การเขียนบทความถึง Mustang ในครั้งนี้ ทำให้ผมได้มีเวลาย้อนกลับไปคิดถึงสมัยที่เรียนมัธยมปลาย ที่เมือง Wichita รัฐ Kansas สหรัฐอเมริกา ผมเป็นเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยนที่คนอื่นเขารู้จักกันว่า หน้าเหมือนเอเชียอพยพ แต่กลับชอบสุงสิงอยู่กับพวกแกงค์รถอเมริกัน V8 Supremacist เป็นที่น่าหมั่นไส้แก่เพื่อนร่วมเผ่ามองโกลอยด์เป็นยิ่งนัก ทั้งๆที่วันมาเรียนวันแรก ผมโดนฝรั่งต้อนรับด้วยการเบิร์นยางใส่
วันดีคืนดี เมื่อผมนั่งอยู่ริมถนนหน้าโรงเรียน Mustang Gen. 3 บอดี้คูเป้สีแดงคันนึงเลี้ยวมาจากด้านลานจอดรถ แล้วในขณะเดียวกันก็มี Mustang..Gen. 3 เหมือนกันแต่เป็นบอดี้ 3 ประตู Fastback สีขาว ขับสวนมาจากอีกด้าน แต่แทนที่จะขับผ่านไปดีๆ ม้าป่าอเมริกันทั้ง 2 คันกลับขับสวนกันอย่างช้าๆ คนขับต่างมองหน้ากันและกันแล้วก็ยิ้มที่มุมปาก
แล้วหนึ่งในนั้นก็เริ่มเบิ้ลเครื่องใส่ อีกคันหนึ่งก็เบิ้ลตอบ เบิ้ลใส่กันไปมา ฟังดูเหมือนแมวข้างบ้านทะเลาะกัน เพียงแต่เสียงคำรามของ V8 นั้นสนั่นประสาทกว่าแมวหลายร้อยเท่า พวกเขาเบิ้ลคันเร่งกระหน่ำใส่กันอยู่นานนับสิบวินาทีไม่ยอมไปไหน สำหรับ V8 Supremacist มันคือการร่วมกันบรรเลงบทเพลงที่ไพเราะ แต่สำหรับคนอื่นๆ มันก็แค่พวกก่อมลพิษทางเสียงที่สมควรถูกจับยัดห้องน้ำเคลื่อนที่แล้วจุดไฟเผา
จนท้ายสุด ก็มีเสียงเบิ้ลเครื่องบรื้น! แทรกเข้ามาจากรถอีกคัน แล้วก็มีเสียงหวอรถตำรวจก็ดังขึ้นสั้นๆ หวูบวู๊บ! แล้วนายตำรวจตัวเท่าไดโนเสาร์ใน Ford Crown Victoria ก็ขับเข้ามาด้านหลังรถสีขาว ก่อนจะพูดผ่านโทรโข่ง บอกว่า “เงียบๆกันไปซะ ไม่ก็ไปเบิ้ลต่อกันหน้าบ้านแม่พวกเอ็งดิ”
คงไม่มีใครอยากเล่นกับมือกฎหมายนักหรอก ในเมื่อรถคันนั้นเป็นท่านนายอำเภอ (Sheriff) และใต้กระโปรง Crown Vic คันนั้นเป็นเครื่อง V8 ของ Lincoln Navigator + ฝาสูบ Cobra 32V และซูเปอร์ชาร์จ ผมรู้จักท่านนายอำเภอเพราะลูกชายของท่านมาจีบพี่สาวฝรั่งของผมอยู่ และแน่นอนว่ารถในวันพักผ่อนของท่านคือ Ford Mustang Gen 3 เหมือนกับไอ้เบื๊อกสองคนที่เบิ้ลเครื่องนั่นแหละ
ในฐานะที่เคยเป็นวัยรุ่น (เมื่อชาติเศษๆมาแล้ว) ผมเข้าใจพฤติกรรมของพวกเด็กวัยละอ่อนที่ได้ขับของแรงๆ ไม่ใช่ว่าอันธพาล แต่อยากให้เสียงของรถเป็นตัวแสดงออกถึงความเกรียงไกรของตัวเอง ..และในฐานะที่ปัจจุบันหัวหงอกแล้ว ผมก็เข้าใจท่านนายอำเภอที่ยังมีความแรงอยู่ในหัวใจ แต่หน้าที่และวัยบังคับให้เขาต้องรู้จักการรักษาระเบียบตามหน้าที่ตัวเอง แม้จะมาในแบบที่กวนนิดๆ
แต่คุณจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นคนไหน วัยไหน อยู่ด้านไหนของกฎหมาย สิ่งที่ฝังหัวอเมริกันผู้รักความแรง ก็คือ Ford Mustang และสำหรับคนอื่นๆ ความรักที่มีต่อ Mustang มาในหลายรูปแบบ อย่าแปลกใจถ้าคุณไปอเมริกาแล้วพบว่าบางบ้านมี Mustang เจนเนอเรชั่นที่ 1 อายุ 50 ปีที่ยังวิ่งได้เป็นปกติและถูกบำรุงรักษาให้มีสภาพดีเยี่ยม และอย่าแปลกใจเช่นกันถ้าคุณพบเห็นเด็กสาววัยทีน หน้าตกกระ ยืนโอเวอร์ฮอลเครื่อง V8 ของ Mustang อยู่ในโรงรถกับพ่อหรือปู่ของหล่อน นี่คือหนึ่งในรถที่สร้างวัฒนธรรมคลั่งไคล้รถชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์อเมริกา
โดยปกติ เมื่อมีรถสักรุ่นที่สามารถสร้างอิทธิพลต่อจิตใจคนได้มากขนาดนี้ รถรุ่นนั้นก็มักจะเป็นซูเปอร์คาร์หรือรถแข่งที่มีรูปตามโปสเตอร์บนฝาผนังห้องเด็กหนุ่มวัย 12-14 ปี แต่สำหรับ Mustang มันเป็นรถของสามัญชน ราคาถูก เอื้อมถึง หากจะเทียบความรู้สึกกับคนสมัยนั้น ก็คงเหมือนสิ่งที่พวกเรามองในรถอย่าง Toyota 86 หรือ Audi TT แต่มาในราคาของ Honda Civic
Lee Iacocca ซึ่งเป็นผู้บริหารนักขายและนักการตลาดตัวยงของ Ford ในสมัยนั้น มองเห็นตลาดกลุ่มใหม่ที่กำลังจะเกิดในยุค Baby Boomer เขามองไปบนถนนแล้วก็คิดว่า “ประเทศนี้นี่มันมีแต่รถคันใหญ่บ้านบึ้ม ไอ้รถที่เล็กลงมาหน่อยก็ดูจะธรรมดา ขาดเสน่ห์ที่ทำให้คนอยากซื้อ ทำไมเราไม่ทำรถที่มันทั้งสวย ขับสนุก คล่อง แล้วก็ราคาถูกมาขายวะ”
Lee จึงนัด Hal Sperlich (บอสฝ่าย Product Planning) และวิศวกรกับผู้บริหารที่ไว้ใจได้ ไปแอบประชุมลับกันที่โรงแรม Fairlane Inn เป็นประจำ แล้วคิดหาวิธีสร้างรถรุ่นใหม่ออกมา เขาตัดสินใจที่จะไม่บอกเรื่องนี้กับบอส Henry Ford II เพราะรู้ว่าในช่วงนี้ท่านขี้เหนียวเป็นพิเศษและไม่อนุมัติเงินให้โครงการไหนง่ายๆแน่หลังจากขาดทุนมหาศาลไปกับรถปากหวออย่าง Edsel
ในที่สุดงานของทีม Lee และ Hal ก็ตกผลึกเป็น Ford Cougar ซึงมีสัญลักษณ์หน้ารถเป็นเสือ (แต่ดูแล้วเหมือนแมวตกใจมากกว่า) เป็นรถคูเป้สองประตูหลังคาแข็งและเปิดประทุน แล้วก็หาทางทำรถให้ราคาถูกด้วยการเอา Ford Falcon ซึ่งบ้านรถบ้านจานข้าวปลาทูของ Ford ที่ราคาถูกที่สุดในสมัยนั้นมาแกะเอาโครงสร้างไปใช้ แต่ทั้งนี้ก็มีการปรับระยะฐานล้อ ระยะแทร็คล้อ และเชื่อมตัวถังเพิ่มให้ทนต่อการขับซิ่งมากขึ้น
ในด้านการออกแบบตัวถัง ทีมของ Lee และ Hal แอบนัดทีมออกแบบจาก 7 สตูดิโอ สร้างรถโมเดลจำลองออกมาให้ดู Lee เดินพินิจอยู่ครู่ใหญ่ แล้วก็เอาป้ายผู้ชนะไปแปะข้างรถโมเดลของ Gale Haldeman ซึ่งไม่ใช่รถที่ดูล้ำยุคที่สุด หรือสวยที่สุด แต่ Lee บอกว่า “เชื่อผม ทรงนี้ ขายดังปังแน่นอน!”
