ในปัจจุบัน เราจะเห็นได้ว่ามีผู้ผลิตรถยนต์ระดับตำนานหลายค่ายที่ลุกขึ้นมาพูดว่า
“พวกเราน่าจะทำรถเจนเนอเรชั่นต่อไปให้มีข้อดีของรถรุ่นก่อนๆบ้าง เอาความสุขคืนวันก่อนกลับมาสู่ยุคปัจจุบันบ้าง”
จะว่าไปแล้วมันก็คือการกลับไปสู่แนวคิดพื้นฐานในการทำรถยนต์ให้ขับสนุก Back to Basic for More Fun นั่นเอง
ซึ่งที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่า Toyota/Subaru ก็ใช้แนวคิดนี้กับ 86/BRZ และ Mazda เองก็ใช้แนวคิดที่คล้ายกัน
ในการสร้างรถสปอร์ต MX-5 ตัวใหม่ พวกเขาจะใช้ไม้ตายจากการลดน้ำหนักตัว และขนาดที่กระทัดรัดซึ่งจะส่งผล
ให้เกิดความคล่องตัวและทำให้ผู้ขับสนุกสนานไปกับตัวรถได้มากขึ้น (เมื่อเทียบกับรุ่นที่แล้ว)
วันนี้ Mazda ก็ได้เปิดเผยโฉม All New Mazda MX-5 หรือ Miata เจนเนอเรชั่นที่ 4 โดยให้แนวคิดการพัฒนาใหม่ว่า
เป็นรถโรดสเตอร์ที่เป็นตัวแทนปรัชญาความเป็น Mazda เป็นยานยนต์ที่สร้างมาเพื่อผู้แสวงหาความสุขในการขับขี่ และชื่นชอบ
บุคลิกการตอบสนองอย่างที่เคยได้สัมผัสจาก MX-5 โฉมแรก ดังนั้นจึงมีจุดมุ่งหมายที่การพัฒนากลับไปสู่ความเรียบง่าย แต่
ขณะเดียวกันก็ต้องใส่ในเรื่องสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยให้มากกว่า MX-5 โฉมแรกเช่นกัน ที่สำคัญ All New MX-5
จะบรรจุเทคโนโลยี SkyActiv ลงไปด้วย
ดีไซน์ของ All New Mazda MX-5 จะยึดหลักแนวการออกแบบ Kodo Design สัดส่วนที่ทำให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
โดดเด่นขึ้นเมื่อมองจากภายนอก ส่วนภายในก็ได้รับการออกแบบให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่ามีจอ Mazda Connect
ขนาด 7 นิ้วมาให้ และบรรยากาศของภายในโดยรวมจะเป็นการผสานสถาปัตยกรรมแบบที่เราพบได้ใน Mazda รุ่นใหม่ๆ
เข้ากับเอกลักษณ์ของ MX-5 ที่เป็นมาตลอด เช่นตำแหน่งการขับขี่ที่ต่ำ และอุโมงค์เกียร์ที่สูงระดับเข่า ทั้งหมดทำไปเพื่อ
ให้ความรู้สึกห่อหุ้มตัวผู้ขับและผู้โดยสาร เหมือนชุดเล่นกีฬาที่พอดีตัว
ในด้านเทคนิค ไม่ต้องสงสัยเลยว่ารถคันใหม่ยังใช้ปรัชญา Jinba-Ittai ในการสร้างความรู้สึกให้ผู้ขับเป็นหนึ่งเดียวกับรถ
ทั้งการพยายามลดจุดศูนย์ถ่วงของตัวรถ การหดฐานล้อให้สั้นลง ขยับล้อหน้าไปด้านหน้ารถมากขึ้น ลดโอเวอร์แฮงหลังลง
ตัวรถโดยรวมสั้นลง ใช้ล้อและยางขนาดเล็กลง ทั้งหมดนี้ ทำให้ตัวรถมีขนาดที่พอดีพอเหมาะ และมีน้ำหนักที่เบาลงกว่าเดิม
ถึง 100 ก.ก. โดยประมาณ ซึ่งทั้งหมดนี้ เมื่อรวมกับการกระจายน้ำหนักหน้า/หลังที่ยังคงเป็น 50/50 เหมือนเดิม จะทำให้
MX-5 เป็นรถที่สามารถบังคับควบคุมได้ดังแขนขา สนุกได้โดยไม่ต้องพึ่งพาพลังหลายร้อยม้า
สำหรับขุมพลังที่จะใช้นั้น เบื้องต้นคาดว่าจะเป็นเครื่อง 2.0 ลิตร Direct Injection จับคู่กับระบบส่งกำลังแบบเกียร์ธรรมดา
6 จังหวะ หรืออัตโนมัติ 6 จังหวะ และอาจมีความเป็นไปได้ในการนำเครื่องเล็กขนาด 1.5 ลิตรมาใช้กับรถรุ่นนี้เพื่อทำราคา
ให้ถูกลง ขยายกลุ่มตลาดได้กว้างขึ้น
กำหนดการขายเวอร์ชั่นพวงมาลัยขวานั้น wheelsmag.com.au ได้กล่าวว่าลูกค้าที่ออสเตรเลียจะมีโอกาสได้ขับกันในปี
2015 ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น พวกเราที่เมืองไทยก็คงได้มีโอกาสสัมผัสกัน
ที่มา : Mazda/wheelsmag.com.au