ช่วงนี้ บรรดาวัยรุ่น คนโสด และคนที่ไม่โสดและไม่ค่อยรักชีวิตเขากำลังฮิตแอพพลิเคชั่นที่ชื่อ Facebook Dating Application

สิ่งนี้ฝังอยู่บนแอพพลิเคชั่นหลักของ Facebook บน Android กับ Apple ซึ่งกำลังทยอยเปิดให้ User แต่ละรายเริ่มใช้ ผมอัปเดต Facebook ของตัวเองเป็นเวอร์ชั่นใหม่สุด แล้วก็รอร้อรออยู่หลายวัน จนกระทั่งไปคลิกตรงไอ้แถบ 3 ขีดมุมบนขวาในหน้า Facebook แล้วไล่ๆลงมาดูข้างล่าง เจอไอค่อนรูปหัวใจสีชมพูตัดม่วงกับคำว่า “Dating” ไชโย! นั่นแปลว่าผมมีโอกาสได้ใช้แล้ว

ในวันแรก ผมตื่นเต้นมาก เหมือนกับวันแรกๆที่ลองเล่น Tinder ระบบของ Facebook จะสุ่มเลือกคนที่ไม่ใช่ Friend ของคุณ แต่รู้จักกับคนใน Friendlist ของคุณมาให้ดู ถ้าคุณเห็นแล้วไม่รู้สึกชอบ ก็แค่กด Pass แต่ถ้าเห็นแล้วหลง ก็กด Interested มันจะนำไปหน้าจอให้คุณเริ่มต้นบทสนทนาในทันที ต่างจาก Tinder ซึ่งคุณจะต้องกด Like อีกฝ่ายหนึ่ง และอีกฝ่ายหนึ่งต้องกด Like กลับ ระบบถึงจะเปิดให้คุณคุยกัน

เวลาคุณเล่นเจ้าแอพฯนี้ เขาจะเปิดโอกาสให้คุณอัพรูป เลือกรูปที่คุณชอบ ลองตอบคำถามสั้นๆแล้วนำมาโชว์เพื่อให้อีกฝ่ายได้อ่าน และรู้ความคิดของคุณ หรือถ้าชอบแบบฟรีสไตล์ เขาก็จะมีช่องให้คุณเขียนบรรยายเกี่ยวกับตัวเองเอาไว้ แต่ให้เขียนได้สั้นๆ ถ้าคุณเรื่องเยอะมากแบบผม อาจจะพบว่ามันกรอกได้น้อยนิด ต้องลบแล้วกลับไปเขียนใหม่ให้สั้นพอ จนบัดนี้ นานนับสัปดาห์แล้ว ก็มีคุณน้องหลงทางเข้ามาทักทายผมแล้ว 1 คนด้วยกัน แต่คาดว่าน้องน่าจะรู้แล้วว่าผมดูเหมือนหมีแก่หัวงู ก็เลยไม่ได้มีบทสนทนาอะไรกันอีก

เรื่อง Dating App นั้น จะเป็นอย่างไร ผมขอเชิญคุณไปเล่นดูเอง แต่ความที่ต้องดึง Audi Q7 45TDI quattro S Line คันนี้ขึ้นมาเขียน บวกกับอารมณ์ที่ยังค้างอยู่ ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า เออ ถ้าเจ้า Q7 คันนี้ มันเป็นคนที่เล่น Dating App มันจะเป็นคนประเภทไหน?

คุณนึกภาพตามผมนะครับ ถ้าคุณเป็นคนหน้าตาดี หล่อมาก สวยมาก แค่อัปรูปไปสัก 3-4 รูป โป๊ะเชะ! แค่ 24 ชั่วโมง ผมว่าคุณอาจจะต้องตอบหลังไมค์จนตัดสินใจ Delete Dating Profile นั่นทิ้งเสีย แต่ถ้า Q7 เป็นผู้ชายสักคน มันคือคนที่ตัวดูตันๆ บึกๆ หน้าตาธรรมดา แล้วยังชอบแต่งตัวแบบธรรมดาอีกต่างหากแม้ว่าจะแต่งสุภาพแบบพ่อตายิ้มแล้วเชิญให้เข้าบ้านก็ตาม และเมื่อเล่น Dating App เขาก็อัปรูปแบบที่ดูธรรมดาในแบบของเขา นอกจากนั้นแล้วก็ไม่ค่อยยอมบอกอะไรเกี่ยวกับตัวเองสักเท่าไหร่ ผู้ชายบางคน ไม่หล่อ แต่มีดีอย่างอื่น เขาก็มักจะเขียนโปรไฟล์ให้ดูฉลาด เผื่อมีผู้หญิงอ่านแล้วจะยอมเปิดใจบ้าง

Q7 45TDI เป็นผู้ชายที่ไม่ยอมเปิดปาก ลงโปรไฟล์เดตเหมือนไม่จริงจัง ไม่ถ่ายรูปรถสปอร์ตส่วนตัวหรือแว่นกัดแดด นาฬิกาแพงๆเพื่อล่อใคร แค่เขียนไว้ในช่องสั้นๆว่า ยามว่างชอบออกกำลังกาย และเรียนศิลปะป้องกันตัวมาแล้วหลายปี อัปรูปตัวเองตอนชนะคาราเต้ประจำเขตเทศบาลไว้ด้วยรูปนึง

ด้วยโปรไฟล์แบบ Mr. Q7 ผู้หญิงครึ่งหนึ่งก็จะกด Pass ปล่อยเขาทิ้งไป เหลืออีกครึ่งหนึ่งที่อาจจะยังมองแล้วมองอีก พยายามใช้วิชาตรรกศาสตร์บวกไสยศาสตร์เข้าพิจารณาว่าควรจะกด Interested แล้วทักไปหาดีไหม?

ถ้าใครเลือกที่จะไม่ทัก ก็ไม่แปลกหรอกครับ เพราะ Q7 เจนเนอเรชั่นที่ 2 รหัสตัวถัง 4M นี่..ขนาดผมซึ่งชอบรถยนต์สไตล์อนุรักษ์นิยม ยังรู้สึกอยากโทรไปหาดีไซน์เนอร์แล้วบอกให้ช่วยเติมน้ำปลา มะนาว กับพริกลงไปหน่อยเถอะ นี่ถ้าเอาล้อลายแบบมาตรฐาน ขนาด 18 นิ้วมาใส่แล้วขายในราคา 4 ล้านกว่า คนที่ไม่รู้เรื่องรถคงบอกว่าบ้า มองจากมุมไหน ผมก็คิดเหมือนเดิมว่าเจนเนอเรชั่นที่ 1 มีภายนอกที่ดูหล่อน่าทักทายไปหากว่ากันเยอะ

Audi Q7 เกิดขึ้นมาบนโลก ด้วยดำริของทางบริษัทที่ต้องการจะมี SUV ขนาดใหญ่เต็มตัวไว้รองรับคนรวยในจีน และนักธุรกิจในอเมริกาสักที พวกเขาหยั่งกระแสประชาชนก่อนด้วยการนำรถต้นแบบ Audi Pikes Peak quattro Concept มาโชว์ตัว และเมื่อพบว่ามันมีแนวทางในการสร้างยอดขายได้ ก็พัฒนาต่อโดยทรวดทรงทั้งหมด จะอยู่บนโครงสร้างพื้นฐาน Platform – PL71 ของ Volkswagen Group และแชร์กันใช้กับ VW Toureg และ Porsche Cayenne เจนเนอเรชั่นที่ 1

Audi เริ่มจำหน่าย Q7 (รหัสตัวถัง 4L) ครั้งแรกในปี 2005 ที่ยุโรป ก่อนที่จะกระจายไปยังตลาดอเมริกาเหนือ และเอเชียบางส่วน ในช่วงแรกมีเครื่องยนต์ให้เลือกไม่กี่รุ่น คือแบบ V6 3.6 ลิตร 280 แรงม้า V8 4.2 ลิตร 350 แรงม้า ซึ่งเป็นเครื่องแบบไม่มีระบบอัดอากาศทั้งคู่ ส่วนเครื่องยนต์ดีเซล ก็มีขนาด 3.0 ลิตร 240 แรงม้า 4.2 ลิตร 326 แรงม้า ทั้งหมดเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบ

สิ่งที่ทำให้ Q7 มีชื่อเสียงมากภายในเวลาต่อมาคือการนำเอาเครื่องยนต์ V12 ดีเซลเทอร์โบ TDI ซึ่งในช่วงนั้น Audi กำลังดังจากการใช้เครื่องยนต์ดีเซลในรถแข่ง Le Mans ทีมวิศวกรจึงเอาเทคโนโลยีบางส่วนมากใส่ในเครื่องยนต์ 6.0 ลิตร ปลุกระดมพลังจนได้ม้ามากถึง 500 ตัว และมีแรงบิดระดับ 1,000 นิวตันเมตร นับเป็น SUV ที่มีพละกำลังมากที่สุดคันหนึ่งจากทศวรรษที่แล้ว และเป็นครั้งแรกที่มีการทำเครื่องยนต์ 12 สูบเป็นแบบดีเซลในรถยนต์นั่งจำหน่ายทั่วไป

Q7 เจนเนอเรชั่นที่ 1 มีการไมเนอร์เชนจ์ 1 ครั้งในปี 2009 ช่วงปลายปี และได้มีการเพิ่มเครื่องยนต์ TFSI ขนาด 3.0 ลิตร อัดอากาศด้วยซูเปอร์ชาร์จ มีกำลัง 272 และ 333 แรงม้า ซึ่งเครื่องยนต์รุ่นนี้ก็ได้ถูกส่งต่อมาถึงเจนเนอเรชั่นที่สองในปัจจุบัน

