ทันทีที่ Honda Automobile (Thailand) ประกาศราคาขาย ของ HR-V ออกมาว่า
898,000 ในรุ่น S 964,000 บาท ในรุ่น E และ 1,045,000 บาท ในรุ่น EL ตัวท็อป
เสียงร้องในโลกไซเบอร์ ก็ดังระงมไปในทิศทางเดียวกันว่า…

“แพงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงเกิ๊นนนนนนนนนนนนนนนน!!!”

แน่ละ หลายๆคน ใจจดจ่อ เฝ้ารอตั้งแต่เผยโฉมครั้งแรกในงาน Tokto Motor Show
ปลายปี 2013 แล้วว่า ถ้ามาผลิตขายในเมืองไทยจริงๆละก็ พ่อจะสอยมาขับเล่นสักคัน
(หากมันไม่แพงจนเกินไป) พอราคาออกมาเป็นอย่างที่เห็น จึงไม่แปลกใจที่จะมีเสียง
บ่นเชิงก่นด่าว่า งานนี้ Honda ตั้งราคาแพง

แต่คนของ Honda ก็บอกมาว่า “J!MMY ลองดูตัวรถกันก่อนไหม แล้วค่อย
ตัดสินว่ามันสมราคาหรือไม่?”

เหรอจ้ะ!?…..

เพียงแค่ลองผุดลุกผุดนั่ง ในงานเปิดตัว เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2014 ที่ผ่านมา
อาจบอกได้เพียงแค่ว่า Honda พยายาม ปรับปรุงให้ห้องโดยสารด้วยการเติม
วัสดุหนัง ห่อหุ้มตัวรถมาให้ครบ ตั้งแต่เบาะนั่ง ยันแผงประตู ติดตั้งมาให้แน่นไป
ทั้งคัน เพื่อเสริมภาพลักษณ์ Sport Crossover SUV ระดับ Premium

แต่การตัดสินรถยนต์สักคัน แค่ลองนั่งตอนจอดอยู่เฉยๆ คงจะไม่อาจรับรู้ถึงบุคลิก
ที่แท้จริงของตัวรถได้เลย เพราะรถยนต์ถูกสร้างมาให้แล่น ไม่ใช่แค่จอดเฉยๆ

ด้วยเหตุนี้ ผมถึงเดินทางมาถึง Kirimaya ที่เขาใหญ่ เพื่อสัมผัสและทดลองขับ
รถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดของ Honda ที่ถูกวางตำแหน่งการตลาดให้ผิดแผกแตกต่าง
จากพี่น้องร่วมตระกูล รวมไปถึงชาวบ้านชาวช่องเขาทั้งหมดทั้งมวล ในฐานะ
Sport Compact Crossover SUV ระดับ Premium…

โชคดีที่ทาง Honda จัดเตรียมพาหนะให้ผมขับขึ้นมาเขาใหญ่ เป็น Honda
Civic 1.8 ลิตร รุ่น Minorchange ซึ่งแม้จะมีการปรับปรุงหลายจุด แต่แทบ
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงงานวิศวกรรม ใดๆทั้งสิ้น  นั่นจึงทำให้ผม ได้เปรียบเทียบ
อย่างชัดเจนว่า สมรรถนะของทั้ง 2 คันนี้ แตกต่าง หรือเหมือนกันมากน้อยแค่ไหน

รอช้าอยู่ใย เลื่อนเมาส์ลงไปอ่านกันเลย!

HR-V ถือเป็น รถยนต์นั่งกลุ่ม C-Segment Crossover SUV ที่มีขนาดตัวถัง
อยู่ในพิกัดเดียวกับรถยนต์นั่งกลุ่ม Compact Class (C-Segment) อย่าง Civic
แต่สร้างขึ้นบนพื้นตัวถังเดียวกับรถยนต์ในกลุ่ม Global Compact Series
Model ทั้ง Fit / Jazz และ City ใหม่ (ซึ่งเป็นรถยนต์ในกลุ่ม B-Segment)

Mr.Naohisa Morishita : LPL (Large Project Leader) หรือ หัวหน้า
วิศวกรโครงการพัฒนา HR-V (รหัสโครงการ 2XP) เล่าว่า จุดมุ่งหมายของการ
สร้างรถยนต์รุ่นนี้ ก็คือ เอาใจกลุ่มลูกค้ายุคใหม่ ที่อยากได้รถยนต์ Crossover
C-SUV ยกสูงไว้ใช้งาน เน้นพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง แต่ต้องมีรูปลักษณ์โดดเด่น
กระฉับกระเฉง และดูเท่ แตกต่างไปจากรถคันอื่นบนถนน

