ สำหรับรถยนต์พลังไฟฟ้า ซึ่งดูจากระดับความใหญ่ของโครงการ ไม่น่าจะทำมาแค่ให้ลูกค้า Cayenne หรือ Panamera e-Hybrid เอาไว้ชาร์จเล่นแน่นอน ประกอบกับมีแหล่งข่าวบอกว่าพวกเขากำลังพยายามผลักดันให้ Porsche Taycan (อ่านว่า ทาย คาน ไม่ใช่เทคาน คนโสดอย่าระแวง..ต่อให้อีกกี่ปีคุณก็โสดอยู่ดี) เข้ามาจำหน่าย หรืออย่างน้อยก็ให้คนไทยได้ยลโฉมกันภายในปี 2019 ช่วงปลายปี

มันจะเป็นงานที่หนักมาก เพราะเท่ากับว่าเครือข่ายการชาร์จไฟแบบ VIP รวมถึงการฝึกช่าง ทีมขาย ตลอดจนการเจรจาเพื่อนำเข้ามาขาย การตรวจสอบรับรองจากหน่วยงานรัฐ ทุกอย่างจะต้องทำอย่างเร่งรีบและพลาดไม่ได้เลย หากมาขายได้ทันจริง ต้องปรบมือให้กับทีมไทยซึ่งมีจำนวนคนทำงานอยู่เพียงไม่กี่คน

ข้อมูลเบื้องต้นของ Taycan เท่าที่มีในตอนนี้ ก็คือ จะมีการแบ่งออกเป็น 3 รุ่นย่อย ได้แก่ Taycan, Taycan 4S และ Taycan Turbo (ซึ่งไม่รู้จะเรียกว่า Turbo หาปลาเค็มอะไรทั้งๆที่ตัวรถจะไม่มี Turbo เลยสักลูก) แต่ละรุ่น จะมีขุมพลังในระดับที่ต่างกัน โดยรุ่น Top จะมีกำลังสูงสุด มากกว่า 600 แรงม้า (PS) ทำอัตราเร่ง 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาต่ำกว่า 12 วินาที และแล่นได้ไกล 500 กิโลเมตร (ภายใต้การขับแบบปกติ) ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง และใช้ระบบไฟฟ้า 800V

อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นปี 2018 เคยมีข่าวหลุดมาว่า Porsche จะสร้างรถให้มี 3 ระดับกำลัง คือ 402, 536 และ 670 แรงม้า ดังนั้นเมื่อถึงเวลาจำหน่ายจริง ก็อาจได้ตัวเลขที่ใกล้เคียงกัน Taycan ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า PSM (ย่อมาจาก Permanently Synchronous Motor ไม่ใช่ Porsche Stability Management) สองลูก ติดตั้งที่ด้านหน้าและด้านท้าย ติดตั้งแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ไว้ที่พื้นรถ

ภายในเดือนมีนาคม หรืออย่างช้าที่สุดคือมิถุนายน 2019 รายละเอียดต่างๆน่าจะเผยออกมาครบ สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า คันแรกของแบรนด์ Porsche ที่พร้อมจำหน่ายจริงรุ่นนี้

โครงการรถยนต์พลังไฟฟ้าอีกแบบหนึ่งของ Porsche ปรากฏให้เห็นในรถต้นแบบ Porsche Mission e Cross Turismo Concept ซึ่งสร้างออกมาในช่วงต้นปี 2018 เพื่อสำรวจความคิดเห็นของสื่อมวลชน และสาธารณชน หลังจากเก็บข้อมูลได้ครบ ช่วงท้ายของปี ผู้บริหาร Porsche ก็เปิดไฟเขียวอนุมัติให้โครงการเดินหน้าต่อได้ เพราะมีแนวโน้มในการสร้างยอดขายที่ดี จากการเจริญเติบโตของรถ Crossover บวกกับความสามารถที่จะควบคุมต้นทุนโดยใช้โครงสร้างพื้นฐานและระบบขับเคลื่อนทั้งหมดจาก Taycan

ทั้งนี้ เรายังไม่แน่ใจว่ารถ EV รุ่นใหม่นี้จะใช้ชื่อว่า Taycan Sport Turismo หรือเปลี่ยนชื่อใหม่ไปเลย เพราะรถยังอยู่ในขั้นวิจัยและพัฒนา เราอาจต้องรอจนถึงปี 2021 จึงจะเห็นสิ่งต่างๆเป็นรูปเป็นร่างมากกว่านี้

สำหรับ Cayenne Coupe นั้น มีรถทดสอบออกวิ่งพรางตัวอยู่ในเยอรมนีเรียบร้อยแล้ว และคาดว่ารถรุ่นนี้ จะใช้ตัวถังส่วนหน้าร่วมกับ Cayenne แต่ส่วนอื่นๆที่เหลือจะออกแบบใหม่ทั้งหมด ประตูทุกบานต่างกัน แนวหลังคาลาดและเตี้ยกว่า ลักษณะของรถโดยรวมจึงคล้ายกับการเอาท่อนล่างของ Cayenne บวกกับลำตัวส่วนบนของ Panamera (ตามภาพกราฟฟิคที่ได้มาด้านบน)

เครื่องยนต์ต่างๆที่จะมีให้เลือก ยกมาจาก Cayenne SUV ทั้งหมด คือ 3.0 ลิตรเทอร์โบเดี่ยว 340 แรงม้า, 3.0 ลิตรเทอร์โบไฮบริด 462 แรงม้า, 2.9 ลิตรทวินเทอร์โบ 440 แรงม้า, 4.0 ลิตร V8 ทวินเทอร์โบ 550 แรงม้า และ 4.0 ลิตร V8 ทวินเทอร์โบไฮบริด 680 แรงม้า กำหนดเปิดตัวคือช่วงปลายปี 2019 นี้ที่ยุโรป

รถสปอร์ตพิกัดเล็กสุดของค่ายก็มีความเคลื่อนไหวกับเขาเหมือนกัน ในช่วงปลายปี Porsche เผยโฉม 718 Boxster T และ 718 Cayman T ไป แต่นี่ไม่ใช่โมเดลสมรรถนะสูงสุด เพราะที่จริงแล้วมันใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเทอร์โบเดี่ยว 300 แรงม้าร่วมกับรุ่นธรรมดา และแม้จะตัดเอาเครื่องเสียงออก และติดมือจับเปิดประตูแบบใช้สายดึงแทน น้ำหนักตัว 1,350 กิโลกรัมก็ยังมากกว่ารุ่นปกติอยู่ 15 กิโลกรัม ส่วนหนึ่งอาจมาจากล้อที่ขนาดโตกว่า ช่วงล่างที่เป็นแบบ Adaptive Suspension และชุด Sport Chrono Package โดยภายในต้นปี 2019 Porsche จะเปิดราคาขาย โดยใบ้แค่ว่า “ถูกกว่าเอา 718 ธรรมดามาใส่ออพชั่นแบบเดียวกัน ราว 5-15%”