ส่วนเจนเนอเรชั่นที่ขายอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีรหัสตัวถังว่า 4M นั้น เผยโฉมที่งาน North America International Auto Show เดือนมกราคมปี 2015 มีการปรับปรุงตัวรถ เปลี่ยนไปใช้โครงสร้างพื้นฐาน MLB Platform (PL-73) ใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าของดีมีก็ต้องแบ่งกันใช้กับเพื่อนในเครือ เช่น Porsche Cayenne (E3) และ Bentley Bentayga ด้วยโครงสร้างแบบใหม่ ทำให้ Audi สามารถลดน้ำหนักลงจากรุ่นเดิมได้ 70-100 กิโลกรัม และนอกจากนี้ยังปรับตำแหน่งการวางเครื่องยนต์ให้ต่ำลงกว่าเดิมเพื่อช่วยลดจุดศูนย์ถ่วงลงมา

Audi มองว่าคนที่ซื้อ Q7 ใหม่ มีทั้งกลุ่มที่เน้นการบรรทุกคนและสัมภาระจึงมีให้เลือกทั้งเวอร์ชั่น 5 และ 7 ที่นั่ง มีเครื่องยนต์ขนาดเล็กให้เลือกเพื่อเอาใจตลาดที่ไม่เน้นความแรง โดยเครื่องยนต์เบนซิน ก็จะมีขนาด 2.0 ลิตรเทอร์โบ, 3.0 ลิตร V6 ซูเปอร์ชาร์จซึ่งเอามาจากตัวถัง 4L ไมเนอร์เชนจ์ ส่วนเครื่องยนต์ดีเซล ก็เริ่มตั้งแต่รุ่น 3.0 ลิตร ซึ่งปรับจูนกำลังหลายระดับ ตั้งแต่ 252 ไปจนถึง 276 แรงม้า เพิ่มทางเลือกกับพลังไฮบริดในรุ่นดีเซล e-tron 3.0 ลิตร+มอเตอร์ไฟฟ้า 392 แรงม้า และแรงสุดในรุ่น SQ7 ที่เป็นดีเซล V8 4.0 ลิตรเทอร์โบ 441 แรงม้าพร้อมแรงบิด 900 นิวตันเมตร

สำหรับตลาดในเมืองไทยนั้น ผู้แทนจำหน่าย Meister Technik บรรจุ Q7 เป็นหนึ่งในรถขบวนพาเหรดเปิดตัวบริษัท Relaunch แบรนด์ Audi ในไทย จนปัจจุบัน ผ่านมาราว 1 ปีกับอีก 10 เดือน Q7 ก็นับว่าเป็นรถที่ประสบความสำเร็จ สามารถทำยอดขายได้ถึง 30% ของ Audi ทั้งหมดที่ขายในประเทศไทย (50% เป็น TT และอีก 20% เป็นรุ่นอื่นๆที่คละกัน)

ซึ่งถ้าคำนวณกลับจากยอดขายเท่าที่ผมทราบ ในช่วงกลางปี 2018 ประเทศไทยน่าจะมี Audi Q7 วิ่งอยู่ไม่ต่ำกว่า 210 คันโดยประมาณ บางคนอาจจะบอกว่าไม่มาก แต่ลองคิดดูนะครับว่าคู่แข่งในตลาดนี้มีใครบ้าง? BMW X5, Mercedes-Benz GLE, Volvo XC90, Lexus RX200t (ปัจจุบันเรียกว่า RX300) และ Land Rover Discovery แล้วคุณเห็นรถทั้งหมดที่ผมกล่าวมาบ่อยแค่ไหน? รถกลุ่มนี้มีจำนวนยอดขายแต่ละปีไม่เยอะครับ ดังนั้นยอดเริ่มต้นของ Q7 ซึ่งไม่ใช่รถราคาถูกๆ ผมนับว่าต่อยมวยเปิดงานได้สวยพอใช้

สิ่งหนึ่งที่ผมสนใจก็คือ Q7 ในประเทศไทยนั้น ในช่วงแรก Meister Technik นำรุ่น 40TFSI (เบนซิน 2.0 ลิตร) กับรุ่น 45TFSI (V6 เบนซิน 3.0 ลิตร) เข้ามาขายก่อน รุ่นดีเซล 45TDI เป็นรุ่นย่อยที่เปิดตัวหลังสุด แต่กลับมีอัตราส่วนยอดขายเทียบกับรุ่นย่อยอื่นสูงขึ้นอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่เดือน ถูกล่ะ รุ่น V6 3.0 เบนซิน 45TFSI ยังเป็นรุ่นที่ขายดีที่สุด แต่มันมีเหตุผลอะไรหรือเปล่าที่รถรุ่นดีเซล ซึ่งถูกกว่ากันแค่ 200,000 บาท สามารถทำอัตราส่วนยอดขายเพิ่มได้เร็วแบบนี้

นั่นล่ะครับ ทำให้ผมต้องมาหาคำตอบ หลังจากที่เคยขับรุุ่นย่อยอื่นมาบ้างแล้ว (แต่ไม่ได้ทำรีวิวไว้)

Audi Q7 45TDI มีความยาวตัวถัง 5,052 มิลลิเมตร กว้าง 1,968 มิลลิเมตร สูง 1,741 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,994 มิลลิเมตร ความกว้างระยะแทร็คล้อคู่หน้า/หลัง 1,679 และ 1,691 มิลลิเมตรตามลำดับ ขนาดถังน้ำมัน 75 ลิตร เท่ากับรุ่น 40TFSI 2.0 เบนซิน แต่จะเล็กกว่ารุ่น 45TFSI V6 3.0 ซึ่งเปลี่ยนไปใช้ขนาด 85 ลิตร ส่วนน้ำหนักตัวถังนั้นรุ่นดีเซลจะหนักที่สุด คืออยู่ที่ 1,980 กิโลกรัม ในขณะที่รุ่น 4 สูบเบนซินหนัก 1,910 กิโลกรัม และรุ่น V6 3.0 หนัก 1,970 กิโลกรัม

รุ่นดีเซลใช้ล้อ 285/45 ขอบ 20 เท่ากับรุ่น 2.0 ส่วนรุ่น V6 3.0 จะขยับไปใช้ขนาด 21 นิ้ว ลายห้าก้านคู่ ห่อด้วยยาง 285/40 ส่วนขนาดตัวของคู่แข่ง เป็นอย่างไรกันบ้าง ลองนำมาเทียบกันคร่าวๆ

  • Mercedes-Benz GLE : 4,819 x 1,935 x 1,796 มม. / ระยะฐานล้อ 2,915 มม.
  • BMW X5 : 4,886 x 1,938 x 1,762 มม./ ระยะฐานล้อ 2,933 มม.
  • Volvo XC90 :  4,950 x 2,008 x 1,776 มิลลิเมตร / ระยะฐานล้อ 2,984 มิลลิเมตร

จะเห็นได้ว่าในกลุ่มนี้ Audi มีลำตัวยาวที่สุด แต่เตี้ยที่สุด ระยะฐานล้อยาวที่สุด แต่ความกว้างของตัวถังจะน้อยกว่า Volvo ยิ่งถ้าเป็นเรื่องน้ำหนักตัว จะบอกไว้เลยว่า Audi ตัวเบาสุด ขนาดเอารุ่นขับสี่ quattro แล้วยังเป็นเครื่อง 6 สูบ มาเจอกับ BMW X5 sDrive25d ที่เป็นเครื่อง 4 สูบและขับเคลื่อนล้อหลัง Audi ก็ยังเบากว่าถึง 90 กิโลกรัม และไม่ต้องเทียบกับพวกที่เป็นรถ Plug-in ซึ่งต้องแบกแบตเตอรี่และล้วนมีน้ำหนัก 2.3 ตันโดยเฉลี่ย

รุ่น 45TDI quattro S Line จะมีภายนอกที่ดูคล้ายกันกับรุ่นย่อยอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าแบบ Projector หลอด LED พร้อมระบบไฟสูงอัตโนมัติ ไฟท้าย LED Tube หักมุมซ้อนดูเป็น 3 แฉกคล้าย Lamborghini Gallardo ไมเนอร์เชนจ์ และโป่งล้อบึกบึนที่เป็นชิ้นเดียวกันตัวถัง จุดที่ต่างออกมาจากรุ่น 2.0 ลิตรธรรมดาก็คือชุดแต่ง S Line ที่ดูเรียบแบบผู้ใหญ่ (นี่คือชุดแต่งแล้วใช่มั้ย) และล้ออัลลอย ซึ่งมีขนาด 20 นิ้วเท่ากับรุ่น 2.0 แต่เป็นลายก้านคู่แบบซี่ ซึ่งทำให้ดูมีความเป็นผู้ใหญ่ขาซิ่งเพิ่มขึ้นมา (และจริงๆผมชอบลายนี้มากว่าลาย 5 ก้านคู่ 21 นิ้วของรุ่น 3.0 45TFSI เสียด้วยซ้ำ)

หากเทียบกับคู่แข่งคันอื่นๆ ผมคิดว่า ถ้าเอาเรื่องความลงตัวของเส้นสาย ดุด้วย บึกด้วย สวยด้วย ก็คงต้องยกให้ Land Rover Discovery ใหม่ ในขณะเดียวกันถ้าอยากได้รถที่สวยแบบประหลาดๆแต่มีความเปรียวแบบที่ผู้ชายขับได้ผู้หญิงขับก็ดูดี Lexus RX จะทำคะแนนได้ดี ส่วน Q7 นั้นจะมาสไตล์เรียบๆ อย่างที่บอกไว้ต้นเรื่องว่าเหมือนผู้ชายหุ่นบึกแต่หน้าตาธรรมดาแต่งตัวจืดๆ เคียงข้างไปกับ Volvo XC90 ต่างกันตรงที่ Q7 จืดแบบแอบมีพิษสง แต่ XC90 ชืดแบบดูปลอดภัย พ่อแม่เห็นหน้าแล้วยินดียอมให้ลูกสาวออกไปข้างนอกดึกๆด้วย ส่วน X5 โฉมที่กำลังจะตกรุ่นนั้น เหมือนอาร์โนลด์ชวารซเนกเกอร์ช่วงเข้าวงการใหม่ๆ กล้ามยุบยั่บเต็มไปหมด

 

