Forester เป็นผลิตผลที่เกิดจากการที่ทาง Subaru ต้องการปรับตัวเพื่อรับกระแสที่กำลังพุ่งของรถประเภท SUV ตั้งแต่ช่วงต้นยุค 90s ซึ่ง ณ ช่วงเวลาดังกล่าว Subaru ยังไม่มีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ได้เต็ม 100% มีเพียงแค่รถสเตชั่นแวก้อนท้ายสั้นอย่าง Impreza Sportswagon กับ Subaru Legacy และเวอร์ชั่นยกสูงของรถทั้งสองรุ่นเพียงแค่นั้น
พวกเขาเริ่มต้นด้วยการนำโครงสร้างพื้นฐานของ Impreza GC/GF มาดัดแปลงให้เป็นรถทรงหลังคาสูง พร้อมพื้นที่บรรทุกขนาดใหญ่และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Symmetrical All-Wheel Drive ออกจำหน่ายจริงในปี 1997 และได้รับความนิยมจากลูกค้าอเมริกันและเอเชียเป็นอย่างดี
กว่าสองทศวรรษและ 4 ตัวถังผ่านไป Subaru เผยโฉม Forester เจนเนอเรชั่นที่ 5 ไปเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2018 ที่งาน New York International Autoshow และหลังจากนั้นกลุ่ม Tan Chong ที่เป็นผู้แทนจำหน่ายดูแลการขายรถแบรนด์ Subaru ในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวันก็ได้จัดงานเปิดตัวระดับภูมิภาค (Regional Launch) ของ Subaru Forester ใหม่ ที่เมืองไถจง (Taichung) สาธารณะรัฐจีน (ไต้หวัน) ในวันที่ 7 สิงหาคม 2018
แม้ว่าทั้ง Forester และ XV ต่างก็ใช้โครงสร้างพื้นฐานที่ออกแบบใหม่ SGP-Subaru Global Platform เหมือนกัน รวมถึงใช้ขุมพลังขับเคลื่อนร่วมกัน แต่ตำแหน่งทางการตลาดรวมถึงกลุ่มลูกค้าจะมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
- Subaru XV – เน้นกลุ่มลูกค้าที่อายุน้อยกว่า ตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงวัยที่มีครอบครัวแรกเริ่ม เน้นความปราดเปรียวของรูปทรง การขับขี่ที่ตอบสนองในโค้งได้ดี มีความคล่องตัวสูงในเมืองและเดินทางไกลได้สบาย มีประสิทธิภาพในการลุยแบบออฟโรดพอสมควร
- Subaru Forester – สร้างมาเพื่อกลุ่มลูกค้าที่มีอายุมากกว่า เป็นวัยที่เริ่มมีครอบครัวไปจนถึงวัยที่ลูกโตแล้ว เน้นขนาดพื้นที่ภายใน พื้นที่การบรรทุกสัมภาระ ความสบายเวลาโดยสารบนถนนขรุขระ และมีระบบอิเล็กทรอนิกส์เสริมสำหรับการขับแบบออฟโรดที่มากกว่า XV แม้ว่าความสูงใต้ท้องรถจะอยู่ที่ 220 มิลลิเมตรเท่ากัน
Dimension มิติตัวถัง
- ยาว x กว้าง x สูง : 4,ุ625 x 1,815 x 1,730 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ : 2,670 มิลลิเมตร
- Ground Clearance 220 มิลลิเมตร
เทียบกับรุ่นเดิมแล้ว ยาวขึ้น 15 มิลลิเมตร กว้างขึ้น 20 มิลลิเมตร แต่เตี้ยลง 5 มิลลิเมตร ฐานล้อยาวขึ้น 30 มิลลิเมตร
Highlight ทางด้านการออกแบบตัวถัง
- เส้นสายภายนอก ยึดแนวทางเดิมที่พยายามทำให้ลูกค้ามองเห็นแล้วรู้สึกว่ามันเป็น SUV จริงจัง ใช้เส้นกระจังหน้าต่อเนื่องกับชุดไฟหน้าที่ทำให้ดูเป็นรถที่เหมาะกับการบุกตะลุยไปทุกที่ที่ไปได้ ส่วนหลังคาสูง เน้นทรงกล่องเพื่อสร้างความรู้สึกว่าเป็นรถเพื่อการใช้งานและบรรทุกได้มาก
- อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนสัมผัสมาด้วยตาตัวเองว่านอกจากกระจกโอเปร่าบานหลังสุด กับไฟท้ายรูปตัว C แล้ว ดูไม่ค่อยแตกต่างจากรุ่นเดิม เป็นความตั้งใจของทีมออกแบบ เพราะเน้นการใช้งานและทัศนะวิสัยรอบคันที่โปร่งตามากกว่ารถของคู่แข่ง
- เพื่อเพิ่มความสบายสำหรับผู้โดยสารอย่างทั่วถึง ตัวรถและระยะฐานล้อจึงถูกขยายให้ใหญ่กว่าเดิม ความกว้างตัวถังที่เพิ่มเข้ามา ส่งผลให้ทีมออกแบบสามารถติดตั้งเบาะคู่หน้าให้ห่างจากกันเพิ่มจากรุ่นเดิมอีก 20 มิลลิเมตร และปรับตำแหน่งการวางเบาะหลังเพื่อเพิ่มเนื้อที่วางขาให้ยาวขึ้นอีก 33 มิลลิเมตร
- ขนาดช่องโหลดสัมภาระซ้ายไปขวา ถูกเพิ่มจากเดิม 134 มิลลิเมตร รวมเป็น 1,300 มิลลิเมตร ทำให้สามารถยัดถุงกอล์ฟแบบมาตรฐานเข้าไปได้ตรงๆโดยไม่ต้องเอียงเอาด้านหนึ่งเข้าก่อนแบบรุ่นเดิม
Engine เครื่องยนต์
เครื่องยนต์เบนซิน รหัส FB20 4 สูบนอน BOXER DOHC 16 วาล์ว ขนาด 2.0 ลิตร 1,995 ซีซี. Direct Injection กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 84.0 x 90.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 12.5 : 1 ให้กำลังสูงสุด 156 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 19.98 กก-ม. (196 นิวตันเมตร) ที่ 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Lineartronic CVT ขับเคลื่อน 4 ล้อ All-Wheel Drive
(เครื่องยนต์ปรับเป็น Direct Injection แรงม้าเพิ่มขึ้น 6 ตัว แรงบิดสูงสุดมาไวขึ้น 200 รอบ/นาที ระบบส่งกำลัง เป็นเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน Lineartronic CVT ซึ่งได้รับการปรับปรุงใหม่ ใช้โซ่ขับเคลื่อนเกียร์แบบที่ทำงานเงียบเสียงลงกว่าเดิม
สิ่งที่เพิ่มมาใน Forester เจนเนอเรชั่นที่ 5 คือระบบ Special X-MODE (ในรุ่น 2.0i-S และ 2.0i-S EyeSight) ซึ่งในรุ่นเดิม X-MODE จะเป็นปุ่มกดเพียงปุ่มเดียว เมื่อเปิดใช้งาน ตัวรถจะปรับการทำงานของคันเร่งให้ช้าและนุ่มนวลขึ้น, สั่งจับล็อคระบบลิมิเต็ดสลิปมากขึ้น, ปรับการทำงานของระบบ VDC ให้เหมาะกับการลุยบนพื้นลื่น และเปิดการใช้งานระบบ Hill Descent Control
ใน Special X-MODE ของรถรุ่นใหม่ จะเปิดโอกาสให้ผู้ขับเลือก X-MODE ได้ 2 แบบ คือแบบ SNOW/DIRT ซึ่งจะยังเปิดให้ระบบ Traction Control ทำงานอยู่ สำหรับวิ่งบนถนนที่ลื่นมากเพื่อการทรงตัวที่ดี แต่ในการลุยแบบออฟโรดบางครั้งจำเป็นต้องมีจังหวะที่เรายอมปล่อยให้ล้อหมุนฟรีเพื่อให้รถสามารถเลื่อนไปข้างหน้าได้เรื่อยๆ จึงมีโหมด DEEP SNOW/MUD เพิ่มขึ้นมา ซึ่งระบบนี้จะตัดการทำงานของ Traction Control ออก