หลังการเปิดตัวครั้งแรกในตลาดญี่ปุ่น ภายใต้ชื่อ Honda Vezel ซึ่งมีให้เลือก
ทั้งเครื่องยนต์ เบนซิน 1,500 ซีซี และ เบนซิน Hybrid เมื่อเดือนธันวาคม
2013 ที่ผ่านมา Vezel ได้รับความนิยมในดินแดนอาทิตย์อุทัยอย่างมากจน
มียอดสั่งจองในช่วง 24 วันแรก สูงถึงกว่า 24,900 คัน!! ถือว่าทำยอดจอง
ได้สูงที่สุดในบรรดารถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่เปิดตัวในตลาดญี่ปุ่น ช่วงปี 2013 เลย
และหลังจากครบ 1 ปี ผ่านไป Honda ทะยอยเปิดตัว Vezel ในตลาดต่างๆ
ทั้งจีน อเมริกาเหนือ และเพิ่งเผยโฉมไปในยุโรป ก่อนจะส่งมาเปิดตัวที่เมืองไทย
ประเทศไทย ซึ่งก็ได้รับความนิยมไม่ด้อยไปกว่ากันเลย เพราะในช่วงเปิดตัว
จนถึงวันสิ้นสุดของงาน Motor Expo 2013 มียอดสั่งจอง HR-V หลั่งไหล
ไปยังโว์รูม Honda ทั่วประเทศไทย มากถึง กว่า 6,000 คัน และอาจต้อง
ใช้เวลาส่งมอบ นานเลยเถิดไปจนถึงเดือน กุมภาพันธ์ 2015

HR-V มีตัวถังยาว 4,294 มิลลิเมตร กว้าง 1,772 มิลลิเมตร สูง 1,605 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อยาว 2,610 มิลลิเมตร (สั้นกว่า Covoc Dimension 10 มิลลิเมตร และ
แน่นอนว่า สั้นกว่า Civic FB 50 มิลลิเมตร) ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า / หลัง (Front
& Rear Thread) 1,535 และ 1,540 มิลลิเมตร ความสูงใต้ท้องรถ (Ground
Clearance) 185 มิลลิเมตร น้ำหนักรถเปล่า ตั้งแต่ 1,255 – 1,292 กิโลกรัม ตาม
แต่ละรุ่นย่อย ความจุถังน้ำมน 50 ลิตร (ไม่รวมคอถัง)

เส้นสายตัวถังออกแบบภายใต้แนวคิด Dynamic Cross Solid เน้นให้ลู่ลมตาม
หลักอากาศพลศาสตร์ กระจังหน้าและชุดไฟหน้าแบบ Solid Wing Face ตาม
สไตล์ Honda รุ่นใหม่ ที่คลอดออกมาในช่วง 2 ปีมานี้ ชุดไฟหน้าเป็นแบบ
LED พร้อมไฟ Daytime Running Light แบบ LED ทั้งรุ่น E และ EL (ส่วน
รุ่น S เป็นแบบ Multi Reflector)

จุดเด่นของงานออกแบบ HR-V อยู่ที่ เส้นโค้งคาดกลางลำตัวรถ จากบริเวณ
มือจับเปิดประตูคู่หลัง ที่ออกแบบซ่อนไว้กับแนวกระจกหน้าต่างของบาน
ประตูคู่หลัง ในสไตล์รถยนต์ Coupe (ที่ชวนให้นึกถึง Alfa Romeo 156 อยู่
ไม่น้อย) รวมทั้งไฟท้าย LED มีมาให้ครบทุกรุ่น ยกเว้นรุ่น EL ที่เป็นแบบ
Tube เพื่อลดความเข้มของแสง ลดการแยงสายตา ส่วนไฟเลี้ยวที่ยื่นห้อย
มาเป็นติ่งขนาดใหญ่ นั้น ชวนให้นึกถึงอยู่ 2 อย่าง

1. หินงอกหินย้อน ตามถ้ำต่างๆในประเทศไทย
2. ไฟท้ายของ Acura SUV พี่น้องร่วมค่าย บางรุ่น

ภายในห้องโดยสาร ออกแบบภายใต้แนวคิด Expansive Concept
เพื่อเน้นให้ภายในรถดูกว้างขวาง โปร่งโง ของพื้นที่แผงหน้าปัด รวมทั้งยัง
จัดวาง Packaging ของตัวรถ ตามแนวทาง Smart Cross Package
ผสมผสานบุคลิกของรถยนต์ Sedan Coupe และ SUV เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อ
ให้ห้องโดยสาร อเนกประสงค์ มีตำแหน่งเบาะนั่งสูงจากรถยนต์ปกติ
ราวๆ 100 มิลลิเมตร และมีฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย

สัมผัสแรกเมื่อเปิดประตูเข้าไปนั่งบนเบาะคู่หน้า รับรู้ได้ถึงความพยายามของ
Honda ที่จะยกระดับการตกแต่งภายในห้องโดยสาร ด้วยสารพัดวัสดุบุนุ่ม หุ้ม
ด้วยหนัง ทั้งแผงประตูทั้ง 4 บาน ไปจนถึงบริเวณแผงคอนโซลกลาง แบบลอย
High Deck Console คล้ายกับ Volvo หรือ Lexus RX  

การใช้วัสดุบุนุ่มหุ้มด้วยหนังแบบนี้ มันเสริมความรู้สึก Premium ในใจของ
ลูกค้าได้อยู่ไม่น้อย แม้ว่าหนังที่ใช้ จะเป็นเกรดเดียวกันกับ Accord และ
Civic เวอร์ชันไทย ซึ่งมักจะเป็นผลงานจาก ซัพพลายเออร์ที่ชื่อ SAB ก็ตาม

เบาะนั่งคู่หน้า มาในสไตล์ค่อนข้างแข็ง และมีปีกข้างโอบกระชับอย่างชัดเจน
ล็อกตัวและสร้างความกระชับให้ผู้ขับขี่ในระดับกำลังดี ไม่มากไม่น้อยเกินไป
พนักศีรษะ แอบดันหัวนิดๆ แต่ยังอยู่ในระดับยอมรับได้ เบาะรองนั่งค่อนข้าง
แบนราบ มุมเงยไม่มากนัก ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะนั้น แม้หลังคารถจะเตี้ย
แต่กลับมีพื้นที่มากพอที่จะให้คุณส่ายหัวไปมา ไม่อึดอัดอย่างที่คิด

จะว่าไปแล้ว มันคงจะดีไม่น้อย ถ้ารุ่น EL จะมีสวิตช์ปรับตำแหน่งเบาะนั่ง
ด้วยไฟฟ้า มาให้ แทนที่จะเป็นแบบคันโยกกลไกปรับมืออย่างในปัจจุบัน

เฉพาะรุ่น EL เท่านั้น ที่จะติดตั้งสวิตช์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า แบบเลื่อนขึ้น
หรือลง เพียงครั้งเดียว One Touch มาให้ครบทั้งฝั่งซ้ายและขวา รวมทั้ง
จุดขายสำคัญอย่าง หลังคา Panoramic Sunroof เลื่อนเปิด – ปิด ด้วย
สวิตช์ไฟฟ้า แบบ One Touch พร้อมแผงบังแดด เลื่อนด้วยไฟฟ้า พร้อมกัน

พื้นที่วางแขนบนแผงประตูคู่หน้า แอบเตี้ยไปหน่อย แต่นวมวางแขน
ซึ่งเป็นฝาปิดกล่องเก็บของตรงคอนโซลกลาง ที่เชื่อมต่อจากคันเกียร์
และช่องวางแก้ว 2 ตำแหน่ง สามารถเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง มาวาง
แขน ได้สบายพอดีๆ

การก้าวเข้า – ออก จากพื้นที่ห้องโดยสารด้านหลัง คือสิ่งที่ HR-V ทำได้ดี
โดดเด่นเหนือคู่แข่งในพิกัดใกล้เคียงกันทั้ง Juke และ EcoSport เพราะ
บานประตู กว้างพอสมควร ไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก ในการก้ม
ศีรษะเข้าไป แถมพื้นที่เหนืศีรษะ ก็ยังเหลือมากกว่าใครเพื่อนอย่างน่า
ประหลาดใจได้อีก

ไม่เพียงเท่านั้น เบาะนั่งแถวหลัง คือจุดขายสำคัญของ HR-V เพราะ
การย้ายถังน้ำมันมาไว้ใต้เบาะคู่หน้า (อีกนัยหนึ่ง คือ การใช้พื้นตัวถัง
ของ Honda Fit/Jazz และ City เป็นพื้นฐาน) ช่วยให้สามารถติดตั้ง
ชุดเบาะนั่งแบบพับแบนราบได้ เหมือนเช่น Fit / Jazz ซึ่งช่วยเพิ่ม
ความอเนกประสงค์ให้กับพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังได้มากมาย
ถึงขนาดว่า คุณสามารถใส่จักรยานขนาด 27 นิ้วได้ 2 คัน (แต่มี
ข้อแม้ว่า จ้องถอดล้อคู่หน้าออก

นอกจากนี้ เบาะนั่งแถวหลังของ HR-V ยังสามารถปรับเอนลงไปได้อีก
1 จังหวะ เพื่อให้สามารถนั่งทางไกลได้สบาย ไม่ว่าผู้โดยสารจะเป็นเด็ก
หรือผู้ใหญ่ก็ตาม พนักพิงเบาะ ยังคงแน่นพอกันกับเบาะหน้า แต่ไม่แข็ง
มากเท่า เบาะแถว 2 ของ CR-V รุ่นปัจจุบัน