กุญแจของ Q7 เป็นแบบ Audi Comfort Key หรือสมาร์ทคีย์แบบที่เราคุ้นเคยกัน แค่อยู่ใกล้ๆรถแล้วเอื้อมมือไปจับประตู แล้วก็ดึงเปิดได้เลย ช่องทางเข้าออกจากประตูคู่หน้านั้น คุณเห็นรถคันโตเท่าบ้านอาจจะนึกว่ามันกว้าง แต่อันที่จริงแนวเสา A-pillar นั้นมีความลาดมากกว่าที่คุณคิด ดังนั้นคนที่ตัวสูงและป่องกลางไซส์ 5XL แบบผม เวลาขึ้นรถก็ยังต้องระวังช่วงหัวมากกว่าเวลาขึ้นพวกรถ PPV ราคาล้านกลางอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ต้องหลบหัวมากเท่า Porsche Cayenne รุ่นใหม่ สำหรับคนที่ตัวสูงไม่เกิน 6 ฟุต คุณไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

เบาะหน้าของ Q7 คันนี้ ให้ความสบายโดยรวมในระดับค่อนไปทางหัวแถวของกลุ่ม เป็นเบาะแบบทรงรถนั่งธรรมดา ไม่ได้เน้นกันตัวเลื่อนออกด้านข้างแบบรถสปอร์ต ซึ่งก็ได้ดีในแง่ของความสบายเวลาโดยสารมาแทน ตัวเบาะชิ้นรองนั่ง และชิ้นพนักพิงบุด้วยฟองน้ำที่มีความแข็งเฟิร์มอยู่ตรงกลางระหว่างเบาะของ BMW X5 และ Lexus RX (Lexus นุ่มที่สุด) แต่ที่ชอบคือพนักพิงศีรษะดันกบาลน้อยกว่า RX ในขณะที่ตัวหมอนรองก็ไม่แข็งกระเด๊กแบบ X5 มันจะสบายแบบสุดๆถ้าหมอนรองศีรษะสามารถปรับเอียงหน้า/หลังได้สักนิด แต่บังเอิญมันทำไม่ได้

เบาะนั่งคู่หน้าเป็นแบบปรับด้วยไฟฟ้า กระดกเทหน้า/หลังได้ ปรับจุดดันหลัง (Lumbar Support) ได้ และมีระบบบันทึกความจำตำแหน่งเบาะมาให้ 2 ตำแหน่ง ทั้งฝั่งคนขับและคนนั่ง

ส่วนเบาะหลังนั้น ดูเรียบเป็นกระดานก็จริง แต่ยังพออยู่ในระดับกลางๆ ถ้าเทียบกับคู่แข่ง ที่จุดนี้ ตัวเบาะรองนั่งกับพนักพิงของ Q7 ก็ยังแข็งกว่า Lexus แต่นุ่มกว่า BMW เช่นเดียวกับเบาะหน้า แต่จุดตีคะแนนคืนคือหมอนรองศีรษะที่นุ่มกว่าของคนอื่น ส่วนลักษณะของพนักพิงหลังนั้น จะไม่ค่อยดันหลังในส่วนเหนือร่องตูดถึงกลางหลังเท่าไหร่ แต่จะมีการเสริมฟองน้ำดันช่วงซีกบนของแผ่นหลังมากกว่าเบาะของยี่ห้ออื่น  เนื้อที่วางขาเหลือพอ สูสีกับ Lexus ในขณะที่คนสูง 183 เซนติเมตร ตูดหนาๆแบบผม นั่งเบาะหลังตรงๆแล้วยังเหลือเนื้อที่ Headroom ให้ขยับได้มากพอ

เวลาเดินทางไกล ผู้โดยสารด้านหลังสามารถปรับเบาะเอนลงได้โดยใช้คันโยกบริเวณข้างเบาะด้านที่หันมาทางประตูรถ องศาการเอนเมื่อปรับลงสุดแล้วพบว่าน้อยกว่า Lexus RX แค่นิดเดียว แต่ความต่างอยู่ที่ เวลานั่งหลังตรงๆตั้งเบาะขึ้น Q7 ดูเหมือนจะสบายกว่า Lexus แต่ถ้าปรับแบบเอนนอนเมื่อไหร่ จะกลายเป็นว่าลักษณะเบาะของ Lexus เอื้ออำนวยต่อช่วงไหล่และต้นคอที่สบายกว่า

ทั้งนี้ถ้าเทียบกับ X5 แล้ว Audi จะชนะขาด เพราะเบาะของ BMW นั้นแข็งกว่า มีความเป็นกระดานมากกว่า แถมเอนไม่ได้ ทั้งรุ่น xDrive40e และ sDrive25d Pure Excellence

 

จุดที่ชอบมากใน Q7 คือเนื้อที่บรรทุกสัมภาระด้านหลัง ไม่ต้องเอาเครื่องมือใดๆมาวัด ก็รู้สึกได้เลยว่าถ้าคิดจะน้อยใจแล้วย้ายบ้านหนีเมีย Q7 จะสามารถบรรทุกสมบัติบ้าของคุณได้เยอะที่สุดเมื่อเทียบกับ SUV ระดับพรีเมียมคันอื่นๆ ไม่ต้องถามว่าใส่ถุงกอล์ฟได้ไหม เพราะจะโยนทั้งถุงกอล์ฟ ของคุณ ของเพื่อน และโยนแคดดี้เจ้าประจำเข้าไปด้วยผมเชื่อว่าก็ยังมีที่เหลือ ด้วยความจุถึง 890 ลิตร และสามารถแบ่งพับเบาะได้แบบ 40 : 20 : 40 ซึ่งเมื่อพับลงไปแล้วพื้นรถจะเป็นระนาบเดียวยาวจากหน้าถึงหลัง และได้ความจุเพิ่มเป็น 2,075 ลิตร ส่วนฝากระโปรงท้าย เปิด/ปิดด้วยระบบไฟฟ้าจากปุ่มที่ประตูคนขับ หรือใช้กุญแจ Comfort Key กดเปิด หรือไม่ถนัดใช้นิ้ว ก็ใช้เท้าแหย่ใต้กันชนเปิดได้

เทียบกับ X5 F15 ที่เตรียมตกรุ่น Motor Expo นี้..ขานั้นเขาจะมีเนื้อที่แค่ 650 ลิตร ต่อให้พับเบาะลงก็ได้ 1,870 ลิตร ส่วน X5 G05 ใหม่ที่กำลังจะมา ไม่ต้องสืบครับ เล็กลงกว่าเดิมนิดนึงด้วยซ้ำ

แกงจืดถ้วยต่อมาคือบรรยากาศในห้องโดยสาร..ผมบอกตามตรงว่าแม้จะเริ่มชอบสไตล์ช่องแอร์เป็นซี่ยาวจากซ้ายจรดขวา และสวิตช์ควบคุมสไตล์เรียบๆ แต่ภาพรวมของมันออกมาดูค่อนข้างจะธรรมดา เหมือนนั่งจ้องลำโพง Bluetooth ของ BOSE รุ่นกลางๆ ไม่ขัดตา แต่รู้สึกว่ามันน่าจะมีอะไรทำให้ตื่นตาตามราคา 4.799 ล้านมากกว่านี้ ผมรู้สึกว่าภายในของ X5 รุ่นเก่ากลับดูแพงกว่า มีลูกเล่นมากกว่า นี่โชคดีว่าคันที่เราได้ทดสอบมาพร้อมเบาะสีน้ำตาล Nougat brown เลยกลายเป็นดูหรูใช้ได้ ถ้าเป็นสีดำหรือเทานี่นึกถึงท้องฟ้า London ตอนฝนตกเลย

แผงบังแดด มาพร้อมกระจกแต่งหน้าและไฟส่องสีขาวนวลทั้งสองฝั่ง แต่ไม่มีหลังคาซันรูฟมาให้แบบรุ่นน้องอย่าง A4 Avant ส่วนงานประกอบภายในของ Q7 ซึ่งส่งมาจากโรงงาน Bratislava ประเทศสโลวักนั้น ถือได้ว่ารักษามาตรฐานประกอบดุจดังทำมาเป็นชิ้นเดียวแล้วหั่นด้วยเลเซอร์ น่าพอใจครับ

 

จากขวาไปซ้าย

สวิตช์กระจกไฟฟ้าอยู่บนแผงควบคุมด้านขวา มีกลไกการกดขึ้น/ลงแบบ One Touch ทั้ง 4 บานและชุดสวิตช์ปรับกระจกมองข้าง ถัดขึ้นมาด้านบนบริเวณมือจับเปิดประตู จะเป็นสวิตช์สำหรับล็อค/ปลดล็อคประตู อยู่ติดกับปุ่มของระบบความจำตำแหน่งของเบาะ 2 ตำแหน่ง ใต้ช่องแอร์ด้านขวาเป็นลูกบิดสำหรับเปิดปิดไฟหน้า และสวิตช์ปรับความสว่างหน้าปัดซึ่งเป็นปุ่มกดฝังตัวอยู่

พวงมาลัยเป็นทรงสปอร์ต 3 ก้าน แต่ไม่ได้เป็นท้ายตัดแบบ A4 Avant สามารถปรับองศาคอพวงมาลัยก้ม/เงย เข้า/ออกได้ด้วยการปลดล็อคที่ก้านใต้คอพวงมาลัย ก้านพวงมาลัยฝั่งซ้าย เป็นชุดสวิตช์สำหรับควบคุมจอ Multi Information Display บนหน้าปัด ในขณะที่ก้านด้านขวาจะคุมพวกระบบเครื่องเสียง และการรับสายโทรศัพท์ ส่วนระบบ Cruise Control นั้นจะมีก้านแยกมาซ่อนอยู่ด้านซ้ายล่าง (คล้ายกับพวก Toyota) ซึ่งถ้าคนขับไม่ชินการใช้งาน บางทีก็ต้องแอบก้มๆเอียงๆคอดูเหมือนกันว่ากดทางไหนสั่งทำอะไร

