ตลาดรถยนต์ในประเทศไทย ตลอดช่วงปี 2015 นับเป็นช่วงเวลาแห่งการชะลอตัว
ต่อเนื่องจากปี 2014 จากปัจจัยหลายอย่าง ทั้งจากปัญหาความวุ่นวายทางการเมือง
เศรษฐกิจ และอุตสาหกรรม
ประเด็นข่าวสำคัญๆในปี 2014 ที่ผ่านมา ก็คือ ถึงแม้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ
(คสช.) นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาจัดการปกครองประเทศในแบบ
ชั่วคราว ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2015 (หรืออาจจะยาวกว่านั้น หากจำเป็น) จนทำให้
ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มต่างสีเสื้อ ลดทอนลงไปในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ดูเหมือน
ว่า ปัญหาที่หมักหมมกันไว้ ยังคงรอวันที่จะปะทุขึ้นมาใหม่ได้ทุกเมื่อ
ปี 2014 ถือเป็นปีที่ กลุ่มก่อการร้ายISIS เริ่มขึ้นมามีบทบาทในพื้นที่ข่าวต่างประเทศ
มากขึ้น แทนที่กลุ่ม อัลกออิดะห์ ที่เริ่มลดพิษสงลงไป แต่ภัยจากการก่อการร้าย ยังไม่
น่ากลัวเท่ากับการระบาดของ เชื้ออิโบลา ในทวีปแอฟริกา ซึ่งทำให้มีผู้ติดเชื้อมากถึง
หลายหมื่นคน และเสียชีวิตไปแล้ว หลายพันราย โดยยังไม่มีทีท่าว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
ในเร็ววัน ขณะเดียวกัน ภาคใต้ของไทย ก็ต้องเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมใหญ่ส่งท้ายปีเก่า
กันเลยทีเดียว
ไม่เพียงเท่านั้น สภาพเศรษฐกิจโลก ก็ยังไม่เป็นใจมากนัก ยุโรปอยู่ในช่วงค่อยๆ ฟื้นตัว
จากภาวะซบเซา ขณะที่สหรัฐอเมริกา ก็ยังคงวุ่นวาย ยิ่งในช่วงปลายปี 2014 รัสเซีย
โดนโจมตีค่าเงิน จนบาดเจ็บอาการหนัก ถึงแม้จะมีข่าวดีจากราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัว
ลดลงอย่างต่อเนื่อง (และส่งผลให้หุ้นไทยดิ่งร่วงในช่วงก่อนสิ้นปี) แต่ฝั่ง ญี่ปุ่น นั้น ยัง
ไม่มีสัญญาณว่าจะฟื้นตัวจากสภาพการณ์ที่พวกเขาต้องเผชิญมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่
ปี 1991 และมีแนวโน้มว่า จีนอาจจะผงาดขึ้นเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลก ต่อจากสหรัฐ –
อเมริกาในอนาคต
สภาพเศรษฐกิจโลก ย่อมมีผลกับบรรยากาศการลงทุนในประเทศไทย ทั้งทางตรงและ
ทางอ้อม ไม่เว้นแม่แต่ ภาพรวมการซื้อรถยนต์ของคนไทย ในช่วงปี 2014 ที่ผ่านมา
ก็ตกต่ำลดลงอย่างต่อเนื่อง จนหลายค่าย ทำยอดขายย่ำแย่สุดๆเท่าที่เคยเจอมาอย่าง
ไม่ค่อยเต็มใจนัก แม้ว่าหลายค่าย จะออกรถยนต์รุ่นใหม่ เพื่อหวังกระตุ้นให้มี ยอดขาย
กระชุ่มกระชวยขึ้นมาบ้าง แต่นั้นยังไม่ส่งผลเชิงบวก ต่อค่ายรถยนต์เหล่านั้นมากเท่าที่
คาดหวัง โดยเฉพาะ ค่ายที่เพิ่งคลอดรถกระบะร่นใหม่ล่าสุดออกมา กลับมียอดสั่งจอง
และยอดขาย ไม่น่าพอใจ สะท้อนให้เห็นว่า ตอนนี้ คนไทยกำลังหวั่นวิตก เกิดความ
ไม่มั่นใจต่อเศรษฐกิจ จนมุ่งเน้นการเก็บออมมากขึ้น ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น ลงทุนเท่าที่
พอจะหวังเห็นกำไรในระยะสั้นได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม ปี 2015 จะเป็นปีที่ รถยนต์รุ่นใหม่ๆ น่าจะเปิดตัวในบ้านเรา น้อยลงไป
อย่างมากเมื่อเทียบกับหลายๆปีที่ผ่านมา เนื่องจาก ทุกค่าย ต่างอยู่ในช่วงปรับตัวเพื่อ
ปรับปรุงเครื่องยนต์ ให้ปล่อยมลพิษต่ำลง ตามเกณฑ์การจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ฉบับ
ใหม่ ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การกำหนดมาตรฐานการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นหลัก
โดยมีกำหนดที่จะประกาศใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2016 หรืออีกเพียง 1 ปีเต็ม
ดังนั้น ในปี 2015 นี้ ดูเหมือนจะมีเพียง กลุ่มตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ SUV / PPV
ซึ่งสร้างขึ้นจากเฟรมแชสซีรถกระบะ เท่านั้น ที่จะแข่งขันกันอย่างดุเดือดร้อนแรงเพราะ
ทุกค่าย ต่างมีกำหนดเปิดตัว SUV / PPV รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ Full Model Change
ของตน ในปีนี้โดยพร้อมเพรียงกัน ซึ่งทุกรุ่น ถูกวางแผนงานไว้เมื่อ 3-4 ปีที่แล้วทั้งสิ้น
การเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีสรรพสามิต แบบใหม่ ซึ่งคิดคำนวนจากปริมาณการปล่อย
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ยิ่งปล่อยมาก ยิ่งต้องเสียภาษีแพงขึ้น ทำให้รถกระบะ กับ
SUV / PPV อาจมีราคา แพงขึ้นจากเดิม ดังนั้น รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ซึ่งจะออกสู่ตลาด
บ้านเรา จำเป็นต้องปรับปรุงเครื่องยนต์ ให้ปล่อยมลพิษต่ำลง เพื่อให้รองรับกับอัตรา
ภาษีสรรพสามิต แบบใหม่นี้
และในช่วง ปี 2016 – 2017 ก็จะได้เวลาที่บรรดา ECO Car Phase 1 ทุกรุ่น
จะต้องเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน Full Model Change เป็น ECO Car Phase 2
หลายค่าย เลือกจะเปลี่ยนโฉมรถยนต์ของตัวเองให้เป็นรุ่นใหม่ แต่จะมี
บางค่าย เลือกนำรถยนต์รุ่นใหม่ มาสวมแทน
เป็นประจำทุกต้นปีที่ J!MMY จะเขียนบทความสรุปความเคลื่อนไหวของปีที่แล้ว และ
สรุปความเคลื่อนไหว ของบรรดารถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่จะเปิดตัวในปีนี้ และข้อมูลการพัฒนา
รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ล้ำไปไกลล่วงหน้าก่อนสื่อรายใดถึง 4 ปี เผยแพร่ลงในเว็บไซต์ ของเรา
Headlightmag.com เป็นประจำ ทุกต้นเดือนมกราคม เพื่อเป็นของขวัญ สำหรับคุณ
ผู้อ่าน ใช้เป็นข้อมูลในการเตรียมวางแผนซื้อรถยนต์ล่วงหน้า หรือสำหรับเป็นข้อมูลในการ
ตัดสินใจ ของผู้คนในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์
ในปี 2015 นี้ ก็เช่นเดียวกัน ความเคลื่อนไหวในตลาดรถยนต์เมืองไทยนับจากนี้ จนถึงปี
2018 จะเป็นอย่างไร จะมีรถยนต์รุ่นไหนเข้ามาเปิดตัวในบ้านเรา รอให้ได้เป็นเจ้าของกัน
และมีเทคโนโลยีอะไรที่จะเข้ามาให้ผู้บริโภคชาวไทยได้สัมผัสกันบ้าง ทุกอย่าง ทุกข้อที่
คุณอยากรู้ รออยู่ในบรรทัดข้างล่างนี้ทั้งหมดแล้ว…
——————————————
***หมายเหตุ***
1. ปีนี้ ยังคงมีความเคลื่อนไหวของรถยนต์จากเมืองจีน จริงจัง แค่เพียง 1 ราย นั่นคือ
MG-SAIC เราจึงขอสรุปไว้เพียงบริษัทเดียว ส่วนบริษัทที่นำรถยนต์จีนยี่ห้ออื่นๆ เข้ามา
ขอไม่นับ เพราะบางค่ายถอดใจไปแล้ว บางค่าย เน้นแต่รถตู้เพื่อการพาณิชย์เท่านั้น
2. ปีนี้ หลายค่าย จะไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่ทำตลาด แต่เราก็ยังคงบรรจุแบรนด์เหล่านั้น ไว้ใน
บทความประจำปีนี้ เพราะในปี 2015 แต่ละค่ายจะกลับมามีความเคลื่อนไหวกันอีกครั้ง
3. ปีนี้ ขอถอด Alfa Romeo / Fiat กับ Lotus และ Tata Motors ออกจากบทความ
เพราะไม่สามารถสืบหาข้อมูลแผนการนำรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้ามาขายในบ้านเราได้เลยจริงๆ
4. ข้อมูลทั้งหมดในบทความนี้ ได้รับการตรวจสอบและยืนยันแล้วว่าถูกต้อง ตรงกับข้อมูล
ที่เราได้รับจากหลายแหล่งข่าว ณ วันที่นำบทความชิ้นนี้ ขึ้นเผยแพร่ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป
อาจมีข้อมูลดิบและ/หรือข้อมูลที่กลั่นกรองแล้วปรากฎขึ้นอีกได้ตลอดเวลา ข้อมูลเหล่านั้น
อาจคลาดเคลื่อนหรือเพิ่มเติมข้อมูลเดิมจากบทความชิ้นนี้ย่อมเป็นไปได้ เกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น
เนื่องจากรายงานข่าวประเภทเจาะโครงการลับ หรือ Spyshot นั้น ไม่มีสื่อมวลชนเล่มใด
รายใดในโลก ที่รายงานได้ถูกต้อง ตรงกับความเป็นจริง 100% ต่อให้เป็นฝรั่งมังค่าก็ตาม
คุณผู้อ่านควรติดตามข่าว “ด้วยวิจารณญาณ เหตุผลในเชิงตรรกะ หรือเกมการตลาดอย่าง
ปราศจากอคติ” รวมทั้งศึกษาจากข้อมูลที่ปรากฎอยู่ในสื่ออื่นๆ ประกอบกันด้วยอยู่เสมอ
เพื่อความสดใหม่ของข้อมูล โดยเฉพาะ ช่วงหลังจากบทความนี้ เผยแพร่สู่สาธารณชนแล้ว
5. บทความนี้ ใช้อ้างอิงได้ 1 ปี คือนับจากวันที่ 1 มกราคม 2015 ถึง 31 ธันวาคม 2015
เท่านั้น หลังจากนี้ ให้ติดตามอ่านข้อมูลอัพเดทได้ จากบทความสรุปรถใหม่ 2016 – 2019
ในวันที่ 1 มกราคม 2016
6. ถ้าต้องการนำบทความนี้ ไปเผยแพร่ที่ไหน ติดต่อมาที่ [email protected]
เพื่อ ขออนุญาตกันเสียให้ถูกต้องตามธรรมเนียม ก่อนจะนำไปเผยแพร่ ต่อไป ทั้งนี้ ขอสงวนสิทธิ์
ในการอนุญาต เพื่อให้นำไปเผยแพร่ เพื่อเป็นประโยน์แก่สาธารณชน และ ไม่ใช่เพื่อนำไปใช้ใน
ทางธุรกิจใดๆทั้งสิ้น
เมื่อได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ได้ ขอความกรุณา ขึ้นเครดิตของผู้เขียน และทำลิงค์ มายัง เว็บไซต์
Headlightmag.com ให้ถูกต้องเรียบร้อยด้วย การนำบทความไปเผยแพร่ต่อ โดยไม่ขึ้นเครดิต
และไม่มีการบอกกล่าวมายังข้าพเจ้า ถือเป็นการ ละเมิดลิขสิทธิ์ ผู้ละเมิด จะถูกดำเนินคดี ตามที่
กฎหมายบัญญัติไว้ สูงสุด โดยไม่มีการยอมความใดๆทั้งสิ้น!
(โดยเฉพาะพวกหน้าด้าน copy ไปโพสต์ในเว็บบล็อกตัวเองกันโครมๆ อย่านึกว่าไม่รู้นะ!
ปีก่อนๆ ก็โดนกันมาบ้างแล้ว ถ้ายังไม่ฟัง ก็จะต้องเจอไม้แข็งกันเสียบ้าง อย่าชุ่ย! มักง่าย!
แค่ส่งอีเมล์มาขอนำไปลงเว็บกันดีๆ ผมก็อนุญาตแล้ว ไม่เห็นจะยากเย็นวุ่นวายนักหนา หาก
ไม่ใช่เพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้า ก็ยินดีอนุญาตให้นำไปเผยแพร่เกือบจะทุกรายอยู่แล้ว ใส่
ชื่อผู้เขียน ชื่อเว็บไซต์ และทำลิงค์ให้เว็บไซต์ของเราด้วย แค่นี้ หวังว่าคงไม่ยากไปนะครับ!)
—————————————————-
ASTON MARTIN
2015 : Vanquish & Rapide with 8 Speed AT TouchTronic III
2016 : The New DB9
ในเมืองไทย การเริ่มทำตลาดของ Heritage Motor Sales & Service (ในเครือของกลุ่ม
Millennium) ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ ทำให้ชื่อของผู้ผลิตรถสปอร์ต Aston Martin
จากอังกฤษ กลับมาโลดแล่นบนพื้นที่สื่อ และบนถนนเมืองไทยอีกครั้งอย่างสวยงาม พวกเขา
เพิ่งจัดงานทดลองขับรถสปอร์ตในตระกูล 3 รุ่นรวด เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม 2014 ที่ผ่านมา
ซึ่งคุณสามารถอ่านบทความทดลองขับดังกล่าว ได้ที่นี่ (Click Here)
แต่ในปี 2015 นี้ ความเคลื่อนไหวของ Aston Martin ทั้งในเมืองนอก และเมืองไทย จะยัง
เงียบอยู่ ไม่อู้ฟู่มากนัก มีเพียงแค่การนำเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ลูกใหม่ Touchtronic III
กดปุ่มเปลี่ยนเกียร์บนแผงหน้าปัด ไปติดตั้งให้ในรุ่น Vanquish และ Saloon รุ่น Rapide
เพื่อให้ทำอัตราเร่งดีขึ้น และลดการปล่อยไอเสียลงได้นิดหน่อย
อย่างไรก็ตาม พวกเขากำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา และการทดสอบ รถสปอร์ตรุ่นใหม่
ที่จะมาทำตลาดแทน DB9 รุ่นปัจจุบัน
นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Aston Martin พวกเขาทุ่มเงิน
ลงทุน และวางเดิมพันไว้กับโครงการนี้สูงมากๆ รถสปอร์ต DB9 ใหม่ จะวางขุมพลัง ของ
Mercedes-AMG ที่ถูกพัฒนาขึ้นสำหรับ Aston Martinโดยเฉพาะ กำหนดเปิดตัวอยู่ใน
ช่วงครึ่งหลังของปี 2016 แต่จะยังไม่ออกสู่ตลาด จนกว่าจะถึงช่วงต้นปี 2017
DB9 ใหม่ จะกลายเป็นพื้นฐานให้กับ Aston Martin รุ่นอื่นๆ ยุคหลังจากนี้ ทั้ง Vantage
และ Vanquish อย่างไรก็ตาม อนาคตของ Saloon รุ่น Rapide ยังไม่แน่นอนนัก ว่าจะมี
ชะตากรรมเป็นอย่างไรต่อไป
—————————————————-
Audi
2015 : TT / Q7
2016 : The New A4 (B9) ?
ปีที่แล้ว Audi ภายใต้การทำตลาดของ กลุ่ม D.A.D ยนตรกิจ สั่งนำเข้า A3 Sedan ขุมพลัง
เบนซิน 1.4 TFSI 122 แรงม้า (BHP) บล็อกเดียวกับ Audi A1 มาขายเงียบๆ ในช่วงงาน
Bangkok Motor Show 2014 ด้วยราคา 1,990,000 บาท ตามด้วย A8 Hybrid ที่
เปิดตัวในบ้านเรา อย่างเป็นทางการกันเสียที เมื่อ28 ตุลาคม 2014 ที่ผ่านมา วางเครื่องยนต์
เบนซิน 2.0 ลิตร TSFI Hybrid 245 แรงม้า (BHP) แรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร ส่งกำลัง
ผ่านเกียร์อัตโนมัติ Tiptronic 8 จังหวะ ราคา 5,990,000 ล้านบาท พร้อมการรับประกัน 5 ปี
100,000 กิโลเมตร
ในงานดังกล่าว ผู้บริหารทางค่ายพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่า สำหรับปี 2015 พวกเขาเตรียม
สั่งนำเข้า รถยนต์รุ่นใหม่ มาเปิดตัวในบ้านเรา 2 รุ่น ทั้ง Audi TT ใหม่ และ Q7 ใหม่ล่าสุด
TT นั้น เพิ่งเปิดตัวในตลาดโลกไปเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2014 จุดเด่นของ TT ใหม่ อยู่ที่เส้นสาย
ตัวถังภายนอกที่เฉียบคมยิ่งขึ้น ส่วนภายใน ถือเป็นรถยนต์แบบแรกในโลกที่ ยุบรวมจอมอนิเตอร์
กลางคอนโซลหน้าสำหรับระบบ Infotainment และชุดมาตรวัด รวมเข้าไว้เป็นหน้าจอเดียวกัน
วางขุมพลังเบนซิน 2.0 ลิตร TFSI 230 แรงม้า (BHP) แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตร และรุ่น
เครื่องยนต์ Diesel 2.0 ลิตร TDI 184 แรงม้า (BHP) แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร
ส่วน Audi Q7 นั้น เพิ่งเผยโฉมอย่างเป็นทางการไปหมาดๆเมื่อ 12 ธันวาคม 2014 จุดเด่น
อยู่ที่การลดน้ำหนักตัวลงจากรุ่นเดิม ได้มากถึง 325 กิโลกรัม ในรุ่น Diesel รวมทั้งการติดตั้ง
ระบบอินโฟเทนเมนท์ MMI เพื่อลดจำนวนปุ่มกดต่างๆ รองรับระบบ Apple CarPlay และ
Google Android Auto มาพร้อมเครื่องเสียง ที่มีให้เลือกทั้ง Bose หรือ ระดับไอโซอย่าง
Bang & Olufsen ขนาด 1,920 วัตต์ จากลำโพงถึง 23 ชิ้น!
ขุมพลังมีให้เลือก ทั้งแบบ เบนซิน 6 สูบ 3.0 ลิตร TFSI 333 แรงม้า (BHP) แรงบิดสูงสุด
440 นิวตันเมตร ขณะที่เครื่องยนต์รุ่นเล็กสุด เบนซิน 2.0 TFSI 232 แรงม้า(BHP) แรงบิด
สูงสุด 370 นิวตันเมตร สำหรับตลาดเอเซีย และอเมริกาเหนือ จะเปิดตัวตามออกมาใน
ภายหลัง
ส่วนรุ่น Diesel Turbo นั้น เบื้องต้นจะมีแค่รุ่น 3.0 ลิตร TDI 272 แรงม้า (BHP) แรงบิด
สูงสุด 600 นิวตันเมตร แต่หลังจากนี้ จะมีรุ่น Diesel 3.0 TDI ที่ถูกหั่นแรงม้าลง เพื่อเน้น
ความประหยัด ตามออกมาในระยะถัดไป
Q7 มีกำหนดเปิดตัวครั้งแรกในโลก ณ งาน Detriot Auto Show มกราคมนี้ แต่ดูแนวโน้ม
แล้ว รุ่นเครื่องยนต์ เบนซิน 2.0 TFSI และ Diesel 3.0 TDI Low Output น่าจะมีโอกาส
เข้ามาขายในบ้านเรา ช่วงปลายปี 2015 หรือช่วงกลางปี 2016
ส่วนรุ่น Plug-in Hybrid e-Tron Quattro ซึ่งใช้ขุมพลัง Diesel 3.0 ลิตร TDI พ่วงด้วย
มอเตอร์ไฟฟ้า และเกียร์อัตโนมัติ Tiptronic 8 จังหวะ 373 แรงม้า (BHP) แรงบิดสูงสุด 700
นิวตันเมคร ประหยัดน้ำมันมากถึง 58.8 กิโลเมตร/ลิตร ปล่อยก๊าซ CO2 แค่ 50 กรัม/กิโลเมตร
และแล่นด้วยไฟฟ้าอย่างเดียวได้ไกลถึง 56 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าเป็น รถยนต์ Plug-in Hybrid
ขุมพลัง Diesel รุ่นแรกของ Audi คาดว่าน่าจะขายเฉพาะในยุโรปก่อน ที่จะเข้ามาถึงเมืองไทย
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวในการเข้ามาทำตลาดเองของบริษัทแม่จากเยอรมันี ยังมีล่องลอย
มาให้ได้ยินกันอยู่บ้าง แม้จะค่อนข้างเจือจางลงไปกว่าเดิมก็ตาม เพราะตอนนี้ Audi กำลังง่วนกับ
การประกาศแผนลงทุนครั้งมโหฬารที่สุดในประวัติศาสตร์ของตน มูลค่ามหาศาลถึง 24 พันล้านยูโร
ตลอดช่วงปี 2015 – 2019 เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ และรถยนต์รุ่นใหม่ รวมทั้งการขยายและ
ปรับปรุง สายการผลิตซึ่งรวมทั้งการเปิดตัว Audi A4 ใหม่ รหัสรุ่น B9 ที่คาดว่าจะมีขึ้นภายในช่วง
ไตรมาสแรกของปี 2015 นี้ด้วย!
