Jaguar Land Rover ได้วางกลยุทธ์รถยนต์ SUV ในเครืออย่างแข็งแกร่งและชัดเจนมาก นับตั้งแต่ Tata Motors ได้เข้ามามีบทบาทในการดำเนินธุรกิจ โดยวางตำแหน่งให้ Jaguar SUV ทำตลาดในกลุ่ม Premium SUV สไตล์สปอร์ต และมีการขับขี่ใกล้เคียงกับรถยนต์นั่ง, Range Rover จะเจาะตลาด Luxury SUV ราคาค่อนข้างสูง
และสำหรับแบรนด์ Land Rover ก็จะแยกเสาหลักของซับแบรนด์ออกเป็น 2 กลุ่มได้แก่ กลุ่ม Discovery จับกลุ่มตลาด SUV สำหรับสันทนาการ (Leisure) มอบดีไซน์ที่ดูเหนือขั้น แต่มีสมรรถนะการขับขี่ Off-Road อยู่ และกลุ่มล่าสุด Defender จะวางตำแหน่งให้เป็นรถสไตล์ Dual Purpose เน้นการขับขี่บนทาง Off-Road เป็นหลัก และมอบความอเนกประสงค์ที่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้
และนี่ก็คือภาพแอบถ่าย All NEW Land Rover Defender รถรุ่นใหม่ที่มาทดแทน Defender รุ่นประวัติศาสตร์ที่มีอายุยาวนานถึง 33 ปี (1983-2016) โดยวางภาพลักษณ์ตัวรถให้สานต่อจาก Discovery โฉมที่ 4 (หรือ LR4) เพราะ Discovery รุ่นปัจจุบันกลายเป็น Premium SUV ที่มีสไตล์ไปแล้ว
เมื่อดูจากรูปลักษณ์ภายนอกที่ถึงแม้ว่า มันยังถูกปกคลุมด้วยวัสดุพรางตา แต่ก็พอทำให้ทุกคนทราบได้ทันทีว่า Land Rover น่าจะทุ่มเทกับการพัฒนา All NEW Defender เป็นอย่างมาก เพราะเส้นสายโดยรวมของตัวรถกลับดูแตกต่างจาก DC100 Concept ที่เคยอวดโฉมเมื่อนานมาแล้ว
Land Rover พยายามยึดมั่นแนวทางการออกแบบ Defender แบบดั้งเดิม และผสมสัดส่วนเส้นสายจาก Discovery รุ่นที่ 3-4 เข้าไว้ด้วยกัน หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพ มันจะดูคล้ายกับการนำ Discovery 3 มาปรับอัตราส่วนตัวถังให้ดูเตี้ยแบน สปอร์ต กะทัดรัดขึ้น เพิ่มความเท่ห์ด้วยด้านหน้าทรงเหลี่ยม (ที่ยังกังขาว่า หากรุ่นคันขายจริงมีแนวฝากระโปรงเหลี่ยมขนาดนั้น แล้วมันจะปลอดภัยต่อการถูกชนหรือไม่?)
ความชาญฉลาดของทีมออกแบบ คือ การนำเอกลักษณ์ดั้งเดิมของ Defender 110 Station Wagon มาตีความใหม่ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น ได้แก่ การออกแบบสันหลังคาแนวสูง, เส้นสายด้านข้าง, กรอบกระจกประตูทรงเหลี่ยม เป็นต้น
โดยสรุป All NEW Land Rover Defender จะเป็นการพัฒนารถที่ขึ้นตรงต่อความคาดหวังของลูกค้า มากกว่าที่จะลอกเลียนความสำเร็จจากรถรุ่นเดิม เพราะพวกเรากำลังอยู่บนโลกของความทันสมัย ที่กำลังก้าวเดินไปข้างหน้า
All NEW Land Rover Defender มีให้เลือกถึง 2 แบบฐานล้อ ได้แก่ รุ่น 90 ระยะฐานล้อมาตรฐานและ รุ่น 110 ระยะฐานล้อยาวเป็นพิเศษ
กำหนดการเผยโฉมจะมีขึ้นในช่วงปลายปี 2019 และพร้อมส่งมอบอย่างเป็นทางการภายในต้นปี 2020 คาดว่าบ้านเราน่าจะมีโอกาสได้สัมผัส หากผู้แทนจำหน่ายในไทยมองเห็นโอกาสการเติบโต
ที่มา : Autocar