นอกจากนี้ บนก้านพวงมาลัยฝั่งขวาจะมีปุ่ม * คล้ายดอกจัน เป็นปุ่มพิเศษที่คุณสามารถกำหนดฟังก์ชั่นได้ว่าจะให้มันทำอะไร เช่น ปรับโหมดการขับขี่, เปลี่ยนฟังก์ชั่นระหว่างวิทยุ/CD/Media USB หรือเปิดปิด Traffic Announcement

ก้านสวิตช์คอพวงมาลัยฝั่งซ้ายมือ ใช้เปิดไฟเลี้ยวกับไฟสูง ส่วนก้านด้านขวา จะใช้คุมระบบปัดน้ำฝน ซึ่งมีระบบอัตโนมัติปรับตามปริมาณน้ำฝนที่ตก แต่ถ้าทำงานไม่ได้ดังใจ คนขับสามารถเลื่อนลูกบิดบนก้านเพื่อปรับความ Sensitive ของเซ็นเซอร์หรือความเร็วในการปัดน้ำฝนได้

หันมาดูที่คอนโซลกลางกันบ้าง ด้านบนสุด จะเป็นที่อยู่ของจอมัลติมีเดียขนาด 7 นิ้ว ซึ่งเวลาเห็นแล้วขวางหูขวางตา สามารถกดปุ่มหดกลับเก็บในคอนโซลได้ เป็นไอเดียที่ดี ซึ่ง A4 Avant จะพับเก็บไม่ได้ รายละเอียดอื่นๆเดี๋ยวไว้มาว่ากัน

ถัดลงมาใต้ช่องลมแอร์ จะมีแผงสวิตช์ ซึ่งประกอบด้วยสวิตช์สำหรับปรับโหมดการขับขี่ Dynamic Select, สวิตช์ปิดการทำงานของระบบควบคุมการทรงตัว, ไฟฉุกเฉิน, สวิตช์ระบบเซนเซอร์จอดรถ, ระบบควบคุมความเร็วของรถขณะขับลงเนิน และสวิตช์สำหรับพับจอกลางเก็บ ในรุ่นเบนซินจะมีสวิตช์ระบบ Auto Start/Stop เพิ่มยัดเข้าไปใกล้ๆกับสวิตช์ระบบควบคุมการทรงตัว

ระบบปรับอากาศ เป็นแบบอัตโนมัติดิจิตอล 2-Zone ซึ่งสามารถปรับแยกอุณหภูมิห้องโดยสารแยก ซ้าย/ขวาได้ (รุ่น 45TFSI จะเป็นแบบ 4-Zone) สามารถทำความเย็นได้ดีพอสมควร แต่เช่นเดียวกับ Audi อีกหลายรุ่นคือคุณต้องเซ็ตไว้ประมาณ 22-23 องศาถึงจะสู้แดดกลางวันได้ดีแบบกำลังสบาย

ถัดลงมา ก็เป็นชุดแผงควบคุมมัลติมีเดีย MMI ซึ่งประกอบด้วยปุ่มจำนวนมาก แต่มีปุ่มหมุนขนาดใหญ่ ขนาบด้วยสวิตช์รูปคล้าย ] และ [ เพื่อเข้าสู่ฟังก์ชั่นย่อยบางอย่างได้ มีปุ่มสำหรับ Back และ Enter ซึ่งการใช้งานไม่ได้ยากแต่บางครั้งจะสับสนเวลาจะออกจากเมนูหนึ่งไปอีกเมนูหนึ่งว่าจะใช้ปุ่ม ” ] ” หรือกด Back ทั้งหมดนี้ก็คงเพียงพอต่อการใช้งาน แต่ยังไม่ใช่ระบบ Touchpad แบบที่ตัวท้อปๆเมืองนอกเขาได้ใช้กัน

ด้านข้าง เยื้องไปฝั่งคนนั่ง จะมีที่วางแก้วให้ 2 ใบ และมีสวิตช์สำหรับปรับความดังของเพลง หรือโยกซ้าย/ขวาเพื่อเลือกเพลง แยกโดดออกมาต่างหากจากแผงควบคุม MMI ส่วนด้านท้ายสุดของคันเกียร์ จะมีปุ่มสำหรับระบบ Auto Brake Hold และปุ่มเบรกมือไฟฟ้า

ในยามค่ำคืน ห้องโดยสารของ Q7 ที่เคยดูจืดๆไปนิด ก็จะมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้างด้วยแสงจากไฟ Ambient Light ตามส่วนล่างของแผงประตู ส่วนบนของประตู ด้านข้างของคอนโซลอุโมงค์เกียร์ ซึ่งจะมีสีหลักให้เลือก 3 สีคือ แดง, ขาว, น้ำเงิน แต่ถ้าคุณมีเวลาว่างมาก ก็สามารถใช้ปุ่มหมุนของ MMI กดเข้าไปเลือก Settings ในจอกลาง แล้วหาฟังก์เช่นเซ็ตแสงไฟ Interior Light แบบ Individual คุณจะสามารถเลือกได้ตั้งแต่ น้ำเงิน, ฟ้า, เขียว, แดง, ส้ม, เหลือง, ขาว และมีโทนอ่อน/เข้มย่อยไปอีก

 

มาที่จอมัลติมีเดียขนาด 7 นิ้วกันบ้าง หน้าที่หลักของมันก็คือโชว์การทำงานของฟังก์ชั่นต่างๆ เช่นการเซ็ตค่าในแต่ละส่วนของรถ รวมถึงเครื่องเสียง แต่ไม่มีระบบนำทางมาให้นะครับ ออกจะดูแปลกๆหน่อยสำหรับรถสมัยนี้ที่ราคาเกินสามล้านแล้วยังไม่มีมาให้ ส่วนการเชื่อมต่อโทรศัพท์ ก็ แหะ แหะ เหมือนเดิมครับ ไม่ค่อยอยากจะคุยกับโทรศัพท์ตระกูล Android เท่าไหร่นัก เฉพาะโทรศัพท์ Hi-end โชคดีบางรุ่นเท่านั้นที่จะผสมพันธุ์กับจอนี้ได้โดยไม่ตะขิดตะขวง แต่ยังไม่ได้เจออาการ ประเภทจู่ๆก็ปรับมิติเสียงไม่ได้อย่างที่เจอใน A4 ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะผมไม่ได้อยู่กับรถนานเท่ากันก็เป็นได้

ส่วนลูกค้า Apple…เราไม่มีอะไรต้องพูดกันนะครับ เชื่อมต่อได้ ทำงานได้อย่างปกติสุข

Audi Q7 ยังไม่มีกล้องรอบคัน 360 องศาแบบ X5 xDrive40e แต่ให้เป็นกล้องถอยหลังที่มีความชัดใช้ได้ ส่วนที่เหลือจะมาเป็นเซนเซอร์หน้า/หลังแทน ซึ่งในแง่ความปลอดภัย ก็ถือว่ายังดีกว่าไม่มีมาให้ แต่ในอีกไม่นาน Audi คงต้องหาวิธีใส่กล้อง 360 องศามาให้ เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาด SUV ระดับพรีเมียมนี้ได้

ชุดเครื่องเสียงของ Q7 TDI เป็นของ BOSE ที่มีระบบเสียง 3 มิติ รองรับ CD, MP3, USB และ AUX-in คุณภาพของเสียงที่ได้ ผมว่าดีกว่าเครื่องเสียงแบบ Audio 20 + Burmester ของพวก Mercedes-Benz และอยู่ในระดับที่สามารถสร้างความพึงพอใจได้ (ถ้าคุณไม่ใช่นักฟังหูทองคำหรือเป็นคนที่สร้างห้องฟังเพลงโดยเฉพาะไว้ที่บ้าน) ผมทดสอบด้วยเพลงเดิมประจำคือ Wake up this day และ Ooh Baby ของ Tom Misch และลองฟังกับ Jazz แบบ Down in old Brazil ของ Michael Franks ดู พบว่าความแน่นของเบสยังไม่ดีเท่า Bang & Olufsen ของ A4 Avant แต่ถ้าฟังพวก Jazz เบาๆแล้วจะคล้ายกันมาก

เราคงไม่ต้องพูดถึงเครื่องเสียง Bower & Wilkins แบบที่พวก Volvo ชอบใช้นะครับ อันนั้นผมยกให้เป็นเครื่องเสียงรถยนต์สุดโปรดของผมที่มีทั้งความแน่นและมิติของเสียงระดับสุดยอดเท่าที่รถป้ายแดงโรงงานจะทำได้ ขนาด B & O ใน A4 ยังสู้ไม่ได้ BOSE ใน Q7 ก็หมดสิทธิ์ครับ

ชุดมาตรวัด ถ้าใครอยากได้ Audi Virtual Cockpit ที่เป็นจอสีทั้งดุ้น ขอเชิญไปเล่นรุ่นท้อปเหนือท้อป 45TFSI Black Edition ราคาเกือบหกล้านครับ เพราะถ้าเป็นรุ่นย่อยอื่นๆ จะใช้มาตรวัดแบบพิมพ์นิยมของ Audi ออกแบบเป็น 2 วง แล้วมีจอ Multi Information Display ขนาดปานกลางคั่นไว้ ตรงจอนี้จะแสดงตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงทั้งแบบปัจจุบัน (Real-Time) และแบบเฉลี่ยระยะสั้น (Short-term) และระยะ (Long-term) รวมทั้งแสดงระยะทางที่น้ำมันในถังยังเหลือพอให้แล่นได้ (Driving Range) แสดงตำแหน่งเกียร์ โหมดการขับขี่ที่เลือกใช้ นาฬิกา มาตรวัดระยะทางทั้งแบบ Odometer และ Trip Meter โดยทั้งหมดนี้ คุณสามารถเลือกได้โดยปุ่มหมุนขนาดเล็กบนก้านพวงมาลัยด้านซ้าย