—————————————————-
BENTLEY
2015 :Mulsanne Speed
2016 : SUV / Mulsanne Minorchange
2017 : SUV Plug-in Hybrid / All New Continental GT
2018 : All New Continental GTC
ปีที่แล้ว Bentley มีรถยนต์รุ่นใหม่ เพียงรุ่นเดียว นั่นคือ Bentley Mulsanne Speed เวอร์ชัน
ทรงพลังที่สุดในตระกูล Bentley ตอนนี้ เปิดตัวไปเมื่อ 16 กันยายน 2014
การปรับปรุงครั้งนี้ เน้นหนักไปที่การยกระดับสมรรถนะจากขุมพลังดั้งเดิม V8 DOHC 6.75 ลิตร
Twin Turbo ทั้ง ระบบแปรผันวาล์ว และระบบควบคุมการทำงานของเทอร์โบ เพื่อรีดกำลังได้
มากยิ่งขึ้น จากเดิม 505 แรงม้า (BHP) เป็น 530 แรงม้า (BHP) แรงบิดสูงสุด มหาศาลถึง
811 ฟุต-ปอนด์ (1,100 นิวตันเมตร / 112.09 กก.-ม.) ที่ 1,750 รอบ/นาที แต่ประหยัด
น้ำมันกว่าเดิม 13% แถมยังมีระบบลดการทำงานของลูกสูบจาก 8 สูบลงเหลือ 4 สูบ ในช่วง
รอบต่ำ ปล่อยก๊าซ CO2 342 กรัม/กิโลเมตร ลดลงจากรุ่นปกติ (393 กรัม/กิโลเมตร) เชื่อม
กับระบบขับเคลื่อนล้อหลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ จาก ZF อัตราเร่ง จาก 0-96 กิโลเมตร/
ชั่วโมง ได้ในเวลาต่ำเพียง 4.9 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 304 กิโลเมตร/ชั่วโมง
คาดว่า AAS ผู้จำหน่ายในบ้านเรา น่าจะสั่งนำเข้ามาเอาใจลูกค้ามหาเศรษฐีไทยในจำนวน
ไม่มากนัก และน่าจะเปิดตัวในงาน Bangkok Motor Show มีนาคมนี้
จากนั้นจะถึงคิวของ Bentley SUV ที่ถูกปรับปรุงจากรถยนต์ต้นแบบ EXP 9 F Concept
ก็จะถึงเวลาอวดโฉมสู่สายตามหาเศรษฐีทั้งหลาย จากภาพแอบถ่ายล่าสุดเห็นได้ชัดว่าพวกเขา
พยายามปรับปรุงเส้นสายภายนอก ของ SUV คันใหม่นี้พอสมควร หลังจากเจอเสียงวิจารณ์ใน
เชิงลบอย่างหนักจากสื่อมวลชน และลูกค้าทั่วโลก รูปโฉมด้านหน้าก็จะอ้างอิงงานออกแบบ
จากรถยนต์นั่ง Bentley หลาย ๆ รุ่น
SUV คันแรกในประวัติศาสตร์ของ Bentley จะถูกสร้างขึ้นบน พื้นตัวถังขับเคลื่อนล้อหลัง
ขนาดใหญ่ MLB Evo และอาจะติดตั้งเครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร Twin Turbo และแบบ
W12 6.0 ลิตร ที่ประจำการอยู่ใน Continental GT กับ GTC
กำหนดเปิดตัวในตลาดโลก คือ ปี 2015 แต่คาดว่าน่าจะมาถึงเมืองไทย ปี 2016 ส่วน
รุ่น Plug-in Hybrid เสียบปลั๊กชาร์จกับไฟบ้านได้ คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2017
นอกจากนี้ ปี 2016 ยังถึงเวลาในการ เปิดตัวรุ่นปรับโฉม Mulsanne Minorchange
กันอีกด้วย การปรับปรุงดังกล่าว จะส่งผลให้ตัวรถมีสมรรถนะดีขึ้น ประหยัดน้ำมันกว่าเดิม
และปล่อยไอเสีย น้อยลงกว่าเดิมนิดหน่อย
อย่างไรก็ตาม ปี 2017 ถือเป็นปีที่สำคัญ เพราะ Bentley มีกำหนดจะเผยโฉม All New
“Continental GT” รถยนต์ Coupe 2 ประตู ที่ทำรายได้หลักให้บริษัทอย่างงดงามมา
ตลอด คราวนี้ GT ใหม่ จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังใหม่ล่าสุด MSB ซึ่งมี Porsche เป็น
หัวหอกหลักในการพัฒนาพื้นตัวถังนี้ โดยจะใช้อลูมีเนียม เป็นส่วนประกอบมากขึ้น เพื่อให้
ตัวรถมีน้ำหนักเบาลงกว่าเดิม
กำหนดเปิดตัวในบ้านเรา น่าจะมาถึงในปี 2018 ซึ่งเป็นปีที่ รุ่นเปิดประทุน Continental
GTC จะตามออกมาสมทบ
—————————————————-
BMW / MINI
2015 : 7-Series Full ModelChange / X-1 Full ModelChange (Q4?)
: 3-Series Minorchange LCI / 6-Series Minorchange LCI
: MINI Clubman
2016 : 5-Series Full Model Change G30
ปี 2014 เป็นช่วงเวลาที่ BMW ขยันส่งสารพัดรถยนต์รุ่นแปลก เข้ามาชิมลางตลาดบ้านเรา
หลายรุ่น บ้างก็ประสบความสเร็จด้วยดี เช่น 3-Series GT SKD ที่ทำราคาลงมาเหลือแค่
3,190,000 บาท และขายดีพอใช้ได้ แม้แต่ i-8 รถสปอร์ตพลัง Hybrid ตัวถัง Carbon
Fiber ที่เริ่มส่งมอบแล้วในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ มี i-8 สีดำ ไปโดนรถกระบะ
ส่งของ Nissan ชนเข้าที่ประตู กลายเป็นข่าวดังในโลกโซเชียลไป 2-3 วัน เพราะค่าซ่อม
ประตูนั้น แพงจัดจนคนขับรถกระบะอาจถึงขั้นเป็นลมได้ นอกจากนี้ยังมีการจัดแคมเปญพิเศษ
โละสต็อก X3 รุ่นเดิม ช่วงไตรมาส 3 เพื่อต้อนรับการมาถึง ของ X3 Minorchange LCI
ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา
ส่วนรุ่นที่คาดหวังว่าน่าจะไปได้ดี กลับขายไม่ดี มีทั้ง 2-Series , 4-Series Gran Coupe
(ที่ไม่รู้ว่าจะสร้างขึ้นมาให้ซ้ำซ้อนกับ 3 GT กันทำไม? ถ้าจะต่างกันแค่แนวหลังคาด้านหลัง
เพียงเท่านั้น!?) แม้แต่ X4 ที่น่าจะเปรี้ยงปร้าง ก็ยังไม่เกิด ส่วน X6 อาจจะยังเร็วไปหน่อย
และการรับรู้ของคนไทย ยังไม่มากเท่าที่ควร
ในปี 2015 BMW AG. มีกำหนดจะสร้างความฮือฮาให้กับตลาด Luxury Saloon ด้วย
การเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันให้กับ 7-Series ซึ่งถือว่า มาเร็วกว่าที่คิดไว้มาก เพราะเพียงช่วง
ข้ามคืนวันขึ้นปีใหม่ ก็มีภาพถ่าย Spyshot คันจริง เต็มคัน แบบไม่ปิดบังอำพรางใดๆ ของ
730d ใหม่ รหัสรุ่น G01 และ G02 หลุดออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัวเลยทีเดียว
กำหนดเปิดตัวน่าจะเกิดขึ้นในช่วงไม่เกินกลางปีนี้ และน่าจะถูกส่งมาเปิดตัวในบ้านเรา เร็วสุด
คือช่วงปลายปีนี้ พร้อมกับการมาถึงของ BMW X-1 รุ่นเปลี่ยนโฉม Full Model Change
คาดว่า เวอร์ชันไทย น่าจะวางขุมพลัง Diesel 4 สูบ DOHC 2.0 ลิตร Intercooler พ่วง
Turbo เช่นเดียวกันกับตระกูล 3-Series Minorchange LCI ซึ่งก็มีแผนเผยโฉมออกมา
ในตลาดโลก ช่วงกลางปีนี้ พร้อมกันทั้ง Sedan และ Touring Wagon
นอกจากนี้ 6-Series ก็ถึงแก่เวลาที่จะต้องปรับโฉมหน้าตา แต่งหน้าทาปากด้วยแล้วเช่นกัน
การปรับปรุงครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มความสดใหม่ให้กับชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้า และเพิ่มลูกเล่น
ลูกเล่นอุปกรณ์ต่างๆ ให้มากขึ้นยิ่งกว่าเดิม น่าจะพบกันได้ในบ้านเราช่วงเดือนกันยายน เป็น
อย่างช้าที่สุด เพราะช่วงนั้น BMW มักจัดงาน BMW xPo ของตนเอง ช่วงนั้นเป็นประจำ
ส่วนใครที่เห็น BMW i8 แล้ว คิดว่า i3 น่าจะตามเข้ามาด้วย ขอยืนยันไว้ตรงนี้ก่อนว่า
ยังไม่มาในปีนี้แน่ๆ แต่ในอนาคต ยังไม่อาจคาดเดาได้
ข้ามฟากมาดู MINI กันบ้าง หลังจากเปิดตัวรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ Full Model Change
และตามด้วยรุ่น Hatchback 5 ประตูฐานล้อยาวแล้ว คราวนี้จะถึงคิวของ Clubman
เวอร์ชัน แวกอน ที่จะมีความยาวเพิ่มขึ้น เน้นการบรรทุกสัมภาระ เพื่อการใช้งานในเชิง
สันทนาการ กำหนดเผยโฉมในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ก่อนจะลัดฟ้ามาถึงบ้านเรา ช่วงปลายปี
ย่างเข้าสู่ปี 2016 จะเป็นปีที่สงครามรถยนต์นั่งกลุ่ม Premium Midsize Sedan ดุเดือด
เลือดกระฉูด เพราะ BMW ตัดสินใจ พัฒนา 5-Series ใหม่ ไว้ชนกับ Mercedes-Benz
E-Class รุ่นต่อไป เข้าอย่างจัง แบบไม่คิดหลบเลียง เส้นสายจะถูกปรับปรุงให้เฉียบ
และคมคายมากขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย
ขณะที่ฝั่ง MINI ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า แผนการพัฒนาตัวถัง Sedan 4 ประตู จะยังคง
เดินหน้าต่อไปจนพร้อมเปิดตัวออกสู่ตลาดจริง ตามกำหนดเดิมหรือไม่ เพราะหาก
ไม่เป็นเช่นนั้น รุ่นต่อไปที่เราจะรอลุ้นกันนั่นคือ รุ่นเปิดประทุน
—————————————————-
CHEVROLET
2015 : Cruze USA Version / Captiva Minorchange
Colorado & Trailblazer Minorchange
2016 : ECO Car “AMBER PROJECT” / New Cruze in Thaland
General Motors หรือ GM ยังคงเดินหน้าทำตลาด รถยนต์ Chevrolet ในบ้านเราต่อไป
ทั้งที่ ในปีที่ผ่านมา ไม่มี รถยนต์รุ่นใหม่ เปิดตัวสู่ตลาดอย่างจริงจัง จะมีก็แค่การส่ง Captiva
รุ่นปรับอุปกรณ์ มารับมือกับ Mazda CX-5 และ เพิ่มรุ่นพิเศษช่วงงาน Motor Expo หวังดึง
ยอดจองจาก Nissan X-Trail เพื่อให้ครองความเป็น Comact SUV 7 ที่นั่ง ที่มีเบาะแถว
3 นั่งสบายสุดในตลาดอยู่ต่อไป ขณะเดียวกัน 2014 ยังเป็นปีที่ GM ต้องเผชิญปัญหาวิกฤติ
ศรัทธาจากลูกค้าชาวไทย ต่อเนื่องจากปี 2013 หลัง Cruze Sedan เจอปัญหาเรื่องเกียร์
จนโดนล้อเลียนว่าเป็น “ขวัญใจรถยก” ทำเอาลูกค้าเบือนหน้าหนีหายไปเยอะ
ในปีนี้ รุ่นแรกที่ถึงคิวปรับโฉม Minorchange ของรถกระบะ Chevrolet Colorado และ
Chevrolet Trailblazer แม้ว่าทั้งคู่จะถูกเปลี่ยนเครื่องยนต์ DURAMAX เวอร์ชันใหม่แล้ว
ตั้งแต่ปลายปี 2013 แต่ยอดขายยังไม่กระเตื้องนัก จนถึงขั้น ต้องตัดรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ และ
Single Cab ออกไป เพราะขายไม่ออกในบ้านเรา ดังนั้นในปีนี้ เราจะได้เห็นรุ่นปรับโฉมแบบ
Minorchange ของทั้งคู่อย่างแน่นอน โดยเน้นไปที่การปรับหน้าตาใหม่ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่า
จะใช้โฉมเดียวกับตลาดอเมริกาเหนือ หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ อาจต้องมีการปรับเครื่องยนต์อีกรอบ
เพื่อให้มีมลพิษลดลง รองรับกับการเก็บภาษีสรรพสามิตใหม่ในปี 2016
ส่วนใครที่สงสัยว่า Chevrolet Captiva จะเปลี่ยนโฉมใหม่เมื่อใด คำตอบก็คือ ตอนนี้ GM
ยังคงเตรียมปรับโฉม Minorchange ให้กับ Captiva ต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่มีการปรับเปลี่ยน
เครื่องยนต์ จากเดิม ใดๆทั้งสิ้น คาดว่าน่าจะออกสู่ตลาดในปี 2015 นี้ หรืออย่างช้า ปี 2016
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวของ Chevrolet Sonic ยังคงนิ่งเงียบอยู่ และยังไม่มีทีท่า
ว่าจะปรับโฉม Minorchange ตามติดตลาดเมืองจีนแต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน ตามกำหนดการแล้ว ปีนี้ GM จะต้องเปิดตัว Cruze ใหม่ ออกสู่ตลาดโลก แต่
ในเมื่อ เวอร์ชันจีน ที่เผยโฉมไปก่อนหน้านี้ มีเสียงตอบรับจากและสื่อมวลชนลูกค้าทั่วโลก
ไม่ค่อยดี ทำให้เรายังต้องรอดู เวอร์ชันอเมริกาเหนือ ที่จะถูกนำมาเป็นต้นแบบให้กับบ้านเรา
Cruze ใหม่จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง D2XX ซึ่งเป็น Platform ใหม่ สำหรับรถยนต์นั่ง
ขับเคลื่อนล้อหน้ากลุ่ม Compact ยุคถัดจากนี้ไป ร่วมกับ Opel Astra , Opel Antara /
Chevrolet Equinox และ Buick Crossover SUV รุ่นใหม่ ที่จะมาแทรกกลาง ระหว่าง
รุ่น Encore กับ Enclave
หน้าตาของเวอร์ชันอเมริกาเหนือ จะมาพร้อมกระจังหน้าแบบ 2 ชั้น เอกลักษณ์ของแบรนด์
ในแบบที่คนทั่วโลกต้องการ ถ้านึกไม่ออกว่าเป็นอย่างไร ให้ดูรูปโฉมของกระจังหน้า Captiva
รุ่นปัจจุบัน ในเวอรชันที่กลมกลืน และลงตัวขึ้น Cruze ใหม่ จะมาพร้อมกับขุมพลัง 1.4 ลิตร
พ่วง Turbo เวอร์ชันใหม่ และ 1.8 ลิตร ใหม่ พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ Dual Clutch
กำหนดคลอด ของ Cruze เวอร์ชันอเมริกาเหนือ จะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2015 นี้ แต่คาดว่า
กว่าจะเข้ามาประกอบขายในเมืองไทย เราอาจต้องรอถึงปี 2016
นอกจากนี้ ในปี 2016 เรายังต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวของโครงการพัฒนารถยนต์ขนาด
เล็กรุ่นใหม่ สำหรับกลุ่มตลาดประเทศกำลังพัฒนา ทั้ง Brazil India Russia Mexico
และไทย ที่ชื่อว่า Amber Project ซึ่งจะมีรถยนต์ในโครงการนี้รวมทั้งหมด 3 ตัวถัง คือ
Sedan Hatchback และ SUV (ให้นึกถึงรถยนต์ต้นแบบ Chevrolet Adra สีเหลือง)
ตามกำหนดการแล้ว โครงการนี้จะเผยโฉมครั้งแรกในปี 2016 ซึ่งนั่นจะสอดคล้องกับช่วง
เวลาที่ บรรดารถยนต์ในโครงการ ECO Car Phase 2 จะเริ่มทะยอยเปิดตัวในบ้านเรา
นั่นเอง! ส่วนรุ่น SUV นั้น คาดว่าจะออกสู่ตลาดในบ้านเรา ปี 2017
—————————————————-
CITROEN
2015 : Waiting to see the future…
ผู้ผลิตรถยนต์เมืองน้ำหอม ในเครือ PsA Peugeot Citroen Group กำลังอยู่
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะมีข่าวแว่วมาว่า ขณะนี้ มีบริษัทข้ามชาติจากจีน เข้ามา
ร่วมลงทุนในกลุ่ม PSA นั่นหมายความว่า จะต้องมีการปรับเปลี่ยนทิศทางของ
การทำตลาดในแต่ละประเทศกันใหม่หมด
ขณะนี้ ผู้จำหน่ายในเกือบทุกประเทศ ได้รับการแจ้งอย่างไม่เป็นทางการว่า ยัง
สามารถทำตลาดรถยนต์ Citroen ต่อไปได้ เพียงแต่ในเมืองไทย อยู่ในระหว่าง
การทบทวนดูว่า จะเลือกทำตลาดแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง ระหว่าง Citroen ซึ่ง
เน้นทำตลาดลูกค้าทั่วไป มีรถตู้เพื่อการพาณิชย์ หรือแบรนด์ DS ซึ่งถูกแยกออก
มาจาก Citroen และมุ่งเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าระดับหรู โดยไม่มีรถตู้เพื่อจำหน่าย
ดังนั้น อนาคตของ Citroen ในเมืองไทยภายใต้กลุ่ม D.A.D Yontrakit นั้น
ยังคงมีอยู เพียงแต่ว่าจะเปลี่ยนไปในทิศทางใด ปีนี้ เราคงจะได้รับรู้กัน
—————————————————-
FERRARI
2015 : 458 Italia Minorchange & California T (Turbo)
ปีที่ผ่านมา Cavalino Motors ผู้นำเข้า Ferrari อย่างเป็นทางการในประเทศไทย
จัดงานเปิดตัว Californita ขุมพลังใหม่ V8 DOHC 3.9 ลิตร Turbo ในบ้านเราไป
เรียบร้อยแล้วเมื่อ 24 มิถุนายน 2014 แปะป้ายราคาเอาไว้ 23,219,000 บาท และ
เริ่มส่งมอบรถได้ ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
ปี 2015 นี้ใครอยากได้ 458 Italia ขุมพลัง V8 แบบไร้ระบบอัดอากาศ คุณยังพอ
มีเวลาจนถึงงาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคมนี้ เท่านั้น เพราะ Ferrari
458 Italia รุ่นต่อไปจะโยนเครื่องยนต์เดิมทิ้งและหันไปใช้ขุมพลังใหม่ V8 DOHC
3.9 ลิตร Turbocharger ที่ยกเครื่องยนต์ของ รุ่น California T มาปรับปรุงท่อ
ไอดี ท่อร่วมไอเสีย และองศาแคมชาฟท์ใหม่ ขณะนี้กำลังพัฒนาอยู่ภายใต้ โครงการ
รหัส 142M แว่วมาว่าจะมีแรงม้าในระดับ 660 – 670 แรงม้า (BHP) แรงพอที่จะ
ขยี้ McLaren 650S ได้
อนาคตของ Ferrari นับจากนี้ค่อนข้างชัดเจนว่า เครื่องยนต์พิกัด V8 สูบจะต้อง
ใช้ Turbo ช่วยเสริมกำลัง ขณะเดียวกัน ถ้าเป็นรถสปอร์ตระดับ V12 สูบ จะต้อง
จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าในลักษณะที่คล้ายกับที่เราเห็นใน LaFerrari
ทั้งหมดนี้คือความพยายามที่จะทำให้ซูเปอร์คาร์ จากค่ายม้าลำพอง ยังคงอยู่รอด
และทำตลาดได้ ภายใต้แรงกดดันด้านปัญหาสิ่งแวดล้อม จากรัฐบาลและองค์กร
ด้านมลภาวะ ซึ่งสวนทางกับความคิดของลูกค้าที่อยากได้รถสปอร์ตที่แรงและ
เร็วขึ้นมาโดยตลอด
—————————————————-
FORD
2015 : Everest Full Model Change
: Ranger Minorchange
: Focus Minorchange
: Mustang RWD 2.3 EcoBoost !!!!
2016 : ECO Car Phase 2 Based on Ford KA
2017 : Fiesta Full Model Change
ถึงจะไม่มีรถยนต์รุ่นใหม่ ตลอดปี 2014 และยังคงอยู่ในระหว่างการปรับปรุง บริการหลังการขาย
ให้ดีขึ้นกว่าเดิม (ซึ่งต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ๆ) แต่ Ford ก็ตัดสินใจ สร้างความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
ด้วยการเผยโฉม Everest SUV / PPV ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานรถกระบะ Ranger ใหม่ เวอร์ชันที่
ใกล้เคียงรุ่นจำหน่ายจริงมากที่สุด ที่เมืองจีน เมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2014 ที่ผ่านมา
Ford Everest ใหม่จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังและ Chassis T6 ใหม่ ร่วมกับ Ranger รุ่นปัจจุบัน
งานนี้ Ford Australia ยังเป็นแม่งานในการพัฒนา SUV รุ่นนี้ เกือบทั้งหมด ทีมออกแบบพยายาม
สร้างความแตกต่างให้ Everest ไม่หมือน Ranger โดยมาในแนว หรูกว่า และ อัดแน่นด้วยออพชัน
ล้ำยุคมากมาย แต่ในเบื้องต้น เวอร์ชันไทยจะยังคงใช้ขุมพลังเดียวกันกับ Ranger นั่นคือ Diesel
2.2 ลิตร Turbo Intercooler และ 3.2 ลิตร Turbo Intercooler
Everest จะพร้อมเริ่มต้นประกอบขายในเมืองไทยราวๆเดือนพฤษภาคม 2015 และจะเริ่มส่งขึ้น
โชว์รูในบ้านเรา ราวๆ เดือนมิถุนายน เป็นอย่างช้า ก่อนเริ่มส่งออกสู่ตลาดออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
และเขตตะวันออกกลาง ตามลำดับ
จากนั้น จะตามติดมาด้วยการเปิดตัว Ford Ranger Minorchange ทีจะมีหน้าตาต่างจาก
Everest ไปพอสมควร ด้วยกระจังหน้าใหม่ ที่เพิ่มบุคลิกดุดัน มากกว่ารุ่นเดิม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
ว่าใครชอบรุ่นไหน หากชอบรุ่นปัจจุบัน ก็ยังมีอยู่ในสต็อกมาพอที่จะรองรับลูกค้าได้จนถึงช่วง
กลางปี แต่ถ้าคิดว่าจะรอรุ่น Minorchange ก็น่าจะได้พบออพชันเพิ่มเติมเข้ามา ที่มากกว่า
รุ่นเดิมอยู่พอสมควร กำหนดขึ้นโชว์รูม อยู่ในเดือนกรกฎาคม
อย่างไรก็ตาม ใครที่รออุดหนุน Ford Focus โฉม Minorchange กระจังหน้า แบบใหม่
“Aston Matin” มีข่าวร้ายจะแจ้งให้ทราบคือ เนื่องจากรถรุ่นเก่ายังเหลืออยู่ในสต็อก
บานเบอะ ดังนั้น รุ่นใหม่ จึงยังจะไม่เปิดตัวในปี 2015 นี้ แต่คาดว่าจะเลื่อนไปเป็น
ปี 2016 แทน
นอกจากนี้ ปี 2016 จะมีของเล่นใหม่ สุดเซอร์ไพรส์ ที่ไม่นึกว่าจะเป็นไปได้มาก่อน นั่นคือ การ
เตรียมสั่งนำเข้า Ford Mustang ยอดรถยนต์ Sport Coupe ในตำนานอันโด่งดังจากสหรัฐฯ
เข้ามาขายให้กับลูกค้าเศรษฐีชาวไทย ที่ตีนหนักอยากได้ของแปลกจากฝั่งเมืองลุงแซมดูบ้าง ตาม
แผนเดิมคือ นำเข้ารุ่นเครื่องยนต์ เบนซินบล็อกเล็ก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.3 ลิตร EcoBoost
310 แรงม้า มาเปิดตลาดในปี 2016 แต่ไม่แน่ใจว่า จะมีรุ่นเครื่องยนต์ V8 เข้ามาในจำนวนจำกัด
หยั่งเชิงตลาดด้วยราคาสูงเกือบ 5 ล้าน ในปี 2015 ด้วยหรือไม่ ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ V6 ทำใจเลย
ว่าไม่มีในบ้านเราแน่นอน เพราะจำกัดการผลิตไว้เฉพาะพวงมาลัยซ้าย เท่านั้น
ไม่เพียงเท่านั้น ปี 2016 เรายังต้องจับตาดูว่า Ford จะเอาอย่างไรกับโครงการ ECO Car
Phase 2 หลังได้รับการอนุมัติจากภาครัฐบาลไทยไปแล้ว แนวโน้มที่เป็นไปได้มากที่สุด มี
2 แนวทาง คือเป็นไปได้ไหมว่า Ford จะจับเอา Fiesta รุ่นต่อไป Full Model Change
ที่มีกำหนดคลอดในไทยช่วงปี 2016 – 2017 ไปเข้าร่วมโครงการ ECO Car Phase 2
เพราะในปัจจุบันนี้ Fiesta EcoBoost เอง ก็มีเครื่องยนต์ 3 สูบ 1.0 ลิตร Turbo 125
แรงม้า (PS) ประหยัดน้ำมันถึง 17.9 กิโลเมตร/ลิตร หากแล่นทางไกล นั่นแปลว่าคุณสมบัติ
ของตัวเครื่องยนต์เอง ก็สามารถสอบผ่านมาตรฐาน ECO Car Phase 2 สบายๆแล้ว
แต่ถ้าไม่ Ford ไม่คิดเช่นนั้นละ? เขาจะเหลือทางเลือกอะไรอยู่?
