หลัง(ตั้งใจ?)ทำภาพหลุดว่อนอินเทอร์เน็ตเมื่อหลายวันก่อน วันนี้ Ford พร้อมเปิดตัว Focus RS เจเนอเรชั่นที่ 3
อย่างเป็นทางการ พร้อมรายละเอียดแน่น เผยความพิเศษในทุกจุด เพื่อให้เป็น Ford Focus รุ่นท้อปของตระกูล
ที่สมบูรณ์แบบและก้าวหน้ามากที่สุด เท่าที่เคยพัฒนากันมา
จากจุดเริ่มต้นในวงการรถยนต์แรลลี่ รหัส RS หรือ Rallye Sport เริ่มต้นกับรถแข่งแรลลี่ Ford 15M RS ในปี 1968
ก่อนจะโด่งดังกับ Ford Escort RS Cosworth ที่เปิดตัวในปี 1992 ด้วยจุดเด่นที่เครื่องยนต์เทอร์โบแรงจัดจ้าน
พร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ อันเป็นส่วนผสมที่ทำให้เป็นรถยนต์ Ford ที่ขับสนุกที่สุดคันหนึ่ง และปัจจุบัน
รหัส RS กลายเป็นตัวแทนแห่งความแรงที่ต้องจับตามองของ Ford ไปแล้ว
สำหรับ Ford Focus RS โฉมล่าสุดนี้ ถือเป็นการเปิดตัวทิ้งช่วงจาก Focus รุ่นปกติถึง 5 ปี แต่ก็สมการรอคอยไม่น้อย
เพราะงานออกแบบถูกเปลี่ยนใหม่เกือบทั้งหมด เพื่อรองรับสมรรถนะที่เพิ่มขึ้นมากจากรุ่นปกติ โดดเด่นด้วย
รูปลักษณ์ด้านหน้าดุเป็นพิเศษ นำเอารุ่นปรับโฉมมาเปลี่ยนชุดกันชนหน้าเน้นแอโรไดนามิกและความโหด แต่ยังคง
เอกลักษณ์กระจังหน้า 6 เหลี่ยมแบบแอสตันมาร์ตินไว้เช่นเคย ออกแบบช่องดักลมขนาดใหญ่เพื่อช่วยระบาย
ความร้อนและดักอากาศเข้าเครื่องยนต์
ส่วนด้านท้าย ออกแบบชุดกันชนหลังใหม่ทั้งหมด เพิ่มครีบรีดอากาศด้านล่าง โชว์ระบบท่อไอเสียคู่แบบพิเศษขนาดเขื่อง
บริเวณชายล่างกันชน มาพร้อมกับวาล์วไฟฟ้าช่วยปรับความหนาของไอเสียและเสียงที่ดุขึ้น ด้านบนติดตั้งสปอยเลอร์
ขนาดใหญ่พอดีตัว ช่วยเพิ่มแรงกดให้กับตัวรถ
ภาพรวมของรถนั้นยังคงใช้สีน้ำเงินอันกลายเป็นโลโก้ของรหัส RS ไปแล้ว เพียงแต่คราวนี้เปิดตัวพร้อมกับเฉดสีใหม่
สีน้ำเงิน Liquid Blue จาก Ford GT ที่ดูหม่น ขรึม โหดขึ้น แต่ไม่มีจำหน่ายจริง ใช้เพื่อเปิดตัวเพียงอย่างเดียว
ด้านล้ออัลลอยสวมล้ออัลลอยลายใหม่ ขนาด 19 นิ้ว พร้อมยางรุ่นพิเศษ Michelin Pilot Super Sport
พร้อมออพชั่น Pilot Sport Cup 2 ให้เลือกติดตั้งกัน
ภายในห้องโดยสารนั้น Ford กล่าวว่า เบาะนั่งถูกเปลี่ยนให้เป็นเบาะนั่งทรงสปอร์ตจาก Recaro เจ้าเก่า
พร้อมกับพวงมาลัยสปอร์ตตัดตรงด้านล่าง ติดตั้งแป้นเท้าทำจากวัสดุอัลลอย แม้จะสปอร์ตสุดโต่งแต่ก็ไม่ทิ้ง
ความสะดวกสบาย เพราะยังคงติดตั้งระบบอินโฟเทนเมนต์ Ford SYNC พร้อมหน้าจอขนาด 8 นิ้วกลางแดชบอร์ด
ซึ่งทำงานร่วมกับกล้องมองหลังด้านท้ายรถ และระบบเครื่องเสียงแบบ 10 ลำโพงจาก SONY
หัวใจของความแรง
Ford ถึงกับกล้ากล่าวเลยว่า Ford Focus RS นี้ เป็นผลผลิตจากความร่วมมือในการพัฒนาของทีม Ford Performance