มันให้อารมณ์ธรรมดา แต่เป็นความธรรมดาที่ดูไม่ชุ่ย อ่านค่าง่ายทั้งกลางวันและกลางคืน สายเทคโนโลยีจะชอบ Virtual Cockpit มากกว่า แต่สายขับและสายซิ่ง ถ้าคุณอยู่กับรถไปนานๆ คุณอาจจะพบว่าหน้าปัดแบบเข็มธรรมดานี่ล่ะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม ความที่หน้าปัดยกพิมพ์มาจาก A4 มา เข็มน้ำมัน และอุณหภูมิน้ำที่ขึ้นเป็นไฟดวงเล็กๆนั้นสังเกตยากมากครับ มองด้วยหางตาแทบไม่ได้เลยถ้าเป็นตอนแดดส่องย้อนจัดๆ

อย่างไรก็ตาม ลูกค้าที่เป็นตัวจริง (ไม่ใช่ลูกค้าคีย์บอร์ด) ในเซกเมนต์นี้เขาย่อมมุ่งหวังความหรูหราอลังการ น้อยคนนักที่จะเป็น Fernando Alonso มาขับ SUV พาครอบครัวเที่ยว ดังนั้นอีกไม่นาน Audi ก็ต้องขยับตามคู่แข่ง เพราะผมเชื่อว่า X5 รุ่นใหม่มา ก็ต้องเป็นจอ Full TFT เช่นเดียวกับ Mercedes-Benz GLE เจนเนอเรชั่นต่อไป

 

****รายละเอียดทางวิศวกรรมและการทดลองขับ****

สำหรับตลาดประเทศไทย Meister Technik เลือกเครื่องยนต์เข้ามาจำหน่ายทั้งสิ้น 3 แบบ

Q7 40 TFSI quattro

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบรหัส CYR Direct Injection ขนาด 2.0 ลิตร 1,984 ซีซี. พ่วงเทอร์โบ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 82.5 x 92.8 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.6 : 1 พละกำลังสูงสุด 252 แรงม้า ที่ 5,000 – 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 4,500 รอบ/นาที เป็นเครื่องยนต์แบบเดียวรหัสเดียวกันกับ Audi A4 Avant 45 TFSI

Q7 45 TDI quattro S Line

นี่คือเครื่องยนต์แบบที่อยู่ในรถทดสอบของเรา เป็นเครื่องยนต์ดีเซลรหัส CVM แบบ V6 Commonrail Direct Injection ขนาด 3.0 ลิตร 2,967 ซีซี. พ่วงเทอร์โบ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.0 x 91.4 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 16.0 : 1 พละกำลังสูงสุด 249 แรงม้า ที่ 2,910 – 4,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ที่ 1,500 – 3,000 รอบ/นาที

 

Q7 45 TFSI quattro S Line

นี่คือขุมพลังแรงม้าเยอะสุดที่เอาเข้ามาขาย เป็นเครื่องยนต์เบนซินรหัส CRE แบบ V6 Direct Injection ขนาด 3.0 ลิตร 2,995 ซีซี. พ่วง Supercharger กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 84.5 x 89.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.8 : 1 พละกำลังสูงสุด 333 แรงม้า ที่ 5,500 – 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร ที่ 2,900 – 5,300 รอบ/นาที

ระบบส่งกำลังของ Audi Q7 ทุกรุ่นที่ขายในไทย จะใช้เกียร์อัตโนมัติทอร์คคอนเวอร์เตอร์ Tiptronic 8 จังหวะ (ไม่ใช่คลัตช์คู่นะคะลูก S Tronic คลัตช์คู่อยู่ในพวก A4/A5) สำหรับรุ่น 45TDI จะมีอัตราทดเกียร์ดังนี้

เกียร์ 1……………………….. 5.000

เกียร์ 2………………………. 3.200

เกียร์ 3………………………. 2.143

เกียร์ 4………………………. 1.720

เกียร์ 5………………………..1.313

เกียร์ 6………………………..1.000

เกียร์ 7…………………………0.823

เกียร์ 8………………………… 0.640

เกียร์ถอยหลัง 3.478 : 1 อัตราทดเฟืองท้าย 3.076 : 1

คันเกียร์ของ Audi A4 เป็นแบบไฟฟ้า ไม่มีร่องสำหรับเกียร์ P แต่สามารถเข้าได้ด้วยการกดปุ่มบนหัวเกียร์ วิธีการใช้งานอาจจะก่อความสับสนกับคนที่ชินเกียร์กลไก P-R-N-D อยู่บ้างในระยะแรก (ผมก็ด้วย) เวลาอยู่ในเกียร์ P ถ้าจะถอยหลัง ก็เหยียบเบรก กดปุ่มข้างเกียร์ แล้วดันคันเกียร์ไปข้างหน้า 2 ครั้งหรือจนกว่าไฟบอกตำแหน่งเกียร์บนหน้าปัดจะโชว์ R ส่วนถ้าเข้าเกียร์เดินหน้า ก็กดปุ่มข้างเกียร์แล้วดันไปข้างหลัง

ระหว่างวิ่งอยู่ในเกียร์ D ถ้าดันเกียร์ไปข้างหลัง 1 ครั้งจะเป็นการเข้าโหมด Sport หรือถ้าดันไปข้างซ้าย ก็จะเข้าสู่โหมด Manual +/-

แล้วการลองขับของจริง ให้ผลอย่างไรบ้าง?

อัตราเร่ง

เราพอมีช่วงถนนว่างให้ลองจับเวลาดูไม่มากนัก เพราะต้องปลีกตัวออกมาจากขบวนรถคันอื่นๆเพื่อทำการทดสอบ และนั่นก็เท่ากับว่ารถ Q7 TDI ของเราจำเป็นต้องแบกน้ำหนักผม น้องอัม Aum Chontawatch และสัมภาระสำหรับนอนค้างคืน รวมแล้วน่าจะมี 230 กิโลกรัม มากกว่ามาตรฐานปกติในการทดสอบของคุณ J!MMY ไป 60 กิโลกรัม และยังเป็นช่วงกลางวันอากาศร้อน

0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ลองทำ 2 รอบในโหมดเกียร์ D ได้ 8.1-8.2 วินาที

80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

โหมดเกียร์ D ธรรมดา ใช้เวลา 6.1 วินาที// โหมด S ได้เวลา 6.1 วินาทีเท่ากัน แต่ถ้าหากเล่น S แล้วใช้ Manual Mode ดึงเกียร์ 3 มารอไว้แล้วค่อยกดคันเร่ง จะได้เวลา 5.2 – 5.4 วินาที

เครื่องยนต์ไม่ได้ติดบูสท์เร็วอย่างที่คิด อาศัยที่ว่ามีความจุ 3.0 ลิตรเป็นแบ็คอัพ ช่วงก่อน 1,600 รอบต่อนาทีจึงไม่ได้อืดอะไร แต่หลังจาก 1,600-1,700 รอบต่อนาทีเป็นต้นไป หลังจากนั้นพละกำลังจะไหลมาเทมาแบบหลอนๆ ความใหญ่และนิ่งของรถทำให้เราไม่รู้สึกเลยว่ามันแรงขนาดไหนถ้าไม่มองมาตรวัด มันไม่มีช่วงไหนที่แรงดึงดีเป็นพิเศษเพราะพลังมาเป็นช่วงกว้างหลังจากที่เทอร์โบทำงาน

ความหลอนที่ว่านี้ จะทำให้คุณสามารถไล่บี้ RX300 (RX200t) ของเพื่อนบ้านคนที่คุณหมั่นไส้ได้อย่างสบาย แล้วคุณก็ควรจะโดนผมด่าว่ารังแกเด็กไม่มีทางสู้ หรือถ้าคุณไปเจอวัยรุ่นขับ Civic 1.5 เทอร์โบแต่งสวยแต่เครื่องเดิมขับจี้ตูดมา คุณเปิดให้เขาไปก่อนแล้วแอบขับตามแบบห่างแต่ไม่เพิ่มระยะ ให้เด็กขนลุกเล่นก็ได้ แต่แน่นอนว่าถ้าหากคุณไปเจอพวก SUV แบกถ่านตัวแรงๆอย่าง XC90T8 หรือ xDrive40e 313 แรงม้า คุณจะเป็นฝ่ายโดนฉีกกระจุยแน่ถ้าเล่นบนกติกาเดียวกัน แต่ถ้า Q7 เจอกับ XC90T8 แล้วคนขับ Audi แอบดึงเกียร์ 3 รอไว้ในขณะที่ Volvo ปล่อย D กดออกจาก 80 พร้อมกัน คุณจะประหลาดใจที่ Q7 สามารถตรึงระยะเอาไว้ได้จนไม่น่าเชื่อว่านี่จำนวนม้าห่างกันเกือบ 150 ตัว

เกียร์อัตโนมัติ Tiptronic ทำงานได้ดีพอสมควรโดยเฉพาะเวลาตั้งใจบู๊ล้างผลาญ อย่างไรก็ตาม ผมยังมองว่า Steptronic 8 จังหวะของ BMW สามารถเรียนรู้สไตล์คนขับและปรับตัวตามได้ดีกว่าอยู่เล็กน้อย รวมถึงการใช้งานที่ความเร็วต่ำๆ บางทีก็มีอาการยึกยักโผล่มาบ้าง ซึ่งคงต้องทำใจเพราะเดี๋ยวนี้ Mercedes, Audi และ BMW ก็เริ่มมีอาการแบบนี้ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยเจอ ส่วน Lexus RX นั้นเกียร์ตอบสนองดีเวลาขับแบบปกติ แต่เวลาคิกดาวน์จะน่ารำคาญกว่าพวกยุโรป เพราะทั้งเกียร์และเครื่องจะร่วมมือกันพยายามหน่วง ค่อยๆปลดปล่อยพลังเหมือนกลัวเกียร์พัง

ส่วนเวลาที่เลิกบู๊ แล้วขับแบบปกติ Q7 TDI เป็นรถที่นิสัยดี เสียงเครื่องจะเหมือนดีเซลแค่ตอนเดินเบา แต่พอออกตัวไป มันจะค่อยๆแอบแปลงเสียงตัวเองไปคล้ายเครื่องเบนซิน V8 ได้อย่างน่าประหลาด คันเร่งของมันตอบสนองอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ด้วยความที่เป็นดีเซล 3.0 ลิตรแถมตัวเบา (หรือหนัก) เท่า Pajero Sport คุณจึงสามารถแตะคันเร่งเพียงเบาๆรถก็ทะยานไปอย่างมีพลัง เร่งแซงบนทางชันไปลื่นๆ ถ้ามีดอยไหนที่ Q7 TDI ขึ้นไม่ได้ ผมคงแนะนำให้เช่าเฮลิคอปเตอร์ไปดีกว่า

