แม้ว่าอัตราการเติบโตที่เลขสองหลัก จะดูเป็นความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ แต่ตัวเลข 33% ของการเติบโตทางด้านยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า EV ที่ยุโรป ในช่วงครึ่งแรกของปี 2018 กลับถือว่าไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจากในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า รถยนต์ใส่ถ่านเสียบปลั๊กกลับมียอดเติบโต ในตลาดเดียวกันสูงถึง 54% ส่วนสาเหตุความถดถอยในปีนี้ มีการวิเคราะห์ว่าเกิดจาก ระยะทางวิ่งต่อการชาร์จที่จำกัด และสถานีชาร์จไฟไม่ครอบคลุม
ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรป ระหว่างเดือนมกราคม – มิถุนายน 2018 มีอัตราเติบโตที่ 33% แต่น้อยกว่าช่วงเวลาเดียวกัน ของปีก่อนหน้าที่เติบโต 54% โดย Peter Fuss จาก EY partner ได้แสดงความเห็นว่า รถยนต์ไฟฟ้ายังถือเป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่มอยู่ เนื่องจากสาธารณูปโภคเรื่องสถานีชาร์จ ยังไม่แพร่หลาย และรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ที่ออกจำหน่ายในยุโรป ยังไม่สามารถเดินทางได้ไกลพอต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
ทั้งนี้ แม้เยอรมันจะมีขนาดใหญ่ที่สุด ในตลาดรถยนต์ทั้งยุโรป และมีอัตราการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าสูง แต่ไม่สามารถดึงยอดขายรวมของทั้งยุโรปขึ้นมาได้ เนื่องจากอังกฤษซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 มียอดขายรถยนต์ใส่ถ่านไม่ดีนัก ส่วนสถานการณ์ของรถยนต์ ที่ใช้ขุมพลังสันดาปภายใน เติบโตขึ้น 16% ในเครื่องยนต์เบนซิน และถดถอยลงในเครื่องยนต์ดีเซล เนื่องจากผู้บริโภคกังวลเรื่อง กฎการแบนเครื่องยนต์ดังกล่าว
ด้านผู้ผลิตรถยนต์ดูเหมือนจะมีโจทย์ใหญ่ให้แก้ไขเช่นกัน เนื่องจากกฎหมายควบคุมมลพิษในยุโรป จะยกระดับความเข้มข้นขึ้นในปี 2020 ทำให้บริษัทพากันเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าหลากรุ่น แต่ Fuss แสดงความเห็นว่า นี่เป็นการแก้ไขปัญหาระยะกลางเท่านั้น และรถยนต์ไฟฟ้ายังคงเป็นทางเลือก ของกลุ่มรถยนต์หรูอยู่ดี และอนาคตของรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรป จะเป็นอย่างไรต่อไปนั้น โปรดติดตามชม
ที่มา: Europe.autonews