จากนั้นในช่วงท้ายปี ก็จะเป็นคราวของเวอร์ชั่นสั่งลา กับ 718 Spyder ตามที่เห็นในภาพข้างบน ซึ่งมีโครงหลังคาผ้าใบแบบดูง่ายแต่ใช้จริงยากเหมือนกับ 981 Spyder รุ่นก่อน ขุมพลังนั้นต้องปรับเปลี่ยนจากเดิม มันอาจได้ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบนอนเช่นเดียวกับ Cayman GT4 และมีแรงม้าระหว่าง 385-400 แรงม้า หรืออาจเป็นใช้เครื่องยนต์ของรุ่น GTS 365 แรงม้ามาปรับแต่งเพิ่ม ซึ่งไม่มีปัญหาอยู่แล้วที่จะสร้างพลังให้ทะลุ 375 แรงม้าที่ Boxster Spyder รุ่นเดิมทำไว้

โดยปกติ เมื่อ Porsche นำรุ่น Spyder มาขายเมื่อไหร่ มันเป็นสัญญาณบ่งบอกได้ว่ารถโมเดลใหม่จะตามมาในอีกไม่เกิน 1 ปีหลังจากนั้น ดังนั้น แม้เราจะยังไม่มีภาพถ่ายสปายช็อตใดๆ ก็สามารถคาดเดาได้ว่าในปี 2020 ช่วงปลายปี ก็จะถึงเวลาโมเดลเชนจ์ของ Boxster และ Cayman ซึ่งจะมีเครื่องยนต์ 4 สูบเทอร์โบเป็นตัวยืนพื้นเหมือนเดิม แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่ารุ่นพิเศษอย่าง GT4 จะยังได้ใช้เครื่อง 6 สูบนอนอยู่หรือไม่


(Photo : www.Carscoops.com)

Rolls-Royce

  • 2019  : Ghost Model Change & Phantom Special model/ Wraith Minorchange
  • 2020 : Ghost Long wheelbase/ Ghost Electric/ Cullinan Electric
  • 2021 : Dawn MinorChange
  • 2022 : SUV ขนาดเล็กกว่า Cullinan

ความเคลื่อนไหวของ Rolls-Royce ที่สำคัญสุดในปี 2018 ที่ผ่านมา คือการเปิดตัว SUV คันแรกอย่าง Cullinan ในตลาดโลก เมื่อ 10 พฤษภาคม 2018 ก่อนที่ทาง กลุ่ม MGC Asia (Millennium Group) จะสั่งนำเข้ามาเปิดตัวอย่างรวดเร็ว ในประเทศไทย เป็นครั้งแรก พร้อมกับการเปิดโชว์รูมพิเศษ Exclusive Showcase ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่ ICONSIAM เมื่อ 21 พฤศจิกายน 2018 ก่อนจะนำไปเปิดตัวในงาน Motor Expo เมื่อ 28 พฤศจิกายน 2018 ติดป้ายราคาเริ่มต้นสูงถึง 36 ล้านบาท และเริ่มส่งมอบให้กับลูกค้าได้ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นไป !!

Rolls-Royce ตระหนักดีว่าต่อให้ขายรถแพงไม่ง้อลูกค้าขนาดไหน แต่ถ้าอยากอยู่รอดต่อไป พวกเขาก็ควรจะขายรถยนต์ให้ได้มากพอที่จะสร้างกำไรได้ ดังนั้น ในปี 2019 Rolls Royce จึงขยับเป้าหมายยอดขายทั่วโลกเพิ่มเป็น 5,000 คัน/ปี โดยจะเน้นหนักไปที่ Cullinan SUV เป็นหลัก

สิ่งที่คุณควรรู้ก็คือ Cullinan จะไม่ยืนหยัดอยู่กับเครื่องยนต์เพียงแบบเดียว เพราะ SUV รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ ใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบ All-aluminium ซึ่งประยุกต์มาจากโครงสร้างของ Rolls-Royce Phantom 2017 แต่ด้วยความที่เล็งเห็นอนาคตของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า จึงได้ออกแบบให้รองรับการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างน้อย 2 ชุด นั่นแปลว่า เราจะได้เห็น “Cullinan Electric” กันในปี 2020

ส่วนตระกูลน้องเล็กสุด ของ Rolls-Royce นั้น รุ่นแรกที่จะได้คิวเปลี่ยนโฉมก่อนเลยคือ Ghost 4 ประตู ซึ่ง ลากจำหน่ายตัวถังเดิม มาตั้งแต่ปี 2010 คราวนี้จะได้ใช้แพลทฟอร์มใหม่ที่มีเทคโนโลยีระดับเดียวกับ Cullinan และ Phantom และมาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ๆทั้งด้านความบันเทิง ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย ชนิดอัดแน่นเต็มพิกัด ยกยวงมาจาก Phantom VIII และ Cullinan

ส่วนขุมพลัง มีแนวโน้มว่าอาจจะมีการขยับขึ้นไปใช้ เครื่องยนต์ เบนซิน V12 DOHC 48 วาล์ว 6.75 ลิตร Twin-Turbo จาก Phantom VIII ซึ่งจะถูกปรับจูนให้มีกำลังสูงสุด เกินกว่า 600 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด เกินกว่า 780 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ซึ่งจะเป็นขุมพลังที่เปิดตัวก่อนภายในปี 2019 หลังจากนั้นในปี 2020 ถึงจะมี Ghost Electric ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ตามออกมา

(รายละเอียดเพิ่มเติมของ Ghost ใหม่ Click Here!)

ส่วนรุ่น Coupe 2 ประตู อย่าง Wraith และรุ่นเปิดประทุนอย่าง Dawn นั้น เนื่องจากตัวถังนี้เพิ่งเริ่มจำหน่ายจริงไปเมื่อปี 2014 ถือว่ายังมีอายุน้อยสำหรับ Rolls-Royce ดังนั้น ในปี 2019 จึงจะมีการเปลี่ยนแปลงแค่ระดับไมเนอร์เชนจ์เท่านั้น Wraith Series II จะยังคงใช้ขุมพลัง 6.6 ลิตร V12 เทอร์โบ 632 แรงม้าเหมือนเดิม แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดปลีกย่อย เช่นไฟหน้า ไฟท้าย กันชน และอุปกรณ์ตกแต่งในจุดต่างๆเท่านั้น ส่วนเวอร์ชั่นไมเนอร์เชนจ์ของ Rolls-Royce Dawn ที่เป็นรถเปิดประทุน จะตามมาในปี 2021

รถยนต์รุ่นใหม่ที่น่าจับตามองจริงๆ ของ Rolls-Royce ก็คือ SUV รุ่นที่ 2 ซึ่งจะเผยโฉมในปี 2022 ซึ่งจะใช้โครงสร้างพื้นฐาน CLAR – CLuster ARchitecture แบบเดียวกับที่อยู่ใน BMW X7 และ X5 โดยจะเป็น Rolls-Royce SUV ที่มีราคาถูกลงกว่า Cullinan และจับลูกค้าได้กว้างขึ้น เพราะในปี 2022 เป้าการขายของ Rolls-Royce อาจเข้าสู่หลัก 10,000 คัน ซึ่งจะเพิ่มความซับซ้อนเรื่องมาตรฐานมลภาวะตามกฎหมายในแต่ละประเทศ

SUV รุ่นนี้ จะถูกประกอบขึ้นที่โรงงานในรัฐ South Carolina สหรัฐอเมริกา แต่จะผลิตแค่โครงสร้างหลักกับชิ้นส่วนภายนอก จากนั้นโครงดิบจะถูกส่งไปที่โรงงานใน Goodwood ที่อังกฤษ เพื่อทำสี ติดตั้งเบาะ ภายใน และเก็บรายละเอียดต่างๆ ยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา หรือเครื่องยนต์ที่จะเลือกใช้ แต่การที่ Rolls-Royce มอง Lamborghini Urus/ Bentley Bentayga เป็นคู่แข่ง ก็น่าจะมีการนำเอาเครื่องยนต์ขนาด V8 ของ BMW มาเป็นทางเลือก ในขณะที่เครื่องยนต์ V12 ก็ยังมีอยู่เพราะโครงสร้าง CLAR ก็ทำมารองรับเครื่องยนต์ขนาด 12 สูบเช่นเดียวกัน

____________________________

SUBARU

  • 2019 : New Forester Made in Thailand + Eyesight / XV + Eyesight
  • 2020 :  Legacy Full ModelChange / Impreza Minorchange / New SUV
  • 2021 : Forester e-Boxer New Powertrain upgrade?