ช่วงล่างของ Audi Q7 เป็นแบบอิสระทั้งหน้าและหลัง (5-Link) ส่วนระบบขับเคลื่อนแบบ quattro ใน Q7 จะเป็นแบบสำหรับรถเครื่องวางตามยาว ในยามปกติจะกระจายแรงขับไปด้านหน้าและหลังในอัตราส่วน 40:60 แต่สามารถ Shift พลังขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้สูงสุด 70% และด้านหลังสูงสุด 85% ในกรณีที่ล้อคู่ใดไถลหมุนฟรี ซึ่งนี่คือจุดที่ปรับปรุงเพิ่มจากรุ่นก่อน โดยสมองกลก็จะพยายามปรับลักษณะการส่งกำลังให้นุ่มนวลชนิดที่คนขับไม่รู้ตัว

ส่วนระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า ปรับน้ำหนักตามความเร็วในการวิ่ง ตั้งอัตราทดเฟืองพวงมาลัยไว้ที่ 15.8 : 1 เท่ากับ Audi A4 Avant และระบบเบรกเป็นแบบดิสก์เบรก 4 ล้อ เบรกมือเป็นแบบไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชั่นจับเบรกไว้เองที่เกียร์ D และออกตัวได้โดยกดคันเร่ง ไว้ใช้เวลารถติดแล้วไม่อยากสับไปเกียร์ว่าง (Audi hold assist)

จากการลองขับ ผมรู้สึกแปลกใจกับช่วงล่างของ Q7 ที่เป็นสปริงเหล็กกับโช้คอัพธรรมดา ตอนแรกนึกว่าพอไม่มีช่วงล่างถุงลมแล้วจะขับไม่นุ่มหรือทรงตัวไม่ดีเท่า แต่เอาเข้าจริง ถ้าไปเทียบกับ Q7 45TFSI ที่มีช่วงล่างถุงลมแล้ว Q7 TDI จะเซ็ตมาตรงกึ่งกลางระหว่างโหมดนุ่มกับโหมดแข็งของคันที่มีถุงลม เป็นความรู้สึกที่นุ่มแต่หนักแน่นกำลังดี ไม่ใช่ช่วงล่างแบบที่คุณจะเอาไปซัดเล่นในสนามพีระ แต่ดีมากสำหรับการพาคนที่รักไปหาของอร่อยกิน พาปู่ไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล และพาตัวคุณเองนั่นแหละวิ่งทางไกลๆด้วยความเร็วสูงได้โดยไม่เหนื่อยล้า

หากเทียบแล้ว คู่แข่งที่มีลักษณะใกล้เคียงกันมากที่สุดคือ Lexus RX ซึ่งมีบุคลิก นุ่ม แน่น และหนึบแบบรถเยอรมันอย่างน่าประหลาด แม้แต่เรื่องความคล่องตัวเวลาเลี้ยวโค้งไปมา Audi กับ Lexus ก็ทำตัวคล้ายกันมาก ถือว่าน่าชื่นชมทั้งคู่ และเป็นช่วงล่างที่ผมไว้ใจพอที่จะใช้ขับไปได้รอบประเทศ ยิ่งถ้าเป็นช่วงความเร็วสูงๆจะมีความมั่นคงมากกว่า Volvo XC90 แบบคนละเรื่อง

ส่วนถ้าเทียบกับ X5 ซึ่งผมเคยขับแต่รุ่น 40e ยังไม่เคยขับรุ่น 25d ก็รู้สึกได้ว่า ถ้าปรับเป็น Comfort Mode จะยังมีอาการย้วยแบบแปลกๆ นั่งหลังแล้วเวียนหัวนิดๆ ต้องปรับเป็นโหมด Sport จะมีความแข็งกระด้างกว่า หนึบกว่านิดๆบนทางตรง แต่ถ้าเป็นโค้ง น้ำหนักของตัวรถที่เกินหน้าชาวบ้านก็จะทำให้ดูอุ้ยอ้ายกว่า Q7 อยู่ดี งานนี้ต้องชมว่า Audi ทำของให้ใช้งานได้ดี โดยไม่ต้องมีลูกเล่น

น้ำหนักของพวงมาลัย ที่ความเร็วต่ำจะมาในแนวเบาแบบให้คุณผู้หญิงขับได้ สำหรับพวกผู้ชายสายโหดอาจจะบอกว่าเบาไป แต่พอวิ่งเกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป พวงมาลัยจะเริ่มหนักขึ้นจนรู้สึกเกร็งน้อยลงเวลาขับ แม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ต้องปรับปรุง แต่ผมอยากให้พวงมาลัยมีแรงตรึงเวลาถือตรงๆมากกว่านี้สัก 20% แล้วมันจะยิ่งขับสบายกว่านี้ ไหนๆก็ใช้พวงมาลัยไฟฟ้า ที่โปรแกรมแรง Assist ด้วยคอมพิวเตอร์ น่าจะปรับได้ไม่ยาก ส่วนความไวของพวงมาลัยนั้น ดีแล้ว เลิศแล้ว อย่าไปยุ่งกับมัน ส่วนแป้นเบรกนั้น ระยะเหยียบยาวปานกลาง และมีแรงจับผ้าเบรกสัมพันธ์ดีกับความลึกในการเหยียบ แรงต้านเท้าจะไม่เยอะแบบรถยุโรปเก่าๆแล้ว

การเก็บเสียง ถือว่าทำได้ดีเมื่อเทียบกับตัวเลือกอื่นในตลาด รถจะยังคงเงียบไปจนถึง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากนั้นจะค่อยๆมีเสียงลมเข้ามาบางๆ ต้องวิ่งกันสัก 140-150 ถึงจะเริ่มรู้สึกว่าต้องเพิ่มระดับเสียงเวลาพูดกับเพื่อน คู่แข่งอย่าง Lexus กับ BMW จริงๆแล้วก็ไม่ได้แย่แค่ X5 มีจุดอ่อนที่เสียงยางเข้ามาดังมากไปนิด

อัตราสิ้นเปลือง หากพยายามขับดีๆ เลี้ยงความเร็ว 110-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนิ่งๆ จะอยู่แถวๆ 13.5 กิโลเมตรต่อลิตร มันจะไม่ประหยัดนักหรอกครับเพราะระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาบวกกับขนาดที่ใหญ่และเครื่องที่โต 3.0 ลิตร ถ้าดีกว่านั้นก็แปลกแล้ว และถ้าขับแบบกดคันเร่งเอาสนุก ค่าที่ได้ก็จะลดลงมาเรื่อยๆ ผมขับแบบกดวัดอัตราเร่งบ้าง วิ่งแช่ 120 บ้าง กดไป 150 บ้าง แล้วก็มาจอดนิ่งถ่ายรูปอีกราว 15-20 นาที ตัวเลขจาก 13.5 ก็ลดลงมาเหลือ 9.8 กิโลเมตรต่อลิตร ยิ่งใช้ม้า 249 ตัวบ่อย จะยิ่งขยับลงไปหา 9 มากขึ้น

ฟังดูโหด แต่จะบอกว่า Lexus ที่ใช้เครื่อง 2.0 ลิตร ขับ 110 นิ่งๆตอนกลางคืนก็ยังได้ 12 กิโลเมตรต่อลิตรเลยครับ การกินระดับนี้ของ Audi ผมมองว่าไม่ได้น่าตกใจอะไร

ส่วนระบบความปลอดภัยประจำรถ ประกอบไปด้วย

  • ระบบป้องกัน Pre sense แบบพื้นฐาน (Audi Pre sense Basic – ตรวจจับเมื่อรถอาจเสียการทรงตัว ตึงเข็มขัด ปิดกระจก และกระพริบไฟฉุกเฉิน เตรียมรับอุบัติเหตุได้ ทั้งนี้ไม่ได้มีออพชั่นโทรเรียกประกันฯโดยอัตโนมัติ ลูกค้าต้องโทรเอง)
  • ระบบเบรก ABS / EBD / BA
  • ระบบควบคุมการทรงตัว ESC
  • ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR
  • เซนเซอร์กะระยะช่วยจอด ด้านหน้า – ด้านหลัง
  • กล้องมองภาพขณะถอยจอด
  • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
  • ถุงลมนิรภัยด้านข้าง
  • ม่านถุงลมนิรภัย

พิจารณาจากอุปกรณ์เหล่านี้ ใครที่เป็นแฟนสาย Safety รับรองว่าจองเลยแน่นอนครับ..ไม่ใช่จอง Audi นะ จองยี่ห้ออื่น เพราะสิ่งที่มีก็ล้วนแต่เป็นของประเภทที่หากไม่ใส่มาให้ในรถระดับนี้จะต้องมีการชุมนุมประท้วงอย่างแน่นอน อยากเบรกรถเหรอ? เบรกเอง. อยากจอดรถเหรอ? จอดเองสิ อยากปรับความเร็วเวลาใส่ Cruise Control เหรอ? เอานิ้วไปกระดกก้านเองสิ ดูเหมือน Q7 เป็นรถที่สร้างมาสำหรับคนที่ไม่ชอบให้คอมพิวเตอร์มาวุ่นวายชีวิต แต่อย่าลืมสิว่าบางส่วนที่เกี่ยวกับความปลอดภัย มีได้ ก็ดี