คำตอบก็คือ Ford KA ไงละ!
ก่อนหน้านี้ Ford แสดงความสนใจจะขอเข้าร่วมเป็นผู้ผลิตในโครงการ ECO Car Phase 2
ของรัฐบาลไทย เพื่อให้ได้รับสิทธิพิเศษ ลดหย่อนด้านภาษีต่างๆมากมาย หากต้องนำรถยนต์
ขนาดเล็กกว่า Fiesta มาขายในบ้านเรา
มองไปมองมา ดูเหมือนจะมีแต่ KA นี่ละ ที่เข้าข่ายมากที่สุด เพราะเพิ่งเปิดตัวไปในตลาด
อเมริกาใต้ ตลอดช่วงปี 2014 ที่ผ่านมา เป็นรถยนต์ขนาดเล็ก กว่า Fiesta มีทั้ง Sedan
และ Hatchback 5 ประตู วาง เครื่องยนต์ 1,000 – 1,200 ซีซี แม้ว่าจะเป็น KA รุ่นที่ 3
หลังการเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1996 แต่ถือว่า ถูกเปลี่ยนแนวคิดการออกแบบจาก รถรุ่นแรก
และรุ่นที่ 2 โดยสิ้นเชิง เพื่อมาเน้นเอาใจตลาดกลุ่มกำลังพัฒนาที่ต้องการรถยนต์ราคาประหยัด
แต่ได้สมรรถนะสมตัว Option ครบๆ และ มีราคาพอจ่ายสบายๆ
หากนำมาประกอบขายที่โรงงานของ Ford ในจังหวัดระยองกันจริงๆ แล้วละก็ คาดว่า KA
เวอร์ชันไทย น่าจะางเครืองยนต์ 3 สูบ 1.0 ลิตร EcoBoost แต่เป็น เวอร์ชันที่ลดความแรง
ลง เน้นการประหยัดน้ำมันมากขึ้น แต่ต้องลดมลพิษ ยิ่งกว่าเดิม และต้องมีอุปกรณ์อำนวยความ
สะดวกมาแบบครบครัน สมราคาขายที่น่าจะตั้งไว้ ตั้งแต่ 450,000 – 600,000 บาท แต่ยัง
ไม่ต้องไปพูดถึงราคา เพราะกว่าจะเปิดตัวได้ในเมืองไทย ก็ต้องรอกันไปถึงปี 2016 เป็นอย่าง
เร็วที่สุด และ 2017 เป็นอย่างช้า แม้ว่า ตลาดอื่นๆ เขาจะเริ่มผลิตขายกันในปีนี้แล้วก็ตาม
ส่วนใครที่ยังคงตั้งคำถาม ว่า Escape / Kuga ใหม่ จะมาประกอบเมืองไทยหรือไม่ แล้ว
Focus TDCi จะเปลี่ยนใจปรับไลน์ประกอบส่งออก มาแบ่งขายในบ้านเราบ้างหรือเปล่า
แล้ว Sedan รุ่นใหญ่ อย่าง Mondeo หรือแม้แต่ Falcon รุ่นใหม่ จะมีมาขายบ้านเราบ้าง
หรือไม่
ทุกคำถาม มีคำตอบร่วมกัน เป็นคำตอบเดียว ในตอนนี้ ปี 2015 – 2017 คือ “ไม่”
—————————————————-
HONDA
2015 : No Full Modelchange (but maybe..some Minorchange)
2016 : City Hybrid / Jazz Hybrid / HR-V Hybrid /
Accord Minor change / Brio SUV ? /
Civic (Project code : 2SV) with Coupe !?
2017 : CR-V Full Model Change
Next Brio (with 1.0 Turbo?)
ปีที่แล้ว Honda ครองตำแหน่งผู้ผลิตที่กระหน่ำเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ สู่ตลาดเมืองไทยเยอะที่สุด
ทำตัวเหมือนเมื่อช่วงหลังน้ำท่วมใหญ่ ปี 2012 ไม่มีผิด!
เริ่มจาก City ใหม่ (23 มกราคม 2014) ตามด้วย Civic รุ่นปรับอุปกรณ์ (14 มีนาคม 2014)
เว้นไปอีก 2 เดือน เพื่อเจอกันกับ Jazz ใหม่ (22 พฤษภาคม 2014) จากนั้น ถึงคิวของ Accord
Hybrid (1 กรกฎาคม 2014) เว้นช่วงไปแค่เดือนครึ่ง ก็พบกับ City CNG (14 สิงหาคม 2014)
เดือนถัดมา พบกับ Mobilio Sub-Compact Minivan (12 กันยายน 2014) ที่ชูจุดเด่นด้วยการ
นำมาประกอบในเมืองไทย มีทั้ง 5 และ 7 ที่นั่ง ครบถ้วน
24 ตุลาคม 2014 เวอร์ชัน Minorchange ของ CR-V คลอดตามติดตลาดโลกอย่างับไว ปิดท้าย
ด้วยน้องนุชคันใหม่ กระชากใจตั้งแต่วัยรุ่นจนวัยชรา อย่าง HR-V เมื่อ 17 พฤศจิกายน 2014 ที่โกย
ยอดสั่งจองไปแล้วมากถึง 6,000 คัน ตั้งแต่วันเปิดตัว!! รวมแล้ว ปีเดียว Honda เปิดตัวรถยนต์ใหม่
ในไทย มากถึง 8 รุ่น!!
ในเมื่อกระหน่ำเปิดตัวไปมากขนาดนี้ ดังนั้น ในปี 2015 คุณผู้อ่าน ไม่ต้องมาถามถึงรถยนต์รุ่นใหม่ๆ
จาก Honda กันอีก เพราะพวกเขา ไม่เหลือรถยนต์รุ่นใหม่แบบ Full Modelchange ให้เปิดตัว
กันอีกเลย!
กระนั้น ปีนี้ เราอาจได้เห็นรุ่นปรับปรุงอุปกรณ์ หรือปรับโฉม Minorchange ของ Honda Civic
กับ Brio และ Brio AMAZE รวมทั้งรถยนต์นำเข้ารุ่นประหลาด ที่อาจไม่มีอยู่ในแผนมาก่อน เรา
อาจต้องมาลุ้นกันว่า StepWGN Spada รุ่นต่อไป จะถูกส่งเข้ามาจำหน่ายในเมืองไทยได้หรือไม่?
ช่างสวนทางกับแผนของ Honda ในเมืองนอก ที่จะเตรียมเปิดทางสู่การกลับมาอีกครั้งของสุดยอด
รถสปอร์ตระดับตำนาน Honda / Acura NSX ที่จะเปิดตัวในงาน Detriot Auto Show เดือน
มกราคมนี้ ถือเป็นการกลับมา พร้อมกับนวัตกรรมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Hybrid SH-AWD แบบ
ใหม่ ที่จะถูกติดตั้งให้กับ NSX เป็นครั้งแรก หลังจากที่ชาวต่างชาติได้พบเจอระบบดังกล่าวมาแล้ว
ใน Honda Legend / Acura RLX รวมทั้งการกลับมาอีกครั้งของรถสปอร์ต เปิดประทุน ขนาด
เล็ก K-Car 660 ซีซี อย่าง Honda Beat ที่จะมีขึ้นในญี่ปุ่น เพียงประเทศเดียว ช่วงกลางปีนี้
อย่างไรก็ตาม ปี 2016 คาดว่าจะเป็นปีที่ Honda ต้องกลับมาหัวปั่นกันอีกครั้ง เพราะจะเป็นปีที่
ขุมพลัง Hybrid ขนาดเล็ก i-DCD เวอร์ชันปรับปรุงใหม่ น่าจะพร้อมออกสู่ตลาดในเมืองไทยกัน
เสียที และคราวนี้ ขุมพลังดังกล่าว จะถูกนำมาติดตั้งลงในรถยนต์รุ่นเดิมถึง 3 รุ่นรวด ทั้ง City
Hybrid , Jazz Hybrid และ…HR-V Hybrid (ถือว่า เลื่อนมาจากปี 2015 ทั้ง 3 รุ่น)
ไม่เพียงเท่านั้น Honda Accord ก็ยังถึงเวลาที่จะต้องปรับโฉม Minorchange พอดี หลังจาก
ฟาดฟันกับ Toyota Camry ขึ้นแท่นยอดขายอันดับ 1 ในกลุ่ม D-Segment ตลอดปี 2014
ได้สำเร็จ ถึงเวลานั้น เราจะมาดูกันว่า Honda จะแสดงความเป็นผู้นำในกลุ่ม D-Segment ด้วย
การเผยโฉม Accord Hybrid รุ่น Plug-in เสียบปลั๊กชาร์จกับไฟบ้าน ได้ทันที หรือไม่?
อีกโครงการหนึ่งที่น่าจับตามองนั่นคือ Sub-Compact SUV คันเล็ก ที่กำลังอยู่ในระหว่างการ
พัฒนาบนพื้นตัวถังและงานวิศวกรรมของ Honda Brio กำหนดออกสู่ตลาดน่าจะเกิดขึ้นในช่วง
กลางปี 2016 ไปแล้ว
ยังไม่หมดแค่นี้ Honda Civic เองก็มีกำหนดจะเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน ในปี 2016 โดยใช้รหัส
โครงการ 2SV คราวนี้ ทีมวิศวกร ตัดสินใจ พลิกภาพลักษณ์เส้นสาย ให้ยิ่งดูสปอร์ตมากขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม ไม่แน่ใจว่า เมืองไทยจะยังคงได้ผลิตรุ่น Coupe 2 ประตู ออกขาย เหมือนเช่น
สหรัฐอเมริกา กันหรือเปล่า จับตาดูกันต่อไป
ย่างเข้าปี 2017 ก็จะถึงเวลาเปลี่ยนโฉม Full Model Change ให้กับ Honda CR-V
ซึ่งถือเป็นงานหนักของทีมวิศวกร Honda R&D อย่างยิ่ง เนื่องจากช่วงปี 2013 – 2014
2014 คู่แข่งหน้าใหม่ๆ ในตลาดนี้ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แถมยังทำผลงานด้านต่างๆ ได้ดีกว่า
CR-V ไม่น้อย แม้แต่น้องสาวร่วมตระกูล อย่าง HR-V ก็ยังมีทีเด็ด เรื่องเบาะหลังพับได้ราบ
แบบเดียวกับ Fit / Jazz (แหงละ ยกพื้นตัวถัง Fit / Jazz ซึ่งมีถังน้ำมันติดตั้งใต้เบาะคู่หน้า
มาใช้เลยนี่นา) เล่นเอา ทีมพัฒนา CR-V ถึงขั้นก่ายหน้าผาก คิดอย่างหนักว่า จะทำอย่างไร
ให้ CR-V ใหม่ โดนใจลูกค้าทั้งสหรัฐอเมริกา จีน และเมืองไทย มากกว่าที่เป็นอยู่ขึ้นไปอีก
ในปีเดียวกันนี้เอง ECO Car Phase 2 จาก Honda ก็จะถึงเวลาเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน
เสียที มั่นใจได้เลยว่า คราวนี้ Honda น่าเลิกใช้ชื่อ Brio เป็นการถาวร และเปลี่ยนชื่อรุ่น
กันใหม่ แต่สิ่งที่ยังไม่ชัดเจนคือ เราจะมีโอกาสสัมผัส ขุมพลังใหม่ 3 สูบ1.0 ลิตร i-VTEC
พ่วง Turbocharger ด้วยหรือไม่ ภาพรวมของโครงการนี้ ยังอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้
เรื่อยๆ จนกว่าจะถึงกำหนดเปิดตัว ช่วงต้นปี 2017
—————————————————-
HYUNDAI
2015 : All New TUCSON / H-1 Minorchange (Again)
ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่แดนโสม ยังคงเดินหน้าสร้างยอดขาย เพิ่มฐานลูกค้า ไปเรื่อยๆ อย่าง
มั่นคง ปี 2014 ที่ผ่านมา Hyundai Motor Thailand (ภายใต้การดูแลร่วมกันของฝ่าย
เกาหลีใต้ และพันมิตรชาวญี่ปุ่น Sojitsu) สร้างปรากฎการณ์ ให้ลูกค้าชาวไทยได้ฮือฮากับ
Hyundai Elantra Minorchange เวอร์ชันประกอบจากมาเลเซีย ช่วยให้กดราคาลงได้
ถูก จนคู่แข่งถึงขั้นหันหลังมามองเป็นตาเดียวกัน จุดขายหลักอยู่ที่ พวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า
แบบปรับน้ำหนักได้ 3 ระดับ ครั้งแรกของรถยนต์ในกลุ่ม C-Segment ของไทย เปิดราคา
กระชากใจ ช็อคตลาด ทั้ 3 รุ่นย่อย ตั้งแต่ 749,000 – 898,000 บาท และช่วยให้เพิ่ม
ยอดขายเข้ามาได้อีกไม่น้อยเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ในปี 2015 นี้ ดูเหมือนว่า Hyundai จะเหลือรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ให้เข้ามาขาย
ในบ้านเรา ไม่มากนัก ตัวเลือกสำคัญนั่นคือ รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน Full Model Change
ของ Hyundai Tucson ซึ่งอยู่ในตลาดบ้านเรามาตั้งแต่ปี 2010 และถือเป็นรถยนต์รุ่นที่
ขายดีเป็นอันดับ 2 ของ Hyundai ในไทย ตอนนี้ รองจาก รถตู้ขายดีตลอดกาลรุ่น H-1
ขณะนี้ Tucson ใหม่ อยุ่ในช่วงสุดท้ายของการพัฒนา โดยตัวรถจะมีความยาวเพิ่มขึ้นจาก
รุ่นเดิมนิดหน่อย เพื่อปรับเส้นสายให้ดูสมส่วนมากยิ่งขึ้น ภายนอกได้รับอิทธิพลการออกแบบ
จาก Hyundai Santa Fe พี่ใหญ่ระดับชายกลางในตระกูล SUV ของ Hyundai เต็มๆ
ix35 / Tucson ใหม่ มีกำหนดเปิดตัวในตลาดโลก ในช่วงปี 2015 และคาดว่า น่าจะถูก
นำมาเปิดตัวในเมืองไทย อย่างฉับไว จากเกาหลีใต้ก่อนในช่วงปี 2015 จากนั้น ค่อยรอดู
เวอร์ชันประกอบจากมาเลเซีย ราวๆ ปี 2016 – 2017
ขณะเดียวกัน Hyundai Elantra ใหม่ ก็อยู่ในระหว่างการพัฒนา และใกล้เสร็จสมบูรณ์
เตรียมพร้อมออกสู่ตลาดช่วงก่อนกลางปี 2015 นี้ ในฐานะรถยนต์รุ่นปี 2016 แต่กว่าจะ
มีโอกาสเข้ามาทำตลาดในบ้านเรา คงต้องรอกันจนึงปี 2016 – 2017 เช่นเดียวกัน
ส่วนรถตู้ H-1 ก็จะยังคงมีการแต่งหน้าทาปาก ขายกันต่อไปเรื่อยๆ อีก 2-3 ปี ก่อนจะ
ถึงเวลาเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน เรียกได้ว่า แต่งเติมเสริมลิปสติกกันจนปากฉ่ำเลยทีเดียว
—————————————————-
ISUZU
2015 : D-Max & MU-X BIG Minorchange with New Diesel 2.0 L Engine!!
2016 : D-Max & MU-X Model Year 2017
2017 : D-Max & MU-X Model Year 2018
2018 : D-Max Full Model Change ?
ถึงจะคว่ำแชมป์ยอดขายรถกระบะ จาก Toyota ไม่ได้ เพราะสภาพเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองลงมาก
แต่ Isuzu ยังคงครองแชมป์ ด้านศูนย์บริการในภาพรวมทั้งประเทศ ดีเป็นอันดับ 1 ในใจของ
ลูกค้าชาวไทย นี่คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาจะยังคงทำตลาดอยู่ในบ้านเราต่อไปได้อีกนาน เพราะ
แม้แต่ค่ายรถยนต์ระดับ Premium จากยุโรป ก็ยังดูแลลูกค้าให้ดีเท่า Isuzu ไม่ได้!
ความเคลื่อนไหวที่สำคัญสุดของเจ้าตลาดรถกระบะในเมืองไทย ในปี 2015 คือการเพิ่มปุ่ม
Push Start และปรับอุปกรณ์ให้กับทั้ง Isuzu D-Max และ MU-X รวมทั้งเน้นกิจกรรมการ
สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ทุกกลุ่ม โดยเฉพาะ กลุ่มลูกค้าของ MU-X ถึงขั้นลงทุน Wrap
Sticker ทั่ว ห้าง Tesco Lotus หลายๆสาขา กลายเป็น ห้าง MU-X ไปเรียบร้อยแล้ว!
รูปพี่ก้อง สหรัฐ พรีเซนเตอร์ ของ MU-X เด่นหราตระหง่าน เอาใจกลุ่มลูกค้าสาวเล็ก สาวใหญ่
ทั้งหลายได้อีกพะเรอเกวียน!
แต่ในปี 2015 จถึงเวลาที่ Isuzu เตรียมส่งขุมพลังรุ่นใหม่ล่าสุด ออกสู่ตลาดเมืองไทยเสียที
นั่นคือ เครื่องยนต์ Diesel 1,900 – 2,000 ซีซี Common-Rail Turbo Intercooler
ซึ่งเป็นเทคโนโลยี ที่ท้าทายแนวคิดของลูกค้าชาวไทยที่มีต่อประเด็น ความจุกระบอกสูบ
กับความแรง และความประหยัดน้ำมันอย่างรุนแรง
Isuzu ไม่ใช่รายแรกที่ใช้แนวคิด Downsizing เครื่องยนต์ ลงมา เพราะในอดีต Nissan เคย
สร้างความฮือฮามาก่อนหน้านี้แล้ว ด้วย ขุมพลัง YD25 2.5 ลิตร Turbo แปรผัน 174 แรงม้า
(PS) เมื่อต้นปี 2007 ตามด้วย Tata Xenon ที่เลือกวางเครื่องยนต์ DECOR 2.2 ลิตร ในปี
2008 จากนั้น ก็เป็น Ford Ranger / Mazda BT-50 PRO ที่เลือกจะวางขุมพลัง 2.2 ลิตร
ลงในรุ่นยอดนิยมทั้งหลาย ในปี 2011 เพียงแต่ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ไม่มีค่ายใด กล้าลด
ความจุกระบอกสูบ ของเครื่องยนต์ Diesel สำหรับรถกระบะในเมืองไทย ลงไปต่ำจนถึง
2,000 ซีซี มาก่อน และ Isuzu จะเป็นรายแรกในเมืองไทย ที่จะทำเช่นนั้น
ขุมพลังดังกล่าว จะถูกวางตำแหน่งการตลาดไว้เป็นรุ่น Top Off the line มีให้เลือกทั้งเกียร์
ธรรมดา 6 จังหวะ และอัตโนมัติ 6 จังหวะ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของตระกูล
D-Max ในช่วงครึ่งอายุตลาดของ D-Max รุ่นนี้ ขณะที่ MU-X คาดว่าน่าจะมีมาให้เฉพาะ
เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ เท่านั้น
กำหนดเปิดตัว D-Max และ MU-X ขุมพลังใหม่ น่าจะอยู่ในช่วงเดือน กรกฎาคม – กันยายน
อันเป็นช่วงเวลาดั้งเดิมที่ Isuzu มักใช้ในการเปิดตัวรถกระบะรุ่นใหม่ของตนในช่วงหลายปี
ที่ผ่านมา อย่าคาดหวังว่า ราคาจะถูกไปกว่ารุ่น Top 3.0 ลิตร VGS เดิม เพราะต้นทุนการ
พัฒนาเครื่องยนต์ใหม่นี้ สูงเอาเรือง
แต่ถ้าใครอยากรู้ว่า รุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน Full Model Change ของ D-Max จะมาไหม?
