หลังจากปล่อยบทความ Full Review Kia Grand Carnival ไปแล้ว เมื่อ 17 ตุลาคม 2017 ในฐานะ รีวิว Kia เรื่องที่ 2 ของเว็บเรา ชื่อของ Kia ก็กลับมาอยู่ในความสนใจ ในกลุ่มผู้บริโภคที่กำลังมองหารถตู้โดยสาร ระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท มากขึ้นทันที เท่าที่ทราบมาก็คือ โชว์รูม และ ศูนย์บริการ Kia ทั้ง 17 แห่งทั่วประเทศ เริ่มมีลูกค้าพากันเข้าไปเยี่ยมชม รถตู้คันเท่าบ้านฝรั่ง รุ่นนี้ กันมากขึ้น แถมยังได้ยอดสั่งจองในช่วงงาน Motor Expo ปลายเดือนพฤศจิกายน 2017 ไปได้อีกจำนวนหนึ่ง
แต่แน่นอนว่า ภายใต้คุณงามความดีของตัวรถทั้งคัน มันก็ยังมีข้อด้อยให้ต้องนำกลับไปปรับปรุงอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ด้านความปลอดภัย ที่ให้มาน้อยมาก มีแค่ระบบป้องกันล้อล็อก ABS เข็มขัดนิรภัย กับถุงลมนิรภัยคู่หน้า และจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก ISOFIX เท่านั้น บรรดาตัวช่วยอย่าง ระบบควบคุมเสถียรภาพ ESC / ESP / TRC รวมทั้งสารพัดเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยร่วมยุคสมัยทั้งหลายแหล่ กลับไม่มีมาให้ แถมออพชันก็ยังมีบางอย่างขาดๆเกินๆไป ชุดเครื่องเสียง Andriod จากจีน ก็ยังแอบสร้างความงุนงงในการทำงานให้เราได้เห็นอยู่ ฯลฯ
ในช่วงจังหวะที่ บทความ Full Review ของรถรุ่นเดิม ถูกปล่อยออกไป Yontrakit Kia Motors ผู้จำหน่ายรถยนต์ Kia ในบ้านเรา กำลังเตรียมความพร้อมในการสั่งนำเข้า Grand Carnival โฉม Minorchange ปี 2018 พอดี ดังนั้น ทุกสิ่งที่เราตำหนิกันไปในบทความนั้น ดูเหมือนจะเป็น Feedback ที่ช่วยให้พวกเขาตัดสินใจง่ายขึ้นกว่า ควรจะปรับ Option กันอย่างไร ให้ รถตู้รุ่นยอดนิยม ซึ่งทำรายได้ให้พวกเขามากที่สุดในบรรดา Kia ทุกรุ่น ที่จำหน่ายอยู่ในประเทศไทยตอนนี้ มีจุดด้อยลดน้อยลง และงัดข้อแข่งขันกับคู่แข่งร่วมพิกัด อย่าง Hyundai H-1 ได้เมามัน กว่าที่เป็นอยู่
ดังนั้น เมื่อ Kia Grand Carnival Minorchange เปิดตัวครั้งแรกในงาน Bangkok International Motor Show เดือนมีนาคม 2018 เราก็เห็นความเปลี่ยนแปลงชัดเจนขึ้น ไม่เพียงแค่จะมี Option มากมายก่ายกองเพิ่มขึ้นอีกพะเรอเกวียนแล้ว การเปลี่ยนมาใช้เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ พร้อมโมด +/- ลูกใหม่ล่าสุด ก็เป็นอีกประเด็นที่เราไม่ได้คาดหมายกันมาก่อน
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ การปรับโฉมครั้งนี้ ทำให้ลูกค้าจำนวนไม่น้อย เริ่มสนใจ และหันกลับมามอง Kia อีกครั้ง พวกเขาทำยอดสั่งจองไปได้ถึง 312 คัน แต่ตัวรถ เพิ่งจะเริ่มผลิตในช่วงเดียวกับงาน Motor Show และถูกส่งลงเรือมาจาก เกาหลีใต้ เพิ่งจะเริ่มส่งมอบรถรุ่นใหม่กันได้ เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมาหมาดๆนี่เอง
ไหนๆก็ไหนๆ เพื่อปลุกกระแสความสนใจกันอีกรอบ Yontrakit Kia ก็เลยทำหนังโฆษณาเรื่องใหม่กันซะเลย มาถึงตรงนี้ เชื่อว่า คุณคงได้เห็น หมอโอ๊ค กับ คุณโอปอล พาลูกน้อยที่น่ารักทั้ง 2 คน ไปเที่ยวลำตะคอง กันในโฆษณา Kia Grand Carnival ใหม่ ไปเรียบร้อยแล้ว…พวกเขา นำออกอากาศผ่านช่องทาง On-Line ทั้งหมด ครั้งแรก เมื่อเช้าของวันศุกร์ 22 มิถุนายน 2018 ที่ผ่านมา
ปกติแล้ว Headlightmag มักไม่ทำบทความ Full Review ของรถยนต์รุ่นปรับโฉม Minorchange เพราะส่วนใหญ่ เป็นเพียงแค่การปรับปรุงอุปกรณ์รอบคัน เว้นเสียแต่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์ หรือระบบส่งกำลังด้วย
ทว่า กรณีนี้ Grand Carnival ใหม่ ถูกเปลี่ยนมาใช้ เกียร์อัตโนมัติ ลูกใหม่ 8 จังหวะ จึงทำให้เราตัดสินใจ นำมาทำบทความทดลองขับกันอีกครั้ง เพื่อให้ได้รับรู้กันว่า สมรรถนะ อัตราเร่ง และความประหยัดน้ำมัน ของรุ่น Minorchange จะแตกต่างไปจากรุ่นเดิม มากน้อยแค่ไหน อย่างไร และคราวนี้ มีการปรับอุปกรณ์ต่างๆเพิ่มขึ้นด้วย ผมจึงอยากรู้ว่า รถรุ่นใหม่ จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหรือไม่
เราก็เลยเป็นเว็บไซต์แรกที่คว้ากุญแจรถรุ่นนี้ มาทำบทความให้คุณได้อ่านกันข้างล่างนี้…อีกตามเคย ในรูปแบบ…Short Review ก็เพียงพอ นั่นหมายความว่า คุณควรจะอ่านบทความนี้ และบทความทดลองขับ รถรุ่นเดิม ควบคู่กันไปด้วย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนอย่างที่เรา ตั้งใจอยากให้เป็น
Grand Carnival ใหม่ มีขนาดตัวถังใหญ่โตอลังการ เหมือนเดิม ด้วยความยาวถึง 5,115 มิลลิเมตร กว้าง 1,985 มิลลิเมตร (หรือเกือบ 2 เมตร!!) สูง 1,755 มิลลิเมตร (รวมแร็คราวหลังคา) ระยะฐานล้อ ยาวถึง 3,060 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อคู่หน้า / หลัง (Front & Rear Thread) อยู่ที่ 1,740 / 1,747 มิลลิเมตร น้ำหนักตัวรถ Gross weight อยู่ที่ 2,770 กิโลกรัม ระยะห่างจากพื้นถนนจนถึงใต้ท้องรถ (Ground Clearance) อยู่ที่ 171 มิลลิเมตร
หากเปรียบเทียบกับคู่แข่งตรงๆตัวในบ้านเรา อย่าง Hyundai H-1 ซึ่งมีความยาว 5,120 มิลลิเมตร กว้าง 1,920 มิลลิเมตร สูง 1,925 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 3,200 มิลลิเมตร แล้ว จะพบว่า Grand Carnival ใหม่ สั้นกว่า H-1 แค่ 5 มิลลิเมตร แต่กว้างกว่า H-1 ถึง 60 มิลลิเมตร เตี้ยกว่าถึง 170 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อสั้นกว่า H-1 ถึง 140 มิลลิเมตร
แต่ถ้าลองเปรียบเทียบกับ 2 คู่แฝดระดับหรู Toyota Alphard / Vellfire รุ่นล่าสุด ซึ่งมีความยาว 4,915 – 4,930 มิลลิเมตร กว้าง 1,890 มิลลิเมตร สูง 1,895 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 3,000 มิลลิเมตร แล้ว Grand Carnival ใหม่ ยาวกว่า Alphard/Vellfire ถึง 185 มิลลิเมตร กว้างกว่า 95 มิลลิเมตร เตี้ยกว่า 140 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาวกว่า 60 มิลลิเมตร
รายละเอียดการเปลี่ยนแปลง ที่มองเห็นได้จากภายนอก ของทั้ง 3 รุ่นย่อย นั้น มีทั้ง ชุดไฟหน้าแบบใหม่ LED พร้อมไฟหรี่แบบ LED Light Guiding ที่ลากยาวขึ้นจากไฟเลี้ยว (ด้านในสุดของชุดไฟหน้า ริมกระจังหน้า) ลากขึ้นมาจนถึงแผงทับทิมในชุดไฟหน้าด้านข้าง ของทั้ง 2 ฝั่ง ตามด้วย กระจังหน้า Tiger Nose ลายใหม่ เปลือกกันชนหน้า Recycle ลายใหม่ มาพร้อมกับ ไฟตัดหมอกคู่หน้าดีไซน์ใหม่ แบบ สี่เหลี่ยม 4 ชิ้น วางซ้อนกันแถวละ 2 ชิ้น เฉพาะรุ่น EX กับ SXL ไฟตัดหมอกหน้า จะเป็นแบบ LED
ฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง มีสปอยเลอร์เหนือกระจกบังลมหลัง ติดตั้งไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED ไว้ในตัว บนหลังคามีเสาอากาศวิทยุแบบครีบฉลาม (Shark Fin) ตามสมัยนิยม ใบปัดน้ำฝนหลังพร้อมหัวฉีดน้ำล้างกระจก กับไล่ฝ้า และแผงทับทิมสะท้อนแสงยามค่ำคืน ที่เปลือกกันชนหลัง และ แถบโครมียมเหนือช่องติดป้ายทะเบียนหลัง ถูกออกแบบใหม่ ให้ลากยาวเพิ่มขึ้นกว่ารุ่นเดิม จนเกือบจะสุดขอบฝาท้ายทั้ง 2 ฝั่ง ทั้งหมดนี้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ของทุกรุ่นย่อย
ส่วนรุ่น EX กับ SXL จะเพิ่ม ชุดไฟท้ายพร้อมไฟเบรกแบบ LED แร็คหลังคา สำหรับเชื่อมติดตั้ง Rack Rail ไว้บรรทุกสัมภาระ จักรยาน หรือกล่องเก็บของบนหลังคา รวมทั้งมีขอบโครเมียม ประดับอยู่เหนือขอบกระจกหน้าต่างรอบคัน มาให้เป็นพิเศษ
ไม่เพียงเท่านั้น ล้ออัลลอย ของทุกรุ่น ยังเปลี่ยนลายใหม่ โดยรุ่น LX และ EX จะเป็นลายใหม่ ขนาด 17 นิ้ว สวมยาง Kumho ขนาด LX จะให้ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว สวมยางขนาด 235/65R17 ขณะที่รุ่น SXL จะเปลี่ยนมาเป็นลายใหม่ Machine Finished ลาย 5 เพชร ปัดเงา ขนาด 18 นิ้ว เท่ารุ่น Top EX เดิม สวมยาง Kumho รุ่น CRUGEN Premium ขนาด 235/60R18 เพื่อให้ง่ายต่อการแยกความแตกต่างจากรุ่นเดิมมากขึ้น
ระบบล็อกประตู Keyless Entry พร้อมระบบกันขโมย Imobilizer และไฟเรืองแสงที่มือจับฝั่งคนขับ เมื่อกดปลดล็อกประตู รวมทั้ง การเข้า – ออกจากตำแหน่งเบาะคู่หน้า และด้านหลัง เหมือนเดิมเป๊ะ คือ พื้นรถค่อนข้างสูง และลูกค้าหลายๆคน ร้องขอกับพนักงานขายว่า ขอของแถม เป็นบันไดข้างจะได้หรือไม่ รวมทั้ง บานประตูเปิดเลื่อนได้ด้วยระบบไฟฟ้า ทั้ง 2 ฝั่ง พร้อมม่านกันแสง แต่กระจกหน้าต่างเลื่อนลงได้ไม่สุดขอบราง ยังคงมีมาให้ตามเดิม
ภายในห้องโดยสาร เฉพาะชุดเบาะนั่ง ทั้ง 11 ตำแหน่ง รวมทั้งเบาะหน้าด้านซ้าย มีสวิตช์ด้านข้างพนักพิงหลังให้คนขับปรับเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง และปรับพนักพิงเอนได้ เพื่อความสะดวกของผู้โดยสารด้านหลัง เหมือนรุ่นเดิม เป๊ะทุกประการ สิ่งที่เพิ่มเข้ามา ก็มีแค่ ชุดเบาะคู่หน้า ซึ่งเดิมที ปรับตำแหน่ง เอนพนักพิงหลัง และเลื่อนเข้า – ออก รวมทั้งปรับเลื่อนขึ้น – ลง ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า คราวนี้ เฉพาะฝั่งคนขับ จะเพิ่มตัวปรับดันหลังด้วยสวิตช์ไฟฟ้า สามารถเลื่อนขึ้น – ลง และปรับดันหลังมาก – น้อย ตามความต้องการ
แถมยังมีระบบ Memory Seat จำตำแหน่งเบาะคนขับ และกระจกมองข้างปรับ/พับ ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า มาให้ 2 ตำแหน่ง ควบคุมได้จากสวิตช์ไฟฟ้า ใกล้มือจับเปิดประตูฝั่งคนขับ มาพร้อมกับ ระบบ Comfort Access เลื่อนปรับเบาะถอยหลังเองเมื่อคุณเปิดประตูเข้าไปนั่งตำแหน่งคนขับ และเลื่อนกลับมายังตำแหน่งที่คุณปรับตั้งไว้ เมื่อกดปุ่ม Push Start เพื่อติดเครื่องยนต์ และเลื่อนถอยหลังเองอีกครั้ง เมื่อคุณดับเครื่องยนต์ เตรียมจะเปิดประตูออกจากรถ
นอกจากนี้ พนักศีรษะ ปรับระดับความ ” ดันศีรษะ ” ได้ 3 ระดับ แม้ว่าจะยังดันหัวอยู่หน่อยๆ แต่โชคดีว่า ตัวพนักศีรษะ บุนุ่มมากๆ เหมือนโซฟา เลยพอยอมรับได้ ส่วนเบาะนั่งด้านหลังทั้ง 3 แถว ปรับเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง ปรับเอน หรือยกพับเก็บ ได้เหมือนรุ่นเดิม ทุกประการ
ส่วนประตูห้องเก็บสัมภาระด้านหลังด้วยไฟฟ้า แบบเดินพกกุญแจรีโมท Keyless Smart Entry เข้าหา รอสัญญาณส่งเสียงร้องพร้อมกระพริบไฟฉุกเฉิน ครบ 3 ครั้ง ฝาท้ายก็เปิดยกเองทันทีโดยไม่ต้องเตะอากาศใต้กันชนหลังเหมือน BMW ก็ยังคงมีมาให้เช่นเดิม รายละเอียดของห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง ก็เหมือนเดิม
ดังนั้น สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน Full Review ของรุ่นเดิม Click Here!
แม้ว่า แผงหน้าปัด และกล่องคอนโซลเก็บของด้านข้างผู้ขับขี่กับผู้โดยสาร จะมีหน้าตา ชวนให้นึกถึง Volkswagen ยุคใหม่หลายๆรุ่น และยังคงใช้งานได้ดีเหมือนกับรุ่นเดิม ทว่า เมื่อเพิ่งพินิจพิเคราะห์พิจารณาดูให้ดีๆ จะพบว่า มีความแตกต่างเพิ่มเติมจากเดิมอยู่ 6 จุดสำคัญ
- หน้าจอแสดงข้อมูล MID (Multi Information Display) บนชุดมาตรวัด มีการปรับเปลี่ยนงานออกแบบการแสดงผลใหม่ ให้ดูร่วมสมัยขึ้น และลดความซับซ้อนในการใช้งาน แค่เลื่อนขึ้น-ลง 4 ระดับ อ่านข้อมูลได้ทั้ง Trip Meter + Trip Computer แสดงข้อมูลอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ในหน้าจอเดียวกัน รวบยอดไปเลย รวมทั้งมีมาตรวัดอัตราสิ้นเปลืองแบบ Real-Time และ มาตรวัดความเร็วแบบตัวเลข Digital แยกมาให้อีกด้วย รวมทั้ง มี Menu หน้าจอเข้าไปตั้งค่าระบบต่างๆภายในรถ ควบคุมผ่านทางแผงสวิตช์บนก้านพวงมาลัยฝั่งขวา แถมมีสัญญาณเสียงเพลง บนมาตรวัดทั้งช่วงติดเครื่องและดับเครื่องยนต์ คล้ายกับเสียงของโปรแกรม Windows ตอนที่คุณจะเปิด หรือปิดเครื่อง คอมพิวเตอร์…อย่างหลังนี่ เพิ่มเข้ามาให้ฮากันเล่นๆ
- สวิตช์ควบคุมโทรศัพท์ บนก้านพวงมาลัยฝั่งซ้าย เปลี่ยนจาก แบบสี มาเป็นแบบเรืองแสง เช่นเดียวกับสวิตช์อื่นๆบนก้านพวงมาลัย แบบ Multi Function ทั้ง 2 ฝั่ง
- ชุดเครื่องเสียง เปลี่ยนมาใช้หน้าจอ Monitor สี แบบ Touch Screen รุ่น LX ยังเป็นแบบ 7 นิ้ว แต่ EX และ SXL เป็นแบบ 8 นิ้ว ควบคุมทั้ง วิทยุ AM/FM เชื่อมต่อกับช่องเสียบ AUX,USB,iPod และระบบเชื่อมสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ Bluetooth แต่…ตัดเครื่องเล่น CD / MP3 ออกไป แล้วเพิ่มระบบปฏิบัติการณ์ ทั้ง Apple Car Play (ยังไม่รองรับแผนที่ ภาษาไทย ต้องรอดู iOS เวอร์ชันล่าสุดนี่ก่อน) และ Andriod Auto (รองรับแผนที่ภาษาไทยแล้ว ใช้งานเชื่อมกับระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS Navigatin System บนโทรศัพท์มือถือ หรือ Google Map ของคุณ ได้ทันที!) คุณภาพเสียง ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมอย่างชัดเจน สำหรับคนที่ไม่ได้ชอบฟังเพลงขนาดหนัก เครื่องเสียงชุดนี้ เพียงพอให้ไม่ต้องไปจ่ายเงินอัพเกรดเพิ่มเติม (แต่ถ้าคุณเป็นนักฟังหูทอง ก็อาจต้องยอมทุ่มงบเพิ่มเติมอีกสักพอสมควร เพื่อให้ได้คุณภาพเสียงดีงามสมใจคุณกว่านี้ เพราะเอาเข้าจริง ผมมองว่า เสียงมันฟุ้งไปหมด แถมเวลาเล่นเพลงจาก Youtube เหมือนมีเสียงคลื่นความถี่แทรกเข้ามา)
- การเปลี่ยนมาใช้หน้าจอแบบใหม่ ทำให้การแสดงผลของเครื่องปรับอากาศ ทั้งด้านหน้า และด้านหลังรถ ย้ายขึ้นไปอยู่บนหน้าจอ Touch Screen ด้วยกันเลยในคราวเดียว หากจะเรียกดู ก็ให้กดปุ่ม CLIMATE ข้างสวิตช์ไฟฉุกเฉิน เพื่อปรับแอร์ได้จากทั้งบนสวิตช์แบบดั้งเดิม หรือบนหน้าจอมอนิเตอร์ Touch Screen ไปเลย ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องเป็นหน้าจอ Digital ติดตั้งที่แผงสวิตช์เครื่องปรับอากาศ อีกต่อไป
- ถัดลงไปจาก แผงสวิตช์เครื่องปรับอากาศ มีการติดตั้ง แท่นชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย Wireless Charger มาให้ พร้อมช่องเสียบ USB และ AUX อยู่ติดกัน ในตำแหน่งต่างจากรุ่นเดิมนิดเดียว
- แผงคันเกียร์ ถูกปรับย้ายตำแหน่งสวิตช์ต่างๆใหม่ โดยยังคงรักษา สวิตช์ Heater อุ่นเบาะคู่หน้า แยกฝั่งเบาะซ้าย – ขวา เลือกปรับความร้อนได้ 3 ระดับ ทั้งคู่ รวมทั้งสวิตช์เปิด – ปิด ระบบ Heater อุ่นพวงมาลัย ระบบโปรแกรมการขับขี่ Active ECO System เน้นความประหยัดน้ำมัน โดยควบุคมการทำงานของลิ้นคันเร่ง ระบบเกียร์และระบบปรับอากาศ (ซึ่งอัตราความสิ้นเปลืองจะเปลี่ยนตามลักษณะการขับขี่และสภาพถนน) และสวิตช์เปิด – ปิด เซ็นเซอร์ช่วยกะระยะขณะถอยหลังเข้าจอด ทั้งด้านหลังรถ (มีมาให้ทั้ง 2 รุ่นย่อย) และด้านหน้า (มีเฉพาะรุ่น EX) เอาไว้ตามเดิม (แค่ย้ายตำแหน่งใหม่เท่านั้น)
7. เพิ่มจอ Personal Entertainment LCD ที่บริเวณหัวพนักศีรษะคู่หน้า สำหรับผู้โดยสารแถวหลัง จอดังกล่าว สามารถแยกเชื่อมต่อกับ Bluetooth ของโทรศัพท์มือถือ เครื่องใครเครื่องมัน ได้เลย โดยจำเป็นต้องเชื่อมพ่วงพร้อมกันทั้ง 2 เครื่องแต่อย่างใด หน้าจอดังกล่าว เป็นแบบ Touch Screen ดูหนังฟังเพลงผ่าน Youtube หรือเปิด Website ก็ทำได้สบายมาก หน้าจอเลื่อนไว ไม่ติดขัด
8. เพิ่ม SunRoof มาให้ ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวม 2 ชุด ทั้งด้านหน้า และกลางหลังคา สามารถเลื่อนเปิด – ปิดได้ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า และมี มีแผงบังแดดเลื่อนด้วยมือ เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน นอกจากนี้ SunRoof ด้านหน้า สามารถเปิดยกขึ้นเพื่อระบายอากาศได้อีกด้วย
มือจับศาสดายึดเหนี่ยวจิตใจบนเพดานหลังคา ให้มา 5 ตำแหน่ง ส่วนแผงบังแดด ทั้ง 2 ฝั่ง มีกระจกแต่งหน้าพร้อมไฟส่องสว่างมาให้ และมีแผงพลาสติกเลื่อนบังแสงแดดเพิ่มเติมครบทั้งคู่ ไฟส่องสว่างภายในรถนั้น ออกแบบให้เล่นสีกับเล่นแสง จนดูสวยงาม ยิ่งอยู่ในรถที่ใช้เบาะสีเบจเช่นนี้ล้ว ยิ่งช่วยเสริมความหรูหราให้ตัวรถมากยิ่งขึ้น
นอกนั้น ทุกอุปกรณ์ ก็ยกมาจากรุ่นเดิมแทบทั้งสิ้น รายละเอียดต่างๆ คลิกอ่านได้ ที่นี่ Click Here!
********** รายละเอียดด้านวิศวกรรมและการทดลองขับ **********
Grand Carnival เวอร์ชันไทย ยังคงมีขุมพลังให้เลือกเพียงแบบเดียว ตามเดิม แถมยังมีหน้าตาเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย เป็น เครื่องยนต์ Diesel รุ่น “R” บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,199 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 85.4 x 96.0 มิลลิเมตร กำลังอัด 16.0:1 ลำดับการจุดระเบิด 1-3-4-2 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงตามราง Common-Rail แรงดันในระบบ 1,800 bar (26.1 ksi) ด้วยหัวฉีดความละเอียดสูง Piezoelectric Injectors จาก BOSCH พร้อมระบบ Turbo แบบแปรผันครีบ VGT (Variable Geometry Turbocharger) ฝาครอบเครื่องยนต์ และท่อทางเดินไอดี ทำจากพลาสติก
กำลังสูงสุด 197 แรงม้า (PS) ที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 441 นิวตัน-เมตร (44.9 กก.-ม.) ที่รอบเครื่องยนต์ ตั้งแต่ 1,750 – 2,750 รอบ/นาที ผ่านมาตรฐานไอเสียระดับ Euro 4 โดยตัวเลขจาก ECO Sticker ของรัฐบาลไทย Grand Carnival ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ต่ำเพียง 154 กรัม/กิโลเมตร เท่านั้น!?
Hi-Light สำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ อยู่ที่การยกเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะลูกเก่าออกไป แล้วแทนที่ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ พร้อมโหมด +/- ลูกใหม่ จาก Hyundai POWER TECH รุ่น A8LF2 สวมเข้าแทนที่ เพื่อส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า เกียร์ลูกนี้ เป็นรุ่นเดียวกับที่ประจำการอยู่ใน Kia Sportage รวมทั้งบรรดา รถเก๋งขับเคลื่อนล้อหน้า ขนาดใหญ่ ในตระกูล Kia และ Hyundai มีโปรแกรม ECO สำหรับการขับขี่ที่เน้นความประหยัดนำมัน เกียร์จะตัดเปลี่ยนเร็วขึ้นกว่าเดิม เพื่อทดรอบเครื่องยนต์ให้ต่ำลง โดย อัตราทดเกียร์ มีดังนี้
…………………………….6AT……….8AT (New)
1…………………………..4.651…………..4.808
2…………………………..2.831…………..2.901
3…………………………..1.842…………..1.864
4…………………………..1.386…………..1.424
5…………………………..1.000…………..1.219
6…………………………..0.772…………..1.000
7…………………………….N/A…………..0.799
8…………………………….N/A…………..0.648
Reverse (R)………………3.393…………..3.425
อัตราทดเฟืองท้าย…..…….3.320…………..3.510
ข้อมูลการบำรุงรักษาเบื้องต้น :
- Torque Converter Size : เส้นผ่าศูนย์กลาง 260 มิลลิเมตร
- Oil Pump Type : Megafluid
- น้ำมันเกียร์ที่แนะนำ : ATF SP-IV ,SK ATF SP-IV, Michang ATF SP-IV, Noca ATF SP-IV
- ความจุน้ำมันเกียร์ 7.1 ลิตร (1.88 U.S. Gallon)
สมรรถนะจะเป็นอย่างไรนั้น เรายังคงทำการทดลองจับเวลาหาอัตราเร่ง ตามมาตรฐานดั้งเดิมที่เราใช้กันมาตลอดตั้งแตปี 2002 โดยทำในเวลากลางคืน เปิดแอร์ เปิดไฟหน้า และนั่ง 2 คน โดยมีผม (น้ำหนัก 110 กิโลกรัม) กับน้องเติ้ง Kantapong Somchana สมาชิก The Coup Team ของเว็บเรา (น้ำหนัก 48 กิโลกรัม) มาร่วมทดลองกัน ตามปกติ ผลลัพธ์ที่ได้ เมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาดที่เราเคยทำตัวเลขกันไว้ มีดังนี้
ตัวเลขที่ออกมา ถึงแม้ยังคงครองแชมป์ทำอัตราเร่ง แรงสุดในกลุ่มรถตู้ขนาดไม่เกิน 3,000 ซีซี กระนั้น ตัวเลขที่เห็น อาจด้อยกว่าเดิม เล้กน้อย อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้อยกว่าเดิม 0.51 วินาที ส่วนอัตราเร่งแซง 80 -120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ด้อยลงกว่าเดิม 0.47 วินาที
เหตุผลที่พอจะอธิบายได้คือ การเซ็ตอัตราทดเกียร์ ที่ต้องซอยเกียร์ให้ยิบย่อยขึ้น มีผลให้ความเร็วสูงสุดแต่ละเกียร์ ต้องเปลี่ยนไป มีผลต่อการเรียกใช้อัตราเร่งในช่วงที่คุณกำลังขับขี่อยู่ในแต่ละเกียร์ที่แตกต่างกันด้วย
ในช่วง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง จังหวะต่อเกียร์ จากเกียร์ 3 รุ่นเดิม ซึ่งหมดแถวๆ 95 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถูกปรับปรุงใหม่ให้มาจบที่93 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั่นละครับที่น่าจะทำให้ตัวเลขต่างกันในระดับ 0.5 วินาที ส่วน เกียร์ 4 นั้น รุ่นเก่า กว่าจะหมด ก็ลากกันได้ถึง 125 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนรุ่นใหม่ ซอยอัตราทดเกียร์มาถี่ขึ้น ทำให้เกียร์ 4 หมดลงที่ 116 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ต้องลากเข้าเกียร์ 5 ซึ่งมีอัตราทดต่ำกว่ากันแล้ว และนั่นทำให้ช่วง ที่ต้องลากรอบเครื่องยนต์ เพื่อเรียกกำลังออกมา ให้แตะ 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง จึงช้าไปนิดนึง มันไม่ได้แตกต่างกันมากหรอกครับ แต่แค่เป็นเสี้ยววินาที ที่หายไปเท่านั้นเอง
ส่วนการไต่ขึ้นไปถึงความเร็วสูงสุดนั้น ในช่วงจากจุดหยุดนิ่ง 0 – 93 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น ทำได้ไวเหมือนรุ่นเดิมเป๊ะไม่มีผิด แรงถีบตัว ให้รถพุ่งไปข้างหน้า ดึงดีต่อเนื่อง จนกระทั่งหมดเกียร์ 3 เข้าสู่ช่วงเกียร์ 4 จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ที่เกิดขึ้น มีผลทำให้การไต่ความเร็วจาก 93 – 116 กิโลเมตร/ชั่วโมง อันเป็นช่วงเกียร์ 4 ดร็อปลงมานิดนึง ต้องสังเกตจริงๆถึงจะรู้สึก ม่เช่นนั้นมันก็ไม่ต่างกันมากหรอกครับ
แต่เมื่อผ่านพ้น ระดับ 116 กิโลเมตร/ชั่วโมง เข้าสู่เกียร์ 5 ไปแล้ว จนถึง สุดปลายเกียร์ 6 ที่ 161 กิโลเมตร/ชั่วโมง การไต่ความเร็วขึ้นไป จะช้าลงกว่ารุ่นเดิม ในช่วงจังหวะเดียวกัน นิดนึง ไม่เยอะ แต่พอพ้นเข้าสู่เกียร์ 7 เป็นต้นไป ด้วยลักษณะนิสัยของเครื่องยนต์ Diesel Turbo ซึ่งออกแบบมาให้มีแรงบิดสูงสุดในรอบต่ำๆ เป็นหลัก แต่เหี่ยวปลายในรอบสูงๆ ก็เริ่มปรากฎ เข็มความเร็วจะเริ่มไต่ขึ้นไปช้าลง แม้จะยังคงความต่อเนื่องไว้อยู่ประมาณหนึ่ง จนกระทั่งถึงช่วงหลังจาก 195 กิโลเมตร/ชั่วโมง เข็มความเร็วจะเริ่มนิ่ง ดังนั้น การไต่ขึ้นไปจนถึง Top Speed นั้น จำเป็นต้องมีเนินสูงๆ เพื่อช่วยส่งให้รถพุ่งลงมาเร็วขึ้น และทำให้เราได้เห็นว่า แท้จริงแล้ว เกียร์ ตัดเปลี่ยนอีกครั้ง จาก 7 ขึ้นเป็นเกียร์ 8 ที่ระดับ 199 กิโลเมตร/ชั่วโมง พอดี จากนั้น ก็ต้องใช้ระยะทางอีกประมาณนึ่งเพื่อให้ไต่ขึ้นไปถึง 204 กิโลเมตร/ชั่วโมง อันเป็นความเร็วสูงสุดของรถ ที่เกียร์ 8
ย้ำกันเหมือนเช่นเคยว่า การทำความเร็วสูงสุดนั้น เราทำการทดลองในช่วงเวลากลางคืนและใช้ระยะเวลาสั้นๆ เราคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเราเอง รวมทั้งผู้ร่วมใช้เส้นทางอย่างเข้มงวด ด้วยเหตุผลของการให้ข้อมูลอ้างอิง เพื่อเป็นข้อมูลองค์ความรู้แก่มวลชนเท่านั้น โปรดอย่าไปทดลองด้วยตนเอง โดยเด็ดขาด เพราะนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ยังอาจก่ออันตรายถึงชีวิต ทั้งต่อตนเองและผู้บริสุทธิ์อื่นๆอีกด้วย! และหากเกิดเหตุการณ์ใดๆขึ้น เราจะไม่รับผิดชอบในทุกกรณี ! เพราะถือว่านำไปทำกันเอง ทั้งที่เราก็ได้เตือนและห้ามปรามกันแล้ว
ในการขับขี่จริง บอกเลยว่า อย่าเอาตัวเลข 0.4 – 0.5 วินาที ที่หายไปในตารางข้างบน มานั่งกังวลให้ปวดกบาลเลยครับ เพราะแรงดึงและการตอบสนองนั้น มันแทบไม่ได้แตกต่างไปกว่ารุ่นเดิมเลย Grand Carnival ใหม่ ยังคงให้ความแรงชวนให้ตื่นตาตื่่นใจว่า ” นี่เรากำลังขับรถตู้กันจริงๆใช่ไหม ” เหมือนเดิม
เพียงแต่ว่า ต้องเข้าใจนิดนึงว่า แม้จะแรงแค่ไหน แต่อาจจะทำตัวเลขด้อยกว่ารุ่นแรกคือ 0.4 – 0.5 วินาที ซึ่งถ้าเป็นรถแข่ง นั่นคือตัวเลขที่มีผลอย่างใหญ่หลวงต่อชัยชนะที่รออยู่เบื้องหน้า แต่สำหรับรถตู้ขนเด็กเปรต แบบนี้ เวลาแค่นั้น ไม่สำคัญนักหรอกครับ เว้นแต่ว่า คุณจะเอา Grand Carnival ไปดัดแปลงรอบคัน แล้ววิ่งลงแข่งที่สนาม พีระฯ หรือ Nurburgring ในเยอรมนี นั่นก็จะเป็นอีกเรื่อง!!
ด้านอื่นๆ นอกเหนือจากอัตราเร่งแล้ว ยังคงเหมือนกันกับรุ่นเดิม ทุกประการ
การเก็บเสียงรบกวนในห้องโดยสาร ยังคงเหมือนรุ่นเดิม คือเสียงเครื่องยนต์ขณะจอดติดเครื่องไว้นิ่งๆ ค่อนข้างเงียบกว่าบรรดาพวก Mercedes-Benz Diesel หลายๆรุ่น แต่ยังไม่ถึงขั้นเงียบเท่าเครื่องยนต์ของ Mazda 2 Diesel ส่วนการเก็บเสียงในช่วงความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตร/ชัวโมง ทำได้ดีมาก แต่พอพ้นช่วงดังก่าวไป แม้จะยังไม่มีเสียงกระแสลมที่กระจกบังลมหน้า กับขอบหน้าต่างของบานประตูคู่หน้าเท่าใดนัก แต่บริเวณกรอบหน้าต่างด้านบนของบานประตูเลื่อนคู่หลัง และบริเวณซุ้มล้อหลัง เริ่มส่งเสียงลมไหลผ่าน และเสียงยางบดกับพื้นถนนเข้ามาให้ได้ยินอยู่ประมาณหนึ่ง ทว่า เสียงที่ดังสุด มาจากซุ้มล้อคู่หลัง
ระบบบังคับเลี้ยว เหมือนเดิม เป็นพวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฮโดรลิค รัศมีวงเลี้ยว 5.6 เมตร พอๆกับรถเก๋งทั่วๆไป!! ช่วงความเร็วต่ำเร็วต่ำ ที่หนักกำลังดี หนืดและเสถียรกำลังเหมาะ ไม่ได้เซ็ตอัตราทดมาไวมากนัก แต่พอเกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป หน้ารถจะแอบเริ่มไวนิดๆ และน้ำหนักพวงมาลัยก็จะเบาลงนิดนึง
กระนั้น พวงมาลัยที่เซ็ตมากลางๆ แบบนี้ ช่วยให้เกิดความแม่นยำในระดับปกติของรถที่เซ็ตพวงมาลัยมา “กลางๆ” ไม่ยาน และไม่ไวจนเกินไป มีอัตราทดเฟืองค่อนข้างเหมาะสมดีแล้ว โดยไม่ต้องแก้ไขอะไรเพิ่มเติม มากไปกว่า การเพิ่มน้ำหนักในช่วงความเร็วสูง ให้มากขึ้นอีกว่านี้อีกเพียงนิดเดียว
ประเด็นนี้ เราก็เคยฝากทิ้งไว้ในรถรุ่นเดิม แต่ถ้าไม่แก้ไขอะไร ผมก็ยอมรับกับพวงมาลัยแบบนี้ได้ ซึ่งคนประเภทนี้ มักต้องเป็นคนที่ไม่เคยขับรถตู้มาก่อน น่าจะชอบพวงมาลัยที่ให้การตอบสนองใกล้เคียงรถเก๋งยุโรป คันเล็ก ยุค 10 ปีก่อน ได้อย่างนี้
ระบบกันสะเทือน ยังคงเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ด้านหน้าเป็นแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัต คอยล์สปริง ช็อกอัพแก้ส HPD (High Performance Damper) ส่วนด้านหลัง เป็นแบบ Multi-Link คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลงทั้งหน้าและหลัง การเซ็ตช่วงล่าง มาในสไตล์ “นุ่มและแน่น แบบรถที่มีน้ำหนักมาก กดทับลงบนช่วงล่างน้ำหนักเบา ไม่นิ่มแบบไร้สาระ” และไม่แข็งไปจนนั่งไม่สบาย แถมยังคงให้ความมั่นใจแม้จะใช้ความเร็วสูงถึงระดับ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ตาม!
ระบบห้ามล้อ เป็นแบบ ดิสก์เบรก ทั้ง 4 ล้อ จานคู่หน้าและหลัง มีเส้นผ่าศนย์กลาง 320 และ 340 มิลลิเมตร เสริมการทำงานด้วยระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock Braking System) และระบบกระจายแรงเบรกตามน้ำหนักบรรทุก EBD (Electronics Brake Force Distribution)
สำหรับรุ่น EX และ SXL สิ่งที่เพิ่มเข้ามาในคราวนี้ คือ ระบบเพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน BAS (Brake Assist) ระบบควบคุมเสถียรภาพในขณะเข้าโค้ง ESC (Electronic Stability Control) พร้อมระบบป้องกันล้อหมุนฟรีขณะออกตัวบนพื้นลื่น TRC (Traction Control) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC ระบบเบรกมือสวิตช์ไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake) พร้อมระบบ Auto Brake Hold
การตอบสนองของระบบห้ามล้อ ยังคงคล้ายคลึงกับรุ่นเดิม แป้นเบรกเซ็ตมาให้มีความหนืดและน้ำหนักเบาอย่างเหมาะสม กับเท้าของทั้งผู้หญิง และผู้ชาย รวมทั้งมีระยะเหยียบที่ยาวประมาณหนึ่ง ทว่า ทันทีที่คุณเหยียบเบรกลงไปประมาณ 20 – 30% แรก รถจะเริ่มหน่วงความเร็วลงมานิดหน่อย เพียงแต่ว่า อาการเบรกจนหัวทิ่ม เมื่อเพื่มน้ำหนักเท้าลงไปที่แป้นถึง 50% นั้น ลดลงไปแล้ว ภาพรวมถือว่าแป้นเบรก ตอบสนองได้ Linear ขึ้น นิดนึง นอกนั้น เหมือนๆรุ่นเดิม
อย่างไรก็ตาม ในช่วงความเร็วสูง ก็ยังคงต้องใช้ความระมัดระวัง ไม่เหยียบเบรกลึกจนเกินไป โดยเฉพาะในขณะเข้าโค้งบนทางด่วน อาจเผลอเหยียบเบรกลึกไป จนระบบ BAS ทำงาน และทำให้หน้ารถจิกขึ้น จนท้ายรถเป๋ออกได้
ด้านความปลอดภัย หลังจากที่เราตำหนิไปว่า รถรุ่นเดิม ใส่อุปกรณ์ความปลอดภัยมาให้น้อยมากกกก เมื่อเทียบกับรถยนต์ยุคสมัยเดียวกันในปัจจุบัน คราวนี้ Yontrakit Kia Motors เลยนั่งติ๊กกากบาท เลือกอุปกรณ์ใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาให้ใน รุ่น Minorchange อีกมากพอสมควร
มีทั้ง ถุงลมนิรภัย เพิ่มจาก คู่หน้า 2 ใบ เป็น 6 ใบ (เพิ่มถุงลมนิรภัยด้านข้างคนขับและผู้โดยสารด้านหน้าซ้าย และม่านลมนิรภัยทั้ง 2 ฝั่ง) จุดยึดเบาะนิรภัยมาตรฐาน ISOFIX ติดตั้งไว้บนเบาะแถว กลาง ทั้ง 2 ฝั่ง
นอกจากนี้ยังเพิ่ม ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในมุมอับสายตา Blind Spot Detector โดยจะขึ้นสัญญาณเตือนที่มุมบนด้านนอกของกระจกมองข้างทั้ง 2 ฝั่ง เมื่อเปิดไฟเลี้ยว เตรียมเปลี่ยนเลน หากมีรถยนต์แล่นมาด้านข้าง ขณะที่เรากำลังจะเปลี่ยนเลน ระบบจะส่งสัญญาณเสียงค่อนข้างดัง เตือนให้ระวังเพิ่มขึ้นไปอีกด้วย สามารถกดปุ่มปิดการทำงานได้ ที่สวิตช์ใต้ช่องแอร์ฝั่งขวาสุดด้านคนขับ
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีเซ็นเซอร์รอบคันสำหรับเตือนขณะถอยหลังเข้าจอด กล้องมองภาพด้านหลังรถ ซึ่งมีเลนช่องจอดเปลี่ยนทิศได้ตามการหมุนของพวงมาลัย และมาพร้อมกับระบบ Rear Cross Traffic Alert แจ้งเตือนเมื่อมีรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ หรือวัตถุ คน สัตว์ สิ่งของ แล่นตัดผ่านด้านหลังรถขณะกำลังถอยออกจากช่องจอด (อุปกรณ์นี้ ในโบรชัวร์เวอร์ชันไทย ไม่ได้ระบุไว้ว่ามี แต่เมื่อเรามาทดลองใช้งานจริง เราพบว่า เขาติดมาให้จากโรงงานแล้ว!…เออ อย่างนี้ก็มีวุ้ย)
ทั้งหมดข้างบนนี้ ถูกติดตั้งใน โครงสร้างตัวถังแบบเดิม ที่ได้รับการออกแบบให้กระจายแรงปะทะจากการชนได้ดียิ่งขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการเลือกใช้เหล็กแบบ AHSS (Advanced High Strength Steel) จาก Hyundai Steel มากถึง 52% จากโครงสร้างตัวถังทั้งหมด
********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********
ในเมื่อจุดประสงค์สำคัญที่สุดของการเปลี่ยนมาใช้เกียร์ลูกใหม่ คือการเพิ่มความประหยัดน้ำมันขณะขับขี่ทางไกลให้มากขึ้น ดังนั้น เรามาดูกันดีกว่า ว่า Grand Carnival 8AT ใหม่ คันนี้ จะทำตัวเลขความประหยัดได้ดีขึ้นหรือไม่
เรายังคงใช้วิธีการทดลองตามมาตรฐานดั้งเดิม คือการพารถไปเติมน้ำมัน Diesel Techron Power-D ที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex บนถนนพหลโยธินใกล้กับ สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ ในช่วงกลางคืน
อย่างไรก็ตาม ลูกค้าที่ซื้อรถตู้แบบนี้ มักไม่ได้ซีเรียสกับตัวเลขกันมากขนาดนั้น เราจึงตัดสินใจเติมน้ำมัน แค่ให้หัวจ่ายตัดการทำงาน ก็พอ ไม่ต้องเขย่ารถ อย่างเช่นที่ต้องทำกับรถยนต์นั่งต่ำกว่า 2,000 ซีซี และรถกระบะ ให้ปวดเมื่อยไปทั้งตัวโดยไม่จำเป็น
สักขีพยานและผู้ช่วยทดลอง ยังเป็นน้อง เติ้ง Kantapong Somchana จากกลุ่ม The Coup Team ของเรานั่นเอง น้ำหนักตัว 48 กิโลกรัม
เมื่อเราเติมน้ำมันจนเต็มถังขนาด 80 ลิตร เราก็คาดเข็มขัดนิรภัย ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ เซ็ต Trip Meter : 0 ด้วยการกดเลือก Menu หน้าจอ ไปที่ มาตรวัดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ซึ่งจะรวม Trip Meter ไว้ในนั้นเสร็จสรรพ แล้วกด Hold ค้างไว้ จนถึงเลข Reset ทั้งหมด
จากนั้น ออกรถ เลี้ยวกลับบนถนนพหลโยธิน เลี้ยวซ้ายลัดเลาะไปตามซอยอารีย์ โผล่ออกปากซอย โรงเรียนเรวดี เลี้ยวซ้าย มุ่งสู่ถนนพระราม 6 เพื่อเลี้ยวขวาขึ้นทางด่วน ขับไปเรื่อยๆ จนสุดปลายทางด่วนสายอุดรรัถยา ที่ด่านบางปะอิน ก่อนเลี้ยวกลับย้อนขึ้นทางด่วนสายเดิม ขับกลับมาเข้ากรุงเทพฯกันอีกครั้ง
เรายังคงเดินทางโดยยึดมาตรฐานการทดลองดั้งเดิมคือ ใช้ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน คราวนี้ เราเปิดระบบควบคุมความเร็ว Cruise Control เพื่อรักษาความเร็ว ให้ นิ่งยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม คราวนี้ ระบบ Cruise Control ของ Kia ที่ผมเคยชื่นชมว่า สามารถรักษารอบเครื่องยนต์ กับความเร็วในแบบเดียวกับรถยุโรป โดยไม่ต้องทดเกียร์ลงช่วย ขณะเจอเนินลาดชันของทางด่วนบ้านเรา
กลับกลายเป็นว่า คราวนี้ เกียร์จะสั่งตัดเปลี่ยนลงมา 1 ตำแหน่ง เร่งรอบเครื่องยนต์ขึ้นไปเป็น 2,200 รอบ/นาที เพื่อรักษาความเร็วรถไว้ หมายความว่า เครื่องยนต์จะมีกำลังฉุดลากในบางเกียร์ ไม่มากพอ เมื่อขึ้นทางชัน จึงต้องลดเกียร์ลงมาช่วยทดรอบเครื่องยนต์
เมื่อถึง ทางลง จากทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เราเลี้ยวซ้าย เข้าสู่ถนนพหลโยธิน เลี้ยวกลับที่ใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex พหลโยธิน กันอีกครั้ง เพื่อเติมน้ำมัน Diesel Techron Power D ให้เต็มถัง เอาแค่เพียงให้หัวจ่ายตัดก็พอ เหมือนครั้งแรกที่เริ่มต้นทดลอง
ผลการทดลองออกมาดังนี้
ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด Trip Meter อยู่ที่ 92.4 กิโลเมตร (เท่ารุ่นเดิมเป๊ะ)
ปริมาณน้ำมัน Diesel Techron Power D เติมกลับ 5.46 ลิตร (ลดลงจากรุ่นเดิมที่เติมกลับ 6.17 ลิตร)
คำนวณแล้ว ได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 16.92 กิโลเมตร/ลิตร
ประหยัดน้ำมันขึ้นเกือบ 2 กิโลเมตร/ลิตร เลยทีเดียว!
ตัวเลขที่ออกมา ถือว่าเป็นไปตามความคาดหวังของทีมวิศวกร ในการเปลี่ยนมาใช้เกียร์ลูกใหม่ชัดเจน! จากเดิมที่เคยเป็นรถตู้ที่ประหยัดน้ำมันมากสุดในกลุ่มอยู่แล้ว คราวนี้ ตัวเลขความประหยัด ยิ่งโดดเด้งขึ้นไปกว่าเดิมอีกจนทิ้งห่างคู่แข่งในระดับเดียวกันไปไกลโข
********** สรุป **********
Surprise MPV เพื่อพ่อบ้านแม่บ้านตีนผี ที่อัด Option จนแน่นขึ้นเยอะ
การปรับโฉม Minorchange ของ Kia Grand Carnival ครั้งนี้ ทำใหตัวรถคันเดิมที่ขับดีอยู่แล้ว เพิ่มความน่าสนใจขึ้นไปอีก เพราะเมื่อกาง Catalog ดู จะพบว่า หลายสิ่งหลายอย่างที่เคยอยากให้ทาง Yontrakit Kia Motors นำไปปรับปรุงต่อนั้น มาคราวนี้ พวกเขาทำได้ดีทีเดียว การเลือกสเป็กให้กับ Grand Carnival เวอร์ชันไทย ครั้งนี้ ถือว่า ช่วยดับจุดลบ ครบทุกจุดด้อย ได้ดีขึ้น และทำให้รถตู้รุ่นใหม่ ดูน่าคบหามากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
จริงอยู่ว่า การเปลี่ยนมาใช้เกียร์ลูกใหม่ อาจทำให้ตัวเลขอัตราเร่งทั้งช่วง 0 – 100 และ 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้อยลงไปราวๆ 0.4 – 0.5 วินาที…แต่..เดี๋ยวนะ…ตัวเลขที่ออกมา ก็ยังคงพิสูจน์ให้เห็นว่า Grand Carnival ใหม่ ก็แซงชาวบ้านชาวช่องเขาขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งจ่าฝูงของรถตู้ พิกัดไม่เกิน 3,000 ซีซี ครองบรรลังก์แชมป์ในกลุ่มนี้ตามเดิม แม้จะปล่อยให้ Toyota Alphard / Vellfire V6 3.5 ลิตร เขาแซงไปก่อน (เพราะเครื่องเขาก็แรงกว่าจริงๆนั่นแหละ แรงพอๆกับราคาขายปลีกรวมภาษี คันละ 5 ล้านกว่าบาทนั่นเลย!)
อีกทั้ง ตัวเลขที่ด้อยลง 0.5 วินาที ในคราวนี้ ผมกลับมองว่า มันไม่ได้เป็นประเด็นใหญ่โตอะไรเลย เพราะลักษณะและบุคลิกการตอบสนองของเครื่องยนต์ และระบบส่งกำลัง ยังคงทันอกทันใจดีตามเดิม ถึงแม้คันเร่งจะแอบช้าไปบ้าง แต่ถามหน่อยเถอะ มีใครเอารถตู้คันเท่าบ้านแบบนี้ ไปไล่บี้ Honda Civic RS Turbo หรือ Mazda 2 Diesel กันบ้าง? นอกจากพ่อบ้านโรคจิตบ้าพลัง! รถตู้แบบนี้ เขาเอาไว้ให้ขับใช้งานรับส่งลูกหลานไป-กลับจากโรงเรียน หรือพาครอบครัวไปเที่ยวต่างจังหวัด ไม่ได้ให้เอาไปซัดกับใครเขา พละกำลังที่มีมาให้ ใช้เพื่อการเร่งแซงจากสถานการณ์คับขันต่างหาก ดังนั้น ตัวเลขและการตอบสนองของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังลูกใหม่ ทำได้ขนาดนี้ ก็ดีถมถืดแล้วหละ! ถ้าอยากซิ่งกว่านี้…โน่นครับ…Ferrari , Lamborghini ในโรงรถของบ้านคุณนั่นแหละ ต้องเป็นรถพวกนั้น!
ยิ่งมาเจออุปกรณ์ความปลอดภัยที่อัดมาให้เต็มเหนี่ยวแบบนี้ เมื่อเทียบกับค่าตัวที่เพิ่มขึ้น ตามรายละเอียดในบทความของน้อง Moo Cnoe (Click Here) รุ่น LX 1,622,000 บาท รุ่น EX 1,991,000 บาท และ SXL ที่เห็นในบทความนี้ 2,292,000 บาท ก็น่าจะเห็นภาพว่า รถตู้รุ่นใหม่นี้ มันดูน่าใช้ยิ่งขึ้น คุ้มต่อเม็ดเงินที่ลงทุนไปมากขึ้น หากมองแค่ตัวรถโดยลำพัง
ผมชื่นชมรถตู้รุ่นนี้ ด้วยความรู้สึกที่ มองว่า นี่มันไม่ใช่รถตู้จากเกาหลีใต้ในแบบที่เราคุ้นเคยในอดีตอีกต่อไป มันเป็นรถตู้อเนกประสงค์ MPV ที่ให้การขับขี่ ไม่ได้แตกต่างไปจากรถเก๋งขับนุ่มๆ สักคัน บุคลิกต่างๆ มากนัก แอบจะกระเดียดคล้ายคลึง ใกล้เคียงกับรถยุโรปมากขึ้นเยอะ แถมยังขนผู้คน เข้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าและบรรดาสมบัติบ้าหอบฟางได้มากกว่าแยะ
อย่างไรก็ตาม มันก็ยังพอจะหลงเหลือข้อด้อยบางอย่าง ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว เป็นเรื่อง รูปแบบของเบาะนั่งแถวหลัง ที่ไม่สบายเท่าไหร่ และ จำเป็นต้องออกแบบไว้เพื่อให้ผ่านข้อกำหนดของกฎหายบ้านเรา ที่บังคับใหรถตู้ ต้องมี 11 ที่นั่ง จึงจะเสียภาษีได้ถูกลง รวมไปถึงพนักศีรษะที่แอบดันศีรษะหน่อยๆ รวมทั้งรายละเอียดด้านการออกแบบปลีกย่อยอื่นๆ อีกเล็กน้อย ทั้งหมดนี้ อาจจะยังไม่สามารถปรับปรุงได้ทันทีในตอนนี้ และอาจต้องรอจนถึงรุ่นเปลี่ยนโฉม ใหม่ Full Modelchange ที่คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในเกาหลีใต้ ช่วงปลายปี 2019 – 2020 ซึ่งน่าจะเป็นรุ่นที่สมบูรณ์ขึ้นได้อีก
ถึงกระนั้น พูดกันตรงๆก็คือ คุณคิดว่า จะหารถตู้คันละ 1.5 – 2 ล้านบาท ต้นๆ รุ่นไหน ที่ให้ลูกเล่นมาเยอะ จนคุ้มค่าคุ้มราคาขึ้นมากว่ารุ่นเดิมอย่างนี้อีกบ้าง?
Hyundai H-1 ผู้ยืนหยัดอยู่ในตลาดบ้านเรามาครบ 10 ปี พอดี? หรือจะเป็น ฝาแฝดสุดหรู Toyota Alphard / Vellfire? ที่เจอภาษีเข้าไป ทำให้ค่าตัวแพงกระโดดขึ้นไปเยอะ หรือจะหันไปคบกับ Ssangyong Starvic ซึ่งก็หลงเหลือให้จำหน่ายไม่มากแล้ว ตัวเลือกที่เหลืออยู่ในตลาดกลุ่มนี้ทั้งหมด มีเพียงเท่านี้
อย่างไรก็ตาม เชื่อแน่ว่าคู่แข่งร่วมชาติ ร่วมชายคา (ที่เกาหลีใต้) อย่าง Hyundai คงจะไม่ยอมอยู่เฉยๆอย่างนี้แน่ๆ เพราะ Hyundai H-1 Minorchange ก็เพิ่งจะถูกปรับโฉมไปสดๆร้อนๆ เมื่อ 25 ธันวาคม 2017 ที่ผ่านมา และมีแนวโน้มว่า จะถูกส่งเข้ามาเปิดตัวในประเทศไทย ภายในอีกไม่นานนี้ ถึงตอนนั้น เราคงต้องมารอดูกันว่า พี่เบิ้มแดนโสม หุ้นส่วนใหญ่สุดของ Kia จะมีลูกเล่นอะไรมาเรียกเสียงว้าว จากบรรดาพ่อบ้านแม่บ้าน ที่กำลังจ้องจะอุดหนุน รถตู้ 7-11 ที่นั่ง กันบ้าง
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมยังกังวลอยู่ คือ บริการหลังการขาย จริงอยู่ว่า ณ วันนี้ Kia มีโชว์รูมและศูนย์บริการรวม 17 แห่ง ทั่วประเทศ (อันที่จริง ก็มากกว่าแบรนด์รถยนต์หลายๆยี่ห้ออยู่นะ) ทว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ถ้าไม่เปิดเข้าไปเช็คใน www.kia.co.th ก็คงจะไม่รู้หรอก บางแห่ง ก็ปิดตัวไปแล้ว บางแห่ง ใช้โชว์รูมควบคู่กับแบรนด์รถยนต์ค่ายอื่นไปด้วย
ดังนั้น สิ่งที่ Yontrakit Kia Motors กำลังทำอยู่ก็คือ เฟ้นหาผู้จำหน่ายในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคใต้ ซึ่งยิ่งต้องหาโดยเร่งด่วนกันเลยทีเดียว เพื่อจะปิดช่องโหว่ประเด็นนี้ให้ได้เสียที
ไม่เพียงเท่านั้น ทีมงานของ Yontrakit Kia เอง ก็ต้องพยายาม สานสัมพันธ์กับผู้จำหน่ายทุกราย และหมั่นกระจายความรู้ ด้านการซ่อมบำรุงรถ สู่ช่างในภูมิภาคให้เตมที่มากขึ้น เพื่อให้ช่วยกันดูแลแก้ไขปัญหาของลูกค้าให้จบลงด้วยดี อย่ายึตติดกับวิธีการเดิมๆ ซึ่งเคยพิสูจน์กันมาแล้วว่า ก่อปัญหาซ้ำซาก จนกลายเป็นชนัฎติดหลังให้กับชื่อ ยนตรกิจ จนถึงทุกวันนี้
ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือ ดูแลลูกค้าให้ดี ราคาอะไหล่ ควรอยู่ในระดับที่ บริษัทก็อยู่ได้ และลูกค้าก็จ่ายไหว กำไรอาจจะน้อยลงนิดนึง แต่แลกกับการได้ใจลูกค้าระยะยาว จนถึงขั้นชวนเพื่อนฝูงมาออกรถ Kia คันใหม่ กันไปก็หลายรายอยู่เหมือนกัน
ปากต่อปากจากลูกค้าเองนี่แหละ คือเสียงยืนยันที่ดีที่สุด และเป็นวิธีที่ดีสุด สำหรับการแก้ปัญหาด้านภาพลักษณ์เก่าๆ ในอดีต และมันคือหนทางเดียวที่จะทำให้ Yontrakit Kia ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ท่ามกลางความผันผวนและกระแสนิยมของตลาดรถยนต์ในเมืองไทย ที่เปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว และเริ่มรุ่นแรงขึ้นเรื่อยๆ
ผมเชื่อเช่นนั้น…
————————///————————-
ขอขอบคุณ / Special Thanks to:
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Yontrakit Kia Motor จำกัด
เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ และอำนวยความสะดวกด้านต่างๆเป็นอย่างดี
ตารางเปรียบเทียบอัตราเร่ง และ ข้อมูลอุปกรณ์ตัวรถ โดย Moo Cnoe
ภาพถ่าย Flash Banner บนหน้าเว็บ โดย Sank Ritthiphon Saiyaprom
บทความที่ควรอ่านเพิ่มเติม
ทดลองขับรถตู้ Full Size Minivan / Van (Click Here)
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
(ภาพกราฟฟิค เป็นของ Kia Motors Corporation)
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
22 มิถุนายน 2018
Copyright (c) 2018 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
June 22th,2018
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Commets are Welcome! CLICK HERE