จากนั้นเมื่อโครงการใกล้เสร็จ แน่นอนว่าก็หนีไม่พ้นที่จะต้องนำโครงการไปเสนอบอสใหญ่ Henry Ford ที่สอง เพราะสมัยนั้นการทำรถออกสู่ตลาดสักคันต้องใช้เงิน 75 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทีมลับของ Lee ไม่คิดจะทำบุญให้ฟรีๆ จึงต้องบากหน้าไปบอกบอส ผู้ซึ่งกระดกเขี่ยซิการ์ทิ้งสองสามทีแล้วบอกว่า “ข้าให้ 45 ล้าน” Henry Ford II บอก “เอาไปสร้างรถของพวกเอ็งซะ ข้าจะให้ไม่มากไม่น้อยกว่านี้ ไม่พอใจก็ไม่ต้องเอา”
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม Lee กับพรรคพวกก็ดันจนโครงการสำเร็จ ในช่วงท้ายสุดก่อนเปิดตัว Lee ได้ฟังความคิดเห็นจากฝ่ายการตลาดว่า “ชื่อ Mustang แล้วมีโลโก้เป็นรูปม้า น่าจะขายได้มากกว่า” Lee เห็นชอบด้วย ..หรืออย่างน้อยนี่คือเรื่องที่มาจากปากของ Lee เอง เพราะในตำนานของ Mustang ก็มีบางคนที่บอกว่า John Najjar จากแผนกดีไซน์คิดชื่อนี้ได้ตามเครื่องบินรบ P-51 Mustang ที่เขาชื่นชอบ แต่ไม่มีข้อพิสูจน์ใดเป็นลายลักษณ์อักษร
จากนั้น เมื่อ Mustang เผยโฉมครั้งแรกที่งาน World’s Fair ปี 1964 ที่ New York ผู้คนที่ได้เห็นก็ถึงกับละลายด้วยรูปลักษณ์ของรถที่ปราดเปรียวผิดกับรถอเมริกันคันอื่น แถมพอได้ยินว่าราคาขายเริ่มต้นแค่ 2,368 ดอลลาร์ซึ่งแทบไม่ต่างอะไรกับ Ford Falcon ..ก็แห่กันจองจนแค่จากงานโชว์ที่ World’s Fair ในวันแรก พวกเขากวาดใบจองได้ 22,000 คัน แล้วพอรูป และราคาเริ่มหลุดเข้าสู่หูประชาชน (สมัยนั้นไม่มี Facebook มีแต่ใบปลิวกับโชว์ของจริง) ชาวบ้านชาวช่องก็แห่กันไปแย่งจองรถที่ดีลเลอร์จนหวิดเหยียบกันตาย ที่ New York ถึงกับต้องเรียกตำรวจจากสน. มาช่วยกันจัดระเบียบประชาชน
เพียงแค่ 3 ปีแรกของการขาย Ford Mustang สร้างยอดขายได้ทะลุ 1,300,000 คัน จากตลาดอเมริกาที่เดียว
Mustang Gen 1 ใช้ขุมพลัง Thriftpower หกสูบเรียง 2.8 ลิตร 105 แรงม้า กับ 3.3 ลิตร 120 แรงม้า มีรุ่น V8 บล็อค Windsor ให้เลือก เป็นขนาด 4.3 ลิตร 164 แรงม้า และ 4.7 ลิตร 210 แรงม้า ตบท้ายด้วย Windsor HiPo 4.7 ลิตร 271 แรงม้า มีชุดแต่งและแพ็คเกจต่างๆให้ลูกค้าเลือกมากมาย มาพร้อมกับบอดี้คูเป้ เปิดประทุน และในช่วงก่อนเปิดตัว ทีมออกแบบ ก็ “แอบ” ไม่ให้ Lee รู้..ไปสร้างต้นแบบเวอร์ชั่นหลังคาลาดแบบ Fastback เอาไว้ แล้วค่อยเอามาให้ Lee ดูในภายหลัง Lee เห็นและชอบมากจึงสั่งให้มีการผลิตด้วย
ในปี 1968 ได้มีการนำเครื่องยนต์ V8 ความจุโตอย่างบล็อค FE 6.4 ลิตร 274-330 แรงม้า และสุดเท้ากับ CobraJet 7.0 ลิตร 340 แรงม้า แรงบิด 597 นิวตันเมตร
ต่อมามีการไมเนอร์เชนจ์แบบที่ไม่น่าเรียกว่าไมเนอร์ ในปี 1969 ตัวถังมีขนาดโตขึ้น และใช้ไฟหน้าแบบ 4 ดวง บอดี้ภายนอกตั้งแต่หน้าจรดท้ายไม่เหมือนเดิมเลยแต่ไม่รู้ทำไมเรียกว่าอัปเดตแทนที่จะเรียก All-New (ตรงข้ามกับตลาดรถสมัยนี้ชะมัด) เพิ่มทางเลือกเครื่อง V8 บล็อค Cleveland ขนาด 5.8 ลิตร 250 และ 300 แรงม้า และเพิ่มสุดยอดความแรงอย่างบล็อค BOSS 7.0 ลิตร 375 แรงม้าเป็นตัวแรงสุด ก่อนที่จะอัปเดตบอดี้อีกครั้งในปี 1971 โดยขยายขนาดตัวถังโตขึ้น เปลี่ยนไฟหน้าจาก 4 เหลือ 2 ดวง กระจังหน้าเรียบขึ้นและเอาช่องดักลมด้านข้างออก
จากนั้น Mustang ก็ต้องปรับตัวตามความเป็นไปของโลก ในช่วงปี 1970 Lee Iacocca เริ่มมองเห็นว่าโลกจะต้องการรถที่ประหยัดน้ำมัน จึงสั่งให้สร้าง Mustang เจนเนอเรชั่นที่สองให้เป็นรถที่เล็กและประหยัดน้ำมันขึ้น และเริ่มเอาเครื่อง 4 สูบ 2.3 ลิตรมาใช้ในรุ่นล่าง เป็นที่มาของ Mustang II ซึงเปิดตัวก่อนเกิดวิกฤติการณ์น้ำมันปี 1973 เพียงแค่ 2 เดือน และแม้ว่าดูทรงแล้วไม่น่าจะขายได้ แต่ Mustang II กลับทำยอดขายปีแรกได้ 385,000 คันซึ่งถือว่าไม่แย่เมื่อเทียบกับ Gen 1 ที่ขายได้ 418,000 คันในปีแรก
ปี 1979 Ford เปิดตัว Mustang เจนเนอเรชั่นที่ 3 โดยพัฒนาตามข้อเรียกร้องของลูกค้าที่อยากให้รถใหญ่ขึ้น นั่งสบายขึ้น แต่ห้ามกินน้ำมันกว่าเดิม ใช้แพลทฟอร์ม Fox body ร่วมกับ Ford Fairmont และ Mercury Zephyr (ทำให้บางคนชอบเรียก Gen นี้ว่า “Fox Mustang” เครื่องยนต์ 2.8 ลิตร V6 และ 5.0 ลิตร V8 ถูกนำมาจาก Mustang II โดยมีการนำเครื่อง 3.3 ลิตร 6 สูบเรียงมาใส่ขายชั่วคราว (เพราะเครื่อง Cologne V6 ขาดสต็อค) และมีรุ่นเทอร์โบ 4 สูบ 2.3 ลิตรเปิดตัวในปี 1981 แต่ประสบปัญหาเครื่องยนต์ที่ทำให้ไฟไหม้ ก็นำกลับไปแก้และหยุดขาย ก่อนกลับมาใหม่ในปี 1983 และ 1984 กับ Mustang SVO ที่เป็นรุ่น 4 สูบ High Performance ส่วนทางฝั่ง V8 ก็มีรุ่น GT High Output
มีการปรับโฉมอีกครั้งในปี 1987 ซึ่งเปลี่ยนหน้า ท้าย และรายละเอียดของตัวรถให้ดูทันสมัยขึ้น ก่อนปิดท้ายด้วยโมเดลพิเศษ จากแผนก SVT (เป็นแผนกปรับแต่งรถสมรรถนะสูง) กับรถรุ่น Cobra และ Cobra กับเครื่องยนต์พลังสูงและชุดแต่งพิเศษเป็นการปิดท้าย
เจนเนอเรชั่นที่ 4 เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 1993 โดยใช้แพลทฟอร์ม Fox มาอัปเดตเพิ่ม (Fox-4) และเป็นครั้งแรกที่รุ่น 2 ประตูท้ายลาดถูกตัดออกจากการผลิตนับตั้งแต่ปี 1964 เครื่อง 5.0 ลิตร Pushrod ที่ใช้มานานถูกยกออก แทนที่ด้วยบล็อค Modular V8 4.6 ลิตรเพลาราวลิ้นเดี่ยวเหนือฝาสูบในรุ่น GT และรุ่นล่างใช้เครื่องยนต์ขนาด 3.8 ลิตร V6 145 แรงม้า ปี 1998 มีการไมเนอร์เชนจ์ให้ด้านหน้า ท้ายและข้างดูเหลี่ยมคมขึ้นเพื่อพยายามตามนโยบาย Ford’s New Edge Design เครื่องยนต์หลักที่ใช้ยังเหมือนเดิม แต่ปรับแรงม้าเพิ่มขึ้น รุ่น GT เพิ่มจาก 225 เป็น 260 แรงม้าเพื่อสู้กับ Camaro Z28 ที่มี 278 แรงม้า
รุ่นพิเศษอย่าง Cobra (ที่คนไทยสมัยนั้นเรียกว่าม้าหัวงู) จะใช้เครื่อง 4.6 ลิตรแต่ปรับฝาสูบเป็น 4 วาล์วต่อสูบ ทำให้มีแรงม้าถึง 320 แรงม้า และพิเศษที่สุดกับรุ่น Cobra R ที่มีหางหลัง GT-Wing และชุดแต่งพิเศษ ให้พลังถึง 390 แรงม้า มันคือรถคันที่โดน 10 ล้อเหยียบใน Fast and Furious ภาคสองนั่นแหละครับ