ตอบได้เลยว่า มาแน่ แต่ยังอีกนานโข นานจนลูกโตเข้าเรียนอนุบาลได้แน่ๆ ถ้าภรรยาของคุณ
คลอดลูกทันในปี 2015 นี้
นั่นเพราะ Isuzu ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ MoU (Memorendum of Understand)
กับ พันธมิตรเก่า General Motors เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2013 เพื่อจะกลับมาพัฒนารถกระบะ
รุ่นต่อไปร่วมกันอีกครั้ง (ทั้งที่ต่างก็แอบเคืองๆกันอยู่บ้าง)
แม้ Isuzu จะปฏิเสธว่า จะไม่มีการขายหุ้นให้กับทาง GM หลังจากที่ฝ่ายอเมริกัน ได้ขายหุ้น
กลับคืนไปให้ฝ่ายญี่ปุ่น เมื่อปี 2006 แต่ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างยังจำเป็นต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันอยู่ดี
เพราะ GM เอง ก็อยากจะบุกตลาด ASEAN ให้ได้มากกว่านี้ ส่วน Isuzu เอง ก็อยากให้ GM
มาช่วยลงทุนร่วมกันพัฒนารถกระบะ และเครื่องยนต์ เพื่อให้ต้นทุนในการพัฒนา ถูกลง
ในเมื่อทั้งคู่ เพิ่งจะเริ่มต้นทำงานร่วมันไปได้แค่ 1 ปี ขั้นตอนการออกแบบยังแค่เริ่มตั้งไข่
การสำรวจความเห็นของผู้บริโภคจากทั่วโลก น่าจะยังมีอยู่ต่อไป ดังนั้นกว่าที่เราจะได้เห็น
รถกระบะรุ่นใหม่หมดจดทั้งคันอีกครั้ง จาก Isuzu จึงอาจต้องรอไปถึงปี 2017 – 2018
ระหว่างนั้น Isuzu จะปรับโฉม Minorchange หรือ ปรับอุปกรณ์ ให้กับทั้ง D-Max และ
MU-X อย่างต่อเนื่อง ในปี 2016 และ 2017 เพื่อรักษาความสดใหม่ และกระตุ้นยอดขาย
ให้ยังคงอยู่ในอันดับ 1 หรือ 2 ของตลาดรถกระบะเมืองไทยให้ได้นานที่สุด
—————————————————-
JAGUAR
2015 : XE / XF Full Model Change
2016 : SUV
ไฮไต์ สำคัญของ Jaguar ภายใต้การทำตลาดของ City Automobile ในบ้านเราปีนี้ ยัง
ไม่หวือหวานัก เพราะความสนใจทั้งหมด ถูกเทไปให้กับการเปิดตัว Jaguar XE
การกลับมาของ Premium Compact Sedan ภายใต้แบรนด์ Jaguar อีกครั้ หลังจาก
ห่างหายไปเพราะเข็ดกับความล้มเหลวของ X-Type ช่วงต้นยุค 2000 ถือฤกษ์
วันที่ 8 กันยายน 2014 เปิดตัวอย่างอลังการ ริมแม่น้ำ Thames กลางกรุง London
ประเทศอังกฤษ เพื่อหวังทำยอดขายแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจากทั้ง BMW 3-Series
และ Mercedes-Bnez C-Class
มาปีนี้ คงต้องมารอดูกันว่า City Automobile จะสั่งนำเข้า XE ใหม่ มาเปิดตัวใน
บ้านเรา ได้ในช่วงใดของปี 2015 คาดกันว่า ขุมพลังน่าจะมีให้เลือก ทั้งแบบ
เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,000 ซีซี Direct Injection พ่วง Turbocharger
และเครื่องยนต์ V6 DOHC 24 วาล์ว 2,995 ซีซี Direct Injection พร้อม
Supercharger แบบ Twin-Vortex กำลังสูงสุด 340 แรงม้า (PS)
ส่วนรุ่น Diesel นั้น เป็นบล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,000 ซีซี เช่นกัน แต่
จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ Commmon-Rail-Turbo Intercooler 163 แรงม้า (PS)
ทุกรุ่น จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ จาก ZF
ข้ามไปยังปี 2016 เวอร์ชันจำหน่ายจริงของ รถยนต์ต้นแบบ C-X17 ที่เผยโฉมไปแล้ว
ในหลายๆงาน Motor Show ทั่วโลก จะเริ่มออกสู่ตลาด ในฐานะรถยนต์ ตรวจการ 5
ประตู Premium Compact Crossover SUV ที่สร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง iQ ร่วมกับ XE
คาดว่า จะวางขุมพลัง และระบบส่งกำลังร่วมกันกับ XE
ในปีเดียวกันนั้น ก็จะถึงเวลาที่ Jaguar จะเปลี่ยนโฉม Full Model Change ใหม่ทั้งคัน
ให้กับ Sedan ขนาดกลาง คู่ปรับ BMW 5-Series อย่าง XF กันเสียที เรื่องตลก ก็คือ
พื้นตัวถัง iQ ก็ยังคงรับหน้าที่เป็นพื้นฐานให้กับ XF ใหม่ เช่นเดียวกันกับ ทั้ง XE และ SUV
—————————————————-
KIA
2015 : All New “Grand Carnival”
ผู้ผลิตรถยนต์ระดับยักษ์รองจากแดนโสม อยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับ Hyundai ภายใต้การ
ดูแล ของ Yontrakit Kia Motors ยังคงทำรายได้จากทั้ง น้องนุชสุดท้องรุ่น Picanto
น้องคนกลางระดับ B-Segment อย่าง Rio ไปจนถึง SUV รุ่น Sorento และ Minivan
รุ่น Grand Carnival และรถบรรทกเล็กรุ่น K2700 ไปได้เรื่อยๆ
ปีที่แล้ว Yontrakit Kia Motor สั่งนำเข้า Kia Cerato Koup (K3 Koup) 2 ประตู
รถยนต์นั่งขับเคลื่อนล้อหน้า กลุ่ม C-Segment ที่มีเส้นสายสวยงามและลงตัวที่สุด ของ
Kia ในตอนนี้ วางขุมพลังรหัส Nu 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร 161 แรงม้า (PS)
เข้ามาขายแล้ว ในช่วงงาน Bangkok Motor Show เดือนมีนาคม 2014 ตั้งราคาขาย
ไม่ถูกไม่แพง 990,000 บาท แต่น่าเสียดายที่ไม่ค่อยโฆษณา จึงยังไม่ค่อยมีลูกค้ารู้ว่า
รถคันนี้ มีขายในบ้านเรากันแล้ว
แต่ในปี 2015 นี้ Yontrakit Kia Motors เตรียมความพร้อมมาตั้งแต่ไก่โห่ ด้วยการสั่ง
นำเข้า Kia Grand Carnival โฉมใหม่ Full Model Change Generation ที่ 4
เข้ามาถึงเมืองไทยเรียบร้อยแล้ว แต่ยังต้องรอการดำเนินเรื่อง เพื่อเตรียมเปิดตัว ในช่วง
ต้นปี 2015 หวังสร้างบรรยากาศคึกคัก กลับมายังโว์รูม Kia ในเมืองไทยอีกครั้ง เพราะ
ในอดีต Carnival รุ่นก่อนๆ คือ Minivan รุ่นทำเงิน สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำมาแล้ว
ในแทบจะทุกรุ่นที่ออกขายในบ้านเรา
เวอร์ชันตลาดโลก วางเครื่องยนต์ V6 DOHC 3.3 ลิตร GDI 276 แรงม้า (PS) แรงบิด
สูงสุด 330 นิวตันเมตร ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ และจะถูกอัดแน่น
ไปด้วยสารพัดอุปกรณ์ Infotainment มากมาย อาทิ ระบบ Telematics ที่เชื่อมต่อ
กับแอพพลิเคชั่น eServices ผ่านทาง Kia App รวมถึง Siri Eyes Free ของ Apple
แถมยังมาพร้อมกับระบบความปลอดภัยมากมาย ทั้งระบบป้องกันการพลิกคว่ำ Roll Over
Mitigation (ROM) ระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง Cornering Brake Control
(CBC) ระบบควบคุมเสถียรภาพ Vehicle Stability Management, ระบบแจ้งเตือน
การชน Forward Collision Warning System (FCWS), ระบบล็อกความเร็วคงที่
แบบอัจฉริยะ ปรับความเร็วตามระยะห่างจากรถคันข้างหน้า Smart Cruise Control
(SCC), ระบบเตือนพาหนะที่แล่นตามมาทาง้านข้าง Blind Spot Detection (BSD)
และระบบเตือนพาหนะที่แล้่นผ่านด้านหลังขณะถอยออกมาจากช่องจอด Rear Cross
Traffic Alert
เราคงต้องติดตามดูกันว่า เมื่อมาถึงเมืองไทย อุปกรณ์ล้ำสมัยเหล่านี้ จะถูกถอดออกไป
มากน้อยแค่ไหน เพื่อให้ทำราคาขายได้ถูกลง เพราะจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่อาจบอกได้
แน่ชัดว่า ราคาขายปลีก อยู่ที่ กี่ล้านบาท?
—————————————————-
Lamboghini
2015 : Huracan LP620-2 / Huracan Spyder
2016 : URUS SUV
ความเคลื่อนไหวสำคัญของ ผู้ผลิตรถสปอร์ตค่ายกระทิงผยองจากอิตาลี ภายใต้
การดูแลของ Niche Car ผู้นำเข้าและจำหน่ายอย่างเป็นทางการ นั่นคือ การเปิด
โชว์รูม Flagship ขนาดใหญ่ ริมทางหลวง Motor Way กิโลเมตรที่ 1 ใกล้กับ
ถนนพระราม 9 เมื่อวันเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา
พร้อมกันนี้ ยังเผยโฉม Lamboghini Huracan LP-610 เป็นครั้งแรกในไทย วาง
เครื่องยนต์เบนซิน V10 ไร้ระบบอัดอากาศ 610 แรงม้า (BHP) ให้อัตราเร่ง 0-100
กิดลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาเพียง 3.2 วินาที เท่านั้น ส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
แบบไฟฟ้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ LDF
ในต่างประเทศ Lamboghini จะประเดิมปี 2015 ด้วยการนำ Huracan LP620-2
ที่เพิ่งโชว์ตัวไปในงานเทศกาลรถยนต์ Monterey Car Week ช่วงปลายปี 2014
มาขายจริง รถสปอร์ตรุ่นนี้จะเป็นรุ่นปรับปรุงพิเศษที่ให้อารมณ์การขับขี่ ดิบๆ แบบรถแข่ง
Class GT3 และมีพละกำลังมากกว่า Huracan รุ่นปกติ 10 แรงม้า (BHP) เบาะนั่ง
การตกแต่งภายใน และแม้แต่เกียร์ก็ยังเป็นแบบรถแข่ง ต่างจากเวอร์ชั่นธรรมดา ชัดเจน
Huracan LP620-2 Super Trofeo นี้จะผลิตเพื่อใช้ในการแข่ง One Make Race
และโปรโมทกิจกรรมด้าน Motor Sport ให้กับ Lamboghini เป็นหลัก
ปี 2015 Lamboghini จะเสริมทัพ เพิ่มทางเลือกเอาใจอภิมหาเศรษฐี ที่รักการขับ
รถสปอร์ตเปิดประทุน ด้วย Huracan Spyder เวอร์ชันหลังคาผ้าใบ ซึ่งวางขุมพลัง
เดียวกันกับรุ่นหลังคาแข็ง กำหนดการเปิดตัวน่าจะเกิดขึ้นในปีนี้ แต่คาดว่าน่าจะมาถึง
เมืองไทย อย่างช้าที่สุด คือ ปี 2016
ส่วนปี 2016 คราวนี้จะเป็นทีของพี่เบิ้มอย่าง Aventador Super Veloce ซึ่งจะเป็น
รุ่นท้อปแรงสุดเบาสุดของตระกูล V12 โดยใช้แนวทางเดียวกับที่พวกเขาเคยสร้าง
Murcielago SV นั่นเอง แรงม้าเท่าไหร่ยังไม่แน่ชัด แต่ดูจากที่ Lamborghini เคย
ทำกับMurcielago มาแล้วนั้น…800 แรงม้า (BHP) ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
พอย่างเข้าสู่ปี 2016 จะถึงเวลาที่ เวอร์ชันจำหน่ายจริงของ Lamborghini Urus
Crossover SUV ยุคใหม่คันแรกของ Lamborcgini ที่เคยเผยโฉมไปแล้วในฐานะ
ของรถยนต์ต้นแบบจะพร้อมออกสู่ตลาดจริง แต่ในตอนนี้ ยังคงอยู่ในระหว่างการพัฒนา
และทดสอบอย่างหนัก เพื่อให้เป็น Super Crossover SUV ที่สมบูรณ์แบบมากสุด
แต่จะต้องมีค่าตัวถูกที่สุดเท่าที่ Lamborghini เคยผลิตออกมา
โครงสร้างของตัวรถจะแชร์กันกับ Audi และ Bentley โดยเครื่องยนต์จะเป็นบล็อก
V8 4.0 ลิตร Twin Turbo ของ Audi และอาจมีขุมพลัง Diesel Turbo ให้เลือก
อีกด้วย
Lamboghini ตั้งเป้ายอดขายทั่วโลกให้ได้ ปีละ 3,000 คัน แต่จนถึงตอนนี้ กำหนด
เปิดตัวยังไม่แน่ชัดว่า Urus จะออกสู่ตลาดเมื่อไหร่กันแน่ เพราะต้องรอให้ Bentley
SUV เปิดตัวเสียก่อน ดังนั้น จึงยังไม่แน่ใจว่าน่าจะมาถึงเมืองไทยได้ทันช่วงปี
2017 หรือ 2018 หรือไม่
—————————————————-
LAND ROVER
2015 : All New Discovery Sport (Freelander Replacement)
2016 : Range Rover Minorchange
2018 : All New Defender
2019 : New Model
ผู้จำหน่ายรายล่าสุดอย่าง City Automotive ยังคงขยันออกบูธจัดกิจกรรม ตามแหล่ง
ช้อปปิ้ง ของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ให้กับแบรนด์รถยนต์อเนกประสงค์จากอังกฤษ ที่ถูกกลุ่ม
Tata Motors จากอินเดีย ซื้อไปร่วมชายคากับกลุ่ม Jaguar Land Rover Group
ปี 2015 นี้เราจะได้เห็น Freelander รุ่นเปลี่ยนโฉม Full Model Change แต่มันจะ
มาพร้อมชื่อใหม่ ที่ชวนให้งุนงงสับสนกับตำแหน่งการตลาดในวันข้างหน้าแน่ๆ นั่นคือชื่อ
Discovery Sport!!
Discovery Sport เป็น SUV ทีมีขนาดเล็กกว่า Discovery และถูกสร้างขึ้นเพื่อแทนที่
Freelander มันถูกสร้างมาเพื่อเน้นการใช้งานแบบ On-Road ตามลักษณะการใช้งาน
ของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง เพียงแต่เสริมประสิทธิภาพการลุย Off-Road ดีกว่า
พวก “Soft-Roader” ของคู่แข่งอย่าง X3 ภายในห้องโดยสารจะมีเบาะนั่งแบบ 5+2
ที่นั่ง โดยเบาะแถวหลังสุดสามารถพับเก็บราบลงไปกับพื้นรถได้
แม้จะใช้ชื่อ Discovery Sport แต่ตัวรถนั้นที่จริงมีความสัมพันธ์ทางโครงสร้างกับ
Evoque/Freelander รุ่นเดิม โครงสร้างตัวรถนั้น บอดี้หลักเป็นเหล็ก แต่ฝากระโปรง
แก้มหน้า หลังคา และฝาท้าย จะทำมาจากอะลูมีเนียม ความสูงใต้ท้องรถนั้นจะน้อยกว่า
Range Rover กับ Range Rover Sport เสียอีก แต่ชิ้นส่วนของกันชนหน้าถูก
ออกแบบมาให้ถอดออกได้ง่ายเพื่อเพิ่มองศาการไต่ ถ้าหากจะลุยกันจริงๆ
ในระยะแรกจะมีเครื่องยนต์ SD4 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.2 ลิตร Turbo 187 แรงม้า
(BHP) จากรุ่น Evoque มาวางให้ก่อน เชื่อมเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ แต่หลังจากที่
Jaguar XE รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน และ Diesel Turbo ตระกูล Ingenium เปิดตัวแล้ว
Discovery Sport ก็จะได้ใช้เครื่องยนต์แบบเดียวกัน ซึ่งอาจจะกินเวลาอีกราว 2 ปี
นับจากวันนี้
พอถึงปี 2016 จะถึงคิวของ Discovery รุ่นพี่ใหญ่ (ไม่ใช่ Discovery Sport) ซึ่งจะมี
เส้นสายตัวถังคล้ายกับ Discovery Sport แต่ใหญ่โตบึกบึนกว่า Gerry McGovern ,
Chief Designer ของ Land Rover บอกไว้ว่า รถรุ่นนี้ ออกแบบยากกว่ามาก ส่วนที่
ต่างกันจริงๆ น่าจะเป็นหลังคา และเอกลักษณ์ Fourth Window (ช่องกระจกเล็กๆ
เหนือกระจกหน้าต่าง แถวตอนสาม) ซึ่งต้องพยายามสร้างงานออกแบบให้ดูลงตัวที่สุด
โดยที่ต้นทุนต้องไม่แหกกระเป๋า Land Rover เอง อย่างไรก็ตาม รายละเอียดทางด้าน
เทคนิค ยังไม่มีการเปิดเผย แต่เชื่อว่าเครื่องยนต์ Diesel V6 3.0 ลิตร ที่ประจำการอยู่
ใน Range Rover Sport นั้นน่าจะมาอยู่ใต้ฝากระโปรง Disco ใหม่ด้วย
จากนั้นในปี 2018 Land Rover Defender โฉมใหม่ที่แฟนๆของ Land Rover เฝ้า
รอคอย จะตามมา Gerry McGovern Chief Designer เจ้าเก่า ยังคงนำทีมออกแบบ
ด้วยตัวเองเหมือนเช่นเคย ใครที่คิดว่าเส้นสายจะออกมาเหมือนกับรถยนต์ต้นแบบ DC100
ที่เผยโฉมออกมาก่อนหน้านี้ น้า Garry เขาฝากบอกมาว่า “เลิกคิดเถอะครับ”
เพราะ Defender ใหม่จะเป็นรถที่แหกเหล่าแหกคอกด้านการออกแบบมากที่สุด ต่างจาก
ตระกูล Discovery และไม่เหมือน SUV จาก Land Rover เลย Defender ใหม่จะมี
ความใกล้เคียงกับ Land Rover ยุคแรกๆ มากที่สุด คือเน้นการใช้งานจริง ลุยโหดจริงๆ
กระแทกกระทั้นโหดๆ ได้จริง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่แฟนพันธ์แท้ของแบรนด์นี้ รักและชื่นชอบ
แต่ถ้าคิดว่าทั้งหมดนี้ ชวนให้สับสนงุนงงแล้ว มันยังไม่หมดแค่นี้แน่ๆ เพราะในปี 2019
พวกเขายังมีแผนเปิดตัว SUV รุ่นใหม่เพื่อให้เข้ามาแทรกระหว่าง Range Rover
Sport กับ Evoque ซึ่งตอนนี้ ยังไกลเกินกว่าจะพูดถึงรายละเอียดอย่างชัดเจน มีแค่
คำบอกเล่าว่า “จับตาดู SUV ของ Jaguar ให้ดีแล้วกัน” เพราะ SUV รุ่นใหม่จะใช้
พื้นตัวถังเดียวกันกับ Crossover SUV ของ Jaguar!
—————————————————-
MASERATI
2015 : Levante SUV / Gran Turismo V8
2016 : Maserati Alfieri
ปี 2014 ที่ผ่านมา Empire Motor ผู้นำเข้าและจำหน่าย รถสปอร์ต Maserati จากอิตาลี
สั่งนำเข้า Maserati Ghibli Saloon 4 ประตู น้องเล็กในตระกูล มาเปิดตัวที่เมืองไทย
อย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อ 15 พฤษภาคม 2014 ด้วยค่าตัว ตั้งแต่ 7,990,000 บาท ในรุ่น
Diesel V6 3.0 ลิตร Turbo 275 แรงม้า (BHP) , 8,650,000 บาท ในรุ่น เบนซิน V6
3.0 ลิตร 330 แรงม้า (BHP) และ 9,550,000 บาท ในรุ่น Chibli S เบนซิน V6 3.0 ลิตร
410 แรงม้า (BHP)
พูดกันตามตรง มันก็คือ Maserati ที่มีตัวถังเทียบเท่า BMW 5-Series แต่มีราคาในไทย
เท่าๆ กันกับ 7-Series นั่นเอง!
แต่สำหรับตลาดโลกแล้ว ปี 2015 จะถึงเวลาที่ SUV คันแรกในประวัติศาสตร์ 100 ปี ของ
Maserati ภายใต้ชื่อรุ่น Levante จะได้ฤกษ์เบิกโรงออกอวดโฉมสู่สายตาเหล่ามหาเศรษฐี
ทั่วโลกกันเสียที หลังจากเผยโฉมเวอร์ชันต้นแบบในชื่อ Kubang มาตั้งแต่ปี 2011 นานจน
หลายคน ลืมไปแล้วว่า ยังมีโครงการนี้อยู่อีกนะ!
การพัฒนา Levante ล่าช้า จนต้องเลื่อนกำหนดเปิดตัวจากเดิมออกมาอีก 1 ปี เพราะ
Maserati ตัดสินใจ ไม่ใช่โครงสร้างพื้นฐานจาก Jeep ตามแผนเดิม เพื่อให้ตัวรถมี
บุคลิกการขับขี่ ที่สมค่าแก่การรอคอยของลูกค้า Maserati อย่างแท้จริง
เบื้องต้น Levante จะใช้เครื่องยนต์ ร่วมกันกับ Ghibli ใหม่ ทั้งแบบ เบนซิน V6 3.0 ลิตร
410 แรงม้า (BHP) กับ Diesel V6 3.0 ลิตร Turbo 275 แรงม้า (BHP) และอาจมี
ขุมพลัง V8 3.8 ลิตร 530 แรงม้า (BHP) ตามมาประจำการกันอีกด้วย
Levante มีกำหนดเปิดตัวในช่วงปี 2015 แต่กว่าจะพร้อมส่งมอบได้จริง น่าจะต้องรอ
กันไปจนถึงปี 2016 และนั่นอาจทำให้มหาเศรษฐีชาวไทย ที่อยากได้มาครอบครอง
อาจต้องรอไปถึงปี 2017
อย่างไรก็ตาม ในปี 2016 จะมี เวอร์ชันเปิดประทุนสุดเท่ ของ Maserati Gran Turismo
ในชื่อ Gran-Cabrio ซึ่งใช้เครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง ร่วมกันกับ Gran Turismo นั่นเอง
ตามออกมาเสริมทัพกันอีกระลอกหนึ่ง
ล่วงเข้าสู่ปี 2016 ก็จะถึงเวลาที่ รถสปอร์ตขนาดเล็กกว่า Gran Turismo จะพร้อม
ออกสู่ตลาด ในชื่อ Maserati Alfieri โดยก่อนหน้านี้ พวกเขาเพิ่งเผยโฉมเวอร์ชัน
ต้นแบบ ในงาน Geneva Motor Show เดือนมีนาคม 2014
รถคันนี้ได้รับแรงบันดาลใจ จากรถสปอร์ต Maserati A6 GCS/53 ผลงานในปี 1954
ของ PininFarina ซึ่งถือเป็น รถสปอร์ต Maserati ที่โด่งดังมากสุดในอดีต ส่วนชื่อรุ่น
นำมาจาก Alfieri Maserati 1 ใน 5 พี่น้องตระกูล Maserati ผู้ก่อตั้งบริษัท เพื่อเป็นการ
เตรียมฉลองครบรอบ 100 ปี ของแบรนด์ Maserati ในปี 2015 เส้นสายมาในสไตล์
Coupe 2+2 ที่นั่ง วางขุมพลัง V8 4.7 ลิตร ไร้ระบบอัดอากาศ 460 แรงม้า (BHP) ที่
7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 520 นิวตันเมตร ที่ 4,750 รอบ/นาที แต่เวอร์ชันผลิต
ออกขายจริง จะวางเครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร และมีเฉพาะรุ่น Coupe 2 ประตูเท่านั้น
Maserati ประกาศแล้วว่า อยู่ในระหว่างการพัฒนา Alfieri ให้พร้อมขึ้นสายการผลิต
ออกสู่ตลาดจริง ในปี 2016 นี้
—————————————————-
Mazda
2015 : MX-5 / BT-50 PRO Minorchange
2016 : CX-3 / CX-5 Minorchange
2017 : Mazda 3 Minorchange
2018 : BT-50 PRO Minorchange
การเปิดตัว Mazda 3 ในช่วงหัวปี แล้วตามด้วยการเผยโฉม Mazda 2 ใหม่ พร้อมขุมพลัง
Diesel 4 สูบ 1.5 ลิตร Turbo ครั้งแรกในประเทศไทย ถือเป็นการบุกตลาดอย่างกล้าหาญ
ของค่ายรถยนต์ขนาดเล็กจากเมือง Hiroshima ด้วยเป้าหมายที่จะยกระดับภาพลักษณ์ของ
แบรนด์ เพิ่มจำนวนลูกค้า ที่เข้าใจ และยอมรับในเทคโนโลยี SKYACTIV ให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่ง
ปีที่แล้ว พวกเขาก็ทำสำเร็จไปได้พอสมควร ในการเข็นยอดขายของ Mazda CX-5 และ
Mazda 3 ให้กลายเป็นผู้นำในอันดับต้นๆของกลุ่มตลาด SUV และ C-Segment ได้สำเร็จ
แต่นี้ 2015 นี้ งานใหญ่อย่างการเปิดตัวออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Mazda 2 ที่จะ
มีขึ้นในวันที่ 15 มกราคมนี้ เป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่ง ขึ้นอยู่กับการเปิดราคาขายออกมา
ว่าจะยังคงอยู่ในระดับ 680,000 – 790,000 บาท อย่างที่มีการคาดเดาตลอดช่วง 3 เดือน
ที่ผ่านมา หรือไม่
ต้องทำความเข้าใจกันให้ดีๆว่า Mazda 2 นั้น เป็น รถยนต์นั่งกลุ่ม B-Segment แต่ได้รับ
สิทธิพิเศษด้านภาษีของรถยนตืกลุ่ม ECO Car มาช่วย ดังนั้น รถคันนี้จึงไม่อาจเรียกได้ว่า
เป็น ECOnomy Car แต่ มันเป็น Hi-Technology ECOlogy Car ซึ่งมีต้นทุนสูงมาก
เฉพาะแค่ตัวอย่างเช่น ชุด Intercooler นั่นก็มีการจดสิทธิบัตรเป็นรายแรกในโลกด้วยซ้ำ
นั่นจึงทำให้ต้นทุนเครื่องยนต์ Diesel 1.5 ลิตร Turbo SKYACTIV ลูกนี้ ราคาแพงมาก
ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่า เครื่องยนต์ 3 สูบ 1.0 ลิตร EcoBoost Turbo 125 แรงม้า (PS)
ของ Ford เลยด้วยซ้ำ ฉะนั้น หากไม่ได้ภาษี ECO Car มาช่วย โอกาสที่ราคาจะขยับขึ้น
ไปแตะ 850,000 บาท จtสูงมาก และอาจทำให้ Mazda 2 ใหม่ ขายไม่ออกเลย นั่นจึง
ทำให้ Mazda ต้องหาหนทางนำรถรุ่นนี้ เข้ารับสิทธิพิเศษ ECO Car จากภาครัฐ นั่นเอง
เสร็จสิ้นการเปิดตัวยว Mazda 2 ใหม่ ในวันที่ 15 มกราคมนี้ไปแล้ว แฟนๆ รถสกปอร์ต
รถสปอร์ต เปิดประทุนรดับตำนาน MX-5 อาจต้องรอคอยกัการมาถึงของ รถรุ่นใหม่ล่าสุด
Generation 4 อีกสักพัก น่าจะถูกสั่งนำเข้ามาจำหน่ายในไทยภายในปี 2015 นี้
ไม่เพียงเท่านั้น รถกระบะหน้ายิ้ม BT-50 PRO ก็ถึงเวลาต้องปรับโฉม Minorchange
ในปีนี้ด้วยเช่นกัน แนวทางการปรับชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้า และด้านหลังนั้น อาจไม่ถึงขั้น
นำเส้นสายสไตล์ KODO ใน Mazda รุ่นอืนๆ มาใช้เต็มพิกัดนัก แต่จะนำเส้นสายบางส่วน
มาประยุกต์ใช้ร่วมกัน เพื่อเพิ่มบุคลิกโฉบเฉี่ยว สวยงามลงตัว ให้มากยิ่งกว่ารุ่นเดิม แต่ด้าน
ขุมพลัง อาจมีการปรับปรุงเพิ่มเติม ไม่มากนัก ดูได้จากเครื่องยนต์ของแฝดร่วมตระกูลอย่าง
Ford Ranger ใหม่ Minorchange ได้เลย ถ้า Ford ทำอะไร Mazda ต้องทำด้วย
ขณะเดียวกัน ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2014 ที่ผ่านมา Mazda เปิดผ้าคลุมรุ่น
ปรับโฉม Minorchange ให้กับ Mazda 6 และ CX-5 ใหม่ ในสหรัฐอเมริกา
และญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้ว โดยกระจังหน้า จะมาในแนวเรียบหรู Elegance มากขึ้น
โดย ขุมพลังและเกียร์ SKYACTIV กับหน้าตาของแผงหน้าปัด จะยังเหมือนเดิม
ถ้าถามว่า จะมาถึงเมืองไทยได้เมื่อไหร่ คำตอบก็คือ ขึ้นอยู่กับว่า โรงงานที่
Mazda ว่าจ้างให้ประกอบ CX-5 ในมาเลเซีย เขาจะพร้อมปล่อยรุ่นปรับโฉม
ออกมาในช่วงใด ของปี 2015 หรือ ต้นปี 2016 ถึงตอนนั้น ลูกค้าชาวไทยก็คง
จะได้สัมผัส CX-5 Minorchange ในระยะเวลาใกล้เคียงกับผู้คนในอีกหลาย
ประเทศทั่วโลก
พอเข้าสู่ช่วงปลายปี 2015 ถึงต้นปี 2016 ใครที่รอ B-Segment Crossover
SUV ที่สร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง และใช้เครื่องยนต์กลไก ร่วมกับ Mazda 2 อย่าง น้อง
คนสุดท้อง Mazda CX-3 ใหม่ บอกได้เลยว่า เจอกันในรูปแบบรถยนต์นั่งประกอบ
ในประเทศไทย จากโรงงาน AAT ระยอง แน่นอน เก็บตังค์รอได้เลย!