อันที่จริง ผู้ขับจะเปิดหรือปิด Traction Control เองก็สามารถทำได้ แต่ในรุ่นเก่า จะต้องกดปุ่ม X-MODE และกดปิด/เปิด Traction Control เองในขณะที่รุ่นใหม่นั้นเพียงเอานิ้วบิดสวิตช์ทีเดียวจบ
Highlight ด้านการออกแบบภายใน
- แผงแดชบอร์ด เปลี่ยนใหม่ยกชุด มีดีไซน์คล้ายกับของ XV แต่ใช้วัสดุตกแต่งรวมถึงมีรายละเอียดปลีกย่อยบางจุดที่ต่างกัน
- เพิ่มขนาดของจอระบบมัลติมีเดียให้โตกว่าเดิม เวอร์ชั่นไต้หวันนี้ ไม่ว่าจะรุ่นย่อยใดก็ได้จอ 8.0 นิ้วพร้อมระบบนำทาง
- จอกลางขนาดเล็กด้านบน แสดงค่าพร้อมกราฟฟิกต่างๆดูทันสมัยขึ้นกว่ารุ่นก่อน และมีขนาดใหญ่ขึ้น เลือกโหมดการแสดงข้อมูลด้วยปุ่ม INFO บนก้านพวงมาลัย
- แผงมาตรวัดชุดหลัก ดีไซน์เน้นดูง่าย แต่เปลี่ยนจอ Multi Information Display ให้มีสีสันลูกเล่นมากขึ้น มีระบบแสดงค่าลมยาง 4 ล้อ
- เบรกมือ จากเดิมที่เป็นแบบก้านดึง เปลี่ยนเป็นเบรกมือไฟฟ้าพร้อมฟังก์ชั่น AVH – Auto Vehicle Hold ซึ่งเมื่อกดแล้วผู้ขับจะสามารถปล่อยเท้าจากเบรกในขณะที่อยู่เกียร์ D แล้วรถจะสั่งจับเบรกเอาไว้ เมื่อต้องการออกตัว ก็ให้แตะคันเร่งเบาๆก็ออกตัวได้เลย (เหมือน Auto Brake Hold ของ Honda HR-V)
- เบาะนั่ง ทุกรุ่นยกเว้นรุ่นถูกสุด (2.0i-L) จะได้เบาะไฟฟ้าคู่หน้าปรับ 8 ทิศทาง และมีระบบบันทึกความจำตำแหน่งเบาะสำหรับคนขับ หมอนรองศีรษะปรับระดับองศาการรองรับได้
- เบาะนั่งแถวที่สอง พับได้ด้วยการดึงหมุดมุมเบาะ หรือกดปุ่มแบบกดทีเดียวพับจากด้านท้ายรถ รวมถึงสามารถปรับเอนได้ด้วยการดึงเชือกใกล้มุมข้อพับเบาะ
- พื้นที่บรรทุกเมื่อพับเบาะ เป็นระนาบเดียวต่อเนื่องกัน
ในไต้หวัน Subaru Forester จะมีทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ได้แก่
- 2.0i-L รุ่นถูกสุด ล้อ 17 นิ้ว ไฟตัดหมอกและ Daytime Running Light เป็นหลอดฮาโลเจน ฝาท้ายเปิดแบบปกติ
- 2.0i-L EyeSight เพิ่ม Daytime Running Light, เบาะไฟฟ้าคู่หน้า, ระบบสนับสนุนการขับขี่ EyeSight, Lane Change Assist, Rear-Cross Traffic Alert, ไฟหน้าเลี้ยวตามพวงมาลัย และไฟสูงอัตโนมัติ
- 2.0i-S เหมือนนำรุ่น i-L มาเปลี่ยนเป็นล้อ 18 นิ้ว เปลี่ยนไฟตัดหมอกและ Daytime Running Light เป็น LED, เบาะไฟฟ้าคู่หน้า, Lane Change Assist, Rear-Cross Traffic Alert, ไฟหน้าเลี้ยวตามพวงมาลัย, ฝากระโปรงท้ายเปิดด้วยไฟฟ้า, Special X-MODE แต่ไม่มี EyeSight และไฟสูงอัตโนมัติ
- 2.0i-S EyeSight รุ่นสูงสุด อุปกรณ์ครบเหมือนเอา i-L EyeSight รวมกับชุดแต่งของ i-S และเพิ่มหลังคาซันรูฟกระจกขนาดใหญ่
อนาคตของ Forester ในไทย กับหลายคำถามจากสื่อมวลชน
ในระหว่างงานเปิดตัว ทั้งผู้บริหารของกลุ่ม Tan Chong และทีม Product Development ได้ให้สัมภาษณ์ถึงข้อมูลต่างๆ ตอบคำถามสื่อมวลชนชาวไทยที่ไปร่วมงานในครั้งนี้ ผู้เขียนอนุญาตนำมาสรุปดังนี้
พูดถึงในตลาดโลก Forester ใหม่ดูเหมือนจะไม่มีรุ่นเทอร์โบแล้ว ถอดใจแล้วหรือ ?
