ใครว่ามินิแวนจะต้องมีภาพลักษณ์ เชย แก่ ป้า ลุง พ่อ น้า อา อย่างที่ใครเข้าใจ เห็นทีต้องไปปรับจูนความคิดกันเสียใหม่
เมื่อ Mercedes-Benz ได้ลงทุนเพิ่มความเฟี้ยวให้แก่ B-Class Minorchange จนมองเผิน ๆ นึกว่าเป็น AMG MPV เสีย
อย่างนั้น ถึงแม้ว่าภาพรวมของรถจะไม่ถือว่าเปลี่ยนไปมาก แต่ถ้ามองแค่ด้านหน้าอย่างเดียวก็พอจะมองออกเลยว่า มันก็
รู้สึกน่าดึงดูดใจเพิ่มขึ้นพอสมควร
Mercedes-Benz B-Class รุ่นปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดเพราะมียอดจำหน่ายสะสมสูงถึง
350,000 คันแล้วนับตั้งแต่เปิดตัวมาในปี 2011 จนวันนี้ B-Class ก็ต้องถึงเวลาปรับโฉมใหม่เพื่อเรียกคะแนนความสด
ใหม่กลับคืนมาด้วยเสน่ห์ใหม่ที่น่าดึงดูดใจตลอดรอบคัน
Mercedes-Benz B-Class Minorchange มีการยกใบหน้าใหม่หมดจดที่ดูลงตัวกว่ารุ่นเดิมพอสมควร มองเผิน ๆ นึกว่า
เป็นการจับนำใบหน้าของ CLA มาสวมใส่เลยด้วยซ้ำ เพิ่มความพิเศษเหนือใครด้วยไฟหน้าแบบ LED เต็มรูปแบบ (เป็น
ออพชั่นเสริม ส่วนรุ่นไฟฟ้าและติดแก๊ซจะไม่มีให้เลือก) พร้อมไฟท้าย LED แบบ Bi-Color
ภายในห้องโดยสารก็มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดการตกแต่งในบางจุด อาทิ การหันมาเปลี่ยนมาใช้หน้าจอสัมผัสขนาด
8 นิ้วแทนที่ของเดิมที่มีขนาดเล็กกว่า, เปลี่ยนทรงพวงมาลัยใหม่, เปลี่ยนดีไซน์ปุ่มกดเครื่องเสียงและยังเพิ่มไฟบอก
บรรยากาศถึง 13 สีอีกด้วย
ระบบความปลอดภัยก็เป็นจุดขายสำคัญของ Mercedes-Benz B-Class Minorchange มันมาพร้อมกับระบบ
COLLISION PREVENTION ASSIST PLUS ระบบเบรกอัตโนมัติป้องกันการชนที่ทำงานร่วมกับ ATTENTION ASSIST ที่
คอยตรวจจับวัตถุถึง 5 ระดับ รองรับการตรวจจับระหว่างความเร็ว 60 -200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
อินเตอร์เฟซหน้าจอ Telematics มีความน่าสนใจมากขึ้นด้วยภาพอนิเมชั่นและจำลองภาพการใช้งานภายใต้ขนาด
หน้าจอขนาดใหญ่ ที่มาพร้อมกับระบบการเชื่อมต่อบริการ Mercedes-Benz Connect Me ที่รองรับการบริการ
หน่วยกู้ภัยฉุกเฉิน, ข้อมูลบำรุงรักษาและการจัดการอื่น ๆ ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุระบบจะเรียกไปยังศูนย์บริการฉุกเฉิน
พร้อมพิกัดและสภาพของรถไปยังหน่วยศูนย์กู้ภัยเบื้องต้น
Mercedes-Benz C-Class B180 จะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร 122 แรงม้า (hp) ที่ 5,000 รอบต่อนาที แรงบิด
สูงสุด 200 นิวตันเมตรที่ 1,250-4,000 รอบต่อนาที มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 5.6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอ
เสีย CO2 129 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 9.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อ
ชั่วโมง
แต่ถ้าเป็นรุ่น B180 Blue Efficiency ใช้เครื่องแบบเดียวกันแต่จะประหยัดน้ำมันสูงสุด 5.2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อย
ค่าไอเสีย 122 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 9.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตรต่อ
ชั่วโมง
B200 ใช้เครื่องยนต์ตัวเดียวกับ B180 แต่จะแรงถึง 156 แรงม้า (hp) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตรที่ 1,250-4,000 รอบ
ต่อนาที มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 5.6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ที่ 130 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราเร่ง
0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 8.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
B220 4Matic ติดตั้งเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 184 แรงม้า (hp) แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตรที่ 1,200-4,000 รอบต่อนาที
มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 6.5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ที่ 151 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100
กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 7.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 225 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
B250 ติดตั้งเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร 155 แรงม้า (hp) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตรที่ 1,200-4,000 รอบต่อนาที มีอัตรา
สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 6.6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ที่ 141 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร
ต่อชั่วโมงภายใน 6.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล B160 CDI จะติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตรจาก Renault 90 แรงม้า (hp) ที่ 2,750-4,000 รอบ
ต่อนาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 4.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร
ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ที่ 108 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 14 วินาที ความเร็วสูงสุด 180
กิโลเมตรต่อชั่วโมง
B180 CDI จะติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตรจาก Renault ให้กำลัง 109 แรงม้า (hp) ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิด
สูงสุด 260 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 4.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอ
เสีย CO2 ที่ 108 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 11.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 190 กิโลเมตร
ต่อชั่วโมง
B180 CDI Blue Efficiency เครื่องตัวเดียวกับ B160 CDI และ B180 CDI ให้กำลัง 109 แรงม้า (hp) ที่ 4,000 รอบต่อ
นาที แรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 3.6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร
ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ที่ 94 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 11.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 190
กิโลเมตรต่อชั่วโมง
B200 CDI ติดตั้งเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ให้กำลัง 136 แรงม้า (hp) ที่ 3,200 – 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 300 นิว
ตันเมตรที่ 1,400 – 3,000 รอบต่อนาที มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 4.3 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ที่
111 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 9.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
B220 CDI ติดตั้งเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร ให้กำลัง 177 แรงม้า (hp) ที่ 3,600 – 3,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 นิว
ตันเมตรที่ 1,400 – 3,400 รอบต่อนาที มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 4.1 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ที่
107 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 8.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 224 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
B-Class Electric Drive ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 180 แรงม้า แรงบิด 340 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อ
ชั่วโมงภายใน 7.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วน B 200 Natural Gas Drive ติดตั้งเครื่องยนต์ 4
สูบ 2.0 ลิตร ให้กำลัง 156 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตรที่ 1,250 – 4,000 รอบต่อนาที
กำหนดส่งขึ้นโชว์รูมจะมีขึ้นในวันที่ 29 พฤศจิกายนนี้ และคาดว่าในไทยน่าจะได้ใช้กันในอีกไม่นานนัก
ที่มา : Worldcarfans