เบาะรองนั่ง ไม่สั้นไม่ยาวนัก รองรับต้นขาได้อยู่ พื้นที่เหนือศีรษะยังเหลือ
อีกราวๆ 1-2 นิ้วมือ สอดตรงกลางตามแนวนอน ส่วนพื้นที่วางขา แน่นอน
ว่าเหลือเฟือ ตามสไตล์ห้องโดยสารของ Honda ที่มักออกแบบภายใน
ของรถ ตามแนวทาง Man Maximum,Machine Minimum

กระจกหน้าต่างคู่หลัง เลื่อนลงได้ไม่สุดขอบราง

แผงหน้าปัดออกแบบในสไตล์รถยนต์แนวสปอร์ต ของ Honda อย่าง
CR-Z แต่เน้นบุคลิก Premium Sport ด้วยการบุหนัง และเดินแนว
ฝีเย็บตะเข็บด้าย (ปลอม) ที่ดูดีมีชาติตระกูลมาก

เครื่องปรับอากาศเป็นแบบ Digital แผงควบคุมแบบปลายนิ้วสัมผัส
ยกชุดมาจาก City กับ Jazz ใหม่ มาพร้อมช่องแอร์ ที่ออกแบบได้
หวือหวาเอาเรื่อง เพราะมันยาวเฟื้อย จนทำให้หลายคนสงสัยมาก
ว่า มันจะเป่าใส่หน้าจนชาเลยหรือเปล่า?

คำตอบก็คือ แถบช่องแอร์ สำหรับผู้โดยสารฝั่งซ้าย แบ่งเป็น 3 ช่อง
ฝั่งซ้ายสุด เย็นสุด ตรงกลาง เย็นน้อยสุด ส่วนฝั่งขวา เย็นกลางๆ
สำหรับเผื่อแผ่ให้ผู้โดยสารด้านหลัง ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก แค่ทำท่อ
แอร์ ให้มีช่องทางออกมากขึ้น แค่นั้น

ชุดมาตรวัดเป็นแบบ 3 วงกลม เรืองแสงสีขาวบนพื้นดำ มีวงแหวน
รอบมาตรวัดความเร็ว ที่เรืองแสงสีเขียว หากขับประหยัดน้ำมัน

พวงมาลัย 3 ก้าน ออกแบบใหม่ ปรับระดับ สูง – ต่ำ และระยะใกล้ – ห่าง
Telescopic ฝั่งซ้ายของก้านพวงมาลัย เป็นสวิชต์ Multi-Function ควบคุม
การทำงานของชุดเครื่องเสียง ส่วนฝั่งขวา เป็นสวิชต์ระบบล็อกความเร็ว
อัตโนมัติ Cruise Control  และแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddlse Shift ด้านหลัง
วงพวงมาลัย รวมทั้งปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์บนพวงมาลัย

ฝั่งซ้ายของพวงมาลัย จะมีสวิตช์ของระบบสตาร์ทเครื่องยนต์แบบอัจฉริยะ
Push Start ทำงานเข้าคู่กับกุญแจ Smart Keyless Entry

ชุดเครื่องเสียง ของรุ่น EL คันนี้ เป็นแบบหน้าจอสี Advanced Touch
ขนาด 7 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย Bluetooth แสดง
ข้อมูลอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง รองรับการเชื่อมต่อภาพและเสียงผ่าน 
HDMI (เสมือนเป็นหน้าขอของ iPhone ไปในตัว) รองรับระบบสั่งการ
ด้วยเสียงพูด Siri Eye Free Mode (สำหรับ iPhone 4s ขึ้นไป) และ
รองรับการเชื่อมต่อ HondaLink Application (เฉพาะ Smart Phone
บางรุ่น) พร้อมกล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ พร้อมลำโพง 6 ชิ้น
ในรุ่น E และ EL (รุ่น S เป็นชุดเครื่องเสียงแบบปกติ 4 ลำโพง) หน้าจอสี
แบบ Touch Screen ยกมาจาก City Jazz และ Odyssey ชนิดที่
เรียกว่าถ่ายเอกสารพิมม์เดียวโขลกกันออกมาเลย แต่คุณภาพของเสียงที่
ออกมา ถือว่า ยอมรับได้อยู่

จุดที่ผมมองว่า น่าปรับปรุงแก้ไข คือ การออกแบบให้ตำแหน่งของ
บรรดาสารพัดช่องเสียบ ทั้ง USB HDMI และช่องเชื่อมต่อโทรศัพท์
ต่างๆ ต้องระหกระเหินย้ายลงไปอยู่ข้างล่าง ใต้แผงควบคุมกลาง ซ่อน
อยู่ใต้ Console กลาง แบบ High Deck ผลก็คือ หากคุณคิดจะ
เสียบปลั๊กชาร์จไฟให้กับโทรศัพท์มือถือ หรือคิดจะเปลี่ยน USB
ถ้ามีผู้โดยสารนั่งไปข้างๆ ก็ต้องให้เขาก้มลงไปถอดเปลี่ยนแทน
แต่ถ้าคุณขับรถคนเดียว อาจต้องจอดรถข้างทางให้เรียบร้อย ก่อน
เปิดประตู แล้ว ก้มตัว มุดลงไปถอดเปลี่ยน Flash Drive เอาเอง