ทีมญี่ปุ่น: ขณะนี้ เราไม่มีแผนที่จะทำรุ่นเทอร์โบต่อ..แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่าเราจะเลิกทำ Forester เครื่องเทอร์โบไปเลยหรือเปล่า เพราะในขณะนี้กระแสส่วนมากบนโลกต้องการรถที่ปล่อยมลภาวะน้อยลง อย่างในไต้หวันและไทยจะมีเครื่อง 2.0 ลิตรหัวฉีดตรง ในอเมริกามีเครื่อง 2.5 ลิตร และเรากำลังมุ่งความสนใจไปที่รุ่นไฮบริดมากกว่า
ถ้าจะหันไปทางขุมพลังไฟฟ้า แล้วเราจะได้ใช้ Forester EV ที่เป็นไฟฟ้าล้วนหรือไม่ ?
ทีมญี่ปุ่น: น่าจะต้องรอไปอีกนานเพราะเรายังไม่มีแผนที่จะจำหน่าย Forester แบบ EV เร็วๆนี้ แต่ถ้าเป็น Plug-in Hybrid มีโอกาสสูงมาก
โรงงานในไทย ไปถึงไหนแล้ว ตกลงจะประกอบ “ในไทย” จริงหรือไม่ ?
ทีม Tan Chong: ชัวร์ 100% เพราะโรงงาน TCMA ของเราที่ลาดกระบังใกล้เสร็จแล้ว เรามีแผนที่จะเริ่มเปิดทำการภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ในขั้นต้น โรงงาน TCMA ของไทยจะผลิตแค่รุ่นเดียวก่อนคือ Forester โดยมีศักยภาพการผลิตสูงสุด 50,000 คันต่อปี แต่ในปัจจุบันเราปรับกำลังคนและเครื่องจักรสำหรับการผลิตระดับ 15,000 คันต่อปีไว้ก่อน ซึ่งรถทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่ขายในไทย แต่จะส่งไปมาเลย์เซียและเวียดนามด้วย
ถ้าอย่างนั้น พวกเราคนไทยจะได้เจอ Forester ประกอบในไทยเมื่อไหร่
ทีม Tan Chong: เจอกัน Motor Expo ปลายปีได้เลย เมื่อถึงเวลานั้นเราจะมีรถคันจริง มีสเป็ค อุปกรณ์ และราคาพร้อมแล้วสำหรับการรับจอง ส่วนการส่งมอบรถจะเริ่มตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2019 เป็นต้นไป
เมื่อถึงเวลานั้น เรามารอลุ้นราคา และอุปกรณ์ต่างๆกัน ว่าจะสมกับที่บางท่านตั้งใจรอคอยมานานหรือไม่ รวมถึงระบบความปลอดภัยขั้นสูงหลายต่อหลายอย่าง และระบบ EyeSight ซึ่งเป็นระบบช่วยสนับสนุนการขับและครูสคอนโทรลแบบเรดาร์ ปรับความเร็วตามคันหน้าและชะลอรถโดยอัตโนมัติ..สิ่งเหล่านี้ ทางไต้หวันมีใช้กันนานแล้ว
แต่เมืองไทย จะได้เมื่อไหร่..ปลายปีนี้น่าจะได้คำตอบกัน
—-/////—–