ต่อมาในปี 2005 ก็เปิดตัวเจนเนอเรชั่นที่ 5 ซึ่งทิ้งแพลทฟอร์ม Fox มาใช้โครงสร้างพื้นฐานใหม่ แต่ยังยึดติดกับช่วงล่างหลังแบบคานแข็งเหมือนเดิม หน้าตาเปลี่ยนไปชนิดคนละเรื่อง เพราะ Ford ต้องการชูดีไซน์ในแบบ “Retro ที่คุณจะต้องชอบ” โดยการพยายามเอาเอกลักษณ์จากเจนเนอเรชั่นแรกมาปรับสไตล์ให้ดูเป็นสมัยใหม่ เครื่องยนต์ V6 บล็อค Cologne ถูกปรับรายละเอียด เพิ่มความจุเป็น 4.0 ลิตร ให้กำลัง 210 แรงม้า และเครื่องยนต์ Modular V8 4.6 ลิตร ก็คือเครื่องจาก Gen 4 ที่นำมาปรับต่อจนได้พลัง 300 แรงม้า
พอปี 2010 ก็มีการไมเนอร์เชนจ์ให้หน้าตาคมคายยิ่งขึ้น เปลี่ยนไฟหน้าให้เรียวเล็กลง เครื่องยนต์เก่าอย่าง Cologne และ Modular 4.6L ถูกนำมาติดตั้งขายในเวอร์ชั่นนี้แค่ปีแรก ก่อนจะทยอยเปลี่ยนเป็นเครื่อง V6 Duratec 3.7 ลิตร 305 แรงม้า และ V8 Coyote 5.0 ลิตร 412 แรงม้า ส่วนรุ่นที่เป็นตำนานอันทรงพลังที่สุดอย่าง Shelby GT500 ในเจนเนอเรชั่นนี้ ใช้เครื่อง V8 5.8 ลิตรพ่วงซูเปอร์ชาร์จที่มีพลังถึง 662 แรงม้า
ธันวาคม 2013 ม้าพันธุ์สปอร์ตเจเนอเรชั่นที่ 6 ก็ถูกเผยหน้าตา และตั้งกำหนดการขายจริงเดือนกรกฎาคมปี 2014 พร้อมการฉลองครบรอบ 50 ปี มันเป็น Mustang รุ่นแรกที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำตลาดทั่วโลกอย่างแท้จริง ตามนโยบาย One Ford ซึ่งเมื่อทำรถรุ่นหนึ่งออกมาแล้วก็ต้องพยายามขายให้ได้หลายประเทศเพื่อสร้างโอกาสในการทำรายได้มากที่สุด
ด้วยความที่จะเป็น First Global Mustang ทีมวิศวกรนำโดย Dave Pericak จึงต้องพยายามควบคุมและปรับโทนรถมีการบังคับควบคุมที่ดี และต้องทำรถให้มีสไตล์ถูกใจลูกค้า Mustang สาย Hardcore มากที่สุด.. เพราะลูกค้า Mustang นั้นน่ากลัวนะครับ ในช่วงยุค 90s ตอนที่ Mustang Gen 4 กำลังพัฒนานั้น มีข่าวหลุดออกมาว่า Ford จะสร้าง Mustang รุ่นนั้นให้เป็นคูเป้ขับเคลื่อนล้อหน้า (พวกเขาชิมลางก่อนหน้านั้นแล้วโดยการทำ Ford Probe ร่วมกับ Mazda ออกมาขาย) แค่นั้นแหละ สาวกม้าลุกฮือประท้วงอย่างรุนแรง จน Ford ต้องไปขุดเอา Fox Platform มาใช้เพื่อสร้าง Mustang ให้เป็นรถขับเคลื่อนล้อหลังเหมือนเดิม
การออกแบบของ Mustang Gen 6 นั้น แรกเริ่มจะใช้ดีไซน์ที่เป็นผลงานของสตูดิโอฝั่งเยอรมนี แต่ในปี 2012 ผู้บริหาร Ford เปลี่ยนใจกระทันหัน ทำให้ต้องปรับโฉมของรถหลายส่วนให้เสร็จในเวลาอันสั้น แต่เรื่องการขับขี่นั้น แน่นอนว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกันให้ฝั่งยุโรปเข้ามาช่วยดูแลปรับปรุงให้เลิกนิสัย “ดีแค่ทางตรง” Mustang รุ่นนี้จึงเป็นรุ่นแรกที่ได้ใช้ช่วงล่างหลังแบบอิสระจากโรงงาน
และในที่สุด หลังจากที่เกือบจะทั้งโลกเขาได้ Mustang ไปขับกันหมดแล้ว ประเทศไทยก็ได้มีโอกาสต้อนรับ Mustang ที่ขายโดยผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ โดยเปิดตัวเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2018 ที่สนามแข่งรถพีระเซอร์กิตพัทยา พร้อมกับให้สื่อมวลชนและแขกพิเศษร่วมทดลองขับแบบเรียกน้ำย่อย
Ford Thailand นำ Mustang รุ่นใหม่เข้ามาให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่
- Mustang 2.3 EcoBoost Performance Pack ราคา 3,599,000 บาท
- Mustang V8 5.0 NA Performance Pack ราคา 4,799,000 บาท
นำเข้าทั้งคัน CBU จากโรงงาน Flat Rock Assembly Plant : Michigan, USA โดย Ford ประเทศไทย สามารถสั่งจองได้ที่ดีลเลอร์ Ford Mustang Authorized Dealer ทั่วประเทศทั้ง 19 แห่ง
Ford Mustang 2.3 EcoBoost Performance Pack
- ยาว x กว้าง x สูง : 4,788 x 1,915 x 1,379 มิลลิเมตร ขนาดตัวถังยาว 4,788 มิลลิเมตร กว้าง 1,915 มิลลิเมตร สูง 1,379 มิลลิเมตร ความยาวระยะฐานล้อ 2,720 มิลลิเมตร
- น้ำหนักตัวถัง (คำนวณกลับจากข้อมูลของอเมริกา lbs -> kg) ประมาณ 1,620 กิโลกรัม
เอกลักษณ์ภายนอกของรุ่น 2.3 EcoBoost หากมองจากด้านหน้าตรงๆจะดูเหมือนกับรุ่น GT แต่ด้านข้างจะเห็นล้ออัลลอยลาย 7 ก้านคู่สีดำ ขนาด 19 นิ้ว กว้าง 9.0 นิ้ว ใช้ยาง Pirelli P-Zero ขนาด 255/40 เท่ากันหมดทั้ง 4 ล้อ ไม่มีสัญลักษณ์ใดๆบนแก้มหน้ารถ และไม่มีสปอยเลอร์หลัง ท่อไอเสียอย่างออก 2 ข้าง ข้างละ 1 ท่อ
Ford Mustang 5.0 GT V8 Performance Pack
- ยาว x กว้าง x สูง : 4,788 x 1,915 x 1,379 มิลลิเมตร ขนาดตัวถังยาว 4,788 มิลลิเมตร กว้าง 1,915 มิลลิเมตร สูง 1,379 มิลลิเมตร ความยาวระยะฐานล้อ 2,720 มิลลิเมตร
- น้ำหนักตัวถัง (คำนวณกลับจากข้อมูลของอเมริกา lbs -> kg) ประมาณ 1,720 กิโลกรัม
สิ่งที่เพิ่มมาจากรุ่น 2.3 ลิตร เมื่อมองจากภายนอก ก็คือล้ออัลลอยลาย 10 ก้านคู่ ด้านหน้าใช้ล้อขนาด 19 นิ้ว กว้าง 9.0 นิ้ว หุ้มด้วยยาง Michelin Pilot Sport 4S ขนาด 255/40 ส่วนด้านหลังจะใช้ล้อขนาด 19 นิ้วกว้าง 9.5 นิ้วและเพิ่มความกว้างของยางเป็น 275/40 นอกจากนี้จะมีโลโก้ 5.0 บนแก้มหน้าของรถ มีสปอยเลอร์หลัง โลโก้ม้าด้านท้ายรถจะเปลี่ยนเป็นอักษร GT และมีท่อไอเสียแยกออก 2 ข้าง ข้างละ 2 ท่อ แถมยังสามารถปรับความดังของท่อโดยผ่านระบบ Active Valve Exhaust System ที่ประกอบด้วยโหมด Quiet, Normal, Sport และ Track
จุดที่น่ารักสุดๆสำหรับท่อไอเสียระบบ AVES นี้คือ คุณสามารถใช้หน้าจอของรถในการตั้งเวลาได้ว่าจะให้รถสตาร์ทแบบท่อเงียบในช่วงเวลากี่โมงกี่ยามบ้าง เช่นสมมติคุณต้องตื่นไปทำงานตีห้า แล้วไม่อยากปลุกเพื่อนบ้าน ก็สามารถตั้งค่าให้รถสตาร์ทด้วยโหมดท่อเงียบในช่วงเวลาที่คุณต้องการได้
นอกจากนี้ ถ้าหากไม่ถูกใจล้อลาย Performance Pack ที่มีมาให้ คุณลูกค้าก็สามารถสั่งล้อทำสีเงินธรรมดา หรือไม่ก็เลือกล้ออัลลอยลาย 5 ก้านคู่ที่เป็นแบบ Forge น้ำหนักเบาได้อย่างในภาพข้างบนนี้ก็ได้ แต่ต้องสั่งพิเศษ จ่ายเงินเพิ่มนะครับ