เหตุการณ์สำคัญที่ควรบันทึกเอาไว้ สำหรับค่ายดาวลูกไก่ ภายใต้การนำของกลุ่ม Tan Chong Group จากสิงค์โปร์ ในปี 2018 ที่ผ่านมา นอกจากการเปลี่ยนชื่อบริษัทแม่ จาก Fuji Heavy Industries มาเป็น Subaru Corporation ในช่วงเดือนเมษายน 2018 แล้ว ต้องยอมรับว่า สถานการณ์ช่วงตลอดทั้งปี ของ Subaru ในเมืองไทย ตกอยู่ในภาวะ ระส่ำ และไม่มีใครรู้ชะตากรรม รถเริ่มขายได้น้อยลง มีปัญหาด้านบริการหลังการขาย รวมทั้งขาดแม่ทัพมือฉมังอย่าง คุณตะวัน คำฤทธิ์ ที่ลาออกเพื่อย้ายค่ายไปอยู่ Nissan ในช่วงปลายปี 2016 ทำให้ภายในเกิดความปั่นป่วนพอสมควร

อย่างไรก็ตาม ข่าวดีก็คือ หลังจากค้นพบว่า อยู่ที่ Nissan แล้ว ทำผลงานได้ไม่เต็มที่ สู้กลับมาเป็นแม่ทัพตามเดิมดีกว่า ตอนนี้ คุณตะวัน Come back กลับคืนสู่ Subaru อีกครั้ง สอดรับกับการเปิดตัว Subaru Forester Full Modelchange ประกอบในประเทศไทย อีกครั้ง นับตั้งแต่ปี 1987 หรือ เมื่อ 32 ปีที่แล้ว เป็นต้นมา พอดี นั่นหมายความว่า ทุกอย่างจะเริ่มเข้าที่เข้าทาง และกลับมาเป็นไปในทิศทางที่ควรจะเป็นกันเสียที

สำหรับปี 2019 อาจจะไม่ใช่ปีที่หวือหวานัก ของ Subaru ในเมืองไทย เพราะนอกจาก พวกเขาจะมี XV รุ่นตกแต่งพิเศษ ออกมากระตุ้นตลาด 1 รุ่น รวมไปถึงการติดตั้งระบบ Eyesight และ Forester Made in Thailand รุ่น Top Model ซึ่งจะมีระบบ EyeSight ที่เรารอคอยกันมานาน พร้อมส่งมอบให้กับลูกค้าได้ ในช่วง เดือนกรกฎาคม – สิงหาคม 2019 แล้ว พวกเขาจะไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่อื่นใดในปีนี้

สำหรับขุมพลัง Hybrid e-Boxer ที่เพิ่งเปิดตัวไปใน Forester เมื่อช่วงกลางเดือนมกราคม 2019 ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ นั้น Feedback จากสื่อมวลชนไทย ที่มีโอกาสได้ลองขับส่วนใหญ่ มองว่า อัตราเร่ง ด้อยไปนิดนึง และยังไม่มีใครรู้ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่แน่ชัด แต่แนวโน้มความคิดเห็น เป็นไปในเชิงบวกมากกว่าลบ ดังนั้น ตอนนี้ Subaru จึงยังชั่งใจอยู่ว่า จะนำ ขุมพลัง e-Boxer มาวางลงใน Forester Made in Thailand ภายในช่วงปี 2020 จะทันหรือไม่ เพราะอันที่จริง โรงงานแห่งใหม่ในเมืองไทยของพวกเขา จัดเตรียมไว้รองรับการประกอบ Forester e-Boxer อยู่แล้ว เพียงแต่ว่า ถ้าจะรอให้มีการปรับปรุงสมรรถนะ ให้มีอัตราเร่งดีกว่านี้ รวมทั้งประหยัดน้ำมันมากกว่านี้ แล้วค่อยนำเข้ามาประกอบในเมืองไทย ช่วงปี 2021 ก็ยังถือว่า ไม่สายจนเกินไป

อย่างไรก็ตาม พอถึงปี 2020 หากดูจาก Line-up ในต่างประเทศแล้ว บรรดา ญาติพี่น้อง รุ่นนำเข้าจากญี่ปุ่น ทั้ง Legacy Impreza หรือแม้แต่ BRZ ก็จะถึงแก่เวลาจะต้องเปลี่ยนโฉมใหม่ Full Modelchange หรือปรับโฉม Minorchange กันตามแต่ละรุ่น เสียที ถึงเวลานั้น Subaru บ้านเราก็พร้อมจะสั่งนำเข้ามาเอาใจลูกค้ากลุ่มย่อยๆ ที่อยากได้ Subaru ในแบบที่แตกต่างไปจาก XV และ Forester

เมื่อถึงเวลานั้น สิ่งที่ต้องจับตาดูกันต่อไปก็คือ ความเป็นไปได้ ในการสรรหารถยนต์ใหม่ รุ่นที่ 2 เพิ่อจะมาประกอบขาย ในประเทศไทย ร่วมกับ Forester ซึ่งในตอนนั้น แม้จะยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด แต่ดูเหมือนว่า Impreza และ XV หรือไม่ก็ Compact SUV รุ่นใหม่ ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาที่ญี่ปุ่น ดูจะเป็น Candidate ที่มีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น เนื่องจากว่า โรงงานแห่งใหม่ของ Subaru ในประเทศไทย ย่านลาดกระบังนั้น สามารถประกอบรถยนต์ได้ ทั้งเวอร์ชันพวงมาลัยซ้าย หรือขวา เพราะทางญี่ปุ่นเอง ก็มองว่า อยากจะใช้ประเทศไทย เป็นฐานการส่งออกรถยนต์ ไปยังภูมิภาค ASEAN ซึ่งอาจรวมไปถึง Australia & New Zealand ด้วยในอนาคต


SUZUKI

  • 2019 : ERTIGA Full ModelChange / Jimny (Import From Japan) / Ciaz Minorchange /
    All New Carry!!