Mazda CX-3 เวอร์ชันไทย คาดว่าจะวางเครื่องยนต์ Diesel 1.5 ลิตร Turbo
SKYACTIV พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ SKYACTIV ที่ยกชุดมาจาก Mazda
2 ใหม่ กันทั้งดุ้น และคาดว่าน่าจะมีอุปกรณ์ Infotainment ในแบบเดียวกันกับ
Mazda 2 ใหม่ ด้วยเช่นกัน
ส่วน Mazda 6 บอกได้เลยว่า ตอนนี้ ยังไม่มา! แม้จะยังพอมีความเป็นไปได้ใน
การนำรถยนต์รุ่นนี้ ไปขึ้นสายการประกอบในมาเลเซีย เพื่อให้ส่งขายได้ทั่วเขต
ASEAN ก็ตาม แต่ในเมื่อตลาดรถยนต์กลุ่ม D-Segment ของบ้านเราในช่วงนี้
ยอดขายต่ำเตี้ยเรี่ยพื้นเกินกว่าจะเสี่ยงดวง ดังนั้น ไว้รออีกสักระยะน่าจะดีกว่า
—————————————————-
Mercedes-Benz
2015 : CLA Shooting Break (Febuary)
: AMG GT & S-Class Coupe (Bangkok Motor Show : March)
: C-Class CKD (Mid-Year)
: M-Class –> Change name to GLE
: GLE – Coupe SUV
: GLC (Motor Expo : November)
2016 : All New E-Class
ตลอดปี 2014 ค่ายรถยนต์ตราดาวจากเยอรมันี ง่วนอยู่กับสารพัดการนำเข้าและโปรโมท
รถยนต์รุ่นใหม่จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตระกูล C-Class W205 ที่ยกโขยงกัน
เข้ามาอย่างกับเขื่อนแตก ทำราคายั่วกิเลสเศรษฐีน้อยใหญ่และเศรษฐีใหม่จำนวนมาก
ทั้ง C180 Elegance กับ C250 Sport รวมทั้ง GLA200 (ที่ดึง ชมพู่ อาริยา เอ ฮาร์เก็ต
จากการเป็นพรีเซ็นเตอร์ Nissan Sylphy ให้มาเป็น Brand Ambassader ของ GLA
แทน), ไปจนถึง C-Class Estate Hybrid C-300 Hybrid ในช่วงปลายปี อีกทั้งยังมีรุ่น
ใหญ่ยักษ์ เข้ามาเปิดตัวในบ้านเรานั่นคือ S400 Hybrid ที่ยังทำยอดขายได้ไม่ถึงกับ
เปรี้ยงปร้างนัก เพราะหลายคน รอดูเวอร์ชันประกอบในประเทศ S300 Bluetec
Hybrid ที่ทำราคาถูกกว่ารุ่นนำเข้าทั้งคันเยอะอยู่ ส่วน CLS-Minorchange ที่กดราคา
ลงต่ำเหลือ 4.49 ล้านบาท และ E-Class Coupe & Cabriolet ก็ยังเรียกความสนใจ
จากลูกค้าได้มากมายเช่นเดิม
ในปี 2015 นี้ Mercedes-Benz Thailand จะเน้นนำเข้าสารพัดของแปลกจากเยอรมันี
มาให้คนไทยได้สัมผัสกัน ประเดิมด้วย CLA Shooting Break เวอร์ชันแวกอน
ท้ายลาดของ CLA ที่เพิ่งเผยโฉมไปหมาดในตลาดโลกช่วงปลายปี 2014 ข้ามโลก
มาให้เป็นเจ้าของกันฉับไว ด้วยขุมพลังเดียวกันกับ CLA 250 ที่ขายกันอยู่แล้วใน
ตอนนี้ เจอกันได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2015
จากนั้น ในเดือนถัดไป ค่ายตราดาว เตรียมรถสปอร์ต และ Coupe เอาใจเศรษฐีที่ชอบ
ขับรถแรง แต่ยังรักบุคลิกไฮโซ ไว้อวดโฉมในงาน Bangkok Motor Show มากันครบ
ทั้ง AMG GT สปอร์ตตราดาว ที่ Gordon Wagener หัวเรือใหญ่ฝ่ายออกแบบของ
Mercedes-Benz ยืนยันว่า “รถคันนี้ ไม่ได้มาเพื่อแทนที่ SLS แน่นอน มันคือรถคนละ
พิกัด ต่างระดับราคากัน” เปิดตัวในตลาดโลกไปเมื่อ 10 กันยายน 2014
ทีเด็ดอยู่ที่เส้นสายภายนอก มาในแนวโค้งมน ลบเหลี่ยมมุมจาก SLS จนลืมประตูแบบ
ปีกนก Gullwing ไปได้เลย นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับขุมพลังใหม่ M178 V8 DOHC
32 วาล์ว 3,982 ซีซี.Twin Turbo 462 แรงม้า (PS) ที่ ค่ายตราดาว หมายมั่นว่า
จะขอประมือกับ Porsche 911, Jaguar F-Type Coupe, Aston Martin
Vantage ราคานั้น ทะลุหลัก 10 ล้านบาทไปแน่ๆ แต่ยังไม่มีใครตอบได้ว่าควรจะไป
จบที่เท่าไหร่ หากต้องจ่ายภาษีนำเข้าเต็มพิกัด
ถ้าคิดว่าอยากประหยัดงบลงมาสักหน่อย แต่เน้นความหรูฟู่ฟ่า ขับไปทำงานได้ทุกวัน
คงต้องมองไปที่ S-Class Coupe ใหม่ ซึ่งเผยโฉมไปแล้วในตลาดโลกตั้งแต่วันที่
11 กุมภาพันธ์ 2014 แต่จะมาถึงบ้านเรา พร้อมกันกับ AMG GT โดยจะมีให้เลือกใน
รุ่น S500 เพียงแบบเดียว เครื่องยนต์ V8 4,663 ซีซี Twin-Turbo 455 แรงม้า
(PS) แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร
จุดขายสำคัญ อยู่ที่การติดตั้งระบบ Magic Body Control ที่ช่วยควบคุมช่วงล่าง
ให้นุ่มนวล ขณะขับขี่ในเมือง เหมือน S-Class Saloon แต่เพิ่มมีฟังก์ชันปรับองศา
เอียงตอนเข้าโค้ง “ครั้งแรกในรถยนต์ที่ผลิตออกมาจำหน่ายจริง” ทำให้ S-Class
Coupe สามารถเอียงเข้าโค้งเรียบเนียนดุจนักเล่นสกีและนักขี่รถจักรยานยนต์
พร้อมกันนี้ยังติดตั้งระบบ Active Body Control ที่ช่วยปรับสตรัทผ่านลูกสูบ
ไฮโดรลิค ะช่วยทำให้ล้อแต่ละข้างกดพื้นกับถนน แม้กระทั่งตอนเลี้ยวเข้าโค้ง
ทำให้ตัวรถเอียงได้มากสุด 2.5 องศา แล้วแต่ความโค้งของถนนและความเร็ว
นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบตรวจส่องพื้นถนนด้วยกล้องแบบ Stereo ที่สามารถ
ตรวจจับถนนโค้งล่วงหน้าได้ 15 เมตร ก่อนที่จะกระตุ้นให้ระบบรองรับการ
เข้าโค้งทำงาน
นอกจากนี้ ใครที่รอ C-Class ประกอบในประเทศไทย รอพบ C 300 Bluetec
Hybrid ได้ก่อนเพื่อน ในช่วงกลางปี 2015 จากนั้น จะตามด้วยฝูง SUV ที่จะ
มีการปรับเปลี่ยนชื่อรุ่นใหม่ ตามตลาดโลก ทั้ง M-Class ที่จะเปลี่ยนชื่อเป็น
GLE มีทั้งตัวถังมาตรฐานที่ขายกันมา 2 ปีแล้ว รวมทั้ง GLE Coupe รุ่นใหม่
ล่าสุด ที่เพิ่งเผยโฉมกันไปหยกๆ เมื่อ 10 ธันวาคม 2014 ที่ผ่านมา เพื่อหวัง
ต่อกรกับ BMW X6 ใหม่
ส่งท้ายในช่วงสิ้นปี จะถึงคิวของ GLC ใหม่ ซึ่งต้องท้าวความกันก่อนว่า มันก็คือ
GLK Premium Compact Crossover SUV น้องเล็กสุดในตระกูล ที่เคย
ออกสู่ตลาดมาแล้วหลายปีนั่นเอง
เพียงแต่คราวนี้ พวกเขาจะส่งรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่หมดทั้งคัน Full Model Change มา
บุกตลาดเมืองไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรก ซึ่งจะมาพร้อมกับชื่อใหม่ GLC โดยวาง
เป้าหมายประกบและต่อกรกับ BMW X3 ความพิเศษอีกประการก็คือ การขึ้นสายผลิต
เวอร์ชันพวงมาลัยขวาเป็นครั้งแรก เพราะที่ผ่านมา GLK ไม่มีรุ่นพวงมาลัยขวามาก่อน
กำหนดเปิดตัว จะมีขึ้นในงาน Motor Expo เดือนพฤศจิกายน 2015
ส่วนใครที่รอดูความเคลื่อนไหวของ E-Class รุ่นต่อไป คาดว่า ในช่วงสิ้นปี 2015 นี้
เราอาจจะได้เห็นการเผยโฉมอย่างเป็นทางการของ ชายกลางแห่งตระกูล ผู้ครองความ
เป็นแชมป์รถยนต์นั่งระดับ Premium Mid-size ตลอดกาลในบ้านเรา กันเสียที โดย
คาดว่าจะมีเส้นสายตัวถัง ไม่ต่างไปจาก S-Class และ C-Class Saloon มากนัก
—————————————————-
MG-SAIC
2015 : MG 3 / MG6 Minorchange
2016 : New SUV
การกลับมาบุกตลาดเมืองไทย อีกครั้งของ MG หลังหายหน้าหายตาไปเกือบ 20 ปี
เริ่มต้นได้ไม่ค่อยดีอย่างที่คิด แม้ว่าความพยายามในการสร้างแบรนด์ ด้วยการโหม
โฆษณาในทุกสื่อ อย่างหนักหน่วง จะทำให้ลูกค้าในกลุ่มที่ไม่รู้เรื่องรถยนต์มากนัก
เข้าใจว่า MG คือรถยุโรป มาจากอังกฤษ เป็นผลสำเร็จ ทว่า ลูกค้าในกลุ่มคนรักรถ
ก็รู้อยู่เต็มอก ว่า MG ถูกซื้อกิจการไปอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ใหญ่สุดใน
เมืองจีน อย่าง SAIC มานานแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น แม้ว่า ลูกค้าจะยอมรับคุณภาพของห้องโดยสาร MG 6 รถยนต์นั่ง
C-Segment รุ่นแรกที่ใช้ในการเปิดตัวกลับคืนสู่ตลาดบ้านเรา แต่สมรรถนะของรถ
ในภาพรวม ยังไม่น่าประทับใจเพียงพอ “เครื่องอืด คันเร่งเหียก เกียร์ห่วย” เป็น
คำจำกัดความที่ตรงไปตรงมามากสุดสำหรับ MG6 รุ่นแรก นอกจากนี้ การขยาย
โชว์รูมผู้จำหน่าย ในช่วงแรก ยังล่าช้าไปกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ลูกค้าจึงยังไม่ค่อย
มั่นใจในการกลับมาของ MG ครั้งนี้ เท่าที่ควร
ฉะนั้น ปี 2015 จึงยังเป็นอีก 1 ปี ที่ MG จะยังมีเวลาแก้ไขในสิ่งที่พลาดไป ทั้งการ
ปรับปรุง MG 6 ใหม่ ในรุ่นปรับโฉม Minorchange ให้ดีขึ้นยิ่งกว่านี้ โดยเฉพาะ
ด้านสมรรถนะ การตอบสนองของคันเร่ง และเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch ที่ต้อง
ไวขึ้นกว่านี้ อีกทั้งต้องปรับให้เครื่องยนต์ 2,0 ลิตร ให้รองรับการเติมน้ำมันเบนซิน
แก็สโซฮอลล์ E85 ได้ คาดว่า MG 6 Minorchange น่าจะออกสู่ตลาดได้ในช่วง
กลางปี 2015
แต่ก่อนที่เราจะได้พบกับ MG 6 Minorchange กัน SAIC มีกำหนดจะส่ง MG3
Sub-Compact Hatchback 5 ประตู อันเป็นผลผลิตรุ่นที่ 2 ซึ่งเปิดตัวสู่ตลาดโลก
มาตั้งแต่ปี 2013 มาบุกตลาดเมืองไทย ในปี 2015 นี้ด้วยเช่นกัน MG เพิ่งส่ง MG 3
รุ่นตกแต่งพิเศษ ไปอวดโฉมต่อสายตาชาวไทย ในงาน Motor Expo เดือนพฤศจิกายน
2014 ที่ผ่านมา รวมทั้งหมด 3 คัน เพื่อให้คำมั่นกับลูกค้าชาวไทยว่า “มาแน่ๆ”
ตัวรถมีความยาว 4,018 มิลลิเมตร กว้าง 1,729 มิลลิเมตร สูง 1,507 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ 2,520 มิลลิเมตร วางเครื่องยนต์ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,498 ซีซี
หัวฉีด Multi-Point Injection 106 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
137 นิวตันเมตร (13.96 กก.-ม.) ที่ 4,750 รอบ/นาที ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์
ธรรมดา 5 จังหวะ เป็นพื้นฐาน และจะมีเกียร์อัตโนมัติให้เลือกด้วย
MG หมายมั่นปั้นมือจะให้ MG 3 เป็นทางเลือกใหม่ สำหรับลูกค้าที่อยากลองเปลี่ยน
จากรถญี่ปุ่น อย่าง Toyota Yaris , Honda Jazz , Mazda 2 หรือแม้แต่คู่แข่ง
จากฝั่งอเมริกาเหนือ อย่าง Ford Fiesta และ Chevrolet Sonic มาขับรถเก๋ง
ท้ายตัดสไตล์อังกฤษ (ลูกครึ่งจีน) ดูบ้าง โดยเวอร์ชันไทย จะมีให้เลือกทั้งแบบ
มาตรฐาน และแบบ Cross ยกสูงกว่ารุ่นปกติ เล็กน้อย
กำหนดการเปิดตัว ของ MG 3 จะเกิดขึ้นในช่วงงาน Bangkok Motor Show
เดือนมีนาคม 2015 และคาดว่าน่าจะพร้อมส่งมอบได้จริง หลังจากนั้นเล็กน้อย
โดยจะเปิดตัวก่อน MG 6 Minorchange
ส่วนปี 2016 MG เตรียมอาวุธเด็ดเอาไว้ นั่นคือ Crossover SUV รุ่นใหม่ล่าสุด
ในชื่อ MG CS ที่สร้างขึ้นบนพื้นตัวถังและโครงสร้างวิศวกรรมร่วมกันกับทั้ง
MG 5 และ MG 6
MG เคยเปิดเผยโครงการพัฒนา SUV รุ่นนี้ มาก่อนแล้ว ด้วยการเปิดตัวรถยนต์ต้นแบบ
CS-Concept ในงาน Shanghai Motor Show เมื่อเดือนเมษายน 2013 ตอนนี้
โครงการดังกล่าว เสร็จสมบูรณ์เป็นคันจริงแล้ว แต่ MG-SAIC เพิ่งเผยภาพถ่ายอย่างเป็น
ทางการของ Crossover SUV ที่ใช้ชื่อชวนให้นึกว่าเป็นรถสปอร์ต รุ่นนี้ออกมาเมื่อ
วันที่ 30 ธันวาคม 2014 สดๆร้อนๆนี่เอง!
ตัวถังมีความยาว 4,500 มิลลิเมตร กว้าง 1,675 มิลลิเมตร สูง 1,675 มิลลิเมตร
มีขุมพลังให้เลือก ในช่วงแรก 2 ขนาด ทั้เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร
Direct Injection Turbo 135 แรงม้า (PS) และขุมพลังเบนซิน 4 สูบ DOHC
16 วาล์ว 2.0 ลิตร Turbo 217 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร จับคู่
กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Dual Clutch มีทั้งรุ่นขับล้อหน้า และขับเคลื่อน 4 ล้อ
ส่วนขุมพลัง Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.9 ลิตร Common-Rail Turbo
จะตามออกมาให้เลือกสำหรับตลาดกลุ่มยุโรปในภายหลัง
คาดว่า MG CS น่าจะพร้อมส่งมาขึ้นสายการประกอบที่โรงงานของ SAIC จังหวัด
ระยอง ได้ ประมาณปี 2016 เป็นอย่างช้าที่สุด
—————————————————-
MITSUBISHI MOTORS
2015 : All New Pajero Sport / Last year for “Lancer EX”??
2016 : Mirage Full Model Change (World First in Thailand)
2017 : Attrage Full Model Change (World First in Thailand)
การเปิดตัว Mitsubishi Triton ใหม่ เป็นครั้งแรกในโลก เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2014 ที่ผ่านมา
พร้มกับดึง พระเอกตลอดกาลติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดี มาเป็น Presenter คือ ไฮไลต์ สำคัญสำหรับ
Mitsubishi Motors Thailand ในปีที่ผ่านมา น่าเสียดายว่า กระแสภาพหลุด จากโรงงาน ย่าน
แหลมฉบัง หลังงานเปิดตัวคู่แข่งอย่าง Nissan Navara เพียงวันเดียว จะทำให้หลายคนต่าง
พากันร้องยี้ และเลิกรอ Triton กันไปเลย แถมยังทำให้พนักงานในไลน์ผลิตที่เกี่ยวข้องต่าง
โดนไล่ออกไปถึง 4 คน ก็ตาม
ในเมื่อ Triton ใหม่ เปิดตัวแล้ว ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีเสียงของลูกค้าชาวไทย ถามไถ่กัน
ถึงคู่ปรับตลอดกาลของ Toyota Fortuner อย่าง Mitsubishi Pajero Sport ว่าจะเริ่ม
พร้อมขายได้เมื่อไหร่?