และทีมนักแข่งแรลลี่มือฉมัง รวมถึง ’Ken Block’ นักแข่งแรลลี่ชื่อดัง ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นพลุแตกจากการขับรถแบบ Gymkhana
ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทอร์โบ ตระกูล EcoBoost ขนาด 2.3 ลิตร จาก Ford Mustang GT โฉมล่าสุด
(ที่นำมาโชว์ตัวในงาน Motor Expo ปลายปีที่ผ่านมา) ให้กำลังสูงสุดสะใจถึง 315 แรงม้า (ไม่มีการแจ้งว่าที่กี่รอบ/นาที)
ในขณะที่ตัวเลขแรงบิดยังไม่มีการเปิดเผยออกมา มีแต่การแย้มว่า มากกว่า 433 นิวตัน-เมตรใน Mustang แน่นอน
เพราะงานนี้ Ford ถึงกับต้องปรับปรุงชุดเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะให้รับกับแรงบิดที่เพิ่มขึ้นจาก Mustang กันเลยทีเดียว
จุดเด่นมากไปกว่านั้น คือระบบขับเคลื่อน Ford Performance All-Wheel Drive พร้อมระบบ Dynamic Torque Vectoring Control
ใหม่ล่าสุด ซึ่งเปิดตัวกับ Ford Focus RS เป็นครั้งแรก งานนี้ ฟอร์ดใช้ชุดคลัทช์ไฟฟ้าคู่บริเวณเพลาล้อหลังแต่ละข้าง
จึงทำให้สามารถจัดสรรปันส่วนกำลังของเครื่องยนต์สู่ล้อแต่ละข้างได้อย่างอิสระและแม่นยำ
ผลจากนวัตกรรมเหล่านี้ คือตัวรถสามารถแบ่งสัดส่วนกำลังสู่ล้อหลังได้มากถึง 70% (มากกว่าคู่แข่งอย่าง
Subaru STi และ Mercedes-Benz A45 AMG) นอกจากนี้ กำลังที่ถูกแบ่งไปยังล้อหลัง ยังสามารถแบ่งไปฝั่งล้อหลังซ้าย
หรือล้อหลังขวาได้เต็มๆ 100% ส่งผลให้รถเกาะถนนเป็นตุ๊กแกได้ในทุกสถานการณ์
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ จะถูกควบคุมผ่านกล่อง Control Unit ซึ่งจะทำหน้าที่ตรวจสภาพการขับขี่ของรถผ่านเซนเซอร์
หลายจุด ในความถี่ระดับ 100 ครั้ง/วินาที! ส่งให้อัพเดทรูปแบบการส่งกำลังได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำกว่าที่เคยได้แน่นอน
นอกจากนี้ ขอให้จับตามองรถยนต์คันนี้อย่างใกล้ชิด เพราะ Ford ตั้งใจพัฒนาให้เป็นรถยนต์สมรรถนะสูงระดับ Global
กันเลยทีเดียว หมายความว่า Ford จะไม่จำกัดการจำหน่ายไว้เพียงตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาหรือยุโรปอย่างเดียว
แต่พร้อมจะส่งเข้าทำตลาดทุกที่ทั่วโลก (หากมีความเป็นไปได้ว่าสามารถทำราคาขาย และมีกลุ่มลูกค้าที่สนใจอยู่บ้าง)
ดังนั้น กรณีเดียวกันกับ Ford Mustang โฉมล่าสุด ที่มีข่าวแว่วมาแล้วว่ามีการเตรียมจำหน่ายในไทย เป็นไปได้สูงว่า
Ford ประเทศไทย อาจจะใจป้ำนำเข้า Ford Focus RS เข้ามาจำหน่ายในไทยเอาใจขาโหดกัน รวมทั้งร่วมต่อกรกับ
Mercedes-Benz A45 AMG และ Subaru WRX STi ที่ขายในไทยแล้ว ก็เป็นได้เช่นกัน
ที่มา : Ford