HighLight สำคัญของ Suzuki ในปีที่แล้ว อยู่ที่การ เปิดตัว Suzuki Swift ใหม่ Generation ที่ 3 (นับตั้งแต่ปี 2003) ในบ้านเรา เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2018 ที่ผ่านมา คราวนี้ Suzuki พยายามบุกตลาดด้วยการจัดกิจกรรมทดลองขับ กับเว็บไซต์ Headlightmag ของเรา ทั้งในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และขอนแก่น ซึ่งพอจะกวาดยอดจองไปได้เพิ่มขึ้นอีกพอสมควร

อย่างไรก็ตาม หลายๆคนก็สงสัยว่า ทำไมไม่ค่อยเห็น Swift ใหม่ บนท้องถนนเมืองไทยกันเท่าใดนัก คำตอบก็เพราะว่า ในช่วงก่อนเปิดตัว ทางโรงงาน คาดการณ์ว่า ลูกค้าน่าจะอุดหนุนรุ่น GL กันเยอะ พอเปิดตัวสู่สาธารณชน กลายเป็นว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ เฮละโล โผล่ไปสั่งจองรุ่น Top กันเยอะมาก ทำให้ต้องมีการปรับกำลังการผลิต และเกิดปัญหา Back Order ค้างอยู่พักใหญ่ กว่าที่สถานการณ์จะค่อยๆคลี่คลาย ก็ใช้เวลาหลายเดือน แม้ยังไม่รุนแรงมากเท่าสมัย Swift Generation 2 ในปี 2012 ก็ตาม

ปี 2019 นี้ Suzuki น่าจะได้ฤกษ์ พร้อมส่งรถยนต์รุ่นใหม่ มากถึง 4 รุ่นรวด ซึ่งถือว่าเยอะที่สุดตั้งแต่พวกเขาเคยเปิดตัวในประเทศไทย มีทั้งรุ่นใหม่สดซิง และรุ่นที่ถูกเลื่อนการเปิดตัว ออกมาจากปี 2018

เริ่มต้นด้วย Sub-Compact Minivan 7 ที่นั่ง อย่าง Suzuki ERTIGA Generation ที่ 2 ซึ่งเพิ่งเปิดตัวใน Indonesia เป็นแห่งแรกในโลก เมื่อ 19 เมษายน 2018

เหตุผลที่ Ertiga มาเมืองไทยล่าช้ากว่ากำหนดการเดิมที่เคยวางกันไว้ในช่วงปลายปี 2018 สืบเนื่องมาจาก Ertiga ใหม่ ได้รับความนิยมจากลูกค้าชาว Indonesia อย่างสูงมาก ทำให้ยอดสั่งจองไหลท่วมทะลักเข้ามา จนโรงงานที่ Indonesia ก็ประกอบไม่ทัน จึงต้องเลื่อนการเปิดตัวในหลายๆประเทศที่เกี่ยวข้อง ออกไปเป็นปี 2019 นี้แทน

Ertiga ใหม่ ถูกพัฒนาขึ้นบนโครงสร้างพื้นตัวถัง Heartech Technology เหมือน Swift ใหม่ มีตัวถังยาว 4,395 มิลลิเมตร กว้าง 1,735 มิลลิเมตร สูง 1,690 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,760 มิลลิเมตร วางเครื่อยนต์ใหม่ รหัส K15B เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,462 ซีซี. DOHC 16 วาล์ว กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก 74.0 x 85.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 ให้กำลังสูงสุด 104.7 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 138 นิวตันเมตร (14.06 กก.-ม.) ที่ 4,400 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือ เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า

พวงมาลัย Rack & Pinion พร้อม เพาเวอร์ผ่อนแรง ระบบกันสะเทือนด้านหน้า MacPherson Strut ด้านหลัง Torsion Beam พร้อมระบบห้ามล้อ ดิสก์เบรกคู่หน้า ดรัมเบรกคู่หลัง เสริมความปลอดภัยด้วยตัวช่วยมาตรฐาน ทั้งระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรกตามน้ำหนักบรรทุก EBD (Electronics Brake Force Distribution) รวมทั้งระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP (Electronics Stability Program)

Ertiga มีกำหนดเปิดตัวในประเทศไทย อย่างเป็นทางการ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2019 นี้ด้วยค่าตัวที่คาดเดาได้เลยว่า แพงกว่าเดิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

สำหรับใครที่ยังคงรอ Sub-Compact Body on Frame SUV ขนาดเล็ก พันธูแท้ อย่าง Suzuki Jimny นั้น ตลอดปี 2018 ที่ผ่านมา มีหลายกระแสข่าวลือก่อนการมาถึง เต็มไปหมด อย่างไรก็ตาม หลังจากเปิดตัวในตลาดญี่ปุ่น เมื่อ 18 มิถุนายน 2018 เมื่อฝุ่นผงเลิกฟุ้งกระจาย ความจริงจึงกระจ่างชัดขึ้น ว่า มันมีอุปสรรคสำคัญรออยู่

Jimny เปิดตัวครั้งแรก เมื่อเดือนเมษายน 1970 และเคยถูกสั่งเข้ามาประกอบขายในบ้านเรา ด้วยชื่อ Suzuki Caribean 1,300 ซีซี ในปี 1988 จนโด่งดัง และขายดิบขายดี ประมาณ 10 กว่าปีเศษ จนถึงกลางปี 2018 Jimny ทำยอดขายสะสมทั่วโลก ได้มากถึง 2,850,000 คัน

รุ่นปัจจุบันถือเป็นรุ่นที่ 4 มีให้เลือกทั้ง Jimny แบบมาตรฐาน พิกัดตัวถังในกลุ่ม K-Car หรือรถยนต์ขนาดกระทัดรัด ที่มีขายเฉพาะในญี่ปุ่น มีขนาดตัวถังยาว 3,395 มิลลิเมตร กว้าง 1,475 มิลลิเมตร สูง 1,725 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,250 มิลลิเมตร วางเครื่องยนต์ รหัส R06A เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 658 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 64.0 x 68.2 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.1 : 1 พ่วง Turbocharger กำลังสูงสุด 64 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 96 นิวตันเมตร (9.78 กก.-ม.) ที่ 3,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือ เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ

ส่วนรุ่นที่จะถูกส่งออกสู่ตลาดทั่วโลก คือ Jimny Sierra มีขนาดตัวถังยาว 3,550 มิลลิเมตร กว้าง 1,645 มิลลิเมตร สูง 1,730 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,250 มิลลิเมตร วางเครื่องยนต์ รหัส K15B เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,460 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 74.0 x 84.9 มิลลิเมตร กำลังอัด 10.0 : 1 หัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ กำลังสูงสุด 102 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 130 นิวตันเมตร (14.06 กก.-ม.) ที่ 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรือ เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ

ทั้ง 2 ตัวถัง ส่งกำลังผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Part-time ให้ผู้ขับขี่เลือกเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนได้เอง ช่วงล่างแบบ 3-link rigid axel type เสริมด้วยระบบป้องกันล้อหมุนฟรี Electrically Controlled Brake LSD Traction Control, ระบบป้องกันรถไหล Hill Hold Control และระบบควบคุมความเร็ว ขณะวิ่งลงทางลาดชัน Hill Descent Control เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย

ด้วยเหตุที่ Jimny ใหม่ มยอดสั่งจองจากลูกค้าชาวญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก และบางราย ต้องรอกันจนถึงเกือบ 1 ปีเต็ม! ดังนั้น จนถึงตอนนี้ Suzuki ยังตัดสินใจอยู่ว่า จะเพิ่มสายการประกอบ Jimny ใหม่ ที่ ศูนย์การผลิตของตน ใน Indonesia ด้วยหรือไม่? ซึ่งนั่นจะเป็นทางเดียวที่พอจะช่วยให้ราคาขายปลีก ของ Jimny ถูกลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ จากอานิสงค์ของข้อตกลงการค้าเสรี ASEAN Free Trade Area (AFTA) ที่ทำให้ภาษีรถยนต์นำเข้า ระหว่างทุกประเทศในโซน ASEAN เหลือเพียง 0% นั่นจะทำให้ค่าตัวของ Jimny หล่นลงมาอยู่ในระดับที่ลูกค้าซื้อหากันได้สบายๆ คือเหลือเพียง 7 แสนบาทปลายๆ – 8 แสนบาท ปลายๆ