เมื่อเปิดประตูเข้ามาดูภายในรถ ทั้งรุ่น 2.3 และ 5.0 ลิตรจะมีบรรยากาศโดยรวมที่เกือบเหมือนกัน เบาะคู่หน้าเป็นแบบปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง แต่..มันจะปรับไฟฟ้าเฉพาะที่ฐานรองนั่งนะครับ คือสามารถปรับเลื่อนหน้า-ถอยหลัง ปรับองศาการเทหน้า-หลังและปรับความสูงได้ ส่วนการเอนพนักพิงเบาะนั้น กรุณาใช้คันโยกที่อยู่ด้านข้างเบาะแล้วเอนมันแบบที่คุณทำกับรถอีโคคาร์ทั่วไป ไม่มีระบบความจำตำแหน่งเบาะมาให้ แต่อย่างน้อยก็มีปรับดันหลังมาให้ที่ฝั่งคนขับ
แม้จะดูเหมือนน่าเสียอารมณ์สักหน่อยที่ให้การปรับไฟฟ้าไม่เต็มตัว และเบาะที่ดูเหมือนบัคเก็ตซีทนั้น พอนั่งเข้าไปจริงๆ ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้เน้นซัพพอร์ทดันข้างมากเท่าที่คิด แต่ถ้าเป็นเรื่องความสบายล่ะก็ทำได้ดีมาก เหมือนกับว่าคนอเมริกันส่วนใหญ่จะชอบเบาะนุ่มๆ เบาะของ Mustang จึงให้ความรู้สึกสบายก้นสบายหลังยิ่งกว่าซาลูนเยอรมันหรูๆเสียอีก พนักพิงศีรษะอยู่ในตำแหน่งที่ดูเหมือนจะดันหัว แต่ด้วยความที่หมอนรองมันนุ่มราวกับต้นแขนของภรรยาในช่วงกำลังตั้งครรภ์ ตำแหน่งการนั่งโดยรวมจึงออกมาสบาย แต่ยังไม่มีโอกาสได้ลองขับแบบ 2-3 ชั่วโมงดูว่านั่งๆไปแล้วจะเมื่อยหรือไม่
ส่วนการเข้าสู่เบาะหลังนั้น คุณสามารถดึงคันโยกพับเบาะหน้าได้ แต่ฐานเบาะไม่ได้เลื่อนหน้าตามไปด้วย ทำให้ต้องกดสวิตช์ไฟฟ้าเลื่อนส่วนฐานรองนั่งไปข้างหน้า ซึ่งทำให้กินเวลาเมื่อต้องเข้า/ออก แต่พอเข้าไปแล้ว มันก็นั่งสบายกว่าที่คิด คุณสามารถพาผู้โดยสารส่วนเกินที่ตัวสูงไม่เกิน 160 ซม. เดินทางไปด้วยได้ แต่ขอร้องว่าอย่าอ้วนแบบผม ไม่เช่นนั้น ลักษณะของเบาะรองนั่งที่เป็นหลุมเว้าลึกจะบีบทวารพอสมควร
ภายในของ Mustang ในเจนเนอเรชั่นที่ 6 นี้ ออกแบบโดยใช้ดีไซน์จากห้องนักบิน รวมถึงวิธีการจัดวางสวิตช์ควบคุมต่างๆ เช่นสวิตช์แบบดันขึ้น/ลงที่คอนโซลกลาง (Flick Switch) ห้องโดยสารมีสีเพียงโทนเดียวคือสีดำ ตัดกับวัสดุพลาสติกสีเงิน และโครเมียม ถ้าเป็นในยามค่ำคืนเปิดไฟจะมีแสงไฟตกแต่ง Ambient Light ปรับสีสันได้ ส่องไปที่พื้นรถและที่มือจับเปิดประตู พวงมาลัยเป็นแบบที่สามารถปรับได้ทั้งขึ้น/ลง และเข้า/ออก แต่ใช้คันโยกปรับ ไม่ได้เป็นระบบไฟฟ้า
ทั้งรุ่น 2.3 EcoBoost และ 5.0 GT มีภายในที่เหมือนกันมาก อุปกรณ์ภายในที่แตกต่างกันจริงๆ มีเพียงแค่ระบบนำทาง ซึ่งจะมีในรุ่น GT เท่านั้น
สไตล์โดยรวมของห้องโดยสาร วัสดุในหลายจุดให้สัมผัสที่เริ่มใกล้เคียงรถยุโรประดับพรีเมียมมากขึ้น (หมายถึง AMG C43 และ M2..ไม่ใช่ SL-Class หรือ Continental GT) หลายคนอาจจะบอกว่ารถซิ่งพันธุ์ยุโรปยังไงก็ดูหรูกว่า ผมก็คงไม่เถียง แต่ถ้าคุณได้สัมผัสภายในของ Mustang มาหลายๆเจนเนอเรชั่น จะทราบว่านี่ถือว่าพัฒนามากแล้วจากยุค 90s ซึ่งคุณภาพการประกอบอยู่ในระดับ Hyundai เห็นแล้วหัวเราะ
เมื่อปลดล็อคประตูและเปิดเข้ารถ ปุ่มสตาร์ทรถที่คอนโซลกลางตอนล่างจะกระพริบไฟสีแดงทันทีจนกว่าจะสตาร์ทรถ และจะกระพริบด้วยความเร็ว 30 ครั้งต่อวินาที ซึ่ง Ford บอกว่า “เร็วเท่าอัตราการเต้นของหัวใจม้าป่าขณะพัก” (กี่คนครับ..จะรู้และแคร์ว่าจะเต้นเท่าหัวใจม้าตอนพักหรือเต้นฟอร์จูนคุกกี้)
การจัดวางสวิตช์ควบคุมจะคล้าย Ford ทั่วไป บนประตูด้านคนขับจะเป็นแผงควบคุมกระจกมองข้าง และกระจกไฟฟ้า ซึ่งเป็นแบบ One-touch ทั้งสองบาน ปุ่มสำหรับล็อค/ปลดล็อคประตูจะอยู่ติดกับมือจับเปิดประตู ปุ่มหมุนเปิด/ปิดไฟหน้า/เลือกโหมดไฟหน้าอัตโนมัติ จะอยู่ที่ใต้ช่องแอร์ด้านขวา มีสวิตช์ไฟตัดหมอกหน้าหลังรวมอยู่ ส่วนปุ่มสำหรับเปิดฝาท้ายจะอยู่ใกล้กับเข่าขวาของคนขับ ก้านไฟเลี้ยวของ Mustang เวอร์ชั่นไทย จะอยู่ด้านขวาและมีปุ่มสำหรับเปิด/ปิดระบบ Lane Keeping System ส่วนก้านซ้ายมือเป็นระบบปัดน้ำฝน (มีโหมดปัดน้ำฝนอัตโนมัติ)
บนพวงมาลัย จะมีสวิตช์ควบคุมยุ่บยั่บเต็มไปหมด ก้านพวงมาลัยด้านขวาเป็นปุ่มควบคุมหน้าจอกลางบนหน้าปัดและ Voice Control ถัดลงมาเป็นปุ่มสำหรับระบบนำทางและโทรศัพท์ ส่วนก้านพวงมาลัยด้านซ้าย ใช้ควบคุมเสียงและระบบบันเทิง ในขณะทีสวิตช์สำหรับระบบ Radar Cruise Control จะอยู่ในชุดล่างของก้าน
คอนโซลกลาง เป็นที่อยู่ของหน้าจอ Multi-ขนาด 8 นิ้ว เป็นระบบความบันเทิงแบบ SYNC 3 สามารถต่อ Bluttooth, Wi-Fi รองรับ Apple CarPlay/Android Auto มีช่องใส่แผ่น CD และช่องเสียบ USB 2 ตำแหน่ง แยกปุ่มควบคุมบางส่วนจากจอมาเป็นสวิตช์กด/หมุนเผื่อวันใดถ้าจอเจ๊ง ในรุ่น 5.0 GT จะมีระบบนำทางด้วย ส่วนด้านล่างลงมา เป็นชุดควบคุมระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ Dual-zone
ส่วน Flick Switch สีเงินที่เรียงกัน 4 อัน เป็นสวิตช์สำหรับปรับโหมดการขับขี่ สวิตช์ปรับน้ำหนักพวงมาลัย สวิตช์ปิด Traction Control และปุ่มไฟฉุกเฉินซึ่งพอมาดีไซน์แบบนี้ ถ้าไม่ชินกับรถจะใช้เวลามองหาอยู่นานพอสมควร ส่วนขวาสุดเป็นปุ่มสตาร์ท ระบบเบรกมือยังเป็นแบบคันดึงยาวๆ ธรรมดา ซึ่งบางคนอาจจะชอบเบรกมือไฟฟ้าพร้อม Auto Brake Hold มากกว่า แต่ถ้าจะเอารสชาติการขับขี่ แบบคันโยกเนี่ยล่ะเวิร์กแล้ว
พอมาเปิดท้ายรถ ตอนแรกนึกว่ามีแพ็คเกจเข่งปลาทูมหาชัยปะอยู่ข้างขวา แต่พอลองมองดีๆ มันคือชุดซับวูฟเฟอร์และแอมปลิฟายเออร์ของเครื่องเสียง Shaker Pro ต่างหาก แต่อย่าเพิ่งถามนะครับเสียงดีมั้ย แหะ แหะ บอกเลยว่าไม่ได้ลอง เพราะมัวแต่ฟังเสียงเครื่องยนต์อยู่ครับ
ต่อมา..นี่คือส่วนที่ผมชอบที่สุดแล้วสำหรับภายในของ Mustang นั่นคือหน้าปัดจอ TFT ขนาด 12.4 นิ้ว ซึ่งที่ชอบ ก็เพราะว่าเราสามารถปรับวิธีการแสดงค่าได้หลายแบบ ชอบแบบธรรมดา ก็เรียงมาตรวัดกลมคู่แล้วตั้งโชว์ค่าอื่นๆไว้ตรงกลาง ขึ้นเป็นตัวหนังสือ ขึ้นเป็นมาตรวัดกลม หรือโชว์ค่าแรงดันลมยาง 4 ล้อก็ได้ หรือถ้าอยากมาแนวแปลก เอาความเร็วเป็นเข็มในวงกลม แต่ให้มาตรวัดรอบโชว์เป็น J-Bar เพื่อความชัดง่ายเวลาดูก็ได้ หรือถ้ายากจะเน้นวัดรอบเป็นแท่งขนาดใหญ่ เอาความเร็วขึ้นเป็นตัวเลขก็ได้