คำตอบก็คือ Pajero Sport รุ่นต่อไป กำลังอยูในระหว่างการพัฒนา ขั้นสุดท้าย เพื่อให้ทัน
กำหนดออกสู่ตลาดบ้านเราเป็นแห่งแรกในโลก ช่วงไตรมาส 3 ในปี 2015 คราวนี้ เส้นสาย
ได้รับการยืนยันว่า สวยงามมาก จนทำให้หลายๆคน ปันใจจาก Fortuner ใหม่ ไปเลยทีเดียว
อีกทั้ง การออกแบบด้านหน้าของรถ รวมทั้งภายในห้องโดยสาร ก็จะหรูขึ้นอย่างแตกต่าง
ไปจาก Triton อีกระดับหนึ่ง (ภาพสเก็ตช์นี้ อาจจะยังได้ไม่ถึงครึ่งของคันจริง)
รายละเอียดด้านเทคนิคนั้น ยกยวงมาจาก Triton ได้เลย แบบไม่ต้องคิดมาก แต่อาจมี
อุปกรณ์อำนวยความสะดวกบางอย่าง ที่เหนือชั้นกว่า Triton อย่างชัดเจน และอาจถือว่า
เป็นรายแรกในตลาดกลุ่ม SUV/PPV ก็เป็นได้
ความกระจ่างในประเด็นนี้ จะเกิดขึ้นในวันที่ Pajero Sport รุ่นต่อไป เผยโฉมในบ้านเรา
ช่วงไตรมาส 3 ปี 2015 คาดว่า ราคาขายน่าจะไม่ต่างไปจากรุ่นปัจจุบันมากนัก แพงขึ้น
กว่าเดิมนิดหน่อย
จากนั้นในปี 2016 และ 2017 จะถึงคิวของการเปลี่ยนโฉมใหม่ให้กับ 2 ECO Cars ทั้ง
Mitsubishi Mirage และ Attrage ตามลำดับ ปีละ 1 รุ่น โดยยังพอมีแนวโน้มอยู่บ้าง
ในระดับ แสงปลายอุโมงค์ ว่า เราอาจจะได้พบกับเครื่องยนต์ใหม่ 1.2 ลิตร พร้อมระบบ
อัดอากาศ Turbocharger ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มพละกำลังให้แรงขึ้นแล้ว ยังจะช่วย
ลดการปล่อยมลพิษลงให้ต่ำกว่า 100 กรัม / กิโลเมตร ตามข้อกำหนดของ ECO Car
Phase 2 ได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อยากจะขอฝากไปถึงคนญี่ปุ่นใน Mitsubishi Motors คือ การเปลี่ยน
โฉมในครั้งนี้ ควรจะมุ่งเน้นสร้างรถออกมาให้ เป็นเลิศในทุกด้าน อย่ามองแค่ว่ามันคือรถยนต์
ECO Cars เพราะผลตอบรับของ Mirage และ Attrage ที่ออกมาในตลาดโลกนั้น ไม่สู้ดี
เท่าที่ควร โดยเฉพาะตลาดอเมริกาเหนือ ดังนั้น ไหนๆก็ไหน ถ้าสามารถทำรถเก๋งเล็ก ให้มี
สมรรถนะดีในทุกด้าน มีการขับขี่ที่ดี นิ่ง มั่นใจได้ในความเร็วสูง แต่ต้องให้ความสะดวกสบาย
ในการเดินทางอย่างแท้จริง เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าชาวไทยได้ครบถ้วน
หากทำได้ตามที่บอกข้างบนนี้ โอกาสที่ Mirage และ Attrage รุ่นต่อไป จะมียอดขาย
เปรี้ยงปร้าง แซงเจ้าตลาด ก็เป็นไปได้สูง แถมยังสามารถส่งกลับไปขายในสหรัฐอเมริกา
ได้เยอะกว่าที่เป็นอยู่นี้แน่ๆ ขึ้นอยู่กับว่า ชาวญี่ปุ่นที่ MMC จะยอมละทิ้งความเชื่อมั่นใน
สิ่งที่ตนคิด และยอมเชื่อฟังเสียงของคนไทยให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่นี้ได้เมื่อไหร่
ส่วนอนาคตของ Lancer อาจจะต้องบอกว่า ยังคงไม่แน่นอนต่อไป เพราะแม้แต่ CEO
ของบริษัทอย่าง Osamu Masuko ยังให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อบินมาร่วมเปิดตัว Triton ใน
บ้านเรา ปลายปี 2014 ไว้ว่า เขายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับ Lancer
กระนั้น ปัญหาสำคัญที่ทำให้เราอาจได้เห็น Lancer EX ทำตลาดในบ้านเรา ปีนี้ เป็น
ปีสุดท้าย ก็คือ ความเข้มงวดของ การจัดเก็บภาศีสรรพสามิต อัตราใหม่ ที่ทำให้ค่าตัว
ของ Lancer EX อาจต้องเพิ่มขึ้น จนทำให้ ไม่คุ้มในการทำตลาดอีกต่อไป ดังนั้น เรา
จึงอาจจะได้เห็น Lancer EX รุ่นพิเศษ ล็อตพิเศษ ส่งท้าย และสั่งลาตำนาน Lancer
บนท้องถนนเมืองไทย ก็มีความเป็นไปได้สูง
—————————————————-
NISSAN
2015 : Juke Minorchange / NAVARA Single Cab
2016 : TEANA Minorchange / NAVARA SUV/PPV
2017 : ECO Car Phase 2 (NOTE?) / Sylphy Full Model Change
2018 : ALMERA
ปีที่ผ่านมา Nissan ส่ง รถกระบะรุ่นใหม่ พร้อมกับชื่อรุ่นเก่าผสมใหม่ NP300 Navara
ออกสู่สายตาชาวไทยเป็นครั้งแรกในโลก ช่วงเดือนกรกฎาคม ตามด้วย X-Trail ใหม่
ที่เลื่อนจากช่วงต้นปี มาเปิดตัวตอนปลายปี ก่อนงาน Motor Expo ไม่กี่วัน กระนั้น
สถานการณ์ยอดขายของ Nissan ก็ยังอยู่ในระดับทรงกับทรุดเรื่อยๆ
สาเหตุของปัญหาที่น่าเป็นห่วงของ Nissan ในช่วงที่ผ่านมา อยู่ที่ความพยายามใน
การปรับลดต้นทุนด้านงานวิศวกรรม เพื่อเอางบที่ประหยัดได้ ไปช่วยอัดออพชันให้
ตามใจลูกค้าเรียกร้องมากขึ้น จนกระทั่ง ตัวรถเริ่มมีคุณภาพลดลงหลังจากใช้งานไป
สักระยะ นี่คือสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะนั่นส่งผลต่อความเชื่อมั่นของแบรนด์ Nissan
ในระยะยาว
นอกจากนี้ การที่ยอดขายของ Nissan ลดลงนั้น ส่วนหนึ่ง อาจเป็นเพราะ การที่ทีม
วิศวกรและผู้บริหารชาวต่างชาติ ไม่สนใจความต้องการของลูกค้าคนไทย ที่อยากให้
ปรับปรุงตัวรถยนต์นั่ง ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซิน ให้เติมน้ำมัน แก็สโซฮอลล์ E85
ได้เสียที ต้องยอมรับกันว่า แม้ E85 จะสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากกว่า แต่ด้วยราคาขาย
ที่หน้าหัวจ่ายถูกกว่า ทำให้ลูกค้าคนไทย ซึ่งมีนิสัย มองอะไรไม่ค่อยขาด และมอง
แค่ความประหยัดในแบบที่ตนเห็นต่อหน้า ตรงหน้าหัวจ่าย พากันเติม E85 เพิ่มขึ้น
อย่างมาก และเรียกร้องให้ผู้ผลิตรถยนต์ทุกค่าย ต่างทำรถยนต์ให้รองรับ E85 ได้
จากโรงงาน ในเมื่อ Nissan ไม่สนองตอบต่อข้อเรียกร้องของลูกค้าในประเด็นนี้
จึงยากที่จะสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นทัดเทียมกับคู่แข่งเขาได้
ปี 2015 Nissan จะมีรถยนต์รุ่นใหม่ เพียงแค่ 2 รุ่นเท่านั้น เริ่มจากการปรับโฉม Juke
แบบ Minorchange อย่างรวดเร็ว ฉับไว ตามติดตลาดอินโดนีเซีย ซึ่งจะเปิดตัวในช่วง
เดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ จุดขายสำคัญอยู่ที่เรื่องออพชัน ชนิดที่ว่า ญี่ปุ่นออพชันไหน
เมืองไทยจะมีพอๆกัน! โดยเฉพาะการติดตั้งกล้องมองหลัง Around View Monitor
แบบเดียวกับ Teana และ X-Trail กำหนดเปิดตัว มาเร็วทันใจ ในเดือนกุมภาพันธ์นี้
ส่วนลูกค้าที่อยากได้ NP300 Navara ไปขนผักขนปลาส่งตลาดสด รุ่น Single Cab
กระบะช่วงยาวตอนเดียว จะพร้อมออกสู่ตลาดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – พฤษภาคม 2015
โดยประมาณ วางเครื่องยนต์แบบเดิมๆ ที่ประจำการอยู่แล้วใน Navara Single Cab
รุ่นปัจจุบัน สิ่งที่น่าจับตาดูกคือ อุปกรณ์บางอย่าง ที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในรถกระบะ
แบบ Single Cab ทุกคันในตลาด
ส่วนปี 2016 นั้น คาดว่าจะต้องมีการปรับโฉม Minorchange ให้กับ Teana เพื่อเร่ง
กอบกู้ยอดขายให้สูงขึ้นหว่านี้สักหน่อย เพราะตัวเลขในตอนนี้ ถือว่า น่าเป็นห่วงพอๆกันกับ
เมื่อครั้งที่ Teana J31 ยังอยู่ในตลาดราวๆ 8 ปีที่แล้ว ยอดขายตลอดช่วงขวบปีแรกที่
อยู่ในอายุตลาด Teana โดนคู่แข่งในกลุ่ม D-Segment Sedan ระดับเจ้าตลาดทั้ง
Honda Accord และ Toyota Camry แซงขึ้นหน้าไปไกล จนต้องทำอะไรสักอย่าง
สาเหตุ คาดว่ามาจาก การออกแบบของ Teana และ รุ่นน้องอย่าง Sylphy ดูเหมือนกัน
มากจนเกินไป อีกทั้ง การเรียงลำดับรุ่นรถยนต์ที่จะเปิดตัวในตลาดเมืองไทย ไม่เหมาะสม
เนื่องจากในต่างประเทศ Nissan เลือกเปิดตัว Teana รุ่นนี้ ในตลาดอเมริกาเหนือ ด้วย
ชื่อรุ่น Altima ก่อน แล้วจึงค่อย เปิดตัว รุ่นน้อง ในกลุ่ม C-Segment อย่าง Sylphy
(Sentra) ลูกค้าต่างประเทศ จึงเข้าใจว่า Teana / Altima มาก่อน Syphy / Sentra
แต่ในบ้านเรา Sylphy ถูกกำหนดให้เปิตตัวก่อน ดังนั้น เมื่อ Teana ออกสู่ตลาดตามมา
ลูกคาชาวไทยจึงเข้าใจว่า Teana เป็นเพียงแค่ Sylphy ที่สูบลมให้พองตัวเพิ่มขึ้น แต่
ลดทอนความหรูของห้องโดยสารลงจากรุ่นเดิม โดยเฉพาะแผงหน้าปัด ที่เคยเป็นจุดขาย
กลับไม่โดดเด่นเท่ารุ่นก่อนหน้านี้ ลูกค้าจำนวนมาก จึงไม่เกิดแรงจูงใจ ที่จะอุดหนุน และ
พากันหันไปซื้อ Accord ที่มีเส้นสายในสไตล์หรู มากกว่า
ดังนั้น การปรับโฉม Teana ให้เร็วขึ้น จึงเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง เพื่อสร้างความเคลื่อนไหว
ไม่ให้ดูกลืนหายไปจากการรับรู้ของลูกค้า การปรับโฉมเพียงเล็กน้อย และการปรับอุปกรณ์
อาจช่วยกระตุ้นตลาดได้ในระดับหนึ่ง
แต่ถ้าใครคิดว่า ควรเป็น Teana Hybrid นั้น บอกได้เลยว่า อาจไม่ใช่คำตอบที่เหมาะสม แม้
Nissan จะพัฒนาระบบ Hybrid ไว้แล้ว และในช่วงก่อนหน้านี้ ก็เคยมีการพูดคุยกันถึงความ
เป็นไปได้ในการนำระบบ Hybrid มาติดตั้งลงใน Teana และ X-Trail ด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือน
ว่า รถยนต์ Hybrid รุ่นแรกของ Nissan ในเมืองไทย ยังดูห่างไกลจากความจริง
นั่นเพราะ เทรนด์ของลูกค้าในบ้านเราเปลี่ยนไป และลูกค้าจำนวนไม่น้อย เริ่มถอดใจกับระบบ
Hybrid ในรถยนต์ Toyota จนยอมขายรถทิ้งเข้าสู่ตลาดรถมือสองด้วยราคาที่หล่นฮวบฮาบ
จากปัญหาราคาอะไหล่และการซ่อมบำรุงที่แพงมาก ราคาของแบ็ตเตอรี อาจเป็นส่วนหนึ่ง
แต่นั่นยังไม่ใช่สาเหตุหลักมากเท่ากับอุปกรณ์ต่อพ่วงกับแบ็ตเตอรีและมอเตอร์ไฟฟ้า นั่น
เป็นภาพตัวอย่างจากเจ้าตลาดเมืองไทย ที่ทำให้คนของ Nissan เอง ก็คิดหนักไม่น้อย
ว่าควรนำระบบ Hybrid เข้ามาขายในเมืองไทย หรือไม่?
อีกรุ่นหนึ่งที่เริ่มส่อแววว่า อาจต้องยุติบทบาทกันไปในอีกไม่นานนี้ คือ Pulsar เพราะต่อให้
พยายามเข็น พยายามลุ้น หรือแม้แต่ออกรุ่น Turbo มาเพื่อช่วยเสริมภาพลักษณ์ ปรากฎว่า
ไม่มีอะไรดีขึ้น ยอดขายก็ยังคงไม่เดิน ยกเว้นจัดโปรโมชัน ระบายสต็อก จึงจะพอไปได้
ดังนั้น เราจึงอาจไม่ได้เห็น เวอร์ชันปรับโฉม Minorchange ที่ยกงานออกแบบหน้า-หลัง
ใหม่จากเวอร์ชันยุโรป มาใส่ใน Pulsar เวอร์ชันไทย
กระนั้น Sylphy ที่ยังพอขายได้ ก็ต้องอยู่ในตลาดต่อไป และมีกำหนดเปลี่ยนโฉมใหม่
Full Modelchange ในปี 2017 ซึ่งเป็นปีที่ Nissan จะเริ่มกลับมามีรถยนต์รุ่นใหม่
เต็มพิกัดอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน ในปี 2016 นี้ เราคาดกันว่า อาจจะได้เห็น NP300 Navara ในรูปแบบ
SUV/PPV ซึ่งตอนนี้ ยังอยู่ในระหว่างถกเถียงกันอยู่ว่า ควรจะมาทำตลาดในไทย
ดีหรือไม่
จริงอยู่ว่า Nissan เตรียมงานการพัฒนารถรุ่นนี้มานนานแล้ว ถึงขั้นเตรียมระบบ
กันสะเทือนหลังแบบ 5 Link เอาไว้เรียบร้อย และการมาถึงของ รถรุ่นนี้ อาจช่วย
เพิ่มทางเลือกให้ลูกค้า และเสริมความแข็งแกร่งให้กับ Nissan ในบ้านเรา
แต่โอกาสที่ NP300 Navara SUV จะแย่งลูกค้าไปจาก X-Trail นั้น ขึ้นอยู่กับรูป
โฉมภายนอก ว่าจะสวยงามแค่ไหน และการใช้งานของเบาะแถว 3 จะสบายกว่า
X-Trail หรือไม่ ถ้าโจทย์ 2 ข้อนี้ คำตอบคือ ไม่ รถคันนี้ก็ไม่ควรถูกนำมาขายใน
บ้านเรา
นอกจากนี้ Nissan ยังต้องมองต่อไปว่า ถ้าจะให้ Navara SUV เข้ามาประกอบขาย
หากไม่สามารถทำยอดขายได้ดีนัก หรือตบตีแย่งชิงยอดขายกันเองกับ X-Trail ก็
อาจกลายเป็นภาระของโชว์รูมดีลเลอร์หนักเข้าไปอีก ทั้งการเตรียมงานขาย สต็อก
อะไหล่ ฝึกอบรมช่าง
แต่ถ้าจะมากันจริงๆ เราอาจได้เห็น Navara SUV/PPV กันได้ เร็วที่สุดคือปลายปี
2015 ช้าสุดคือ ไม่ควรเกินปี 2016 เพราะถ้าเกินกว่านี้ มันอาจสายเกินการณ์ไปแล้ว
เพราะ ภาษีสรรพสามิตพิกัดใหม่ จะทำให้รถยนต์ประเภทนี้ (ซึ่งปล่อยมลพิษสูง
กว่ารถยนต์ปกติ) ยิ่งมีราคาสูงขึ้นไปอีก จนเริ่มไม่คุ้มต่อการนำเข้ามาประกอบ
และทำตลาดในบ้านเรา
ส่วน ECO Car Phase 2 นั้น Nissan มีแนวโน้มที่จะยุติบทบาทของ March ในบ้านเรา
และด้วยการศึกษาตลาดมาอย่างดี ทำให้ฝรั่งมังค่า และญี่ปุ่นชาวแดนปลาดิบ อยู่ในช่วง
ตัดสินใจว่า จะเอา Note รุ่นต่อไป (ที่ไม่ใช่รุ่นปัจจุบันนี้) มาประกอบขายในบ้านเรา
แทน March หรือไม่ แต่กว่าจะมา ยังต้องรอกันจนถึงปี 2017
ขณะเดียวกัน ECO Car ตัวถัง Sedan อย่าง Almera ก็จะถึงเวลาเปลี่ยนโฉมใหม่ในปี
2017 – 2018 และคาดว่าจะถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นตัวถัง V-Platform รุ่นต่อไป ที่ถูกปรับปรุง
ให้ดีขึ้นทุกด้าน โดยเน้นปรับรูปลักษณ์ให้สวยงาม และมีบั้นท้ายลงตัวกว่ารุ่นปัจจุบันนี้
—————————————————-
PEUGEOT
2015 : 2008
ถึงแม้ว่าจะเป็นบริษัทรถยนต์ในเครือของกลุ่ม PSA Peugeot Citroen แต่ในเมืองไทย
การทำตลาด ของค่ายสิงห์สำอางเมืองน้ำหอมอย่าง Peugeot ถูกแยกออกจาก Citroen
ชัดเจน โดย Peugeot ยังคงอยู่ในการดูแของ บริษัท ยูโรเปียน ออโตโมบิลล์ จำกัด อดีต
บริษัทในเครือยนตรกิจ ที่ตอนนี้ แยกตัวจากกลุ่ม เดิมเรียบร้อยแล้ว ช่วงปีที่ผ่านมา พวกเขา
ยังคงทำตลาดแบบ Low Profile กันตามเดิม เหลือโชว์รูมในบ้านเรารวมแล้ว 5 แห่ง ทั้ง
ซอยทองหล่อ สุขาภิบาล 3 กรุงธนบุรี เชียงใหม่ และหาดใหญ่
ในปีที่ผ่านมา พวกเขาก็เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ แค่เพียงรุ่นเดียว นั่นคือ C-Segment SUV
5 ที่นั่ง ทรงประหลาด รุ่น 3008 วางขุมพลัง เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว Direct
Injection พ่วง Turbo แบบ Twin Scroll 156 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 240
นิวตันเมตร เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อมถุงลมนิรภัย 6 จุด หลังคากระจก Moon Roof
ขนาดใหญ่ และอุปกรณ์ความปลอดภัยครบถ้วน ทั้ง ESP,ABS,EBD,EBA ขายในราคา
2,390,000 ล้านบาท มันถูกออกแบบมาอย่างแปลกๆ และคงต้องมีคนชอบของแปลก
อย่างนี้จริงๆ เท่านั้น ที่จะยอมรับมันได้
ส่วนปี 2015 พวกเขายังคงอยู่ในระหว่างการรอดูว่า จะสามารถนำเข้า Crossover
SUV รุ่นเล็กลงมา อย่าง Peugeot 2008 มาขายในบ้านเราได้หรือไม่ เพราะต้อง
ดูด้วยว่าใช้ชิ้นส่วนในกลุ่มประเทศ ASEAN ได้มากพอจนถึงขั้นที่จะได้รับสิทธิ์พิเศษ
ยกเว้นภาษี ตามข้อกำหนดเขตการค้าเสรี ASEAN (หรือ AFTA) ที่คิดภาษีนำเข้า
รถยนต์ ซึ่งใช้ชิ้นส่วน รวมทั้งประกอบในกลุ่มประเทศ ASEAN ด้วยกัน เหลือเพียง
0% ได้หรือไม่ และถ้ามาได้ จะมาช่วงใดของปี 2015?
2008 มีขนาดตัวถังไล่เลี่ยกันกับ Honda HR-V โดยเวอร์ชันมาเลเซีย วางขุมพลัง
4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,592 ซีซี พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VVT 122 แรงม้า (PS)
ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 160 นิวตันเมตร ที่ 4,250 รอบ/นาที เกียร์อัตโนมัติ
แบบ Auto adaptive Gearbox ดูแล้วเห็นว่าน่าจะเป็นสเป็กที่เหมาะสมกับตลาดใน
บ้านเรา มากที่สุดด้วยเช่นกัน
—————————————————-
PORSCHE
2015 : 911 GT3 RS / Cayman GT4
2016 : Panamera Minorchange
2017 : 960 / Cayenne Full ModelChange
ปี 2015 นี้ นอกจาก 911 Minorchange พร้อมกับขุมพลังที่จะแรงขึ้น ซึ่งคาดว่าน่าจะ
เผยโฉมช่วงครึ่งหลังของปีนี้แล้ว Porsche ยังมีการบ้านที่จะต้องจัดการต่อเนื่องจากปี
2014 นั่นคือ การเปิดตัวรุ่นน้ำหนักเบาสำหรับสนามแข่ง อย่าง 911 GT3 RS กันเสียที
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ มีรูปหลุดออกมา ในแบบของ รถจำลอง Scale Model ในเมืองนอก
911 GT3 RS ถือเป็นเวอร์ชันดิบเถื่อนที่สุด และมีน้ำหนักเบา กว่ารุ่นปกติ เพื่อการนำไป
แปลงร่างเป็นรถแข่งในสนามแข่ง วางเครื่องยนต์ Boxer 6 สูบนอน 3.8 ลิตร 475 แรงม้า
(PS) แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร แต่คราวนี้จะเชื่อมมากับเกียร์อัตโนมัติ PDK โดย
ไม่มีเกียร์ธรรมดาให้เลือกแต่อย่างใด
ความจริงแล้ว Porsche เคยตั้งใจจะเปิดตัว 911 GT3 RS ตั้งแต่ปี 2014 ทว่า ปัญหา
เครื่องยนต์ร้อนจัดจนไฟไหม้ และทำให้เกิดการ Recall ของ 911 GT3 รุ่นมาตรฐาน ทำให้
พวกเขาเลือกที่จะเลื่อนการเปิดตัวออกมา เพื่อแก้ไขปัญหาของตัวรถให้เรียบร้อยเสียก่อน
นอกจากนี้ในปี 2015 ฃยังมี Cayman GT4 เวอร์ชันแรงสะใจยิ่งกว่า Cayman GTS ด้วย
กำลังสูงถึง 400 แรงม้า (BHP) รวมทั้ง
ย่างเข้าปี 2016 Porsche Panamera Saloon หนึ่งเดียวของตระกูล จะถึงเวลาปรับโฉมใหม่
Minorchange ซึ่งคาดว่าจะมีการยกระดับสมรรถนะขุมพลัง Plug-in Hybrid ให้แรงขึ้น
ประหยัดน้ำมันขึ้น และปล่อยมลพิษน้อยลง
ส่วนโครงการพัฒนารถสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางขนาดกลางค่อนข้างใหญ่รุ่นใหม่ รหัส 960
หรือการ Porsche Cayman มาขยายร่าง เพื่อต่อกรกับ Lamboghini Huracan หรือ
Ferrari 458 Italia ยังคงอยู่ในแผน แต่จะเปิดตัวในช่วงปี 2017 ต้องคอยดูว่า จะเข้ามา
ถึงเมืองไทยในปี 2017 หรือ 2018 ?