หากไม่ทำเช่นนั้นแล้ว Suzuki Motor Thailand จำเป็นต้องสั่งนำเข้า Jimny จากโรงงานในประเทศญี่ปุ่น อันเป็นฐานผลิตเพียงแห่งเดียว เมื่อรวมภาษีนำเข้าที่ต้องจัดเก็บเต็มอัตราศึก 217% ก็จะทำให้ Jimny มีค่าตัวพุ่งขึ้นไปเแตะที่ระดับ 1.5 ล้านบาท ซึ่งก็จะขายลำบากยากเข็นขึ้นไปอีก

ในเบื้องต้น Suzuki Motor Thailand จะยอมนำเข้า Jimny มาจากญี่ปุ่นก่อน เพื่อทดลองตลาด อย่างเร็วที่สุด คืองาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2019 นี้ ซึ่งถือว่า เร็วกว่าที่เราคาดการณ์เอาไว้พอสมควร กระนั้น เราก็คงต้องทำใจกับค่าตัวที่แพงหูฉี่ ประมาณ 1.5 ล้านบาท จากผลของภาษีนำเข้า ภาษีสรรพสามิต ฯลฯ อีกมากมาย แต่ถ้าตลาดให้การตอบรับดี ก็ยังพอมีโอกาสที่ Suzuki จะตัดสินใจเพิ่มไลน์ผลิต ที่ Indonesia ได้ ดังนั้น เรายังจำเป็นต้องติดตามความเคลื่อนไหวในประเด็นนี้กันอย่างใกล้ชิดต่อไป

ถัดจาก Ertiga ก็จะเป็นคิวของ Suzuki Ciaz Minorchange ECO-Car Sedan ที่มีขนาดตัวถังใหญ่สุด และห้องโดยสารนั่งสบายมากสุดในตลาด แรกเริ่มเดิมที คาดกันณ์ว่ารุ่นปรับโฉม น่าจะเปิดตัวได้ในปี 2018 แต่พอเอาเข้าจริง กว่าที่รุ่น Minorchange จะเปิดตัวสู่ตลาด India ก็ต้องรอกันจนถึง วันที่ 20 สิงหาคม 2018 ที่ผ่านมา จึงจะได้เห็นรูปโฉมคันจริงกันว่า มีการเปลี่ยนกระจังหน้า เปลือกกันชนหน้า และเพิ่มกรอบโครเมียม บริเวณช่องตกแต่ง ทั้ง 2 ฝั่ง ของเปลือกกันชนหลัง รวมทั้งชุดไฟท้ายลายใหม่

แม้ว่าตลาด India จะได้สัมผัสกับเครื่องยนต์ K15B เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,462 ซีซี หัวฉีด EPI 104.7 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.06 กก.-ม.ที่ 4,400 รอบ/นาที พร้อมกับระบบ Smart Hybrid (Mild Hybrid) และรหัส D13 Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,248 ซีซี DDiS 89.7 แรงม้า (PS) ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 20.38 กก.-ม.ที่ 1,750 รอบ/นาที

แต่สำหรับเวอร์ชันไทย ยังไงๆ ก็ยังคงจะต้องยืนหยัดอยู่กับเครื่องยนต์เดิม K12B ด้วยเหตุผลด้านข้อตกลงในการขอรับการลงทุนตามโครงการ ECO Car Phase 1 จาก BOI นั่นเอง ยังไม่มีการปรับปรุงใดๆ ทั้งสิ้น เว้นเสียแต่ว่า Suzuki เกิดคิดพิลึก นำเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร DualJet จาก Swift ใหม่ มาใส่ให้กับ Ciaz ซึ่งค่อนข้างเป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ

เวอร์ชันไทยของ Ciaz Minorchange น่าจะถูกลากยาวไปเปิดตัวช่วงครึ่งหลังของปี 2019 หลังการเปิดตัว Ertiga เสร็จสิ้นลง ด้วยค่าตัวที่น่าจะแพงขึ้นกว่าเดิมไม่มากนัก

รุ่นสุดท้ายที่จะมีการเปิดตัวในบ้านเรา ในช่วงระยะเวลาใกล้เคียงกับ Ciaz Minorchange นั่นคือ Suzuki Carry กระบะคันเก่ง ขวัญใจผู้ประกอบการ Food Truck ซึ่งจะรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ Full Modelchange ทั้งคัน โดยจะถูกเปิดตัว ใน Indonesia อันเป็นฐานผลิตหลักก่อน ภายใน 1-2 เดือนข้างหน้านี้ ก่อนจะส่งมาเปิดตัวตามติดในประเทศไทย ช่วงประมาณ กลางปี 2019


TOYOTA / LEXUS

  • 2019 : C-HR MY2019 / Fortuner Minorchange / Lexus UX250h / Yaris & Ativ MY2019 / All New Corolla ALTIS
  • 2020 : Hilux Revo Minorchange / Yaris & Ativ Minorchange / Camry Minorchange / Hi-Ace & Commuter Full Model Change / Brand New B-Segment SUV Based on C-HR (TNGA)
  • 2021 : Fortuner Minorchange
  • 2022 : Yaris & Ativ Full Model Change (TNGA)

ปี 2018 ถือเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรของ Toyota ค่อนข้างเยอะ หลายสิ่งหลายอย่าง ถูกแก้ไขปัญหา เพื่อเตรียมการสู่อนาคตวันข้างหน้าที่ดีขึ้น ซึ่งก็ต้องฝากฝีมือไว้กับประธานญี่ปุ่นคนปัจจุบัน Michinobu Sugata เอาไว้ต่อเนื่อง เพราะ Toyota จะต้องเผชิญศึกหนัก ในตลาดรถกระบะ และ รถเก๋งขนาดเล็ก จนกว่าจะถึงปี 2023 กันเลยทีเดียว

เมื่อปีที่แล้ว Toyota ทยอยส่งรถยนต์รุ่นใหม่ เปิดตัวตามกันออกมาเรื่อยๆ ตลอดทั้งปี เริ่มด้วย C-HR ที่เปิดตัวในงาน Motor Expo 2017 แต่ประกาศราคา เมื่อ 11 มกราคม 2018 ท่ามกลางความงุนงง ว่า ไม่เห็นจัดงานเปิดตัวเหมือนรุ่นอื่นๆเขาเลย  จากนั้น เป็นคิวของ Toyota Vios 1.5 GT Street รุ่นเปลี่ยนช็อกอัพพิเศษ (27 สิงหาคม 2018) Toyota Hilux Revo ทั้งรุ่น Rocco 2.4 Smart Cab กับ 2.8 Telematics และรุ่น Single Cab (3 กันยายน 2018) ต่อด้วย Toyota Hiace / Commuter VSC + TRC (3 ตุลาคม 2018) Toyota C-HR ADIDAS Limited 1,200 คัน (4 ตุลาคม 2018) Toyota Yaris Hatchback 1.2 G+ (18 ตุลาคม 2018) Toyota Yaris ATIV 1.2 S+ (22 ตุลาคม 2018) Toyota Ventury MY2018 (24 ตุลาคม 2018) Toyota Camry Full Modelchange (29 ตุลาคม 2018) ปิดท้ายด้วย Toyota Fortuner TRD Sportivo II (9 พฤศจิกายน 2018)