โดยปกติ ถ้าคุณเลือก Driving Mode เป็น Normal หรือ Snow/Wet หน้าปัดจะโชว์แบบธรรมดา ถ้าเลือกโหมด S+ จะเป็นแบบมาตรวัดรอบ J-Bar และใน Track/Drag Strip Mode จะแสดงวัดรอบเป็นแท่งขนาดใหญ่ แต่ถ้าคุณอยากใช้ Normal Mode แต่เอาหน้าปัดแบบ Track Mode ก็สามารถตั้งค่าได้อย่างที่คุณชอบได้ในเมนู Cluster Appearance
นอกจากนี้ หน้าปัดของ Mustang ยังน่ารักด้วยการดึงข้อมูลที่กล่อง ECU รู้มา แล้วให้คุณเลือกเองว่าอยากจะโชว์อะไรบ้าง ตัวอย่างเช่น
- A/F Ratio
- อุณหภูมิน้ำมันเฟืองท้าย
- อุณหภูมิที่ฝาสูบ
- แรงดันน้ำมันเครื่อง
- อุณหภูมิไอดี
- Vacuum/Boost
- Volt meter
คุณสามารถเลือกแสดงค่า 3 อย่างเพื่อให้มันโชว์เป็นมาตรวัดกลมๆเล็กๆระหว่างวัดรอบกับความเร็ว แต่ถ้าคุณกดปุ่มเลื่อนจอลงมาอีกที คราวนี้มันจะแสดงค่าได้ 5 อย่าง นี่ยังไม่นับเรื่องที่สามารถเปลี่ยนสีสันเป็นตามขอบมาตรวัดหรือเข็มเป็นโทนสีต่างๆ หรือผสมสีเอาเองตามใจชอบ แล้วยังมีฟังก์ชั่น Track Apps. ซึ่งมีระบบช่วยจับเวลาอัตราเร่ง ที่ Ford ทำมาไว้ช่วยให้เจ้าของรถรู้ว่าเวลาไปโมไปแต่งอะไรมาแล้วมันแรงขึ้นจริงหรือมโน มีระบบจับเวลารอบสนามแข่ง (GPS) เครื่องวัดแรง G และ Electronic Line Lock (คืออะไรเดี๋ยวจะบอกอีกที)
เรียกได้ว่า ทำหน้าปัดมาโดยกะไม่แบ่งตลาดให้ผู้ผลิตมิเตอร์อย่าง AutoMeter, Defi หรือพวกจอ OBD II มีที่ทำกินกันเลย!
ทีนี้คุณจะเริ่มเข้าใจ เวลาผมไปทดสอบรถบางรุ่นของ BMW หรือ Mercedes-Benz ที่อุตส่าห์ลงทุนทำหน้าปัด TFT ใหญ่ๆ มีระบบอิเล็กทรอนิกส์เยอะแยะ แต่กลับล็อคโหมดการแสดงผลให้เลือกแค่ไม่กี่แบบโดยที่ลูกค้าปรับอะไรไม่ได้ ผมว่าพวกนั้นพลาดโอกาสในการทำของให้มันคุ้มค่าต้นทุน เสียโอกาสในการเสนอลูกเล่นเพื่อทำให้รถ “ปรับเข้าหา” คนขับได้ดีที่สุด
.
*****รายละเอียดทางวิศวกรรม*****
อย่างที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้ Mustang สเป็คไทยจะมีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 แบบ
เบนซิน 2.3 EcoBoost
เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC Direct Injection Ti-VCT ขนาด 2.3 ลิตร 2,264 ซีซี. พ่วงเทอร์โบชาร์จเดี่ยวแบบ Twin-scroll กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 87.55 x 94.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 9.5 : 1 กำลังสูงสุด 300 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร ที่ 3,000 รอบ/นาที (ลดลงจากเวอร์ชั่นอเมริกา 35 นิวตันเมตร)
เบนซิน V8 5.0 NA
เครื่องยนต์เบนซิน V8 สูบ DOHC Direct Injection Ti-VCT ขนาด 5.0 ลิตร 5,038 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 93.0 x 92.7 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 12.0 : 1 กำลังสูงสุด 460 แรงม้า ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 556 นิวตันเมตร ที่ 4,600 รอบ/นาที (ลดลงจากเวอร์ชั่นอเมริกา 14 นิวตันเมตร)
เครื่อง V8 ใน Mustang Gen 6 ไมเนอร์เชนจ์นี้ เป็นเวอร์ชั่นอัปเดตของบล็อค Coyote V8 ที่ใช้อยู่ในเวอร์ชั่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ ขนาดความจุเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เปลี่ยนหัวฉีดจากแบบปกติเป็น Direct Injection ขยายขนาดพอร์ทไอดี/ไอเสีย ได้แรงม้าเพิ่มมา 25 ตัวเทียบกับเวอร์ชั่นเดิมและแรงบิดเพิ่มมาอีกหน่อย และสามารถลากยันเรดไลน์ได้ที่ 7,500 รอบต่อนาที
ถือว่าไม่เยอะเมื่อเทียบกับ M3 E92 หรือ RS4 รุ่นที่ใช้เครื่อง 4.2 V8 แต่ก็สูงอยู่ดีหากเทียบกับมาตรฐานเครื่อง V8 5.0 ลิตรรุ่นอื่นๆ Ford มีศัตรูคู่อริเป็น Chevrolet Camaro ซึ่งใช้เครื่องยนต์ V8 ที่มีความจุโตกว่ากันเกิน 1 ลิตร แต่ในเมื่อต้องการให้ได้แรงม้าเท่าๆกับคู่แข่ง จึงต้องอาศัยการจัดการ Flow เข้า/ออกที่ดีและใช้รอบเครื่องเป็นตัวช่วยเสริมปัจจัยการสร้างแรงม้าแบบนี้
อัตราทดเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ 10R80 รหัสเดียวกับ Ranger RAPTOR เป็นเกียร์ลูกใหม่ที่ทาง Ford ร่วมมือกันพัฒนากับ GM เพื่อใช้ในรถรุ่นใหม่ มีระบบสมองกลควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่สามารถคำนวณและสั่งการได้ซับซ้อนกว่าเกียร์ปกติ เช่นในบางครั้ง แทนที่จะไล่เกียร์ 1-2-3-4-5 เหมือนรถทั่วไป รถอาจจะเลือกเปลี่ยนแบบ 1-3-4-5 หรือข้ามบางจังหวะก็ได้ ถ้าสมองกลมันคำนวณแล้วว่าจังหวะเกียร์ดังกล่าวทำให้รถไปได้เร็วสุด ตัวเลขอัตราทดเกียร์มีดังนี้
- เกียร์ 1 4.696
- เกียร์ 2 2.985
- เกียร์ 3 2.146
- เกียร์ 4 1.769
- เกียร์ 5 1.520
- เกียร์ 6 1.275
- เกียร์ 7 1.000
- เกียร์ 8 0.854
- เกียร์ 9 0.689
- เกียร์ 10 0.636
- เกียร์ถอยหลัง 4.866
- อัตราทดเฟืองท้าย 3.150
นอกจากนี้ยังสามารถผลักเข้าโหมด S เพื่อให้เกียร์ทำงานในแบบสปอร์ตดุดันได้ หรือถ้าจะเล่นโหมด +/- ก็มี Paddle shift มาให้ที่พวงมาลัย แต่จะไม่มีการโยก +/- ที่คันเกียร์..ก็ดี อย่างน้อย Paddle shift ก็ใช้งานได้ถนัดกว่าปุ่ม +/- ที่หัวเกียร์อย่างใน Ranger รุ่นที่ไม่ใช่ Raptor
ช่วงล่างของ Mustang นั้น ด้านหน้าเป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบอิสระ Integral-link พร้อมเหล็กกันโคลงเช่นกัน รถที่ Ford ประเทศไทยสั่งเข้ามาขายนั้นจะได้ชุด Performance Pack Level 1 ซึ่งจะได้เฟืองท้ายแบบลิมิเต็ดสลิปมา รุ่น 2.3 ลิตรจะใช้ยาง Pirelli P Zero ในขณะที่ GT จะใช้ยาง Michelin Pilot Sport 4S สร้างสรรค์ผลงานดีมีคุณภาพ พวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า (EPAS) ปรับน้ำหนักตามความเร็วและสถานการณ์การขับขี่ พร้อมโหมดให้เลือกปรับน้ำหนักหน่วงมือพวงมาลัยได้