และในปี 2017 เราจะได้เห็น Cayenne ใหม่ ในเวอร์ชันที่ยาวขึ้นกว่าเดิม แรงกว่าเดิม
—————————————————-
PROTON
2015 : IRIZ
2016 : Saga / Iriz Sedan
ในงาน Motor Expo ที่ผ่านมา Proton แอบนำรถยนต์คันเล็กๆสีเขียว มาจอดซุกไว้
ในบูธ แล้วก็กั้นคอกไว้ บอกเพียงแต่ว่า เตรียมจะสั่งนำเข้ามาขายในปีหน้า
ครับ รถคันสีเขียวที่ว่านั้น ก็คือ Proton Iriz ใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวในมาเลเซียไปเมื่อวันที่
25 กันยายน 2014 ที่ผ่านมา ถือเป็นรถยนต์นั่งกลุ่ม Sub-Compact Hatchback
รุ่นใหม่ ที่จะทำตลาดแทน Proton Savvy 5 ประตูคันเล็ก ที่หลายๆคน คงจะยังพอ
จำได้ว่า หน้าตาของมันเป็นอย่างไร
จุดเด่นของ Iriz คือความพยายามในการยกระดับ Proton ทั้งในด้านงานออกแบบ
และคุณภาพของตัวรถ ขึ้นไปให้ทัดเทียมในระดับสากลมากยิ่งกว่า Preve และ
Suprema S เสียอีก ทั้งที่ตัวรถมีความยาวราวๆ 3,900 มิลลิเมตร เท่านั้น แต่การ
ออกแบบภายใน แม้จะยังหลงเหลือกลิ่นอายแบบ Proton อยู่บ้าง ทว่า ภาพรวม
ต้องถือว่า ดีขึ้นกว่า Proton ทุกคันเท่าที่พวกเขาเคยผลิตออกมาขาย
เครื่องยนต์ที่เชื่อมกับระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ถูกพัฒนาขึ้นใหม่แทบทั้งหมด ทั้งชุด
เสื้อสูบ ก้านสูบ รวมถึงท่่อนล่างของตัวเครื่องยนต์ มีให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่บล็อก
4 สูบ 16 วาล์ว 1.3 ลิตร 95 แรงม้า (PS) และ 4 สูบ 16 วาล์ว 1.6 ลิตร 115
แรงม้า (PS)
Proton ตั้งใจจะนเข้า Iriz มาเปิดตัวในบ้านเรา อย่างเร็วที่สุด คือช่วงเดือนมีนาคม
2015 ในงาน Bangkok Motor Show
หลังจากนั้น รถคันต่อไปที่ Proton คิดจะนำเข้ามาขายในบ้านเราคือ รุ่นเปลี่ยนโฉม
ใหม่ทั้งคัน Full Modelchange ของ Proton Saga Sedan คันเล้ก ยอดนิยม
ของมาเลเซีย คราวนี้ จะใช้เครื่องยนต์กลไกและโครงสร้างวิศวกรรม รวมถึงพื้นตัวถัง
ร่วมกันกับ Iriz เพื่อช่วยลดต้นทุนการพัฒนาลงไป ซี่ง Proton ก็ใช้วิธีการอันเป็น
รูปแบบสากลอย่างนี้มาแล้ว กับรถยนต์หลายรุ่น ในอดีต เพียงแต่เราอาจต้องรอให้
Proton พร้อมเผยโฉม Saga ใหม่ในมาเลเซียกันเสียก่อน คาดว่าน่าจะเป็นช่วง
เดือน สิงหาคม – กันยายน 2015 และกว่าจะนำเข้ามาขายในบ้านเราได้ คงต้อง
รอกันจนถึงงาน Motor Expo 2015 จนถึงต้นปี 2016 เป็นอย่างช้าสุด
—————————————————-
(ภาพถ่ายจากการเข้าเยี่ยมชมโรงงาน Rolls Royce ของผู้เขียน สิงหาคม 2014)
Rolls Royce
2015 – 2016 : Wraith Convertible
การจัดงานเปิดตัวรุ่นปรับโฉม Minorchange ให้กับ GHOST Series-II ในบ้านเรา
เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2014 ถือเป็นความเคลื่อนไหวสำคัญเพียงอย่างเดียว ของ
Rolls Royce ในบ้านเรา ภายใต้การทำตลาดของผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ อย่าง
Rolls Royce Motor Car Bangkok ในเครือของกลุ่ม Millennium
ในปี 2015 ค่ายรถยนต์ระดับหรู ที่ทำงานกันแบบพิถีพิถัน ประณีต อย่างใจเย็น จากเมือง
Goodwood ประเทศอังกฤษ ประกาศออกมาแล้วในเดือนสิงหาคม 2014 ที่ผ่านมาว่า
พวกเขากำลังพัฒนาเวอร์ชันเปิดประทุนของ รถยนต์ 2 ประตู รุ่น Wraith ซึ่งเพิ่งเปิดตัว
ไปทั่วโลก ช่วงปี 2013 – 2014 ที่ผ่านมานี่เอง
รายละเอียดงานวิศวกรรมหลักๆ ทั้งเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง จะไม่แตกต่างไปจาก
Wraith และ Ghost Series-II รุ่นมาตรฐาน แต่แน่นอนว่า ต้องมีการปรับปรุงงาน
วิศวกรรมโครงสร้างตัวถัง ระบบเปิด – ปิดหลังคา ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า ฯลฯ อีกมาก ดังนั้น
กว่าที่ Wraith จะเข้ามาขายในบ้านเราได้ คงต้องรอกันจนถึงปี 2017 แน่ๆ
—————————————————-
SKODA
2015 : The New Superb
ขณะที่ในเมืองไทย D.A.D Yontrakit (Skoda Thailand) ยังคงปวดกบาลกับปัญหา
dkiจดทะเบียนรถใหม่ ให้ลูกค้าล่าช้า ซึ่งมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการดำเนินเรื่องกับทาง
หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง จนทำให้ลูกค้าไม่พอใจและนำเรื่องสู่การพิจารณาคดีของศาล
หลายราย แต่ทุกอย่างก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป โดยหวังว่า ปัญหาต่างๆ ควรจะถูกแก้ไขให้
หมดสิ้นภายในกลางปี 2015 นี้
เพราะในเมืองนอก ความเคลื่อนไหวของ Skoda นั้น เกิดขึ้นเป็นระลอกอย่างต่อเนื่อง และ
พวกเขากำลังเตรียมจะเปลี่ยนโฉมใหม่ให้กับ Sedan รุ่นใหญ่สุดในตระกูลอย่าง Superb
ภายในช่วงต้นปี 2015 นี้
Superb ใหม่ จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นานโครงสร้างวิศวกรรม MQB ร่วมกับ Volkswagen
Golf รุ่นล่าสุด โดยมีรูปลักษณ์ภายนอก ที่ได้รับอิทธิพลการออกแบบมาจากรถยนต์ต้นแบบ
Skoda Vision C Concept ส่วนภายในห้องโดยสาร จะดูสวยงาม สุขุม และใหญ่ขึ้นยิ่งกว่า
Superb รุ่นปัจจุบัน ติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ MirrorLink สามารถเชื่อมต่อกับบรรดา
โทรศัพท์ Smart Phone ได้
กำหนดการเปิดตัวในตลาดโลก คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงต้นปี 2015 นี้ แต่กว่าจะส่งมาขาย
ในบ้านเราได้ อาจต้องรอไปถึงปี 2016 เป็นอย่างเร็วที่สุด
—————————————————-
SSANGYONG
2015 : B-Segment Crossover SUV (Tivoli)
ดูเหมือนว่าผู้ผลิตรถยนต์ชาวเกาหลีใต้ ผู้อุทิศตัวให้กับการผลิตแต่ SUV ในเครือของกลุ่ม
บริษัทอุตสาหกรรม Mahindra & Mahindra จากอินเดีย ซึ่งชนะการประมูลสำเร็จนั้น
แทบจะไม่มีความเคลื่อนไหวในบ้านเราอย่างจริงจังตลอดปี 2014 เอาเสียเลย
แต่ในต่างประเทศ พวกเขาทะยอยเปิดตัวรถยนต์รุ่นปรับโฉม Minorchange ออกสู่ตลาด
ส่งออก กันเรื่อยๆ โดยเฉพาะ Actyon / Nomad รุ่นปรับหน้าตาใหม่ให้ดูลงตัวมากขึ้น
ในปี 2015 นี้ เวอร์ชันจำหน่ายจริงของ B-Segment Crossover SUV ขนาดเล็กกว่า
ในรหัสโครงการ X100 ที่สร้างขึ้นจาก รถยนต์ต้นแบบ Ssangyong XIV-1 กับ XIV-2
และ ‘XIV-Air’ / ‘XIV-Adventure ที่เพิ่งเผยโฉมใน Paris Motor Show เมื่อเดือน
กันยายน 2014 จะพร้อมออกสู่ตลาดในเกาหลีใต้ ในชื่อ Ssangyong TIVOLI
ฟังชื่อแล้วอาจเหมือน ช็อกโกแล็ตจากสวิสเซอร์แลนด์ แต่ความจริงนั้น Tivoli เป็นชื่อ
เขตเมืองตากอากาศเล็กๆแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ใกล้กรุง Rome ประเทศ Italy ซึ่งโดดเด่นด้าน
ศิลปวัฒนธรรมในอันดับต้นๆของประเทศ Italy การใช้ชื่อ Tivoli นั้น เพื่อสื่อถึงการ
ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน บนรถยนต์ ที่สร้างขึ้นจากฝีมือของผู้ผลิต SUV ประสบการณ์
ยาวนานกว่า 50 ปี
จุดเด่นของ Tivoli อยู่ที่ การออกแบบเส้นสายภายนอก และภายใน ภายใต้แนวคิด
Compact Deluxe ติดตั้งถุงลมนิรภัยมากถึง 7 ใบ (รวมถุงลมสำหรับหัวเข่าคนขับ)
และพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง ขนาด 423 ลิตร ใส่ถุงกอล์ฟขนาดมาตรฐานได้ถึง
3 ใบ โดยไม่ต้องพับเบาะหลังแถว 2 เลย!!
Tivoli จะถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเกาหลีใต้ เดือนมกราคม 2015 นี้ ก่อนจะเริ่ม
ทะยอยเปิดตัวสู่ตลาดทั่วโลก ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2015 และคาดว่า มีกำหนดจะ
ส่งมาเปิดตัวในบ้านเรา อย่างเร็วที่สุด คืองาน Bangkok Motor Show เดือนมีนาคม
2015 ที่จะถึงนี้
—————————————————-
SUBARU
2015 : BRZ Minorchange / XV Minorchange
ค่ายดาวลูกไก่ภายใต้การทำตลาดของ T.C.Subaru จากกลุ่ม Tan Chong Group
สิงคโปร์ เริ่มฉายแววการเติบโตให้บริษัทแม่อย่าง FHI (Fuji Heavy Industries)
ได้เห็นกันจนได้รับความไว้วางใจ ให้ประเทศไทยกลายเป็นสถานที่เปิดตัว Subaru
Legacyและ Outback ใหม่ ครั้งแรกในภูมิภาค Asia (ยกเว้นญี่ปุ่น) งานจัดขึ้น
ก่อน Motor Expo แค่เพียงวันเดียว
อย่างไรก็ตาม Legacy จะไม่ถูกนำเข้ามาขายในประเทศไทย เพราะต้องนำเข้า
ทั้งคันจากญี่ปุ่น ทำให้ค่าตัวสูงโดดจนหลายคนหนีไปเล่น Mercedes-Benz หรือ
BMW จึงมีเพียง Outback ใหม่ ทำตลาดโดยยืนราคาเดิมไว้ แต่ให้ข้าวของมา
ครบครันจนคุ้มค่าขึ้น
ขณะที่ XV ก็เริ่มเดินเข้าสู่ช่วงกลางอายุตลาด และต้องการความสดใหม่ เพื่อช่วยดึง
ยอดขายให้อยู่ในระดับ 100 คัน/เดือนได้ต่อไป รุ่นกระตุ้นตลาด แปะออพชัน STi
จึงถูกเปิดตัว ในช่วง เดือนตุลาคม – พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ในตลาดโลก XV มีคิวออกรุ่นปรับโฉม Minorchange ในช่วงปี 2015
คาดว่าน่าจะเป็นแค่การแต่งหน้าทาปากเล็กน้อย ในระดับ เติมแป้ง เติมลิปสติก ให้
ยังพอเฉิดฉายต่อไปได้อีกอย่างน้อย จนถึงปี 2017 ซึ่งจะถึงเวลาเปลี่ยนโฉมใหม่
ทั้งคัน Full Model Change
อีกรุ่นหนึ่งที่ถึงเวลาต้องปรับโฉม Minorchange กันแล้ว นั่นคือ BRZ รถสปอร์ต
ขับเคลื่อนล้อหลัง เพียงหนึ่งเดียวของค่าย ฝาแฝดของ Toyota 86 คราวนี้ คาดว่า
นอกจากจะมีหน้าตาใหม่แล้ว ยังน่าจะมีการปรับปรุงจุดด้อยของตัวรถในด้าน
ต่างๆ โดยยังไม่แน่ชัดว่าจะมีเวอร์ชันอัพเกรดขุมพลัง มาให้ลูกค้าบ้านเราได้
สัมผัสกันหรือไม่
ส่วนความเคลื่อนไหวของ Subaru LEVORG นั้น สงสัยเห็นทีจะยากเกินกว่า
นำเข้ามาขายในบ้านเราได้ เพราะเป็นรถยนต์ Station Wagon ที่สร้างขึ้นเพื่อ
เอาใจตลาดญี่ปุ่นเป็นหลักเท่านั้น
—————————————————-
SUZUKI
2015 : Ciaz Sedan 4 Door 1.2 Litre
2016 : SWIFT (with Longer Body)
2017 : B-Segment Crossover SUV (YRA ,VITARA or Hustler Wide Body)
การเปิดตัวเจ้าเปี๊ยก Suzuki Celerio 3 สูบ 1.0 ลิตร ช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
คือบทเรียนสำคัญที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นได้รู้ว่า อย่าคิดว่าจะตั้งราคารถยนต์แพงแค่ไหนก็ได้
ตราบใดที่แบรนด์ของคุณยังแข็งไม่เพียงพอ และนั่นก็สะท้อนกลับด้วยยอดขาย ที่แค่พอ
ขายได้ ไม่ถึงกับเป็นไปตามเป้าหมาย จึงต้องเบี่ยงไปมุ่งเน้นการส่งออกเป็นหลัก กระนั้น
รุ่นที่ขายดีสุดของเจ้าเปี๊ยก กลับเป็นรุ่นถูกสุด เกียร์ธรรมดา สำหรับลูกค้ารายได้น้อย แต่
เริ่มอยากจะสร้างเนื้อสร้างตัว หรือสร้างครอบครัว มักพบเห็นตามนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ
และนั่นคือสัญญาณที่ดี สำหรับการเติบโตของลูกค้ากลุ่มนี้ในวันข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม Suzuki Swift ยังคงเป็นตัวสร้างรายได้หลักให้กับ Suzuki Thailand
ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2012 จนถึงตอนนี้ และเพื่อกระตุ้นตลาด รวมทั้งปรับแก้ไขในสิ่งที่
ยังเป็นจุดด้อย ในปีที่ผ่านมา Suzuki จึงเปิดตัว Swift RX ช่วงก่อนงาน Motor Expo
โดยเพิ่ม Cruise Control รวมทั้ง เพิ่ม ABS,EBD ในรุ่นเกียร์ธรรมดัวท็อปให้แต่เพิ่ม
ค่าตัวแค่ 5,000 บาท เท่านั้น ช่วยกระตุ้นยอดขายเพิ่มขึ้นได้อีกนิดหน่อย ขณะที่เจ้า
Ertiga Minivan กลับขายไม่ดีเท่าที่ควร เพราะขุมพลัง 1.4 ลิตร น้อยเกินไปในสายตา
ของลูกค้า เมื่เทียบกับคู่แข่ง การมาถึงของ Hona Mobilio ยิ่งทำให้ Ertiga อาการยิ่ง
ไม่สู้ดีนัก
อย่างไรก็ตาม หมัดเด็ดของ Suzuki จะถึงเวลาออกโรงในปี 2015 นั่นคือ รถยนต์นั่ง
Sedan 4 ประตู พิกัด B-Segment ที่ใช้โครงสร้างวิศวกรรมพื้นฐานของ Swift โดยจะ
ใช้ชื่อว่า Ciaz ซึ่งมี เส้นสายภายนอก ยกมาจากรถยนต์ต้นแบบ Suzuki Authentic S
ที่เผยโฉมมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2013 ที่ผ่านมา เน้นขายความหรูหราที่สุดในกลุ่ม บน
รูปลักษณ์ที่สวยงามลงตัวมากสุดในกลุ่ม ECo Car Sedan เช่นเดียวกัน
เวอร์ชันไทย จะยังคงใช้เครื่องยนต์ 1,200 ซีซี แน่นอน มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ
และ เกียร์อัตโนมัติ CVT กำหนดเปิดตัว จะอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม – พฤาภาคม 2015
เหมือนเช่นที่ Suzuki มักยึดถือในการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ในบ้านเรา ตั้งแต่ปี 2012
พอเข้าสู่ปี 2016 ก็จะถึงเวลาที่ Swift ต้องเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน Full Model Change
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ Suzuki ซุ่มพัฒนา รถยนต์นั่ง B-segment รุ่นใหม่ ที่มีหน้าตาคล้าย
Swift แต่ จะไม่ได้เน้นการขับขี่ที่เฉียบคมมากเท่า Swift เพราะคราวนี้พวกเขาตั้งใจเน้น
ให้มีพื้นที่ในห้องโดยสารเพิ่มขึ้น ด้วยการขยายตัวถังให้ยาวกว่าเดิม เพิ่มระยะฐานล้อ เพื่อ
ขยายพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง เอาใจลูกค้าทั่วไปมากขึ้น โดยยังอยู่บนพื้นฐาน ขุมพลัง
1,200 ซีซี แต่อาจจะพ่วง Turbocharger เหมือนที่มีกระแสข่าวในต่างประเทศ เพื่อ
เพิ่มสมรรถนะทั้งอัตราเร่ง ความประหยัดน้ำมัน ลดการปล่อยมลพิษลง กำหนดเปิดตัวใน
ช่วงต้นปี 2016
ส่วนโครงการต่อไปที่เราควรเริ่มจับตามองกันได้บ้างแล้ว คือ การเตรียมนำ B-Segment
Crossover SUV รุ่นใหม่หมดจด มาผลิตขายในเมืองไทย ช่วงปี 2016 – 2017
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ มีข่าวว่า Suzuki กำลังซุ่มพัฒนา B-Segment Crossover SUV
รุ่นใหม่ ภายใต้รหัสโครงการ YBA เพื่อเปิดตัวออกสู่ตลาด อินเดีย ในปี 2015 – 2016
อย่างที่เห็นในภาพข้างบนนี้
ขณะเดียวกัน Suzki ยังนำ Hustler มาอวดดโฉมในบ้านเรา ร่วมกับ Alto Lapin ใน
งาน Motor Expo ที่ผ่านมา ยิ่งส่งผลให้ ภาพของ SUV คันเล็ก จาก Suzuki สำหรับ
บ้านเรา ยิ่งเกิดทางเลือกที่หลากหลาย มากกว่าที่คิด
ทางเลือก ของโครงการนี้ มีอยู่ 3 ทาง
– นำ Vitara ใหม่มาประกอบขาย แน่นอนว่า Play safe ที่สุด แต่ทำใจได้เลยว่าลูกค้า
จะไม่ค่อยซื้อ เพราะหน้าตาของมัน เรียบง่ายเกินไป จืดชืดยิ่งกว่านมสดหนองโพ
– นำโครงการ YBA มาประกอบขายไปเลย นี่เป็นทางเลือกที่ดี และน่าจะได้ผลตอบรับ
ที่พอยอมรับได้
– นำ รถยนต์ Crossover พิกัด K-Car 660 ซีซี อย่าง Suzuki Hustler มาขยายตัวถัง
แบบ Wide Body ให้กว้างขึ้น และมีด้านหน้า ยาวขึ้นกว่านี้อีกนิดนึง วางเครื่องยนต์
1,200 – 1,300 ซีซี มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า
แล้วทำราคาออกมาให้อยู่ในระดับเดียวกับ Swift ในปัจจุบัน
การนำ Hustler มาขยายเป็นตัวถัง Wide Body ดูเป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับ
ประเทศไทย หาก Suzuki ต้องการสร้างความแตกต่าง และสร้างแบรนด์ให้อยู่ในใจของ
ลูกค้าชาวไทยในระยะยาว เพราะ Hustler ได้รับความสนใจจากลูกค้าชาวไทย ไม่แพ้
และไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า Alto Lapin เลย เพราะ กระแสของ Vitara ใหม่ในบ้านเรานั้น
เงียบสนิท ส่วน YRA นั้น แม้จะดูเหมาะกับตลาดบ้านเรามากสุด แต่ตัวรถก็ยังไม่ดึงดูดใจ
ลูกค้าชาวไทยมากพอ เมื่อเทียบกับ Hustler Wide Body 1.3 ลิตร CVT
ไม่ว่าคำตอบสุดท้ายในเวลานี้จะเป็นอย่างไร โอกาสที่เราจะได้สัมผัสกับ SUV คันเล็ก จาก
Suzuki ในเมืองไทย น่าจะเกิดขึ้น ช่วงปี 2016 – 2017 คาบเกี่ยวกับ Swift รุ่นต่อไป
—————————————————-
TOYOTA / LEXUS
2015 : Camry & Camry HYBRID Minorchange (March)
: ALL NEW HILUX (Project Code : IMV2) / (March)
: Fortuner May- July / Innova (Almost tin the same Period)
: LEXUS RC300h (March) / ES300h Minorchange
2016 : Vios Minorchange with CVT / Yaris Minorchange /
: Corolla Minorchange + Hybrid
: LEXUS Turbo Varient : RC200t & NX200t
2017 : Camry Full Model Change
ตลอดปี 2014 ที่ผ่านมา Toyota มีรถยนต์รุ่นใหม่ถอดด้าม เปิดตัวเพียงแค่รุ่นเดียว นั่นคือ ขวัญใจ
มหาชนและคน Taxi อย่าง Toyota Corolla Altis ที่เหลือ ก็ล้วนแต่เป็นรุ่นพิเศษกระตุ้นตลาด
จับเอาชุดแต่ง และชื่อ TRD Sportivo สวมเข้าไปให้กับบรรดารถยนต์รุ่นขายดีทั้ง Hilux Vigo
Fortuner รุ่นพิเศษ, Yaris TRD Sportivo และ Vios TRD Sportivo จะว่าไปก็ถือว่า ขาด
อยู่เพียงรุ่นเดียวที่ Toyota น่าจะลองทำขายดู คือ Commuter TRD Sportivo เอาใจนักซิ่ง
ประจำวินรถตู้อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ!