สำหรับปี 2019 Toyota จะกลับมาถล่มตลาดอย่างคึกคักในหลายเซกเมนต์ด้วยกัน เริ่มต้นด้วย การปรับอุปกรณ์มาตรฐานของ C-HR Crossover SUV สุดโฉบเฉี่ยว แถมขับดีเกินคาด ให้โดนใจลูกค้ามากขึ้น เช่นเพิ่มสีตัวถังขาว หลังคาดำ เพิ่มเบาะหนังในรุ่นเบนซินตัวล่างสุด และ เพิ่มล้ออัลลอย 17 นิ้ว ลายใหม่ ให้กับรุ่น Hybrid กำหนดส่งขึ้นโชว์รูม อยู่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2019 นี้

จากนั้น คิวต่อไป เรายังต้องมาติดตามกันต่อว่า Lexus UX Compact Hatchback Crossover รุ่นนี้ จะยังมีสิทธิ์เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยได้หรือไม่ เนื่องจาก ติดปัญหาเดิมๆ ซึ่งมักฉุดรั้งอนาคตของ Lexus ในเมืองไทยเอาไว้ นั่นคือ ทำราคาไม่ได้ เนื่องจากการกำหนดราคา จากฝั่ง สิงค์โปร์ ก็ยังคงคิดในมุมตามใจตนเองเพียงอย่างเดียว หากเป็นไปได้เร็วที่สุด ก็น่าจะมีการเปิดตัวในช่วงหลังงาน Bangkok International Motor Show ปลายเดือนมีนาคม 2019 ผ่านพ้นไปแล้ว (รายละเอียดของตัวรถต่างๆ และการทดลองขับ สั้นๆ ที่ สวีเดน คลิกอ่านต่อได้ที่นี่ CLICK HERE)

เมื่อผ่านพ้นครึ่งแรกของปี 2019 ไปแล้ว ก็จะถึงเวลาของ HighLight สำคัญ ประจำปีนี้ นั่นคือ Toyota Corolla ใหม่ ล่าสุด มีการยืนยันอย่างแน่นอนแล้วว่า ประเทศไทย ก็จะยังคงได้สัมผัสแค่รุ่น Sedan 4 ประตู ตามเคยเท่านั้น ส่วนรุ่น Hatchback 5 ประตู และ Station Wagon 5 ประตู หมดสิทธิ์ ! แม้ว่าหลายคนอยากให้รุ่นท้ายตัดเข้ามาขายในบ้านเรามากๆ แต่ผู้เขียน (J!MMY) ขอยืนยันว่า ” ไม่มาหนะดีแล้ว ” เพราะเมื่อได้มีโอกาสไปทดลองนั่ง ที่ญี่ปุ่น ช่วงปลายปี 2018 พบว่า พื้นที่โดยสารด้านหลัง เล็กแคบเสียพอๆกับ Mazda 3 รุ่นเก่าๆ เลย ! ขืนเอาเข้ามา คงเสร็จ Honda Civic Hatchback และ Mazda 3 Hatchback แน่ๆ

ด้านขุมพลัง คาดว่านอกจากจะมีเครื่องยนต์ เบนซิน 1.8 ลิตรแล้ว เราอาจได้เห็น ขุมพลัง เบนซิน Hybrid วางลงใน Corolla ใหม่เป็นครั้งแรกในเมืองไทย อีกด้วย กำหนดการเปิดตัว น่าจะเกิดขึ้น ในช่วง ไตรมาส 3 ของปี 2019 โดยยังไม่แน่ชัดว่า Toyota ในบ้านเรา จะยังใช้ชื่อ ALTIS ต่อไปตามเดิม หรือว่าจะลองเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Corolla AXiO เหมือนเวอร์ชันญี่ปุ่น ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในตลาดแดนปลาดิบ พร้อมกับรุ่น Wagon ในชื่อ Corolla Fielder ในเดือนสิงหาคม 2018 นี้ เช่นกัน !

ด้านรถยนต์นั่งกลุ่ม B-Segment ECO Car อย่าง Yaris และ Yaris ATIV ในปีนี้ คาดว่าจะมีการปรับอุปกรณ์ กันอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะมีการปรับโฉม Minorchange ในปี 2020 เราจะไม่ได้เห็นเปลือกกันชนหน้า ซึ่งดูพิลึกพิลั่น ไม่เข้ากับชุดไฟหน้า ในรุ่นปัจจุบันกันอีกต่อไป คาดว่า จะมาพร้อมงานออกแบบที่ฉวัดเฉวียน แต่ลงตัวขึ้นกว่าเดิม แต่กว่าที่ 2 พี่น้อง คู่นี้ จะเปลี่ยนโฉม คงต้องรอกันไปจนถึงปี 2022 เราจึงจะได้พบกับ Yaris & Yaris ATIV Full ModelChange (บนพื้นตัวถัง TNGA) สำหรับตลาดประเทศกำลังพัฒนากัน  และตอนนี้ ยังไกลเกินไปกว่าที่เราจะคาดการณ์ได้ว่า รถรุ่นใหม่ จะมีรายละเอียดอะไรบ้าง

ส่วนอนาคตของ Toyota Vios นั้น ยังดูมืดมนอยู่มาก แม้ว่า รถยนต์ต้นแบบที่มีแนวโน้มว่าอาจเปิดตัวในประเทศไทย ถูกส่งไปเปิดผ้าคลุมในงาน Gaiikindo International Motor Show ที่ Indonesia มาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2017 ในชื่อ Daihatsu DN-F Sedan ซึ่งถ้าพิจารณาจากเส้นสายตัวถังที่ไม่เหมือน Daihatsu ทุกรุ่นที่เคยมีมา รวมทั้งขนาดตัวรถที่ยาว 4,200 มิลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตร สูง 1,430 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อยาว 2,510 มิลลิเมตร และการติดตั้ง เครื่องยนต์เบนซิน รหัส 3NR-VE 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,197 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 72.5 x 72.5 มิลลิเมตร พร้อมระบบแปรผันวาล์ว Dual VVT-i 88 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 10.8 กิโลกรัมเมตรที่ 4,200 รอบ/นาที แล้ว จะพบว่า รถคันนี้ มีเค้าลางที่ดูเป็นไปได้มากสุด หากจะนำมาพัฒนาต่อเนื่องเป็น Toyota Vios รุ่นต่อไป

หากเป็นไปตามการคาดเดาของผู้เขียน เชื่อว่า Toyota และ Daihatsu จะเปิดตัว Coupe-Like Sub-Compact Sedan คันนี้ ทั่ว ASEAN ในปี 2019 ภายใต้แบรนด์ที่แตกต่างกันของตน ในลักษณะรถยนต์ฝาแฝด Toyota กับ Daihatsu

แต่สำหรับประเทศไทย ยังคงมีความไม่แน่นอนว่า รถคันนี้ จะกลายมาเป็น Vios รุ่นต่อไปหรือไม่ เนื่องจาก หากนำมาประกอบขายในบ้านเรา ก็มีโอกาสจะเกิดความซ้ำซ้อนในตลาดรถยนต์ระดับราคา 700,000 – 900,000 บาท อยู่ พอสมควร สิ่งที่ Toyota มองคือ หากยอดขายของ Yaris Ativ ไปได้ดีกว่านี้ ก็อาจไม่จำเป็นต้องมี Vios โฉมต่อไป แต่ถ้าสถานการณ์ยังเป็นอยู่อย่างทุกวันนี้ ก็ยังพอมีโอกาสที่เราจะได้เห็น Vios รุ่นถัดจากนี้ไปบ้าง แต่ก็ไม่น่าจะเป็นปี 2019 อีกต่อไป