ระบบเบรก มีจุดแตกต่างกันระหว่างสองรุ่น โดยรุ่น 2.3 ลิตรจะได้เบรกหน้าแบบดิสก์ คาลิเปอร์ 4 Pot ลูกสูบ 46 มิลลิเมตร ใช้จานเบรกขนาด 352 มิลลิเมตร ส่วนรุ่น GT จะได้เบรกหน้าแบรนด์ Brembo 6Pot ขนาดลูกสูบ 36 มิลลิเมตร จานเบรกขยายขนาดเป็น 380 มิลลิเมตร ซึ่งเบรกหน้า Brembo นี้ก็คือส่วนหนึ่งของ Performance Pack Level 1 อย่างไรก็ตาม ทั้งสองรุ่นจะใช้เบรกหลังแบบเดียวกัน เป็นคาลิเปอร์แบบ 1 Pot ลูกสูบ 45 มิลลิเมตรกับจานเบรกขนาด 330 มิลลิเมตร
ส่วนที่พิเศษและได้ใจนักแข่งสาย Drag มาก น่าจะเป็นฟังก์ชั่น Electronic Line Lock ซึ่งจะแฝงอยู่ในโปรแกรม Track Apps สั่งการจากหน้าปัดรถ เมื่อเปิดใช้ระบบ Line Lock คุณก็เอาเท้าซ้ายกดเบรกจมไว้ แล้วก็เอาเท้าขวากดคันเร่งจมเช่นกัน ระบบจะตัดแรงดันน้ำมันเบรกที่ส่งไปยังล้อหลังทำให้คุณสามารถเบิร์นยางได้ง่ายโดยไม่มีแรงต้านจากเบรกหลัง
คุณสามารถกำหนดค่าได้ว่าเมื่อเบิร์นยางแล้วกดคันเร่งจม จะให้รถเร่งรอบเครื่องไปหยุดอยู่ที่เท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็น 3,000 หรือ 3,500 หรือ 4,500 โดยกำหนดค่าที่หน้าปัดใน Track Apps เช่นกัน
นอกจากนี้ Mustang ยังมีโหมดการขับขี่ต่างๆให้เลือก โดยอาศัยการปรับนิสัยการตอบสนองของคันเร่ง พวงมาลัย และระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ดังนี้
- Normal สำหรับการขับขี่ทั่วไป ระบบช่วยเหลือต่างๆทำงานปกติ
- Sport สำหรับการขับขี่ที่สนุกแต่ไม่อายุสั้น ระบบช่วยเหลือจะลดการ์ดลง ปล่อยให้คนขับสนุกได้ระดับหนึ่ง เกียร์เปลี่ยนแรง และพวงมาลัยตึงขึ้น
- Track ใช้เพื่อการขับในสนามแข่งเพราะจะปิดระบบควบคุมการทรงตัวออก คันเร่งจะไวขึ้นอีก
- Snow-Wet ใช้เวลาขับบนพื้นลื่น คันเร่งจะพยายามหน่วงเพื่อลดการกระชาก และจะพยายามใช้เกียร์สูงเท่าที่ทำได้
- Drag Strip ใช้สำหรับการขับแบบควอเตอร์ไมล์หรือทางตรง ในโหมดนี้การเปลี่ยนเกียร์จะกระชากแรงเพื่อพารถกระโดดไปข้างหน้า
- My Mode เจ้าของรถสามารถเลือกปรับค่าต่างๆของการตอบสนอง โดยแยกทีละส่วนตามใจชอบระหว่างพวงมาลัย เกียร์ คันเร่ง และระบบควบคุมการทรงตัว เช่นอยากได้พวงมาลัยหนักแบบสปอร์ตแต่คันเร่งไม่ไว เกียร์ไม่กระชากก็สามารถเซ็ตได้
ขับรอบสนามพีระฯ
ในครั้งนี้ทาง Ford Thailand ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนที่มาร่วมงานเปิดตัวในการทดลองขับรอบสนามพีระเซอร์กิต แต่ด้วยจำนวนสื่อมวลชนที่มาก ทำให้ไม่สามารถปล่อยให้ขับได้ตามใจหลายๆรอบ พวกเราจึงมีโอกาสอยู่กับรถไม่นานพอที่จะรู้ขีดจำกัดของรถ ทำได้แค่เพียงพยายามจับคาแร็คเตอร์และอาการมาเล่าให้ฟังในเบื้องต้น
..บอกไว้ก่อนว่ามีบางเรื่องที่เซอร์ไพรส์ และอาจจะไม่ใช่แง่ดีเลิศเสมอไป
อัตราเร่ง ทำในช่วงทางตรงของสนาม ซึ่งมีที่พอให้สามารถเหยียบได้ถึงประมาณ 130-140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก่อนเบรก ผมนั่งจับเวลากับผู้คุมประจำรถ ทำให้น้ำหนักรวมที่รถแบกอยู่มีประมาณ 230 กิโลกรัม เกินมาตรฐานปกติที่เราใช้ในการทดสอบตามปกติของ Headlightmag ไป 60 กิโลกรัม แถมตอนจับอัตราเร่ง อุณหภูมิรอบแทร็คนั้นปาเข้าไป 36 เซลเซียส แต่เราก็พยายามชดเชยด้วยการใช้ Driving Mode แบบ Drag Strip เอ้า..ดูคลิปฟังเสียงกันเลยก็ได้ครับ
ถ้าใครขี้เกียจเปลืองเน็ต ผมเขียนบอกให้ตรงนี้ก็ได้ครับ
0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (Driving Mode=Drag Strip)
รุ่น 2.3 EcoBoost ใช้เวลา 7.16 วินาที (จากจุดออกตัวถึงจุดเริ่มเบรก ทำความเร็วได้ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง @ 11.79 วินาที)
รุ่น 5.0 GT ใช้เวลา 5.85 วินาที (จากจุดออกตัวถึงจุดเริ่มเบรก ทำความเร็วได้ 142 กิโลเมตรต่อชั่วโมง @ 9.53 วินาที)
รุ่น 2.3 EcoBoost มีแรงบิดดีตั้งแต่ออกตัวที่รอบต่ำ จากนั้นก็ดึงยาว บางคนอาจจะตื่นเต้นกับม้า 300 ตัว แต่ต้องไม่ลืมว่า Mustang คันใหญ่และหนัก 1.6 ตัน อัตราเร่งที่ได้จึงไม่ต่างจาก BMW 430i หรือ Audi A5 45TFSI ที่มี 252 แรงม้ามากนัก BMW ตัวเบากว่า และ Audi มีระบบขับสี่ที่ทำให้ปล่อยพลังลงพื้นตอนออกตัวได้เต็มเม็ดกว่า แต่ใครจะไปรู้ หลัง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไป Mustang อาจจะขึ้นนำก็ได้
การเปลี่ยนเกียร์ของโหมด Drag Strip ในรุ่น 2.3 กระชากเหมือนรถเกียร์ธรรมดา และสุ้มเสียงของเครื่องยนต์เวลาขับก็คล้ายเครื่องยนต์ 4 สูบเทอร์โบของ BMW 430i และ MINI JCW มากจนน่างง ถือว่าเป็นเครื่อง 4 สูบที่เสียงดีใช้ได้ และถ้าคุณไม่เคยขับ V8 และไม่ได้ “อิน” กับตำนาน Mustang คุณอาจจะพบว่ามันเป็นเครื่องยนต์ที่ดีพอแล้วสำหรับการวิ่งในประเทศเรา
แต่ความคิดของคุณจะเปลี่ยน…ทันทีที่ได้ลองรุ่น GT พลัง V8 5.0 ลิตรกำลังอัดสูงไร้เทอร์โบ
เมื่อเหยียบคันเร่ง GT จะพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วตามสไตล์รถเครื่องโต และในขณะที่ V8 อเมริกันสมัยก่อนจะแผ่วรอบปลาย..Mustang GT จะลากรอบไปเกือบ 7,500 ได้อย่างลื่นระทึก เวลาเปลี่ยนเกียร์ 1 ไป 2 มีอาการกระชากจนล้อฟรีมา 1 แอ๊ด แต่ในเกียร์หลังๆกลับเปลี่ยนไม่กระชากเท่ารุ่น EcoBoost ..มันอาจจะถือว่าเครื่องมันแรงอยู่แล้วไม่ต้องมาเล่นละครดราม่าอะไรเยอะแยะก็เป็นได้
ที่สำคัญคือเสียง..ทีมวิศวกรพยายามมาตลอดในการปรุงแต่งคาแร็คเตอร์เสียงจากเครื่อง 4 วาล์วต่อสูบให้ดุและแผดกำลังดีในแบบที่แฟน Mustang พันธุ์แท้เครื่อง Pushrod จะยอมรับ โหดร้าย แต่ไม่เถื่อนเกินไป เป็นผู้ใหญ่แต่ยังดูมีความห้าว การแสดงออกของ Mustang GT ที่สิ่งที่ทำให้คุณรู้ว่าทำไมโลกนี้จึงยังมีคนที่หลงรักเครื่อง V8 และปฏิเสธที่จะใช้เครื่องเทอร์โบความจุเล็กๆ 4 สูบ
สำหรับซีกของการทดสอบ เป็น Handling Course ในรูปแบบต่างๆซึ่งประกอบไปด้วยการเข้าโค้งความเร็วปานกลาง การวิ่งสลาลอม การเข้าโค้งกว้าง ตามด้วยการหักเข้าโค้ง S ซึ่งดูเหมือน Instructor จะถูกกำชับมาไม่ให้สื่อมวลชนปล่อยฝีมือกันมากเกินไป เลยทำให้รู้สึกกร่อยไปนิด เช่นบางโค้งที่ผมดูทรงแล้วม้าป่าทั้งสองรุ่นเข้าได้ 90 ชัวร์ๆ แต่ถูกขอให้เข้าที่ 60 ผมก็เลยมีบทดื้อบ้าง เห้ยคือผมก็ไม่ใช่นักขับที่เก่งอะไรนะครับ ไอ้โค้งที่ผมเข้าได้ 90 สื่อฯมืออาชีพเก่งๆเข้าได้ 100-110 เลยด้วย
