ค่ายดาวสามแฉกดูจะฮึกเหิมในการทำตลาด E-Class อย่างบ้าคลั่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนไม่ทันที่ตัวถังซีดานจะขายได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็รีบส่งเวอร์ชันคูเป้ (แต่ดูสวยและปราดเปรียวกว่ามาก ๆ) ยังไม่พอจึงเร่งส่งเวอร์ชันสเตชั่นแวกอนเอาใจเศรษฐีที่ชอบขนของ และเพื่อความต่อเนื่องจึงส่งเวอร์ชันเปิดประทุนปิดท้ายปี 2009 วัวบ้า แต่วางขายจริงพฤษภาคม 2010

E-Class Cabriolet นับเป็นตัวถังที่ 4 ในตระกูล E-Class ที่เปิดตัวอย่างต่อเนื่อง เวอร์ชันเปิดประทุนครั้งนี้ Mercedes-Benz มีสโลแกนในใจว่า four seasons, four personalities สี่ฤดู สี่บุคลิค

 
 
 

ดีไซน์ของรถก็คือจับเอา E-Class รุ่นตัวถังคูเป้มาตัดหลังคาและดัดแปลงให้มีพื้นที่เก็บหลังคาผ้าใบ ขอย้ำหลังคาผ้าใบครับเพราะทีมงานไม่อยากให้เสียอารมณ์ของรถเปิดหลังคาสมัยก่อนจึงไม่อยากใช้หลังคาเหล็กตามเทรนด์รถ C+C ชุดหลังผ้าใบสามารถปิดหลังคาโดยอัตโนมัติหากวิ่งเกิน 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 20 วินาทีเท่านั้น

เมื่อปิดหลังคาผ้าใบจะเหลือพื้นที่ห้องสัมภาระจาก 390 ลิตรเหลือ 89.7 ลิตรเท่านั้นคงบรรทุกได้แค่กระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กใบเดียว ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานเพียงแค่ 0.28 ดีที่สุดในคลาสรถเปิดประทุนด้วยกัน

 
 

อย่าคิดว่ารถเปิดประทุนจะไม่มีลูกเล่นอะไรมากนัก Mercedes-Benz พยายามพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับรถยนต์ประทุนตั้งแต่ปี 1989 มาแล้วด้วยนวตกรรมกระจกบังลมหลังพนักพิงศีรษะผู้โดยสารหลังเพื่อลดลมหมุนวนในห้องโดยสารขณะขับรถเปิดประทุนหรือที่เรียกว่า draft-stop

 
 

ต่อมาในปี 2004 Mercedes-Benz นำเสนอนวตกรรม Airscarf แปลตรงตัวคือผ้าพันคอลม  เดาไม่ยากก็คือเบาะนั่งคู่หน้าติดตั้งระบบลมอุ่นที่ได้จากลมพัดผ่านห้องโดยสารมาเป่าช่วงต้นคอและศีรษะของผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้าขณะขับรถเปิดประทุนภายใต้สภาวะอากาศหนาวได้ครับ

ปีนี้ Mercedes-Benz ก็ยังติดตั้งนวตกรรมใหม่เพิ่มเติมให้กับ E-Class Cabriolet นั่นก็คือ Aircap นวตกรรมที่ช่วยให้หักเหลมเข้าห้องโดยสารอันเป็นเหตุให้ทรงผมของเรากระเจิง (ในกรณีที่อยากจะไปงานเลี้ยงสำคัญแบบโก้ ๆ เสียหน่อย น่าจะช่วยแก้ปัญหาไม่น้อย) หรืออยากได้บรรยากาศกินลมชมวิวหรือพูดคุยกันโดยไม่ต้องได้ยินเสียงลมเป่าหูไปมา

 
 

นวตกรรม Aircap ประกอบไปด้วยครีบหักเหลมติดตั้งบริเวณขอบบนของกระจกบังลมหน้าสามารถยื่นออกได้ 2.4 นิ้ว และทำงานร่วมกับกระจกบังลมหลังหรือ draft stop อุปกรณ์ทั้งคู่ทำให้บรรยากาศห้องโดยสารรื่นรมย์เพราะ ยกกระแสลมให้พ้นศีรษะผู้โดยสาร เพิ่มความกดอากาศให้ห้องโดยสารตอนหน้าอยู่ในระดับปกติ และลดการหมุนวนภายในห้องโดยสาร