ตำแหน่งติดตั้งปลั๊กต่างๆเหล่านี้ มันไม่สะดวกต่อการใช้งานเลย
ถ้าสามารถย้ายไปอยู่ในตำแหน่งใกล้มือกว่านี้ได้ น่าจะช่วยเพิ่ม
ความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่ มากยิ่งขึ้น

อีกจุดขายสำคัญ ของ HR-V คือ การติดตั้งระบบเบรกมือไฟฟ้า
เป็นรายแรกของรถยนต์นั่งค่ายญี่ปุ่น ประกอบในเมืองไทย
การใช้งาน เหมือนเบรกมือไฟฟ้าทั่วไป แต่ ถ้ามีลูกหลาน
ใครสักคนเกิดซน ดึงเบรกมือขึ้นไป รถก็จะชะลอความเร็ว
ลงมาให้ แบบเบรกมือปกตินั่นละ

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ในขณะที่ เวอร์ชันญี่ปุ่นของ HR-V ในชื่อ Vezel มีเครื่องยนต์ให้เลือกทั้งแบบ
เบนซิน 1,500 ซีซี และ ขุมพลัง Hybrid ทว่า สำหรับตลาดโลกแล้ว HR-V ทั้ง
เวอร์ชันไทย สหรัฐอเมริกา ไปจนถึง บราซิล จะเปลี่ยนมาใช้ขุมพลังเดียวกันหมด
เป็นเครื่องยนต์เดิม ที่ถูกผลิตออกมาตั้งนานแล้ว โดยยังคงประจำการอยู่ใน Civic
ตั้งแต่ปี 2005 มาจนถึงเวอร์ชันปรับปรุงใหม่ FB ในปี 2012 และยังคงลากผลิต
มาต่อเนื่องตราบจนปัจจุบัน

นั่นคือ เครื่องยนต์ รหัส R18A บล็อก 4 สูบ SOHC 16 วาล์ว 1,798 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 81.0 x 87.3 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.6 : 1
จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด PGM-FI พร้อมระบบแปรผันวาล์ว i-VTEC และลิ้น
ปีกผีเสื้อ (คันเร่ง) ไฟฟ้า Drive-by-Wire พละกำลังสูงสุดยังคงเท่าเดิม คือ
141 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด ลดลงจาก Civic FB
0.2 กก.-ม. เหลือ 17.5 กก.-ม.ที่ 4,300 รอบ/นาที

เครื่องยนต์ R18A ยังคงถูกปรับแต่งให้สามารถเติมน้ำมันเชื้อเพลิงได้ทุกแบบ
ที่มีขายในประเทศไทย รวมทั้ง Gasohol E85 ด้วย (ก็เหมือนกับ Civic FB
1.8 L นั่นแหละ)

อย่างไรก็ตาม ขุมพลัง R18A จะไม่ได้ติดตั้งเชื่อมกับเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ
เหมือนเช่นใน Civic FB เพราะคราวนี้ Honda เลือกจะเปลี่ยนมาใช้เกียร์
อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน CVT ลูกใหม่ ที่พัฒนาขึ้นภายใต้แนวทางของ
Earthdream Technology พร้อมระบบ Shift Control of Cornering 
Gravity และ G Design Shift เฉพาะรุ่น E และ EL จะมีแป้นเปลี่ยนเกียร์
บริเวณด้านหลังพวงมาลัย Paddle Shift เพิ่มมาให้เป็นพิเศษ

อัตราทดเกียร์ D อยู่ที่ 2,526 – 0.408 : 1
อัตราทดเกียร์ R (ถอยหลัง) อยู่ที่ 2.706 – 1.480 : 1
อัตราทดเฟืองท้าย 4.992

**********สมรรถนะ (เบื้องต้น) เป็นอย่างไรบ้าง?**********

รถคันที่เราทดลองขับ ถูกจับเติมน้ำมันเบนซิน Gasohol E20 ไม่ทราบยี่ห้อ
อุณหภูมิในขณะจับเวลา อยู่แถวๆ 21 – 23 องศาเซลเซียส ลองจับเวลาเล่นๆ
แบบไม่เป็นไปตามมาตรฐานของ Headlightmag เพราะผู้ร่วมทดลองขับ
ที่นั่งไปด้วยกันอีกคน คือ น้องโอ็ต จาก เว็บ Sanook.com สรีระอวบอั๋น
เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้วมาก จนน้ำหนักผู้ขับขี่และผู้โดยสารน่าจะเกินไปกว่า
มาตรฐานของเว็บเราตามปกติ ที่ไม่ควรเกิน 170 – 180 กิโลกรัม รวมกัน
2 คน) ไปไกลพอสมควรแล้ว

อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ 10.99 วินาที
อัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ 8.34 วินาที
ความเร็วสูงสุด บอกได้แค่ว่า อาจมีเกินกว่า 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง นิดๆ

ด้านอัตราสิ้นเปลือง ตัวเลข ที่ทาง Honda ทดสอบ ตามมาตรฐาน
ของ UNECE ซึ่งเป็นมาตรฐานการทดสอบที่บริษัทรถยนต์ทั่วโลก
ใช้กัน ทำการทดสอบที่ศูนย์ Honda R&D ที่ญี่ปุ่น

Gasohol E20 ได้ 15.0 กิโลเมตร/ลิตร
Gasohol E85 ได้ 10.8 กิโลเมตร/ลิตร

พูดกันอย่างตรงไปตรงมา อัตราเร่งในภาพรวม มันไม่ได้แตกต่างไปจาก
Civic 1.8 ลิตรมากนัก ก็แหงละครับ เอาเครื่องยนต์ R18A ยกมาใส่ทั้งดุ้น
การตอบสนอง ของ HR-V มันก็ต้องเหมือนกันละครับ จะให้ไปเหมือน
เครื่องยนต์ Kubota หรือ Yanmar ก็คงจะตลกโปกฮาบ้าบอคอแตกไปละ

การตอบสนองของคันเร่ง ก็ยังต้องรอหลังจากเหยียบลงไปราวๆ 0.3 ถึง
0.5 วินาที เหมือน Civic 1.8 ลิตร ไม่มีผิดเพี้ยน แม้แต่ตัวเลขที่ออกมา ก็
ยังถือว่า ใกล้เคียงกันกับ Civic 1.8 ลิตร แต่แอบดีขึ้นกว่ากันนิดนึง เหตุ
ที่ทำเวลาได้เร็วขึ้นนั้น เป็นผลจากการเปลี่ยนมาใช้เกียร์ CVT ซึ่งช่วย
ให้เรียกอัตราเร่งมาได้อย่างราบรื่นและต่อเนื่อง โดยไม่ต้องตัดเปลี่ยน
เกียร์ เพื่อไล่รอบเครื่องยนต์กลับขึ้นไปใหม่

เป็นไปตามที่ Morishita-san พูดไว้ทุกประการเลยว่า ขุมพลัง 1.8 ลิตร
เนี่ยแหละ ที่เหมาะสมกับขนาดตัวถังของ HR-V มากที่สุด มากจนผม
เริ่มสงสัยว่า อีกหน่อย ถ้ามีรุ่น Hybrid มาขายในบ้านเราในอนาคต
อัตราเร่งจะยังคงน่าพึงพอใจได้เท่านี้อยู่หรือเปล่า?

พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมระบบผ่อนแรงเพาเวอร์แบบไฟฟ้า MA-EPS
(Motion Adaptive Electric Power Steering System) แม้จะมี
บุคลิกคล้ายกับบรรดาพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าของ Honda รุ่นอื่นๆ ในช่วง
ก่อนหน้านี้ แต่มันถูกปรับแต่งมาให้มีน้ำหนักกำลังดี บังคับเลี้ยวได้แม่นยำ
ยิ่งขึ้น หนืดเพิ่มขึ้นกว่าพวงมาลัยของ Civic 1.8 เล็กน้อย แต่น้ำหนัก และ
ความหนืดมากกว่าพวงมาลัยของ Accord G9 อย่างมาก ช่วยให้การเลี้ยว
เข้าโค้งลัดเลาะไปตามทางโค้งของเขาใหญ่ ได้อย่างสนุกสนานขึ้น

อย่างไรก็ตาม ผมตั้งข้อสังเกตไว้ว่า แท้จริงแล้ว Honda น่าจะใช้ชุด
แร็คพวงมาลัย ของ Civic มาดัดแปลง โดยใช้ มอเตอร์แบบไร้แปรงถ่าน
ติดตั้งอยู่ที่แกนพวงมาลัย อีกทั้งการสวมล้ออัลลอย 17 นิ้ว พร้อมยางขนาด
215/55 R17 ของ Dunlop ซึ่งมีน้ำหนักถ่วงเพิ่มขึ้นมา น่าจะทำให้แร็ค
พวงมาลัยมีน้ำหนักสมดุลขึ้นจนลงตัวกว่าพวงมาลัยของ Honda รุ่นอื่นๆ
ในช่วงนี้

ระบบกันสะเทือนหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต พร้อมเหล็กกันโคลง
ส่วนด้านหลังเป็นแบบ ทอร์ชันบีม H-Shape คือสิ่งที่ผมมองว่า 
อยากให้ Morishita-san นำไปปรับปรุงแก้ไขต่ออีกหน่อย

จริงอยู่ว่า HR-V ในแต่ละตลาด ทั้งญี่ปุ่น อเมริกาเหนือ จีน ยุโรป
จะถูกเซ็ตช่วงล่างมาให้แตกต่างกัน ตามความต้องการของแต่ละตลาด
และตามความเหมาะสมในสายตาของวิศวกร

แต่สำหรับเวอร์ชันไทย บอกได้เลยว่า หากคุณใช้ความเร็ว ไม่เกิน
40 กิโลเมตร/ชั่วโมง และจำเป็นต้องขับผ่านถนนลูกรัง ก้อนหิน
ดินกรวด หรือขับผ่านหลุมบ่อต่างๆ ช็อกอัพกับสปริง จะยุบตัว
ค่อนข้างน้อย จนสัมผัสถึงความตึงตังเล็กๆ ที่แฝงตัวมาให้พบ
ลงหลุมแล้ว พอจะมีอาการกระด้างนิดๆ แม้ว่า ตัวช็อกอัพเองจะ
มีระยะยุบตัวค่อนข้างเยอะพอสมควรอยู่แล้วก็ตาม

ทว่า พอใช้ความเร็วเกินกว่า 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป ช่วงล่าง
จะออกอาการ ยวบยาบนิดๆ ให้เห็นอย่างที่ไม่ควรจะเป็น ยิ่งถ้า
เป็นพื้นถนนที่มีลักษณะลอนคลื่น อาการยวบหน่อยๆดังกล่าว
จะเกิดขึ้นชัดเจนมาก อย่าได้เผลอหักหลบน้องหมาที่เดินข้าม
ถนนตัดหน้าในจังหวะนั้นด้วยความตกใจนะครับ โอกาสหลุด
พอจะเกิดขึ้นได้อยู่นะ

นอกจากนี้ ในขณะเข้าโค้ง ผมพบอาการบานออกของด้านหน้ารถ
นิดหน่อย ในช่วงที่เลี้ยวพวงมาลัย จนตัวรถอยู่ในโค้ง สัณนิษฐาน
ว่า ถ้าใส่ยางแนว Sport ที่ดีกว่านี้ ก็อาจจะช่วยลดอาการดังกล่าวลง
ได้นิดหน่อย แต่คงไม่เยอะนัก

ผมไม่ว่าเลย ถ้ารถคันนี้ มีโจทย์ในการออกแบบมาเพื่อเอาใจลูกค้า
กลุ่มที่ต้องการความสบาย รื่นรมณ์ในการขับขี่ ช่วงล่างนุ่มๆ โยนๆ
นิดๆ ในช่วงความเร็วสูงแบบนี้ อาจตอบโจทย์คนส่วนใหญ่ แต่ถ้า
คุณจะบอกว่า นี่คือ Premium Sport Crossover ที่ต้องผสมผสาน
บุคลิกของทั้ง รถยนต์ Sport Sedan , Sport Coupe และ SUV
เข้าไว้ด้วยกันในคันเดียวแล้ว ผมถือว่า ยังต้องมีการปรับปรุงให้
ช็อกอัพ หนืดขึ้น ในช่วงความเร็วสูงมากกว่านี้ ช่วงล่างต้องแข็ง
เพิ่มขึ้นกว่านี้ อีกนิดนึง จึงจะเหมาะสมกับบุคลิกของตัวรถที่
Morishita-san ตั้งเป้าไว้

ชักเริ่มอยากรู้ว่า ช่วงล่างสเป็กยุโรป นั้น เซ็ตอัพเป็นแบบไหน
เสียแล้วสิเนี่ย!

ส่วนการเก็บเสียงจากพื้นรถ แม้จะดีกว่า Civic แต่ยังถือว่า มีเสียง
จากพื้นยางมากในระดับที่รับรู้ได้ชัดเจนอยู่ดี ขณะที่การเก็บเสียง
เครื่องยนต์ แม้จะยังเงียบกว่า Civic แต่ก็ยังไม่เงียบมากเท่าที่ควร

ระบบห้ามล้อ เป็นดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ มาพร้อม ระบบป้องกันล้อล็อก
ABS (Anti-Lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรกตาม
น้ำหนักบรรทุก EBD (Electronics Brake Force Distributor)
ไปจนถึง ระบบควบคุมการทรงตัว VSA (Vehicle Stability Control)

การปรับเซ็ตระบบเบรก ถือว่าทำได้ดี ไม่ขี้เหร่ อาจต้องปรับตัวเล็กน้อย
ถ้าเพิ่งลงจากรถยนต์คันอื่นมา น้ำหนักแป้นเบรก กำลังดี เหยียบลงไป
แล้วคล้ายบุคลิกของเบรกใน Civic แต่มั่นใจกว่ากันพอสมควร การ
หน่วงความเร็วลงมา ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี

********** สรุป (เบื้องต้น) **********
ปรับช่วงล่างอีกสักหน่อย ก็จะสปอร์ตสมใจอยาก

คำถามสำคัญที่หลายคนคงอยากรู้จากปากผมในตอนนี้ก็คือ ถ้าจะซื้อ
HR-V ในตอนนี้ ถือว่า คุ้มค่าไหม เป็นอย่างไรบ้าง?