ดังนั้นก็จะขอเล่าคาแร็คเตอร์ของรถให้ฟัง เท่าที่เล่าได้ แต่ที่พิมพ์ดักทางไว้ก่อนเพราะเดี๋ยวคนอ่านจะพาลนึกว่าขับกันเร็ว
Mustang 2.3 EcoBoost 4 สูบนั้น เท่าที่จับอาการดู ผมรู้สึกว่า Ford ยังเซ็ตช่วงล่างตัวนี้มาไม่ดุเต็มขั้นนัก ราวกับพวกเขาทราบดีว่าคนที่ซื้อ Mustang แล้วไม่ซื้อ V8 มันจะมีแค่ 2 พวก คือพวกที่ไม่ได้ขับเร็ว หรือพวกที่ไปโมฯต่อกันสุดๆมาไล่ฆ่า V8 ดังนั้นความนุ่มนวลและอาการยวบตัวของช่วงล่างจึงคล้ายกับรถพรีเมียมซาลูนที่ใส่ช่วงล่างสปอร์ต เช่น BMW 330e M Sport หรือ Audi A4 45TFSI มากกว่าจะเป็นรถซิ่ง 100%
เวลาตั้งใจหักพวงมาลัยแรงๆให้รถออกอาการ ตัวรถจะยวบนิดๆ แต่จะมีอาการท้ายไหลออกให้คนชอบรถขับหลังได้ปลื้ม ส่วนการสลาลอมนั้น Instructor บอกให้ใช้ความเร็ว 60 ซึ่งผมบวกไปเป็น 70 ก็ยังไม่มีปัญหาอะไร ที่ชอบมากคือการตอบสนองของพวงมาลัย มีน้ำหนักหน่วงมือค่อนข้างมากคล้ายพวงมาลัยไฮดรอลิก และตั้งอัตราทดเฟืองมาไวกำลังสวยสำหรับการขับบนสนาม ส่วนการบาลานซ์ตัวรถในภาพรวม ผมกล้าพูดว่าลืม Mustang รุ่นก่อนๆไปได้เลย เพราะตัวปัจจุบันนี้ทำได้ใกล้เคียงรถยุโรปมากขึ้นแล้ว เพียงแต่ในบางโค้งที่ผมเคยขับ BMW 430i M Sport เข้าด้วยความเร็วเท่าๆกัน เหมือนหน้ารถของ BMW จะตอบสนองไวและคมกว่า ซึ่งอาจเกิดจากความเบาของตัวรถที่ต่างกันเกือบ 200 กิโลกรัม
ถ้า BMW มีซีรีส์ 6 หรือซีรีส์ 5 ทำเป็นบอดี้คูเป้ เครื่อง 4 สูบขายอยู่ตอนนี้ (แต่มันไม่มีน่ะสิ) Mustang เครื่องเล็กนี่ก็น่าจะมีบุคลิกใกล้เคียงกับรถคันนั้นมาก
แต่ถ้าคุณมองรถเยอรมัน 250-260 ม้าว่า “ไม่แรง หรือนิสัยเรียบร้อยเกินไป” คุณไม่ต้องไปลุ้นกับ 2.3 ให้เหนื่อยครับ กรุณาเซ็นใบจองรุ่น 5.0 GT V8 ไปอย่าได้ลังเล
เพราะนอกจากแรงดึงดิบๆ กับเสียง V8 แล้ว สิ่งหนึ่งที่น่าประหลาดใจมากคือการตอบสนองในยามหักเลี้ยว ถึงแม้ว่ารถคันนี้จะหนักกว่ารุ่น 2.3 เป็นร้อยกิโลกรัม (และส่วนมากมาจากน้ำหนักตกคานหน้า) แต่ในยามสลาลอมกลับรู้สึกว่าโช้คอัพคุมการยวบและดีดกลับของช่วงล่างได้ดีกว่ารุ่น 4 สูบเสียอีก ที่ความเร็ว 70 เท่ากัน ตัว 4 สูบนั้น อยู่ แต่ยวบและเริ่มมีอาการท้ายไหลนิดๆพอสนุก แต่ GT ไปแบบนิ่งๆเรื่อยๆ รอจนต้องเพิ่มความเร็วเป็น 80 ถึงจะได้อาการของรถที่เริ่มพยศนิดๆใกล้เคียง 4 สูบที่วิ่ง 70
หรือจะเป็นช่วงปลายโค้ง 100R แล้วเชื่อมต่อกับทางตรง? ตรงนั้นนี่ 2.3 EcoBoost จะมีอาการเหวี่ยงท้ายได้ ต้องใช้การยึกพวงมาลัยแรงนิดเพื่อให้ท้ายออกด้วยแรงเหวี่ยง แต่ตัว GT นั้นแรงเหวี่ยงเท่ากัน รถจะนิ่งอยู่กับร่องกับรอยมากกว่า แต่ถ้ากลัวว่าน่าเบื่อ..หึหึ ก็จามฮัดชุ่ยสักทีนึงแล้วเอานิ้วทีนสะกิดคันเร่ง..ไม่ต้องลึกครับ แค่ 30-40% ท้ายก็ดิ้นแล้วในการทดสอบด้วย Track Mode ที่ปิดระบบช่วยเหลืออิเล็กทรอนิกส์ทิ้ง
แต่อย่างไรก็ตาม จากที่ลองวิ่งผ่านช่วงที่พื้นแทร็คไม่เรียบ พบว่าช่วงล่างของเจ้า 5.0 GT จะแข็งสะเทือนกว่า ในขณะที่ 2.3 แข็งประมาณ 330e, 430i M Sport แบบบวกไปทางแข็งนิดๆ 5.0 GT นี่มาในระดับพอๆกับ BMW M4 และอาจจะแข็งกว่าเสียด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากขับแป๊บเดียวจึงจับความรู้สึกได้ยาก ส่วนการตอบสนองของพวงมาลัยต่างกันน้อยมากและผมถือว่าอยู่ในระดับที่สู้รถเยอรมันได้ครับ
ส่วนเรื่องการทำงานของเบรกนั้น บอกได้แค่ว่าแป้นเบรกมาในแนวหนักหนืดสักหน่อย แต่ไม่ถึงขนาดซูเปอร์คาร์ และมีระยะฟรีไม่เยอะมาก แต่ประสิทธิภาพการทำงานของเบรกจะดีแค่ไหน ผมยังไม่พูดดีกว่าเพราะที่ขับในสนามมานั้นจานเบรกน่าจะอยู่ในอารมณ์นั่งดริงค์น้ำส้มเย็นๆใต้ร่มชายหาดด้วยซ้ำ
ส่วนระบบความปลอดภัยที่มีใน Mustang ถือว่ามีมาให้ครบเมื่อเทียบกับรถสมรรถนะสูงคันอื่น ไม่มีจุดที่ต้องให้ด่า และอันที่จริงออกจะเกินหน้า Premium Performance Car จากฝั่งยุโรปด้วยซ้ำ
- ระบบเบรก ABS / EBD / BA
- ระบบควบคุมการทรงตัว Advancetrac : ESP
- ระบบป้องกันการลื่นไถล TRC
- ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HLA
- ระบบเตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning System
- ระบบเบรกอัตโนมัติ พร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน AEB with Pedestrian Detection
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Adaptive Cruise Control
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องจราจร Lane Keeping System
- ระบบตรวจจับลมยาง TPMS
- ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน Emergency Assistance
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง
- ถุงลมนิรภัยด้านข้าง 2 ตำแหน่ง
- ม่านถุงลมนิรภัย 2 ตำแหน่ง
- ถุงลมหัวเข่าคนขับ และ ผู้โดยสารตอนหน้า 2 ตำแหน่ง
- กล้องมองภาพขณะถอยจอด
- เซนเซอร์กะระยะช่วยจอดด้านหลัง
- ระบบสัญญาณกันขโมย Burglar Alarm
- จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX
*****สรุปเบื้องต้น*****
***อเมริกันบ้าพลัง แต่เล่นได้ทั้งสายแดร็กสายเลี้ยว เป็นม้าต่อบาทที่นับว่าราคาถูก***
สำหรับคนที่มองว่ารถพลังสูงจากอเมริกานั้น เก่งแต่ทางตรง เจอโค้งแล้วม้วน ขับยาก ..ผมว่าคุณต้องมาลอง Mustang ก่อน เพราะด้วยม้าป่าเจนเนอเรชั่นนี้ คุณจะแปลกใจที่พบว่ามันขับสนุกไม่แพ้ C43 หรือ M2 แต่คุณต้องเข้าใจนิยามของคำว่าสนุกก่อนว่ามันหมายถึงอารมณ์ที่ได้จากการขับ ไม่ได้แปลว่ามันเร็วกว่า ซึ่งตรงนั้นเรายังไม่รู้ เพราะยังไม่ได้ลองขับจับเวลาในเงื่อนไขเดียวกัน แต่ถ้าเทียบกับ Mustang จากยุคก่อน เทียบกับ C36 กับ M3 E36 คุณจะพบว่าอเมริกันพัฒนา Mustang รุ่นนี้มาได้ดีแค่ไหน