ผลดีของการติดตั้งนวตกรรม Aircap มีประโยชน์มากมายมากกว่าที่คิดอันได้แก่ ช่วยให้ผู้โดยสารมีสุขภาพกายภายใต้ความกดอากาศที่ปกติไม่แตกต่างจากรถมีประทุนและสุขภาพจิตก็ยังดีขึ้นด้วยเพราะไม่ต้องฟังเสียงรบกวนใด ๆ และยังสามารถพูดคุยสื่อสารกับผู้โดยสารและผู้ขับขี่ง่ายดายกว่ารถเปิดประทุนที่ไม่มีระบบ Aircap (คาดว่าน่าจะเป็นปัญหาโลกแตกสำหรับรถประเภทนี้)

 
 

ระบบ Aircap จะทำงานเมื่อใดก็ได้หากคุณต้องการให้มันทำงาน และสามารถทำงานได้ในขณะที่รถเริ่มวิ่งแตะระดับ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ใช่ว่าจะมี Aircap แล้วทุกอย่างจะจบ แต่เสียงรบกวนจากภายในเมื่อรถแล่นขณะปิดหลังคาผ้าใบก็ยังเป็นสิ่งที่วิศวกร Mercedes-Benz พิถีพิถันให้มีเสียงรบกวนน้อยที่สุด ด้วยการอุดช่องว่างโพรงเสียงที่เป็นจุดอ่อนมากที่สุด Mercedes-Benz กล้าเคลมว่า E-Class Coupe ลดเสียงรบกวนได้ดีที่สุดในบรรดารถเปิดประทุนหลังคาผ้าใบทั้งหลาย

 
 

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพเมื่อเราขับรถคันนี้ใต้อุโมงค์หรือขับรถผ่านรถสิบล้อคันใหญ่ ๆ ก็ยังปราศจากเสียงรบกวน หรือคุณจะวิ่งที่ความเร็ว 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คุณก็ยังสามารถคุยโทรศัพท์กับเพื่อนแบบ Hand-Free ใช้ลำโพงสนทนาได้จริง (ใน Press Release ยืนยันว่าไม่ได้หมายถึง Small Talk หรือต่อกับหูฟัง Bluetooth นะครับ ถ้าเป็นของจำพวกนั้นต่อให้อยู่บนรถเมล์เสียงก็ยังชัดอยู่ดีล่ะครับ)

เครื่องยนต์ของ Mercedes-Benz E-Class Cabriolet มีให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ รุ่น E350 Cabriolet 268 แรงม้า (hp) แรงบิดสูงสุด 35.6 กิโลกรัมเมตร และรุ่น E550 Cabriolet 382 แรงม้า (hp) แรงบิดสูงสุด 53.9 กิโลกรัมเมตร

ระบบความปลอดภัยของรถ Mercedes-Benz เปิดประทุน โดดเด่นมากเพราะติดตั้งถุงลมนิรภัยศีรษะไว้ที่บริเวณเข็มขัดเป็นรุ่นแรกของค่ายดาวสามแฉก เมื่อรวมถุงลมแต่ละจุดก็รวมแล้ว 7 จุดด้วยกัน นอกนั้นหมดห่วงครับเพราะติดตั้ง Roll Over Bar ที่เป็นคานกลางสามารถกางออกมาในขณะรถพลิกคว่ำเพื่อป้องกันการบาดเจ็บของศีรษะผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ระบบ Presafe ป้องกันการชน และอื่น ๆ อีกสารพัด

 
 

Mercedes-Benz E-Class Cabriolet จะอวดโฉมในงาน Detroit AutoShow เดือนมกราคม 2010 ส่วนกำหนดวางจำหน่ายเราขอยืนยันกันอีกทีว่าตลาดโลกเริ่มทำตลาดตั้งแต่เดือน พฤษภาคมปี 2010 เป็นต้นไปดังนั้นเศรษฐีชาวไทยน่าจะมีโอกาสยลโฉมช่วง Motor Expo 2010 หรือนับจากนี้ไปอีก 1 ปีเต็มก็เป็นได้ครับ