อีกโครงการหนึ่งซึ่งเริ่มต้นมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นแล้ว และจะมีความเกี่ยวข้องกับประเทศไทยเต็มเม็ดเต็มหน่วย นั่นคือ การพัฒนา Crossover B-SUV รุ่นใหม่ บนพื้นฐานโครงสร้างวิศวกรรม TNGA ร่วมกับ Toyota C-HR เพียงแต่ว่า ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่ายข้นก็คือ หาก C-HR มาในรูปแบบของ Coupe Crossover คล้าย BMW X4 ดังนั้น B-SUV คันต่อไป ก็จะมาในสไตล์เดียวกับ BMW X3

ยังเร็วเกินไปที่เราจะสรุปข้อมูลของ B-Segment SUV รุ่นใหม่ จาก Toyota ในเวลานี้ เพราะโครงการพัฒนา เพิ่งเริ่มต้นมาได้ไม่นานนัก สิ่งเดียวที่พอจะยืนยันได้ก็คือ รถยนต์รุ่นใหม่นี้ จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังและโครงสร้างวิศวกรรม TNGA Platform ร่วมกับ C-HR แต่กว่าที่เราจะได้เห็นรูปโฉมของรถคันจริง ก็คงต้องรอกันไปจนกว่าจะถึงกลางปี 2020

ปี 2020 นั้น ยังมีอีกรุ่นหนึ่ง ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นคือ การเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ในรอบ 10 กว่าปี ของรถตู้ Hi-Ace / Commuter ซึ่งจะเปลี่ยนโฉมใหม่ และอาจเปลี่ยนชื่อใหม่ เป็น Toyota GRAN-ACE

เหตุผลก็เพราะว่า คราวนี้ทีมวิศวกรของ Toyota ตัดสินใจ ย้ายตำแหน่งเครื่องยนต์ จากใต้เบาะนั่งคนขับและผู้โดยสาร ด้านหน้า ไปไว้ที่บริเวณหน้ารถ ด้วยเหตุผลเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ขณะเกิดอุบัติเหตุมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ HiACE / Commuter รุ่นปัจจุบัน เป็นรุ่นสุดท้ายที่จะมี หัวเก๋งแบบ ด้านหน้าสั้น 1 Box ซึ่งเป็นรูปแบบรถตู้ที่ชาวเอเซีย นิยมมาตลอด 40 กว่าปี เพราะนับจากนี้ไป รถตู้รุ่นใหม่จะมีด้านหน้า ยื่นออกไป เหมือนรถตู้ยุโรป อย่าง Volkswagen Caravelle หรือแม้กระทั่ง Toyota ProAce (พี่ชายที่ใหญ่กว่า HiACE, Toyota ร่วมมือกับ กลุ่ม PSA Peugeot / Citroen ผลิตขายเฉพาะในยุโรปเท่านั้น)

รายละเอียดด้านวิศวกรรม ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า จะใช้เฟรมแชสซีส์ ของ Hilux Revo , Fortuner , Innova นำมาดัดแปลง เพื่อความเหมาะสมกับลักษณะการใช้งานของตัวรถ รวมทั้งการขยายระยะฐานล้อของรุ่นมาตรฐาน ให้ยาวขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ตามรูปแบบการวางเครื่องยนต์และตำแหน่งล้อคู่หน้าที่จำเป็นต้องยื่นไปใกล้มุมหน้ารถมากขึ้น ด้านขุมพลัง คาดว่าจะมีเครื่องยนต์ Diesel Turbo ตระกูล GD จาก 3 ศรี พี่น้องตระกูล IMV มาเป็นตัวชูโรงอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปข้อมูลในเชิงลึก

กำหนดการเปิดตัว ของ GRAN-ACE ใหม่ จะอยู่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2019 ไปแล้ว และกว่าจะมาถึงเมืองไทย ก็อาจต้องรอไปจนกระทั่งต้นปี 2020 เป็นอย่างเร็วที่สุด

ในปี 2020 Toyota ก็ยังจะต้องปรับโฉม Minorchange ให้กับ Hilux Revo กันอีกครั้ง เพื่อรักษาแชมป์เจ้าตลาดรถกระบะให้อยู่ในอันดับ 1 ต่อเนื่องกันนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ตามด้วย การปรับโฉม Minorchange ให้กับ Fortuner และ Camry ช่วงปี 2021


VOLVO

  • 2019 : All New S60 (ประกอบในอาเซียน) / S40 เปิดตัวในตลาดโลก
  • 2020 : V40 เปิดตัวในตลาดโลก
  • 2021 : XC90 เจนเนอเรชั่นที่ 3 เปิดตัวในตลาดโลก

หลังจากที่ Volvo จัดงานเปิดตัว SUV/Crossover ขนาดเล็กอย่าง XC40 ในเมืองไทย อย่างยิ่งใหญ่ เมื่อ 10 กันยายน 2018 (แต่กว่าจะพร้อมส่งมอบให้ลูกค้าได้ ต้องรอถึงต้นปี 2019) เท่ากับว่า ตอนนี้ รถยนต์ Volvo ที่เก่าและถึงเวลาต้องเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน ก็จะเหลือเพียงแค่ S60 และ V60 ซึ่งจัดเป็นรถยนต์นั่ง Saloon และ Estate ขนาดกลาง ซึ่งเคยสร้างยอดจำหน่าย และฐานลูกค้าได้มาก ในช่วงปี 2010 – 2015 ก่อนที่จะเริ่มมีปัญหากับเครื่องยนต์และเกียร์จาก Ford ในรุ่น 1.6 ลิตร Drive-E ซึ่งมีปัญหาดับกลางอากาศ กว่าจะค้นหาสาเหตุเจอ โดยแม้จะยังไม่มีข่าวยืนยันที่แน่ชัดถึง V60 รุ่นใหม่ แต่แหล่งข่าวจากเว็บไซต์ paultan ก็มีการเผยว่าโรงงานที่ Shah Alam ในมาเลย์เซียจะเริ่มผลิต S60 ซาลูนในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2019 และโรงงานนี้ก็คือแหล่งผลิตรถที่ส่งมาขายในประเทศไทย ดังนั้นก็คาดการณ์ได้ว่าช่วงเวลาดังกล่าว ไทยเราจะได้เห็น S60 รุ่นใหม่ด้วยเช่นกัน แต่ถ้าหากมีการนำเข้ามาขายทั้งคันจากประเทศอื่นก่อน ก็ยังไม่น่าจะมาไทยเร็วไปกว่ากำหนดส่งมอบของรถในประเทศอื่นๆ คือไตรมาสที่ 2 ของปี 2019

S60 เป็นรถรุ่นแรกของ Volvo ที่จะทำตลาดโดยไม่มีเครื่องยนต์ Diesel อีกต่อไป เพื่อยืนยันแนวทางที่ชัดเจนของ Volvo ในการมุ่งเข้าสู่การใช้ขุมพลังแบบ Plug-in Hybrid และมอเตอร์ไฟฟ้าล้วน อย่างไรก็ตาม ยังมีเครื่องยนต์เบนซินเพียวให้เลือกโดยทุกรุ่นจะใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร Turbocharger มีทั้งรุ่น T5 กำลังสูงสุด 254 แรงม้า (HP) รุ่น T6 แรงขึ้นเป็น 310 แรงม้า (HP) จากนั้นจะเป็นรุ่น T6 Plug-in Hybrid ที่แรงเพิ่มเป็น 340 แรงม้า (HP) และ T8 Plug-in Hybrid ที่ให้พลังสูงถึง 400 แรงม้า และจากการที่ปัจจุบันในประเทศไทย Volvo มีขุมพลัง T8 ติดตั้งอยู่ใน XC60 ซึ่งเป็นรถคลาสเดียวกับ S60 (ต่างกันที่รูปแบบตัวถัง) ดังนั้นประเทศไทยจึงน่าจะได้ใช้ S60T8 AWD เหลือแค่ว่าจะยังมีรุ่นเบนซินปกติอย่าง T5 มาเป็นตัวเลือกด้วยหรือไม่

อย่างไรก็ตาม การที่ Volvo เปิดตัว S60 โดยเห็นได้ชัดว่ามีขุมพลังเบนซินไร้มอเตอร์ให้เลือก ดูจะขัดกับที่ Hakan Samuelsson ซึ่งเป็น CEO ของ Volvo กล่าวไว้ในปี 2017 ว่ารถยนต์นั่ง Volvo ทุกคันที่ขายจะต้องมีมอเตอร์ไฟฟ้า (ไม่ว่าจะเป็นในรูปของ Plug-in Hybrid หรือเป็นรถ EV) ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นไป ..หรือว่าเพราะ S60 เผยโฉมในปี 2018 เลยไม่นับ?

การเปิดตัว S60 และ V60 ในตลาดโลกก่อนนั้น ทำให้แผนการเดิมที่ Volvo ตั้งใจจะเปิดตัว S40 Saloon ขนาดเล็กที่ใช้โครงสร้างพื้นฐาน CMA ร่วมกับ XC40 ก็เผยโฉมไม่ทันกำหนดสิ้นปี 2018 อย่างที่คาดหวังไว้ เพราะ Priority ในการพัฒนา กลับถูกมอบให้ S60/V60 ซึ่งย้ายจาก 2020 มาเผยโฉมในปี 2018/2019 แทน ส่วน S40ใหม่นั้น อาจต้องและเป็นไปได้ว่าอาจต้องเลื่อนไปเป็นปี 2019 โดยเปิดตัวพร้อมกัน หรือในช่วงระยะเวลาไล่เลี่ยกันกับ V40 ไปเลยคือปี 2020

รูปลักษณ์ของ S40 ใหม่ จะยกมาจาก รถยนต์ต้นแบบ 40.2 คันที่เห็นอยู่ข้างบนนี้ แทบทั้งยวง อันเป็นความตั้งใจที่จะแยกความแตกต่างในงานออกแบบ ไม่ให้เหมือนกับบรรดารุ่นพีในตระกูล ที่ใช้พื้นตัวถัง SPA แต่รายละเอียดต่างๆน่าจะถูกขัดเกลา Tone-down ลงมา กระนั้น แผงหน้าปัด (Dashboard) อาจมีรูปแบบไม่หนีจาก XC40 มากนัก และแน่นอนว่า S40 ก็จะใช้โครงสร้างพื้นฐานและขุมพลังขับเคลื่อนร่วมกัน

หลังการเปิดตัวกองทัพรถยนต์รุ่นใหม่ยก สายพันธ์  ก็จะเป็นไปตามที่ผู้บริหารของ Volvo เคยพูดเอาไว้ว่า เมื่อถึง ปี 2021 SUV รุ่นใหญ่ XC90 ก็จะกลายเป็นรถยนต์ที่เก่าสุดในกลุ่มไปโดยปริยาย กระนั้น พวกเขาก็กำลังเตรียมพร้อมในการพัฒนารุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ Full ModelChange กันอยู่ แม้จะยังไม่มีข้อมูลรายละเอียดรูปภาพหรือรถทดสอบพรางตัวออกวิ่ง แต่ผู้บริหารของ Volvo ที่สวีเดนก็ได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Car Magazine จากอังกฤษว่า XC90 ใหม่มีคิวที่จะเผยโฉมในปี 2021 โดยจะเป็น Volvo รุ่นที่ 2 ที่นำไปผลิตที่โรงงานใน Charleston สหรัฐอเมริกาต่อจากรุ่น S60 โดยจะไม่มีขุมพลังดีเซลหรือเบนซินล้วนให้เลือกอีกต่อไป มีแค่ Plug-in Hybrid หรือพลังแบตเตอรี่+มอเตอร์ไฟฟ้าล้วนเท่านั้น และพอจะคาดเดาได้ว่าก็คงหนีไม่พ้นขุมพลัง 2.0 ลิตร Twin Engine เทอร์โบ+ซูเปอร์ชาร์จ+มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้อยู่ในรุ่นปัจจุบัน แต่อาจมีการปรับปรุงเพื่อลดมลภาวะจากตัวเครื่องยนต์และเพิ่มระยะทางการวิ่ง EV Mode จากรุ่นเดิมไปอีก

และไม่ว่าจะมาในรูปแบบใด การที่รถอย่าง XC90 จะมาขายในไทยได้ก็อาจต้องรอจนถึงปี 2022 ขึ้นอยู่กับความพร้อมในการขึ้นไลน์ประกอบของโรงงานที่มาเลย์ด้วย เพราะในปัจจุบัน XC90 ที่ขายในไทยก็ส่งมาจากโรงงานนี้ การรอจังหวะอาศัยรถที่มาจากมาเลย์จะมีส่วนช่วยในการให้ทางไทยสามารถตั้งราคาที่แข่งขันกับคู่แข่งได้อย่างดุเดือดมากกว่าที่จะขนส่งรถมาจากอเมริกา

คิวต่อไปหลังจากนั้น เราอาจจะได้เห็น Crossover Coupe SUV รุ่นใหม่ล่าสุด ที่จะเข้าทำตลาดแทน V40 รุ่นปัจจุบัน ซึ่งจะถูกสร้างขึ้นบน Platform CMA ร่วมกับ S40 และ XC40 โดยตัวรถ จะฉีกแนวออกไปจากการเป็น Premium Crossover Compact Hatchback จากรุ่นเดิม ซึ่งเคยทำตลาดฟัดกับ Mercedes-Benz GLA , Infiniti QX30 และ Lexus UX ให้กลายมาเป็นคู่ต่อกรกับ BMW X4 แต่กว่าที่เราจะได้เห็นรูปโฉมคันจริง ต้องรอกันอีกนานจนถึงราวๆ ปี 2022 โน่น


J!MMY & Pan Paitoonpong
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่ายรถยนต์รุ่นที่เปิดตัวแล้ว
เป็นของ แต่ละบริษัทผู้ผลิต

ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย Spyshot เป็นของ Automedia และสื่ออืนๆตามใต้ภาพ

ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
31 มกราคม 2019

Copyright (c) 2019 Text by : J!MMY
Copyright (c) 2019 Photo by : All Manufacturer
Copyright (c) Illustration by : KNK
Copyright (c) 2019 Spyshot by : Automedia
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
January 31th,2019

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!