ในขณะที่เราบ่น Audi กันอยู่นี่ Volvo เขาบอก ลองมาดูรถผมสิครับ อะไรที่ Audi มี XC90 มีหมด แล้วแถมระบบเตือนเปลี่ยนเลน, เตือนรถในจุดบอด, เบรกอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ Cruise Control ของ Volvo ก็เป็นแบบที่สามารถปรับความเร็วตามรถคันหน้าได้โดยอัตโนมัติ รถคันหน้าหยุด ก็หยุดตาม ถ้าหยุดไม่เกินสามวิ สามารถออกตัวเคลื่อนตามเองได้เลย ลองคิดดูครับว่าถ้าเจอรถติดแบบหยุดวิกระยึกสองวิแบบทางด่วนไทย ต่อให้คุณเป็นสายขับ คุณก็จะแอบอยากย้ายไปอยู่ใน Volvo อย่างน้อยก็ช่วงนั้น

แม้ว่าเพื่อนร่วมรุ่นคันอื่นๆ ก็ไม่ได้ของเล่นเยอะเท่า Volvo แต่ผมนึกไม่ออกครับว่ามีใครที่ให้น้อยกว่า Q7 TDI อีกหรือเปล่า นี่อาจจะเป็นจุดที่ปรับได้ยากเพราะจะส่งผลทำให้ราคาเพิ่มขึ้นจากเดิม ซึ่งตอนนี้ก็พยายามทำราคาให้ใกล้เคียงรถของคู่แข่งที่ประกอบในอาเซียนมากที่สุดแล้ว การเพิ่มของ แต่ปรับราคา ก็ยังมีความเสี่ยงว่าลูกค้ากลุ่มที่ไม่อ่านโบรชัวร์ แค่เห็นราคาก็อาจจะหนีไปเลย

 

****สรุป****

****จืดด้วยรูป ขับดีแบบเยอรมัน หาทางเพิ่มออพชั่นแล้วมันจะน่าซื้อ****

สารภาพครับ

ในครั้งแรกที่ได้เห็น Audi Q7 ตัวจริง ผมคิดในใจว่า ไม่จำเป็นก็ไม่อยากขับ เพราะถึงแม้ผมจะตัวใหญ่ แต่ไม่ใช่คนที่ชอบรถ SUV ตัวโตคับซอยมาแต่ไหนแต่ไร แล้วนี่มันใครอ่ะ (มองไปที่ Q7) หน้าตานี่ไม่รู้ว่าตกลงคันไหนรุ่นใหม่ (มองไปที่ Q7 รุ่นเก่า) หรือคันไหนรุ่นเก่ากันแน่ มันดูทำให้ผมนึกถึงหนุ่มใหญ่ หน้าจืด โสด โลกส่วนตัวสูง ไม่บอกไม่แชร์เรื่องราวกับใคร แบบที่คุณมักเจอใน Tinder หรือ Facebook dating app.เป็นประจำ

แต่หลังจากที่ได้ขับ ความรู้สึกก็เปลี่ยนไป พูดได้เลยว่ามันเป็นรถคันโตที่ขับคล่องมาก ช่วงล่างและพวงมาลัยปรับมาได้ลงตัวสำหรับการให้ผู้ใหญ่โดยสาร การเดินทางด้วยความเร็วระดับหาพระแสง และให้ความมั่นใจเวลาต้องหลบหลีกอันตราย ผมแอบคิดด้วยว่าถ้าสปริงเหล็กับโช้คอัพปกติทำมาได้ดีขนาดนี้ บางทีช่วงล่าง Air suspension ก็อาจจะไม่จำเป็นขนาดนั้น

พละกำลัง สมใจอยากกับความแรงแบบหลอน กดไปนึกว่าไม่ดึง แต่เผลอๆก็ 120 แล้ว วิ่งชนะรถดีเซล SUV พรีเมียมคันอื่นแบบสบายๆ และถ้าเล่นเกียร์เองเป็น มันจะยังไล่ตามพวก X5 xDrive40e 313 แรงม้าและ XC90T8 ได้ระดับนึง แม้ว่าถ้าใส่เกียร์ D แล้วกดพร้อมกันจะยังแพ้อยู่เยอะก็ตาม เสียงเครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตรดีเซล ปรับมาได้ดี ไม่มีความสั่นสะเทือนน่ารำคาญ เสียงเครื่องเหมือนดีเซลแค่ช่วงรอบเดินเบากับคลาน นอกนั้นจะเงียบ ไม่ก็ทำตัวแบบ V8

และถ้าพูดถึงเรื่องขนาดพื้นที่ภายใน แม้ว่า Q7 TDI จะมีแค่เวอร์ชั่น 5 ที่นั่ง แต่นั่นก็ทำให้คุณได้เนื้อที่เบาะแถวสองที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆของคลาส และพื้นที่เก็บของด้านท้ายที่โตกว่าคู่แข่งอย่างชัดเจน ตัวเบาะก็มีความสบายกว่าเพื่อนร่วมชาติเยอรมัน แต่ยังมีความแข็งแบบยุโรป ไม่ได้นุ่มแบบเบาะรถญี่ปุ่น อย่างน้อยเบาะหลังก็ยังเอนได้ และมีลักษณะของเบาะที่ทำให้คนนั่งหลังเดินทางไกลได้สบายกว่า BMW X5 รุ่นเก่าโดยเฉพาะเบาะที่เอนได้ แต่ยังเป็นรอง Lexus RX300 (RX200t) อยู่นิดๆคือชนะที่พื้นที่ แต่แพ้ที่ตัวเบาะ

สิ่งที่เกี่ยวกับการขับขี่และการนั่ง Q7 45TDI ทำได้ดีแล้ว แต่เมื่อคุณเริ่มสำรวจรายละเอียดและอุปกรณ์ต่างๆ ก็จะพบจุดอ่อน ความที่ Meister Technik ผู้แทนจำหน่ายต้องการทำราคาแข่งกับ SUV พรีเมียมประกอบในประเทศ หากติดตั้งอุปกรณ์เท่ากันแล้วราคาก็จะพุ่งไปไกลมาก สเป็คของ Q7 45TDI จึงดูเหมือนลอกมาจากรถพรีเมียมซีดานขนาดเล็กรุ่นย่อยล่างๆ ไม่มีระบบนำทาง ไม่มีลูกเล่นทางด้านเรดาร์ เช่นพวกระบบหยุดรถอัตโนมัติ ระบบ Cruise Control แบบปรับความเร็วเองได้ ไม่มีระบบถอยจอดอัตโนมัติ ระบบเตือนรถเลนข้าง ไม่มีหลังคา Panoramic

แม้จะเข้าใจว่า Audi เสียเปรียบจากภาษีนำเข้า แต่ก็ต้องคิดตามมุมของผู้บริโภค ว่าเขาจ่ายเงินจำนวนเท่ากัน คู่แข่งให้อะไรบ้าง แล้ว Q7 มีอะไรบ้าง ลองนึกภาพว่าเอาลูกค้ามาเดินดูรอบรถ Q7 TDI ราคา 4,799,000 บาท จอดข้างๆ XC90T8 Inscription ที่ราคาถูกกว่ากัน 109,000 บาท แล้วมาเจอระบบในรถที่มากมายก่ายกอง จอกลางอันเบ้อเริ่ม หน้าปัด Full TFT เครื่องเสียงและวัสดุภายในเต็มพิกัด ผมว่าลูกค้าส่วนหนึ่งก็ต้องมีลังเลบ้าง ส่วน Lexus RX300 F-Sport นั้นราคาแพงกว่า Audi ไปหลายแสน แต่หน้าตาของรถ ดึงดูดคนมากกว่า และมีของเล่นติดรถเยอะกว่า และมีรุ่นย่อยตามระดับราคาให้เลือก

แล้วลูกค้าที่ซื้อรถเหล่านี้จริงๆ บางทีก็ไม่ใช่คนยึดติดกับเรื่องราวทางเทคนิค ดังนั้น คนขาย Q7 ก็มีเรื่องให้คุยแค่เรื่องช่วงล่างการขับขี่ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ นั่นแปลว่าจะมีแต่มนุษย์นักขับที่ไม่สนเรื่องอุปกรณ์และไม่ชอบรถเสียบปลั๊กเท่านั้นที่จะยอมจ่าย 4.799 ล้านแลก Q7 45TDI

ถ้าอ่านตามที่เขียนมา คุณก็คงทราบแล้วว่า หากคุณกำลังมองรถรุ่นอื่นประกอบการตัดสินใจโดยเทียบกับ Q7 ในงบประมาณ 5 ล้าน Volvo XC90 คือคู่แข่งที่ดูน่ากลัวที่สุด เพราะความใหม่สดของรถยังอยู่ ราคาตั้งแต่ประกอบมาเลย์มานี่ก็น่ากลัว รุ่น T8 Inscription ออพชั่นเต็มยังถูกกว่า Q7 45TDI อัตราเร่งทางตรงก็แรงน่ากลัว ช่วงล่างก็น่ากลัวถ้าวิ่งเร็วกว่าปกติ ไม่สามารถโจมตีโค้งหรือมุดได้มันส์ๆแบบ Q7 หรือ Lexus

Lexus ล่ะ? แม้อุปกรณ์จะไม่ครบครันเท่า Volvo แต่ RX300 ก็มีรุ่นย่อยให้เลือกได้เยอะตามระดับราคา รูปทรงเพรียมลมแต่ภายในกลับไม่ได้แคบอย่างที่คิด ความสบายของเบาะก็ดี ช่วงล่างนี่ฆ่ารถยุโรปได้สบาย แต่ถ้าคุณอยากได้ขับเคลื่อนสี่ล้อ คุณจะมีทางเลือกแค่รุ่น F Sport ซึ่งก็ราคาทะลุ 5 ล้าน ส่วนรุ่นล่างๆอย่าง Luxury ราคาถูกจริงแต่อุปกรณ์ติดรถก็พอๆกับ Audi นั่นล่ะครับ อยู่ที่รสนิยมเจ้าของว่าชอบทรวดทรงของใคร