ผมไม่อาจตอบเรื่องความคุ้มค่าได้ เพราะแต่ละบ้าน แต่ละครอบครัว
ล้วนมองประเด็นความคุ้มค่า แตกต่างกันไป

แต่ถ้าถามแค่ว่า น่าซื้อไหม ก็คงต้องบอกว่า ซื้อได้ เพียงแต่ว่า คุณต้อง
ถามใจคุณดูก่อนว่า อยากได้รถยนต์ประเภทไหนกันแน่

ระหว่างรถยนต์ Sedan เตี้ยๆ หรือรถยนต์เบาะสูง ตัวถังทรงสูงขึ้น
กว่ารถยนต์ทั่วไปนิดหน่อย อย่าง Crossover SUV

รถยนต์ทั้ง 2 ประเภทนี้ มีข้อดีข้อด้อยต่างกันไป รถเก๋ง เตี้ย ลุยน้ำ
ได้ไม่สูงนัก แต่เข้าโค้งสนุก เกาะถนนมั่นใจ ขณะที่ Crossover
SUV สมัยใหม่ ก็พยายามปรับปรุงตัว ให้ขับสนุกได้ไม่แพ้กัน
เข้าโค้งได้มั่นใจไม่แพ้กัน แต่เบาะสงกว่า เห็นทางข้างหน้าชัดกว่า
และลุยน้ำได้สูงกกว่ากันนิดนึง (ขอย้ำ แค่นิดนึงเท่านั้น)

หลังจากใช้ชีวิตอยู่ด้วยการ 2 ชั่วโมง ผมได้คำตอบแล้วละว่า HR-V
มีบุคลิกภาพรวม เทียบได้ว่าเป็น Civic 1.8 ลิตร เปลี่ยนเกียร์เป็น
CVT และยกสูงขึ้นจากเดิม เป็นไปตามที่ผมคาดหมายทุกประการ

HR-V ทำได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่เท่ากับที่หลายๆคนคาดหวัง
คงเป็นเพราะยังมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงแก้ไขกันอยู่อีก 2 ประเด็น จึง
จะกลายเป็น Crossover SUV ระดับ Premium ที่สมบูรณ์อย่างที่
Morishita-san ตั้งใจ

1. ปรับเปลี่ยนสเป็กของช่วงล่าง ให้คงการตอบสนองแบบตึงตังเล็กๆ
ในช่วงความเร็วต่ำแบบนี้ไว้ เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางแบบสปอร์ต
ที่ตั้งใจ แต่เพิ่มความหนึบแน่น ในช่วงความเร็วสูงให้มากกว่านี้
เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ยานความเร็วสูงให้มากกว่านี้

2. ตำแหน่งของช่องเสียบ USB HDMI ฯลฯ นั้น อยู่ลึกไป และใช้งานยาก
เพราะต้องหยุดรถ และลุกออกจากรถ เพื่อก้มตัว มุดลงไปเปลี่ยน และเสียบ
Flash Drive กันใหม่เลยทีเดียว กันเลยทีเดียว ถ้าสามารถย้ายตำแหน่งขึ้นมา
ให้สะดวกกว่าตำแหน่งเดิมได้ น่าจะช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าได้ดี
มากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คุณอ่านมาทั้งหมดนั้น มันยังไม่ใช่บทสรุปความเห็น
ของผม ที่มีต่อ Honda HR-V อย่างเต็มรูปแบบนัก เรายังเหลือประเด็น
สำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้อยู่อีก 2 อย่าง

สำหรับใครที่อยากรู้ตัวเลขสมรรถนะแบบละเอียดกว่านี้ รวมทั้งตัวเลข
ผลการทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ตามมาตรฐานของเรา ข่าวดีที่
อยากจะบอกก็คือ คราวนี้ คงไม่ต้องรอนานจนเกินไป

ต้นปี 2015 น่าจะได้อ่านกันแน่ๆ

————————————-///—————————————-

ขอขอบคุณ / Special Thanks
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Honda Automobile (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อการเดินทาง และรถทดลองขับ

——————————–

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของทั้งผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
16 ธันวาคม 2014

Copyright (c) 2014 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
December 16th,2014 

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE