ผู้เขียนอ่านหัวข้อใน Press Release เราก็รู้สึกได้ถึงความฮึกเหิมของ MGประเทศไทยได้เป็นอย่างดี เพราะทีมพีอาร์เขียน
พาดหัวข้อว่า “MG เดินหน้าตามโรดแมพ ส่งน้องใหม่ “MG 3” สร้างสีสันความสนุกใหม่ มุ่งเจาะตลาดรถยนต์นั่งแบบ
แฮทช์แบคในกลุ่มบีเซกเมนต์ ตั้งเป้าแย่งส่วนแบ่งตลาดคนรุ่นใหม่” พูดง่าย ๆ เลยคือ MG จะขอเติบโตด้วยการไปแย่ง
ยอดขาย B-Segment จากค่ายอื่นนั่นเอง
แต่กว่าจะมีวันนี้ MG ก็ผ่านการเจ็บตัวมาแล้วกับ MG 6 รถยนต์ระดับ CD-Segment มีราคาระดับ C-Segment ฟังดู
เหมือนได้เปรียบคู่แข่งตรงที่ได้รถใหญ่กว่าในราคาปกติ แต่ในโลกแห่งความจริงแบรนด์ MG มันยังใหม่มากสำหรับตลาด
เมืองไทย หลายคนยังมองราคานี้แพงไปสำหรับคุณค่าแบรนด์ที่มีอยู่อันน้อยนิด (เรียนตามตรงเลยหากกลยุทธ์นี้นำไปใช้
กับค่ายรถที่มีชื่อเสียงแบรนด์ระดับต้นถึงกลาง รับรองเลยว่ามันก็น่าประสบความสำเร็จอยู่บ้าง)
นั่นคือบทเรียนแรกของตลาดรถเมืองไทยที่มอบให้ผู้บริหารต่างชาติ เพราะตลาดรถเมืองไทยถ้าไม่ปรับตัว ก็ยากที่จะกวาด
ส่วนแบ่งการตลาดสูง
การเดินทางครั้งใหม่ของ MG ในครั้งนี้มันจะกลายเป็นบทเรียนหน้าที่สองหรือไม่? เราต้องจับตากัน
วันนี้ (17 มีนาคม 2015) บริษัทเอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต และ
จำหน่ายรถยนต์ “MG” ในประเทศไทย ส่ง“MG 3” ทั้งแฮทช์แบค (Hatchback) และครอส (Xross) ลงตลาดซับคอม
แพ็ค (Sub-compact) หรือบีเซ็กเมนต์ (B-Segment) มุ่งแย่งส่วนแบ่งตลาด รุกเติมสีสันความสนุกเต็มพิกัดบนท้อง
ถนนเอาใจคนรุ่นใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ความสนุก (FUN) ตั้งราคา Shock วงการยานยนต์เมืองไทย ด้วยราคาเรนจ์
เดียวกับ Eco Car
MG 3 ยังเดินตามแนวทางเดียวกับ MG 6 ได้รับการออกแบบ และพัฒนาตามแนวคิด Brit Dynamic (บริท ไดนามิก)
ได้รับการออกแบบที่ศูนย์ออกแบบรถยนต์ Birmingham Design Centre ของ MG ในประเทศอังกฤษโดยทีม
วิศวกรและ นักออกแบบกว่า 360 คน ได้ร่วมกันออกแบบ และพัฒนา
MG 3 มีให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่ รุ่นแฮทช์แบ็ค (Hatchback) 5 ประตู และรุ่นครอส (Xross) ที่ตกแต่งให้มีความโดดเด่นแบบ
รถเอสยูวี (ตลาดต่างประเทศได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ) ชูจุดเด่นด้านคุณลักษณะเด่นด้านการขับขี่ คุณภาพ ดีไซน์ที่
โดนใจกลุ่มเป้าหมาย ความคุ้มค่าของราคาที่แข่งขันได้และออปชั่นต่างๆ พร้อมบริการหลังการขาย และเครือข่ายผู้
จำหน่ายในปัจจุบัน เหมาะสำหรับผู้บริโภคชาวไทยที่มองหาความแตกต่าง (ตามที่ผู้บริหารกล่าว)
เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่ารถ B-Segment และ Eco car ในไทยยังไม่มีรถคันไหนสาดสีตัวถังแบบทูโทนหรือแม้กระทั่ง
Customize ให้เลือกเลย จึงไม่แปลกใจว่า MG 3 ขอเล่นมุขสาดสีตัวถังทูโทนและ Customize เพื่อสร้างความแตกต่าง
จากคู่แข่ง โดยมีคู่สีตัวถังให้เลือก ได้แก่ ตัวถังสีเหลืองหลังคาสีดำ (Tudor Yellow – Black Top) ตัวถังสีแดงหลังคาสี
ขาว (Regal Red – White Top) และตัวถังสีฟ้าหลังคาสีขาว (Thames Blue – White Top)
นอกจากนี้ MG 3 ยังให้อิสระแก่ลูกค้ามากขึ้นในการตกแต่งภายนอกของรถยนต์ให้ตรงกับสไตล์ที่เป็นตัวของตัวเอง อาทิ
สติกเกอร์ตกแต่งหลังคา 5 สไตล์ ได้แก่ Scottish Kilt , Brit Pop, MOD, Union Jack และ London Tube รวมทั้งฝา
ครอบกระจกมองข้าง 4 สี
สำหรับ MG 3 Xross มีความแตกต่างจาก MG 3 รุ่นปกติด้วยกันชนหน้า-หลังแบบสปอร์ต พร้อมชุดแต่งรอบคัน และ
Roof Rail
สิ่งที่ทำให้ทุกคน Shock และฮือฮามากก็คือ MG กล้าติดตั้งหลังคา Sunroof ปรับไฟฟ้าครั้งแรกในรถเล็ก B-Segment
ประกอบในประเทศไทย!!!! และยังถือเป็นครั้งแรกที่ติดตั้งหลังคา Sunroof ในรถยนต์นั่งที่มีราคาเพียง 5 แสนกว่าบาท
เท่านั้น
ยังไม่พอครับ รถคันนี้ยังติดตั้งปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ ระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ และไฟส่องสว่างสำหรับ
การขับขี่ในเวลากลางวัน (LED Daytime Running Light – DRL) สำหรับรุ่น D และ X ที่ให้ทั้งความสวยงาม และโดด
เด่นไม่เหมือนใคร
ถ้า MG 3 เน้นเรื่องราคาที่สามารถห้ำหั่นกับรถ Eco Car ได้ เครื่องยนต์ MG 3 ก็ถือเป็นจุดขายในด้านการตลาดเพราะมัน
มีความจุขนาดใหญ่กว่าเครื่องยนต์ Eco Car ทั่วไป ด้วยขุมพลังขนาด 1.5 ลิตร DOHC VTi-TECH 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อม
ระบบวาล์วแปรผันคู่ให้กำลังสูงสุด 106 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 135 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที
ระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด SeleMatic (เซเลเมติก) พร้อมระบบปรับโหมดการขับขี่แบบสปอร์ต และแบบแมนวล
(Manual) ที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนเกียร์เองได้ ที่สำคัญยังรองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ได้อีกด้วย
ยัง ยังไม่หมดครับ MG ยังติดตั้งออพชั่นและระบบความปลอดภัยมาตรฐานให้อย่างครบครันชนิดที่รถ B-Car และ Eco
Car ต้องอายม้วน ได้แก่ ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง (CBC – Curve Brake Control) ช่วยควบคุมรถให้มี
เสถียรภาพในขณะเข้าโค้งให้ความปลอดภัย, ระบบการช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน (HAS – Hill-Start Assist
System), ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน (ABS – Anti-Lock Braking System) พร้อมระบบช่วยกระจายแรง
เบรก (EBD – Electronic Brake – Force Distribution) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล (TCS –
Traction Control System) ระบบป้องกันการลื่นไถล เมื่อเกียร์ลดต่ำอย่างฉับพลัน (MSR – Motor Control Slide
Retainer) ระบบควบคุมการทรงตัว (ESC – Electronic Stability Control) โครงสร้างตัวถังเพื่อความปลอดภัย (USD –
Ultimate Stiffness Design) และ ระบบเสริมแรงเบรก (BA – Brake Assist)
MG รู้ดีว่าคนไทยซื้อรถก็ต้องการความมั่นใจหลังการขายเป็นอย่างมากด้วย MG 3 จึงมอบความมั่นใจในคุณภาพด้วย
การรับประกัน พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง นานถึง 4 ปี หรือ 120,000 กิโลเมตร พร้อมเดินหน้าขยายโชว์รูม
และศูนย์บริการอย่างต่อเนื่องเพื่อความอุ่นใจในการใช้งานรถยนต์ MG ทุกรุ่น นอกจากนี้ยังมีศูนย์บริการและ ศูนย์
ฝึกอบรม MG ตั้งอยู่ที่ซอยอ่อนนุช เพื่อให้บริการลูกค้าได้อย่างครอบคลุมรอบด้าน และสร้างให้เกิดความเชื่อมั่นในบริการ
หลังการขายจากบริษัทฯ
ทั้งนี้ MG เซอร์วิสเซนเตอร์ มีบริการช่วยเหลือเคลื่อนที่ (MG Mobile Service) อีกหนึ่งในการบริการลูกค้าอย่างเต็ม
รูปแบบและครบวงจร เพื่อช่วยเหลือและให้บริการกับลูกค้า MG ทุกคน
สำหรับแผนการตลาดของทางบริษัทฯ ได้จัดทำภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อกลางแจ้งและสื่อ
ออนไลน์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Hello FUN ที่สื่อถึงความสนุกแบบไม่จำกัด เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ในวัย
เริ่มต้นทำงานและผู้ที่กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยได้มาชมหรือสัมผัสและทดสอบสมรรถนะของ MG 3
ราคาจำหน่ายแบ่งเป็น รุ่นแฮทช์แบ็ค (Hatchback) 5 ประตู ได้แก่
รุ่น C ซึ่งเป็นรุ่นเริ่มต้นที่ 479,000 บาท
รุ่น (กลาง) D เหมาะกับผู้มองหาความคุ้มค่าที่ 509,000 บาท
รุ่น (ท็อป) X พร้อมติดตั้งหลังคาซันรูฟที่ 559,000 บาท
ส่วนรุ่นครอส (Xross) จะมีเพียงรุ่นท็อปรุ่นเดียว คือ รุ่น X พร้อมหลังคาซันรูฟราคา 595,000 บาท
ทุกคนสามารถพบกับ MG 3 ได้ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคมนี้ ที่งานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2015 ณ ชาเลน
เจอร์ฮอลล์ เมืองทองธานี และโชว์รูม MG ทุกแห่งทั่วประเทศ