ส่วน X5 นั้นป่านนี้คงเหลือแต่รถที่ยังขายไม่ออก เพราะว่ารุ่นใหม่ G05 จะเปิดตัวในงาน Motor Expo ปลายปีนี้แล้ว แต่ถ้าใครยังสนใจ ก็ลองสอบถามส่วนลดซึ่งน่าจะเยอะจนคุณทำใจกับความเก่าของรถได้ รุ่น xDrive40e มีราคาใกล้เคียง Q7 แต่ได้พลัง 313 แรงม้าทำให้มีอัตราเร่งรุนแรงกว่า ช่วงล่างสามารถปรับได้ แต่อารมณ์ที่ออกมาคือแข็งกระด้างแต่หนึบ หรืออ่อน แต่วิ่งทางไกลแล้วย้วยไปนิด ไม่ได้เป็นกลางลงตัวคุมบอดี้ดีแบบสปริงธรรมดาของ Audi ส่วนภายในกับอุปกรณ์ BMW ดูมีลูกเล่นดีกว่า Q7

บทสรุปของเราก็คงมีเท่านี้..แต่

สำหรับลูกค้าอีกกลุ่มที่ตั้งมั่นว่าต้องการปักใจกับ Q7 แต่ไม่รู้ว่าจะเลือกรุ่นไหนดี ผมพอมีคำตอบให้เพราะได้ลองขับมาแล้ว 3 รุ่น เหลือแค่รุ่นท้อป โคตรท้อปแบบ 45TFSI Black Edition ที่ใส่ของเล่นหรู หน้าปัด Virtual Cockpit เบาะ Nappa และอื่นๆอีกมากจนราคาทะลุไป 5,999,000 บาทเท่านั้นที่ยังไม่ได้ลอง

Q7 40TFSI quattro – มันก็คือการเอารุ่น 45 TDI มา เอาชุดแต่ง S Line ออก เปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นเบนซิน 2.0 ลิตร 252 แรงม้า ทางด้านอุปกรณ์ติดรถนั้นไม่ได้มีความต่างอะไรเลย บางคันได้ล้ออัลลอย 20 นิ้ว 5 แฉก แต่บางคันก็มาลายเดียวกับ TDI ซึ่งผมยังไม่ทราบว่าเขาแยกปีการจัดออพชั่นกันอย่างไร สมรรถนะของรถ ดูแรงม้าแล้วเหมือนจะดี แต่วิ่งจริงโดน 45 TDI สวนยับ 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมงตอนผมนั่งคนเดียวยังได้ 6.8 วินาที ช้ากว่า TDI ที่นั่งสองคนยังได้ 6.1 สบายๆ

อาการของช่วงล่าง คล้ายกับรุ่น TDI แต่ส่วนหน้าของรถและพวงมาลัยเหมือนจะเบากว่ากันนิดๆ แบบถ้าขับคันต่อคันจะรู้สึกได้ ช่วงล่างหน้าของ TDI เก็บอาการแรงสะเทือนได้ดีกว่าอยู่เล็กน้อย แต่เวลาขับแล้วเลี้ยวโค้งซ้าย/ขวา การเกาะถนนกลับไม่ได้ต่างกันมากอย่างที่คิด

ด้วยราคา 4,499,000 บาท หากเทียบกับตัว TDI ผมพูดได้เลยว่า ทางเดียวที่รุ่น 40TFSI จะคุ้มกว่าก็คือ คุณไม่ได้สนเรื่องสมรรถนะหรือเครื่องยนต์ คุณสนแต่บอดี้ว่าต้องเป็น Q7 และต้องการเซฟเงินส่วนที่ไม่จำเป็น

Q7 45TFSI quattro S Line – ราคาแพงกว่ารุ่น 45 TDI แค่ 200,000 บาท แต่สิ่งที่ได้เพิ่มมาก็น่าสน เพราะมีช่วงล่างแบบ Air suspension ที่ปรับความแข็ง/อ่อน และปรับความสูงของรถได้ ซึ่งถ้าหากปรับช่วงล่างเป็น Dynamic และปรับความสูงของรถให้เตี้ยที่สุด มันจะยิ่งคล่องและหนึบและสนุกกว่า 45 TDI ไปอีก เจอวงเวียนเล็กๆ ลองใส่เข้าตามไลน์ครึ่งวงกลมแล้วกระทืบคันเร่งออก รถจะประพฤติราวกับมันเป็นเรือยอร์ชที่คิดว่าตัวเองเป็นสปีดโบ้ต

ของที่คุณจะได้เพิ่มมา ก็ยังมีเครื่องปรับอากาศ ที่ขยายจาก 2 เป็น 4 Zone และล้ออัลลอยเพิ่มขนาดเป็น 21 นิ้ว และทีเด็ดสำคัญคือเครื่องยนต์ V6 3.0 เบนซินซูเปอร์ชาร์จ 333 แรงม้า ซึ่งเปลี่ยนจากโทนฮัมต่ำแบบ V8 ของตัวดีเซล มาเป็นเสียงกรีดหวานๆแหลมกำลังดี อัตราเร่งตอนออกตัวกับ 0-100 ไม่ต่างกับตัวดีเซลมากนัก แต่ 80-120 ทำได้ 5.2 วินาทีโดยที่ไม่ต้องใส่เกียร์ D แถมปลายยังไหลดีกว่า มีคาแร็คเตอร์ซิ่งมากกว่าชัดเจน

จุดอ่อนของเจ้า 45TFSI S Line นี้จะอยู่ที่ช่วงล่างในโหมด Comfort ซึ่งมันจะนุ่มกว่าและย้วยกว่าช่วงล่างของ 45 TDI มันก็สบายดีอยู่หรอกในเมืองน่ะ แต่พอวิ่งถนนแบบพระราม 2 – ธนบุรีปากท่อ คนนั่งหลังจะเวียนหัว ในขณะที่รุ่น TDI ช่วงล่างธรรมดากลับคุมบอดี้ได้ดีกว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากการที่ราคามันต่างจากรุ่น TDI แค่นิดเดียว ดูเหมือนว่ารถคันที่จะแย่งชิงลูกค้าจาก TDIได้มากที่สุด ไม่ใช่เจ้าอื่นหรอก แต่เป็นเจ้า 45 TFSI เองเนี่ยล่ะ

ท้ายสุดนี้ หากคุณผู้อ่านจะถามผมถึงอนาคตของ Audi ในไทยภายใต้การนำของ Meister Technik ผมคงให้การรับประกันอะไรไม่ได้หรอกครับ เพราะไม่ใช่ PR ของเขา แต่ผมจะลองให้คุณย้อนดูสิ่งที่เป็นมาตลอดในช่วง 1 ปีกว่าๆหลังการเปิดตัวบริษัท ซึ่งในด้านนโยบาย การคิด และการดำเนินงานของทีม Audi Thailand นั้น พวกเขาทำงานเหมือนคนหนุ่ม พลังเยอะ ที่เพิ่งเริ่มงานวันแรก แต่มันสมองและประสบการณ์หาตัวจับยาก ดังนั้นจึงพบว่าแบรนด์มีความเปลี่ยนแปลง มีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่อย่างสม่ำเสมอ และมีความพยายามที่จะขยาย Network ผู้แทนจำหน่าย ซึ่งศูนย์ใหญ่ที่เลียบด่วน ก็ดีเลย์ไปบ้าง แต่สาขาอื่นก็ทยอยเปิดอย่างต่อเนื่อง อย่างวันนี้ ลูกค้าที่ภูเก็ต มีโชว์รูมกับเขาไปเรียบร้อยแล้ว ลูกค้าเดินเข้าไปดูได้เลย แค่ยังไม่เปิดศูนย์อย่างเป็นทางการ

แนวคิดการทำธุรกิจเท่าที่เห็น ค่ายนี้ ทำตัวเหมือนเด็กวัยรุ่นที่กำลังมาจีบลูกสาวคุณ แต่มาในลักษณะที่ไม่ซุย มีการลงทุน มีการลงหลักปักฐาน มีการพัฒนาตัวเองให้เห็นว่าเขาพร้อมที่จะบริการลูกๆของคุณไปนานเท่านาน อย่างไรก็ตาม ปัญหาตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่ระดับผู้บริหาร แต่อยู่กับปัญหาในระดับ Customer contact หรือเรื่องเล็กๆน้อยๆแต่ลูกค้ามีสิทธิ์ที่จะไม่พอใจ เช่นบางท่าน ก็เดินมาคุยดุ๋งๆกับผมที่ Rest Area ลูกค้าสองท่าน ใช้ TT ทั้งสองท่าน ขับป้ายแดงมา 1 ไตรมาสแล้วทั้งสองท่านจนเริ่มเซ็ง

ผมคิดว่าในช่วงที่ลูกค้ายังไม่มากแบบนี้ เป็นโอกาสอันดีในการสร้างความประทับใจให้ลูกค้า และแก้ปัญหาแบบรวดเร็ว ชนิดที่ต้องเหนือชั้นกว่าคู่แข่งเท่านั้น ถึงจะทำให้มี Audi คันที่สอง และคันที่สามของบ้านตามมา ก็คงต้องฝากผู้บริหารให้สร้าง Contact Point ดีๆ ที่สามารถให้ความเห็นของลูกค้าไปถึงผู้บริหาร หรือหน่วยงานกำกับคุณภาพการบริการได้ทันที มันอาจจะไม่ใช่รูปแบบการสื่อสารที่เราจะได้เห็นภาษาหวานๆจากลูกค้า แต่ก็คงต้องทำใจ

เพราะสิ่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นยารักษากาย น้อยนักครับที่จะหวานและน่ากิน แต่ถึงมันขม แต่กินแล้วแก้ปัญหาให้เรา..ก็ดี เข็มฉีดยา แทงแล้วเลือดมันก็ไหล แต่ถ้ามันให้ภูมิคุ้มกันเราได้..ก็ดี ลองพิจารณาดูครับ เพื่ออนาคตที่ดีของทั้งแบรนด์และกับลูกค้าที่ไม่ห่วงที่จะใช้สี่ห่วง

—-/////—-

ขอขอบคุณ / Special Thanks to : Meister Technik (Audi Thailand) เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ

Pan Paitoonpong สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความเป็นของผู้เขียน และ ภาพถ่ายโดย Moo Teerapat

ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมด ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต // เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com 22 พฤศจิกายน 2018

Copyright (c) 2018 Text and Pictures. Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.First publish in www.Headlightmag.com 22 November 2018

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!