ถึงแม้ว่าปีนี้ Kia จะไม่ได้ขนรถยนต์รุ่นใหม่ซิง ๆ มาอวดโฉมในงาน Paris Motorshow 2014 นี้ แต่ก็ใช่ว่า Kia จะนิ่งดู
ดายปล่อยให้คู่แข่งเปิดตัวรถรุ่นใหม่แต่เพียงผู้เดียว Kia จึงต้องขนรถที่มีขายอยู่ในปัจจุบันมาปรับโฉมใหม่เพื่อเรียกความ
สดสักระลอกหนึ่งก่อน
เริ่มจากการปรับโฉมของ Kia Rio รถซับคอมแพคท์ที่มีจำหน่ายในบ้านเราด้วยที่มองเผิน ๆ เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันปรับโฉม
ตรงส่วนไหนบ้าง? ถ้าเพ่งด้วยสายตาอันแหลมคมก็พบว่ามันก็แอบมีการเปลี่ยนช่องดักลมกันชนหน้าบริเวณซ้าย-ขวา ที่มี
รายละเอียดดูซับซ้อนขึ้น, อัพเดทกระจังหน้าและเปลี่ยนกันชนท้ายใหม่
ภายในห้องโดยสารก็เพิ่มโทนสว่างด้วยโครเมี่ยมรอบกรอบช่องแอร์, เปลี่ยนรายละเอียดแผงแดชบอร์ดกลางบริเวณปุ่ม
ปรับเครื่องเสียง นอกจากนี้ยังติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ที่เร่งสปีดการประมวลผลและการคำนวณระยะทางให้เร็วขึ้น
รองรับวิทยุ DAB และระบบนำทางวิดีโอ-เสียงแบบใหม่
เครื่องยนต์กลไกมีให้เลือกตั้งแต่ 75 แรงม้าจนถึง 109 แรงม้า มีให้เลือกเกียร์ธรรมดา 5-6 จังหวะและเกียร์อัตโนมัติ 4
จังหวะ ทุกเครื่องยนต์มาพร้อมกับระบบ ISG เจเนเรชั่นที่สองที่พ่วงกับระบบสตาร์ท-ดับเครื่องอัตโนมัติ, ระบบควบคุมตัว
กำเนิดไฟฟ้าสลับ, อัพเกรดมอเตอร์สตาร์ทเตอร์และเปลี่ยนไปใช้ยางที่ความต้านทานต่ำ
คันต่อมา Kia Venga Minorchange ที่เปลี่ยนแปลงจากมินิแวน 5 ที่นั่งหน้าตาจืดให้กลายเป็นรถพ่อบ้านที่มีหน้าตา
กระชุ่มกระชวยเล็กน้อย โดยมีความเปลี่ยนแปลงที่มีการปรับขนาดกระจังหน้าใหญ่ขึ้นพร้อมทั้งย้ายตำแหน่งโลโก้เหนือ
กระจัง, เปลี่ยนกันชนหน้าให้ดูสปอร์ต, ติดตั้ง DRL LED ในขณะที่บั้นท้ายก็เพิ่มแถบโครเมี่ยมเหนือป้ายทะเบียน, ไฟท้าย
LED และเปลี่ยนล้ออัลลอยเป็นขนาด 17 นิ้ว
ภายในห้องโดยสารก็จะเปลี่ยนบรรยากาศโดยการใช้วัสดุสีอ่อนเพิ่มขึ้น, มีออพชั่นเสริมจำพวก ระบบอุ่นพวงมาลัย,
หน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้วที่ประมวลผลรวดเร็วขึ้น
Kia Venga Minorchange จะมีเครื่องยนต์ขนาด 1.4 ลิตร และ 1.6 ลิตรทั้งเบนซินและดีเซล ให้กำลังตั้งแต่ 77 – 122
แรงม้า (PS) ให้เลือก ส่งกำลังขับเคลื่อนล้อหน้าผ่านเกียร์ธรรมดา 5-6 จังหวะและเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ทุกเครื่องติดตั้ง
ระบบ idle stop ในชื่อ ISG ทำให้ผ่านค่าไอเสีย Euro5 และมีการปล่อยค่าไอเสีย CO2 ต่ำสุดเพียงแค่
Kia Venga Minorchange เตรียมวางจำหน่ายทั่วยุโรปตั้งแต่ต้นปี 2015 เป็นต้นไป
และสุดท้าย Kia ขอเปิดตัว Optima T-Hybrid มีจุดขายเป็น Turbo Hybrid ตามชื่อของมันที่จับคู่เครื่องยนต์ดีเซล 1.7
ลิตรจับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่เก็บประจุแบตเตอรี่ตะกั่ว-คาร์บอนขนาด 48 โวลต์ อย่าเพิ่งแปลกใจว่าทำไมใช้
แบตเตอรี่แบบนี้อยู่ก็เพราะรถคันนี้มันเป็น Mild Hybrid นั่นเอง ไม่ใช่พวก Full Hybrid อย่างที่รถหลายรุ่นขายในไทย
เหตุผลสำคัญที่ยังใช้แบตเตอรี่แบบตะกั่ว-คาร์บอนก็เพราะว่ามันเป็นแบตเตอรี่ที่ไม่มีปัญหาเรื่องการระบายความร้อน, เข้า
กระบวนการรีไซเคิลก็ง่ายกว่า
Kia Optima T-Hybrid ติดตั้งเจเนเรเตอร์สตาร์ทเตอร์แทนที่เครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับทั่วไป นั่นหมายความว่าหาก
เครื่องยนต์ติดอีกครั้งมันก็แทบจะไม่มีเสียงและการสั่นสะเทือนเลย
นอกจากนี้ Kia ยังลงทุนเปลี่ยนไปใช้ซูเปอร์ชาร์จไฟฟ้าให้แก่เครื่องยนต์ดีเซล CRDI แทนที่เทอร์โบดั้งเดิม เพื่อช่วยเพิ่ม
กำลังและแรงบิดในทุกย่านความเร็ว โดยเฉพาะช่วยฉุดพละกำลังในรอบเครื่องต่ำ
อย่างไรก็ตาม Kia ยังไม่เปิดเผยว่ามันจะประหยัดน้ำมันเท่าไร เพราะมันยังเป็นรถ Show Car อยู่แต่ Kia ยืนยันแล้วว่า
จะต้องประหยัดกว่าและแรงกว่ารุ่นมาตรฐานราว 15-20 %
ในอนาคต Kia จะเตรียมเปิดตัวรถยนต์ Mild Hybrid เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้แก่ลูกค้าที่ต้องการรถที่ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น
และค่าบำรุงรักษาต่ำกว่า (รถที่ Kia ขายอยู่ในปัจจุบัน) โดยไม่ต้องกังวลว่าจะสูญเสียความเป็นรถยนต์คุณภาพจาก Kia
เพื่อให้ผู้ขับขี่มีความสุข, ขับขี่สะดวกสบายและรับรู้ได้ถึงคุณภาพสูง
ก็กลายเป็นว่า Kia สามารถพัฒนาจุดด้อยของ Mild Hybrid ให้กลายเป็นจุดแข็งที่ทำให้หลายคนอยากจะซื้อหากันจนได้
ที่มา : Kia