ทั้งรุ่น 2.3 และ 5.0 มีอุปกรณ์ที่เกือบเหมือนกัน ต่างกันแค่ชุดแต่งภายนอก ขนาดล้อหลัง ลายของล้อ ท่อไอเสียและระบบนำทาง ดังนั้นหากคุณตั้งใจจะซื้อ Mustang เพื่อเอารูปทรงและเน้นการใช้งานทั่วไป รุ่น 4 สูบก็เป็นทางเลือกที่น่าสนเพราะเซฟเงินไปถึงล้านกว่าบาท หรือหากคุณเป็นสายโมดิฟายเน้นแรง และต้องการพิสูจน์ฝีมือตัวเองด้วยการปั้นเครื่อง 4 สูบพ่วงหอย ให้กลายเป็น V8-Giant Killer มันก็เป็นหนทางในการสร้างชื่อเสียงที่ไม่เลว แต่กว่าจะได้ม้าที่ชนะ V8 ได้ ค่าตัวรถกับค่าโมดิฟายรวมกันก็อาจจะซื้อ V8 ได้แล้ว
แต่ในความเห็นของผม ถ้าจะซื้อ Mustang ทั้งทีและงบประมาณคุณพอ มันต้อง V8 ครับ แล้วคุณจะได้อรรถรสทางเสียงและพลังแบบครบครัน อัตราเร่งไวกว่ากันคนละเรื่อง ได้ท่อแบบปรับเสียงได้ที่ทำมาดังกำลังพอดีในโหมดซิ่ง และการบังคับควบคุมรถก็ทำได้ดีกว่ารุ่น 2.3 วิศวกร Ford บอกว่าเขาเซ็ตช่วงล่างตามความแรงของรถ ดังนั้นต่อให้เป็นรถที่มี Performance Pack Level 1 ทั้งคู่ ตัว GT ก็ยังได้ช่วงล่างที่หนึบกว่า
Mustang เป็นรถที่มีขนาดตัวค่อนข้างโต และเป็นรถขับหลัง ดังนั้นถ้าคุณกำลังมองหามุดโมบิลสายด่วน ผมจะบอกเลยว่ามันรู้สึกเหมือนกับซีรีส์ 5 มากกว่า Audi TT หรือ BMW M2 หรือถ้ามองในเชิงเอาไปทำรถวิ่งสนามแข่งเล่นกับเพื่อนวันเสาร์-อาทิตย์ Mustang ก็เหมือนคนตัวใหญ่ที่พยายามเต้นเบรกแดนซ์แข่งกับคนตัวเล็กๆเบาๆ เขาอาจจะสู้พวกคนตัวเล็กไม่ได้ แต่ด้วยความสามารถที่เห็น คุณจะบอกว่าทำได้ขนาดนี้ก็ดีถมแล้ว
สิ่งที่ได้ตอบแทนมาจากขนาดตัวคือความสบายภายใน คุณมีพื้นที่เหลือในการขยับหลังหัวไข่ไหล่และแขนเยอะตามสไตล์รถอเมริกัน เบาะนั่งไม่ค่อยโอบรัดตัวในสนามแข่ง แต่สบายมากถ้าต้องนั่งขับทางไกล มีอุปกรณ์ของเล่นต่างๆให้เยอะกว่า M2 และสูสี C43 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ แต่ไปเยอะในคนละด้านคนละแบบ AMG C43 จะเยอะในด้านอุปกรณ์แบบรถพรีเมียม ส่วน Mustang นั้น..เหมือนกับเขาไปวิจัยมาว่ามนุษย์ซิ่งอยากได้อะไรในรถ แล้วก็พัฒนาเอามาใส่ให้
ถ้ามองกันในระดับตลาด Performance Car ในระดับที่คนรวยปานกลางซื้อได้แบบเหงื่อตกนิดๆ ตัวเลือกของรถประเภทกึ่ง Grand Tourer เครื่องยนต์วางหน้าจะมีไม่มากนัก และแต่ละตัวก็มีคุณสมบัติที่เป็น “Way” ของตัวเองที่น่าจะทำให้คุณเลือกได้ไม่ยาก
Mustang เป็นรถแบรนด์ Mass ความหรูแบบ Mass ค่อนไปทาง Premium แต่มีขนาดใหญ่ นั่งสบาย มีพละกำลังของเครื่องยนต์สูงที่สุด (460 แรงม้า) แต่ก็มีน้ำหนักตัวค่อนข้างมาก เป็นรถขับเคลื่อนล้อหลัง ดังนั้นมันจึงเหมาะกับคนสไตล์ Hooligan บ้าพลัง เสียงดัง ตัวใหญ่ใจถึง สนใจแต่องค์ประกอบแห่งความซิ่ง ไม่มานั่งเพ่งโบรชัวร์ว่าเบาะเป็นวัสดุอะไร มีกล้อง 360 องศาหรือไม่ (แม้ว่าที่จริงอุปกรณ์ที่ให้มาจะไม่น้อยแล้วก็ตาม)
แต่ถ้าคุณสนใจการขับแบบเซอร์กิตมากกว่าควอเตอร์ไมล์ ต้องการรถที่ให้ประสิทธิภาพการบังคับควบคุมประเภทสองบุคลิก คือจะบ้าก็บ้าได้สุด และจะไปแบบมั่นก็มั่นได้สุด โดยฟังคำสั่งตามเท้าและมือของผู้ขับ ไม่สนลูกเล่นบ้าบออะไรทั้งสิ้นเพราะรถมีไว้ขับไว้แข่งไม่ใช่ไว้โชว์ BMW M2 LCI ก็ยังเป็นคำตอบสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ได้ดีที่สุด ถ้าคุณไม่คิดว่าราคาค่าตัวของมันจะบวกจาก Mustang ไปอีกล้านเศษและเข้าใกล้ราคาของรถระดับ Porsche มากไปสักนิด
ในอีกทางหนึ่ง ถ้าคุณเป็นคนขับสายถนน ไม่ได้หลงใหลการเบิร์นยางหรือดริฟท์โชว์ลีลา สนใจแค่ว่ามันทำเวลาได้เร็วแค่ไหน และยังต้องเอาไว้วิ่งใช้งานในชีวิตประจำวันได้ด้วย Mercedes-AMG C43 ไมเนอร์เชนจ์ 390 แรงม้าที่ถูกกว่า Mustang GT อยู่ราวครึ่งล้านน่าจะตอบโจทย์เหล่านี้ได้ มันเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อที่ปลอดภัยในการบังคับควบคุมและพยศก็ต่อเมื่อเจ้าของขืนใจมันเท่านั้น คุณได้โลโก้ดาวบนหน้ารถ อุปกรณ์ความหรู ช่วงล่างที่ปรับได้ทั้งนุ่มและแข็ง และวัสดุที่เนี๊ยบสไตล์รถพรีเมียมอย่างแท้จริง
สุดท้ายนี้ แม้ว่ากลุ่มลูกค้าที่ซื้อ Mustang อาจจะมาจากคนละกลุ่มกับกระบะ Ranger แต่สิ่งหนึ่งที่ลูกค้าทั้งสองกลุ่มต้องการเหมือนกันคือรถที่ไม่มีปัญหา หรือถ้ามีปัญหาแล้วจัดการจบได้ไว หลายปีมานี้ Ford มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับความจุกจิกของตัวรถ หรือการรับบริการ โดยแม้จะพยายามปรับปรุงในเรื่องของการเคลมให้ดีลเลอร์สามารถทำงานได้ง่ายขึ้น ลูกค้าเจ็บคอน้อยลง แต่เรื่องราวที่สะสมมาจากอดีต รวมถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ จะยังเป็นอุปสรรคที่รอผู้บริหารคนใหม่ช่วยจัดการเพื่อยกระดับภาพลักษณ์ของ Ford ให้ดีขึ้น
ซึ่งในประเด็นนั้น เราก็ต้องใช้เวลาเป็นตัวพิสูจน์ว่าจะทำได้จริงแค่ไหน เพราะไม่ว่าจะเป็นลูกค้าขาโหดขี่ไดโนเสาร์ (Raptor) หรือลูกค้าโคบาลมัยซิน (ขี่ Mustang) แม้จะรักในความสามารถของรถ แต่ในที่สุดพวกเขาก็จะอยากได้ไดโนเสาร์ที่ไม่กัดเจ้าของ และม้าที่ถีบและพยศก็ต่อเมื่อเจ้าของสั่ง (ไม่ว่าสั่งแบบฉลาดหรือแบบโง่ๆ)
เราลองให้เวลาผู้บริหารใหม่ใน Ford สำหรับการปัดกวาดความผิดพลาดจากในอดีต ถ้าทำได้ มันก็เป็นผลดีต่อคนที่รัก Ford ไม่ว่าจะเป็นในองค์กร หรือเป็นลูกค้า
จะปลูกต้นกล้าในประเทศนี้ แค่ฝั่งรากลงดินเฉยๆไม่ได้ ต้องดูแล รดน้ำ พรวนดินกันไปยาวๆครับ
——/////——-
ขอขอบพระคุณ บริษัท Ford Sales (Thailand) จำกัด สำหรับการเชิญเข้าร่วมทริปทดสอบ
Pan Paitoonpong
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย ทั้งหมด เป็นผู้เขียน ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com 18 ตุลาคม 2018
Copyright (c) 2018 Text and Pictures. Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited. First published in www.Headlightmag.com. 18 October 2018
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome, CLICK HERE !