ขณะที่่แบรนด์หรูอย่าง Lexus ก็มีตัวเด่นเข้ามาเผยโฉมกันทั้ง ES300h ซึ่งยอดขายไม่ค่อยเดิน
ทั้งที่ตัวรถในภาพรวม น่าใช้กว่า E-Class ใหม่ด้วยซ้ำ แต่ด้วยชื่อชั้นของค่ายตราดาวที่ฝังแน่น
ในสังคมไทย เลยทำให้ Lexus ต้องเหนื่อยใจเอาเรื่อง กระนั้น การมาถึงของ Crossover SUV
อย่าง Lexus NX ก็ช่วยสร้างสีสันและยอดขายไปได้เยอะพอสมควรตามคาดเลยทีเดียว
แต่ในปีนี้ Toyota จะประเดิม ปีแพะ ด้วยการเปิดตัว Camry Minorchange ที่ยกทัพกันมาครบ
ไลน์อัพ ทั้งรุ่น Hybrid ที่ขายดี (เพราะ พี่โตดันใส่ออพชันรุ่น Hybrid ให้ดีกว่า เบนซิน 2.5 ลิตร)
รูปลักษณ์ภายนอก จะเหมือนกับ Camry ทั้งรุ่นธรรมดา และ Hybrid เวอร์ชันญี่ปุ่น / Russia เป๊ะ
แต่ทีเด็ดก็คือ เราอาจจะได้พบกับ เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร พร้อมระบบ
หัวฉีดจ่ายเชื้อเพลิง ตรงเข้าหองเผาไหม้ Direct Injection D4-S ซึ่งถือเป็นขุมพลังเบนซินลูกที่ 2
ที่ติดตั้งระบบนี้ในบ้านเรา ถัดจากรถสปอร์ต Toyota 86 ค่อนข้างชัดเจนว่าเหตุผลคือการปรับปรุง
ให้ประหยัดน้ำมันขึ้น และปล่อยมลพิษลดลงเป็นหลัก
กำหนดการเปิดตัว Camry Minorchange จะเกิดขึ้นในช่วงระหว่างเดือน มกราคม – มีนาคม 2015
หลังจากนั้น จะถึงไฮไลต์สำคัญ ที่ผู้คนจำนวนมากรอคอย นั่นคือ การเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ
ผลผลิตตระกูล IMV Generation ใหม่ แม้จะเป็นการเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน Full ModelChange
ยกตระกูล ทั้ง Hilux Vigo , Fortuner และ Innova หากมองด้วยตาเปล่า แต่ความจริงแล้ว เป็น
การนำเอารถยนต์รุ่นเดิม มาปรับปรุงข้อดี – ข้อเสียต่างๆ รวมทั้งเปลี่ยนชิ้นส่วนตัวถังใหม่ เท่าที่จำเป็น
อธิบายให้ง่ายสุดก็คือ เป็น Biggest Minorchange หรือการปรับโฉมครั้งมโหฬาร จนดูราวกับว่า
เป็นการเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน เพราะมีการเปลี่ยนชิ้นส่วนตัวถังจำนวนมาก แต่ขนาดตัวถังจะแตกต่าง
จากรุ่นเดิม น้อยมาก คล้ายกับกรณีของ การเปลี่ยนโฉม Toyota Avanza จากรุ่นเดิม เป็นรุ่นใหม่
ในปัจจุบัน นั่นเอง!
เริ่มจาก Toyota Hilux Vigo ใหม่ ที่มีภาพ Spyshot หลุดออกมาตลอดช่วงปลายปีที่แล้ว ทั้งใน
บ้านเรา และในต่างประเทศ หลุดกันจนแทบไม่เหลืออะไรให้จินตนาการต่อเลยทีเดียว ที่แน่ๆ คราวนี้
Toyota จะเน้นการออกแบบให้ Hilux ใหม่ มีความทนทรหดเพิ่มยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพื่อรองรับลูกค้าใน
กลุ่มตลาดที่ใช้งานสมบุกสมบันกว่าเมืองไทย ทั้งในตะวันออกกกลาง และ Africa โดยมีฐานการ
พัฒนาหลักอยู่ที่ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และเมืองไทย
รูปลักษณ์ภายนอกจะได้รับอิทธิพลเส้นสายมาจาก Corolla Altis กันเต็มรูปแบบ ทั้งด้านหน้า
และแผงหน้าปัด จุดเด่นสำคัญ อยู่ที่การถือกำเนิดของเครื่องยนต์ Diesel 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว
ตระกูลใหม่ล่าสุด 2 ระดับความแรง ทั้งแบบ 2.2 ลิตร และ 2.8 ลิตร ที่ยืนยันเป็นการภายในว่า
“แรงสุดในตลาด ของจริง”
เหตุผลของการเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ทั้งยวง ไม่มีอะไรในกอไผ่ ในเมื่อขุมพลังเดิมสามารถปรับปรุง
ให้ผ่านมาตรฐานมลพิษ ได้ถึงแค่รดับ Euro 4 หรือ ไม่เกิน Euro 5 เท่านั้น หากจะต้องเดินหน้า
ไปต่อ เพื่อให้ผ่านมาตรฐานที่สูงกว่านี้ในอนาคต จำเป็นที่ Toyota ต้องพัฒนาขุมพลังตระกูลใหม่
เพื่อแก้ปัญหานี้
กำหนดการเผยโฉม Hilux ใหม่ จะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก ที่ประเทศไทย เดือนมีนาคมนี้
ก่อนงาน Bangkok Motor Show เพียงเล็กน้อย โดยยังไม่แน่ใจว่าจะมีการเปลี่ยนชื่อรุ่นย่อย
หรือ Sub-name อย่าง “VIGO” หรือไม่ เพราะในอดีต เป็นธรรมเนียมที่จะต้องเปลี่ยนชื่อรุ่น
รถกระบะกันแทบทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนโฉมใหม่
แต่ถ้าให้เดาใจฝ่ายการตลาดของ Toyota ในเวลานี้ ผู้เขียนเชื่อว่า “ในเมื่อชื่อรุ่น Vigo มันได้
ติดปากคนไทยไปเรียบร้อยแล้ว จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปเปลี่ยนชื่อย่อย Sub-name
ให้เปลืองงบการทำตลาดกันอีก แถมในช่วงที่ผ่านมา คู่แข่งทั้งหลาย ก็ลด ละ เลิก ประเพณี
การเปลี่ยนชื่อรุ่นรถกระบะของตนกันไปมากแล้ว เป็นตัวอย่างให้กับ Toyota ว่าไม่จำเป็น
ต้องเปลี่ยนชื่อกันอีกต่อไป”
จากนั้น ในช่วงกลางปี ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม – มิถุนายน เราจะได้สัมผัสกับรุ่นเปลี่ยนโฉมใหม่
แบบ Full ModelChange ของ Toyota Fortuner คราวนี้ จะมาในมาดใหม่ ที่หรูหรา
ยิ่งขึ้นกว่าเดิม สลัดภาพลักษณ์การเป็น SUV ของลูกน้องเจ้าพ่อ ทิ้งไป เติมเส้นสายที่สวยงาม
โฉบเฉี่ยว และดูไฮโซยิ่งขึ้น จนภาพลักษณ์ทาบรัศมีตระกูล SUV อย่าง Land Cruiser และ
SUV ของ Lexus ได้เลยทีเดียว แถมยังใช้แผงหน้าปัด แตกต่างไปจาก Vigo ตามความตั้งใจ
ที่จะแยกภาพลักษณ์ของ Fortuner ออกจาก Hilux ให้ดูเป็นรถคนละคันกันอย่างชัดเจนกว่า
รุ่นปัจจุบัน ที่ยังอิงภาพลักษณ์ของ Hilux มากเกินไป
ขุมพลังยกชุดมาจาก Hilux ใหม่ เป็นเครื่องยนต์ใหม่ ทั้ง Diesel 2.2 ลิตร Common-Rail
Turbo Intercooler และ 2.8 ลิตร Turbo Intercooler การันตีว่าแรงสุดในตลาด คาดว่า
จะออกมาเอาใจบรรดาพ่อบ้านบ้าพลัง และกลุ่มเศรษฐีอารมณ์ดิบที่ชอบขับจี้ตูดชาวบ้านหนักกว่า
เดิม ในช่วงกลางปีนี้ อย่างแน่นอน โดยจะเปิดตัวคล้อยหลังจาก Hilux ไม่กี่เดือน ไม่ได้เปิดตัว
พร้อมกับ Hilux ใหม่แต่อย่างใด
ทั้ง 2 รุ่น จะยังถูกผลิตขึ้นจากโรงงานในเมืองไทย ทั้งที่บ้านโพธิ์ และสำโรง เพื่อส่งออกสู่ตลาด
ต่างประเทศ เหมือนรุ่นปัจจุบัน โดยเพิ่งมีการอัพเกรด เครื่องจักรในโรงงานบางส่วน ที่สำโรง
รองรับการผลิตรถรุ่นใหม่ ไปหมาดๆในช่วงปีใหม่นี้เอง
ขณะเดียวกัน เวอร์ชัน Minivan 7 ที่นั่ง บนเฟรมแชสซี รถกระบะ อย่าง Innova ก็จะถึงเวลา
เปลี่ยนโฉม Full ModelChange ในลักษณะเดียวกันกับพี่น้องตระกูล IMV ใหม่ ทุกประการ
ด้านหน้าและด้านหลัง จะโฉบเฉี่ยวขึ้น ภายในจะดูหรูหราไฮโซ เอาใจลูกค้าชาว Indonesia
ซึ่งเป็นลูกค้าหลัก ของรถรุ่นนี้มากขึ้น แต่จะใช้เครื่องยนต์เบนซินบล็อกใหม่ ที่แรงและประหยัด
น้ำมันขึ้นกว่าเดิม พัฒนาขึ้นสำหรับรถเพื่อการพาณิชย์โดยเฉพาะ กำหนดออกสู่ตลาด จะมีขึ้นใน
ช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกับการเปิดตัว Fortuner และอาจจะคล้อยหลังจากนั้นไปสักหน่อย
เท่ากับว่า ในปี 2015 Toyota จะมีรถยนต์รุ่นใหม่เปิดตัวในบ้านเรารวมแล้วมากถึง 4 รุ่นหลัก
จาก 2 โครงการ ของ 2 แนก คือทั้งฝ่ายรถยนต์นั่ง และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ (Fortuner
กับ Innova จะถูกรวมเข้ากับกลุ่มนี้ เนื่องจากใช้เฟรมแชสซีร่วมกับ Hilux)
อย่างไรก็ตาม ปีนี้ เราอาจจะได้เห็น Toyota Prius ทำตลาดในเมืองไทย เป็นปีสุดท้าย และ
ค่อนข้างแน่นอนแล้วว่า จะไม่มีรุ่นใหม่ มาสานต่ออย่างแน่นอน เหตุผลเพราะยอดขายตลอดอายุ
ในตลาด ไม่ประสบความสำเร็จ เท่าที่ควร
สาเหตุ ไม่ได้มาจากตัวรถ ซึ่งทำสมรรถนะออกมาได้ดี ประหยัดน้ำมันได้ยอดเยี่ยม แต่
ปัญหาที่แท้จริง อยู่ที่ราคาอะไหล่ ผู้บริโภคจำนวนมาก ถึงกับช็อก เมื่อเจอบิลค่าอะไหล่
เช่นไฟหน้า คู่ละ 40,000 บาท ถือว่าโหดร้ายมากในสายตาลูกค้า หลายราย แค่เผลอ
เอารถไปทิ่มบั้นท้ายรถคันข้างหน้า เจอค่าซ่อมไปเป็นแสนบาท หงายเงิบไปเป็นแถว!
นั่นจึงทำให้พ่อค้ารถมือสอง ไม่ค่อยอยากรับ Prius เข้าเต๊นท์กันนัก หรือถึงขั้นต้องกด
ราคาซื้อเข้า ไว้ต่ำถึงระดับ 400,000 บาท เพื่อให้ขายออกในระดับ 500,000 บาท
(ราคาช่วงต้นปี 2015)
แนวโน้มนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในเมืองไทย แต่ถ้าดูตลาดรถยนต์ในอังกฤษ ก็เป็นเช่นกัน
และเหตุผลมาจากราคาอะไหล่ที่แพงมากเช่นเดียวกัน ดังนั้น ถ้า Toyota ต้องการขาย
รถยนต์ Hybrid ให้ได้มากกว่านี้ จะต้องหาทาง ทำราคาอะไหล่ที่เกี่ยวข้องกับระบบ
Hybrid ให้ถูกลงกว่าทุกวันนี้ มิเช่นนั้น รถยนต์ Hybrid หรือ รถยนต์พลังไฟฟ้าแบบ
อื่นๆ จะไม่มีทางเกิดได้เลย
พอล่วงเข้าสู่ปี 2016 Sub-Compact Sedan ที่ขายดีตลอดกาล อย่าง Vios ใหม่
จะถึงเวลาปรับโฉม Minorchange คราวนี้ ไฮไลต์สจะอยูที่ การเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติ
จากแบบ 4 จังหวะ ลูกเดิม ซึ่งลากใช้งานกันมา 13 ปีแล้ว มาเป็นเกียร์อัตโนมัติ CVT
คาดว่าจะเป็นลูกเดียวกันกับ Yaris รุ่นปัจจุบัน และอจจะมีการปรับปรุงเครื่องยนต์แบบ
1NZ-FE เพื่อให้รองรับกับการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต อัตราใหม่ เช่นเดียวกันกับการ
ปรับโฉมให้กับ Yaris ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการออกแบบชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้าขึ้นใหม่
ให้ดูลงตัว สอดรับกับบั้นท้ายของรถมากกว่านี้
ไม่เพียงเท่านั้น Corolla Altis ใหม่ ก็จะถึงเวลา ปรับโฉม Minorchange ด้วยเช่นกัน
ว่ากันว่า ในเมื่อ Prius ไม่ประสบความสำเร็จ Toyota เลยมองว่า อาจนำระบบ Hybrid
มาวางไว้ใน Corolla Altis แทน เหมือนเช่นที่ทำกับ Corolla Axio / Fielder
อยากจะฝากถึง Toyota ว่า ให้คิดดีๆ รู้ว่าแนวคิดนี้ มีมานานหลายปีแล้ว แต่ยอดขาย
ของคู่แข่งโดยตรงอย่าง Honda Civic Hybrid นั้น ก็ไม่ได้เยอะมาก ดังนั้น โอกาส
ที่ Toyota อาจไม่ประสบความสำเร็จกับ Altis Hybrid ก็น่าจะมีสูง เว้นเสียแต่ว่าจะ
ลดราคาอะไหล่ที่เกี่ยวข้องกับระบบ Hybrid และอัดออพชันเข้าไปเยอะๆ หนักๆ
แต่ต้องทำราคาขายให้โดนใจลูกค้า คือ ต้องไม่เกิน 1,100,000 บาท ก็อาจจะยังพอ
ทำยอดขายให้เป็นไปตามเป้าได้ในช่วง ขวบปีแรกของอายุตลาด แค่นั้น
ปี 2017 จะถึงเวลาเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคันให้กับ Camry อีกครั้ง คราวนี้คาดว่าอาจ
ยืนหยัดแนวทางการพัฒนา 2 เวอร์ชัน เพื่อ 2 ตลาดที่แตกต่าง เหมือนเช่นรุ่นเดิม
แต่เวลานี้ ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงรายละเอียดของตัวรถ เพราะยังไม่มีข้อสรุป
ข้ามมาดูฝั่ง Lexus กันบ้าง เนื่องจากในปี 2015 Toyota มีแนวคิดจะยกเลิกการ
ผลิตขุมพลังอะไรก็ตาม ที่เป็นเบนซิน ต่ำกว่า 3,000 ซีซี และไม่มี Turbo ทิ้ง
ทั้งหมด เพื่อเตรียมขยายการใช้ขุมพลังเบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร
Turbo ซึ่งออกสู่ตลาดในรุ่น NX และ RC ให้เต็ม Lineup มากกว่านี้
ดังนั้น ในช่วงปี 2015 เราอาจจะได้เห็น Lexus RC Coupe เปิดตัวในบ้านเรา
ด้วยรุ่น RC300h ขุมพลัง Hybrid กันก่อน แต่คงจะส่งลงเรือมาไม่มากนัก
เพราะค่าตัวน่าจะกระโดดขึ้นไปไกล ถึง 3 ล้านบาท ปลายๆ หรือ 4 ล้านต้นๆ
รวมทั้งรุ่นปรับโฉม Minorchange ของ ES300h ตามติดตลาดโลก ในช่วงงาน
Bangkok Motor Show มีนาคมนี้
แต่หลังจากนั้น กว่าที่เราจะได้สัมผัสกับขุมพลัง 2.0 ลิตร Turbo จาก Lexus
อาจต้องรอให้ขึ้นต้นศักราชใหม่ ปี 2016 กันก่อน จึงจะได้พบกับ NX200t
และ RC200t ตัวเป็นๆ จากการนำเข้าของ Toyota Motor Thailand ซึ่งเมื่อ
ถึงเวลานั้น ด้วยการปล่อยมลพิษที่ต่ำลง ช่วยทำให้ต้องเสียภาษีสรรพสามิต
ต่ำลง และอาจทำให้ค่าตัว ถูกลงกว่าปัจจุบันอยู่มาก จนแข่งขันกับชาวบ้าน
ค่ายอื่นเขาได้เสียที
—————————————————-
VOLVO
2015 : XC90 Full ModelChange SKD Malaysia launch in Thailand
2016 : New DRIVE-E 3 Cylinder Engine & 1.5 L Gasoline Turbo Engine
ความเคลื่อนไหวของ Volvo ในเมืองไทย ตลอดปี 2014 ที่ผ่านมา มุ่งเน้นไปที่ความ
พยายามแก้ไขปัญหา ด้านบริการหลังการขายให้กับลูกค้า ของ S60 และ V60 รุ่นปี
2012 – 2013 ที่อาจประสบปัญหากับระบบหัวฉีด จนทำให้เกิดอาการเครื่องยนต์ดับ
ขณะขับขี่ พวกเขากำลังแก้ปัญหานี้ ด้วยการสั่งหัวฉีดที่ปรับแก้วัสดุใหม่ มาถึงไทย
ล็อตแรก ในช่วงเดือนมกราคมนี้ เพื่อทะยอยแก้ปัญหาของลูกค้ากันไป
ด้านรถยนต์รุ่นใหม่ ไม่แปลกใจที่ยังไม่ค่อยมีของใหม่ เพราะเพิ่งกระหน่ำเปิดตัว
รุ่นปรับโฉม Minorchange ให้กับ S60 V60 XC60 S80 และเพิ่มรุ่น V40 Cross
Country ไปเมื่อปลายปี 2013 รวดเดียว ดังนั้น ปี 2014 จึงมีแค่การนำขุมพลังใหม่
พร้อมหัวฉีด i-ART มาเปิดตัวในประเทศไทย ณ งาน Bangkok Motor Show 2014
โดยวางใน S60 และ V60 ก่อน พร้อมแผนกระตุ้นตลาดใส่ชุดแต่ง R-Design ให้กับ
V60 ออกขายจำนวนจำกัด 60 คันเท่านั้น ออกขายเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2014 ก่อน
ตามด้วย Volvo XC60 D4 ขุมพลัง i-ART และปิดท้ายด้วยเวอร์ชันแรงพิเศษ S60
Polestar ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
ในต่างประเะทศ ข่าวใหญ่ของพวกเขาคือ การเปิดตัว XC90 รุ่นใหม่ เปลี่ยนโฉม
ใหม่ทั้งคัน Full Model Change ไปเมื่อ 27 สิงหาคม 2014 ที่ผ่านมา โดยล็อตแรก
First Edition จำนวน 1,927 คัน ถูกจำหน่ายหมดภายในระยะเวลาเพียง 47 ชั่วโมง
หลังถูกปรามาสจากสื่อมวลชนฝั่งยุโรป ว่าอาจทำยอดขายได้ ไม่สวยนัก
ปีนี้ Volvo XC90 ใหม่ จะทะยอยเปิดตัวสู่ตลาดนอกสวีเดน รวมทั้ง เมืองไทย กัน
เสียที โดยจะเป็นรุ่นนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคันจากสวีเดน กันก่อน ในเบื้องต้น ราคา
คาดว่าอยู่ที่ 6 ล้านบาท โดยประมาณ ก่อนจะเปลี่ยนมานำเข้าจาก มาเลเซีย หาก
สายการผลิตของพวกเขาพร้อม ซึ่งคงต้องรอกันจนถึงปี 2016 เป็นอย่างเร็วที่สุด
คงต้องสรุปเหมือนปีที่แล้วว่า การเช็คความความเคลื่อนไหวของ Volvo นั้น ให้ดู
ที่โรงงานในมาเลเซีย เป็นหลัก ถ้าพวกเขาเตรียมผลิตรถยนต์รุ่นไหน? เมื่อไหร่?
อีกสักพัก รถยนต์รุ่นนั้นจะถูกส่งเข้ามาขายในประเทศไทยของเราชัวร์ๆ แบบ
ไม่ต้องเดาให้เสียเวลา
ส่วนปี 2016 Volvo ประกาศแล้วว่า เราจะได้เห็นเครื่องยนต์ 3 สูบ บล็อกใหม่ และ
แบบ 4 สูบ 1,500 ซีซี Turbo จากตระกูล DRIVE-E ของพวกเขากันอย่างแน่นอน
โดยคาดว่าจะวางลงในตระกูล V40 กับ S60/V60 และ XC60 เป็นหลัก เพียงแต่ว่า
อาจต้องใช้เวลาในการเตรียมผลิตและส่งเข้ามาขายในเมืองไทย น่าจะเร็วสุดคือปี
2017
—————————————————-
VOLKSWAGEN
2015 : Just wait for the Big News!
จนถึงตอนนี้ สิทธิ์การทำตลาดรถยนต์ Volkswagen ในบ้านเรา ก็ยังอยู่กับ “ไทยยานยนตร์”
เหมือนเช่นเคย และปี 2013 ที่ผ่านมา ต้องถือว่า รถยนต์รุ่นใหม่ๆ แทบไม่มีเลย ถ้าไม่นับ
Volkswagen Amarok ซึ่งมีผู้สั่งจองไปทั้งหมด ราวๆ 20 – 30 คันเท่านั้น การส่งมอบจะ
เริ่มต้นขึ้นในช่วงหลังปีใหม่ รวมทั้ง รถตู้ยอดนิยม Caravelle ที่มีการตกแต่ง ภายในกัน
ในระดับ Minorchange มากถึง 2 รอบ
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวล่าสุดที่เกิดขึ้นในปี 2014 ก็คือ ไทยยายนตร์ จะหมดสิทธิ์
นำเข้ารถเก๋งของ Volkswagen มาทำตลาดเองแล้ว คงเหลือไว้เฉพาะสิทธิ์ในการทำตลาด
รถตู้ Caravelle ต่อไปเท่านั้น
แน่ละ นอกเหนือจากเยอรมันีแล้ว ก็มีเมืองไทยนี่แหละ ที่ขายรถตู้รุ่นนี้ได้เยอะมากเป็น
พิเศษ เพราะได้รับความนิยมจากบุคคลสำคัญในประเทศจำนวนมาก ซื้อหาไปดัดแปลง
เป็นรถตู้ใช้งานในชีวิตประจำวันกันเยอะ
แล้วอนาคตของ Volkswagen ในบ้านเราละ? จะเป็นอย่างไรต่อไป?
ช่วงปีที่ผ่านมา มีกระแสข่าวว่า Volkswagen AG กลับมาสนใจจะลงทุนตั้งโรงงานใน
บ้านเรากันอีกครั้ง และตั้งใจจะเข้าร่วมขอรับสิทธิพิเศษด้านภาษีในการประกอบรถยนต์
ECO Car Phase 2 โดยคาดกันในเบื้องต้นว่า รถยนต์รุ่นที่เหมาะสมมากสุดน่าจะเป็น
Polo Hatchback 5 ประตู เครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ 1.2 ลิตร TSI Turbo แถมยังมีข่าว
เลยเถิดถึงขั้นว่า เริ่มออกประกาศรับสมัครพนักงานกันแล้ว แต่จู่ๆ ความเคลื่อนไหว
ดังกล่าว กลับเงียบหายไปอีกครั้ง
เราคงต้องรอดูกันต่อไปในอี 2015 ว่า VW AG จะเอาอย่างไรกับตลาดรถยนตในบ้านเรา
รวมทั้งภูมิภาค ASEAN เมื่อมาถึงจุดนี้ ผมยังคงต้องทิ้งท้ายกันเหมือนเดิมว่า
“VW จะมาเมื่อไหร่ ช่วยปลุกด้วยนะ ขอไปนอนรอก่อนละ ง่วงเหลือเกิน จะมาก็ไม่มา
ยึกยักชักช้าเป็นกรมเจ้าท่าอะไรหนักหนาก็ไม่รู้!”
—————————————///——————————————-
ขอขอบคุณ / Special Thanks
– แหล่งข่าว ผู้ขอสงวนนาม ทุกท่าน
– คุณ Pao Dominic สำหรับการช่วยเตรียมภาพ
– คุณ KNK : ภาพวาดประกอบบทความ
——————————–
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพวาด Illustrator โดยคุณ KNK
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
3 มกราคม 2015
Copyright (c) 2014 Text (Illustration By : KNK)
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
January 3th,2014
แสดงความคดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!