ทั้ง Jaguar และ Land Rover น่าจะเป็นค่ายรถยนต์อีกคู่หนึ่งที่สามารถลบคำสบประมาทจากนักวิเคราะห์บางคนว่ามัน
จะไม่ประสบความสำเร็จแน่ถ้าหากอยู่ภายใต้ชายคา Tata Motor แต่เผอิญว่าสิ่งที่เห็นต่อหน้าในวันนี้และในอดีตเพียง
แค่ 1-2 ปีที่ผ่านมาก็ทำให้พวกเราได้รู้กันว่า Tata Motor ก็มีหลักการบริหารและสามารถแยกอำนาจในการจัดการได้
อย่างเด็ดขาดจึงทำให้ทั้ง Jaguar และ Land Rover กลายเป็นแบรนด์รถยนต์ดาวรุ่งในยุคนี้กันเลยทีเดียว
ในวันนี้ ทั้ง Jaguar และ Land Rover ก็ยังไม่ยอมที่จะหยุดพัฒนาตัว พวกเขาก็สรรหาประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ ให้แก่โลกใบนี้ด้วย
เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด 3 ประการ
เริ่มจากเทคโนโลยี “Virtual Windscreen” หน้าจอแสดงผลจำลองเหตุการณ์บนหน้ากระจกบังลมหน้าเพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่
พัฒนาการขับขี่ทั้งบนถนนและสนามแข่ง ไม่ว่าจะเป็นโหมดแถบสีบนเลนที่เราวิ่งอยู่ เมื่อเป็นเหตุปกติแถบสีบนถนนจะ
ปรากฏเป็นสีเขียว แต่เมื่อคาดว่ามีรถจ่อใกล้ชิดเรามากเกินไปหน้าจอก็จะปรากฏแถบสีแดงเพื่อให้ผู้ขับขี่เตรียมแตะเบรค
และแต่เมื่อรถคันหน้าค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากเราไปจนเกือบพ้นขีดอันตราย
โหมดหน้าจอแสดงภาพ “รถลาง ๆ “ คล้ายรถผีซึ่งเกิดจากการบันทึกการขับบนสนามแข่งรอบที่ผ่านมาของผู้ขับขี่ หรือ
นักขับขี่ท่านอื่นที่อัพโหลดไฟล์ข้อมูลไว้ และโหมดกรวยถนนจำลอง เพื่อช่วยฝึกฝนการขับขี่
เทคโนโลยีต่อมา ระบบอัจฉริยะเรียนรู้ด้วยตนเอง ที่เปลี่ยนโลกของการใช้รถยนต์ใหม่ทั้งหมด จากเดิมที่ผู้ขับขี่ต้องปรับตัว
เข้าหารถกลายเป็นว่าตัวรถเองนี่แหล่ะที่จะเป็นผู้เรียนรู้ผู้ขับขี่มากที่สุดด้วยสมองจักรกลอัจฉริยะซึ่งระบบจะจดจำพฤติกรรม
ผู้ขับขี่เอาไว้ทั้งหมดจนสามารถทำนายการใช้รถออกมาได้
รถอัจฉริยะจะจดจำผู้ขับขี่จากสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์อื่น ทันทีที่เปิดประตู กระจกมองข้าง, พวงมาลัยและเบาะจะถูกปรับ
ตามค่าที่เคยตั้งไว้อัตโนมัติ รวมทั้งปรับอุณหภูมิห้องโดยสารตามที่ตั้งค่าเอาไว้ แต่มันก็อัจฉริยะพอที่เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
เมื่อรู้ว่าข้างนอกมีหิมะหรือฝนตก
“ผู้ช่วยอันชาญฉลาด” จะตรวจดูตารางของแต่ละวันและจะตั้งเป้าแผนที่นำทางล่วงหน้าขึ้นอยู่กับสภาพการจราจรและเพื่อ
หลีกเลี่ยงการจราจร หลังจากนั้นระบบก็จะทำนายสถานที่ที่จะไปต่อ
ตัวรถสามารถเรียนรู้ได้อีกด้วยว่า เมื่อผู้ขับขี่วางแผนจะเข้าไปออกกำลังในยิม ตัวรถก็จะปรับอุณหภูมิภายในรถเพื่อทำ
ความอบอุ่นแก่ร่างกายก่อน และจะปรับอุณหภูมิ (Cool Down) อีกครั้งในระหว่างเดินทางกลับบ้าน และระบบก็สามารถ
ทำนายหรือคาดการณ์การส่งข้อความได้เป็นอย่างดี หากผู้ขับขี่ส่งข้อความในช่วงเวลา, สถานที่หรือการเดินทางเฉพาะช่วง
ถ้าผู้ขับขี่มีลูกในวัยเรียน ตัวรถก็ยังสามารถจดจำผู้โดยสารได้ทุกคนและจะเปิดความบันเทิงตามการตั้งค่าของแต่ละคน
นอกจากนี้ ผู้ช่วยอันชาญฉลาดก็จะตรวจดูปฏิทินและจะแจ้งเตือนผ่านข้อความโทรศัพท์ก่อนออกจากบ้านเพื่อให้รู้ว่าผู้ขับ
ขี่ต้องเก็บชุดกีฬาไว้ให้ลูก เมื่อวันนั้นเป็นวันแข่งขันกีฬาของลูก
เมื่อผู้ขับใช้โทรศัพท์ในเวลาที่แน่นอนหรือในสถานที่ที่เจาะจง ระบบก็จะทำนายพฤติกรรมนี้ได้จนระบบจะช่วยโทรออกให้
และถ้าผู้ขับขี่ไปสถานที่นัดหมายต่อไปช้า ระบบก็จะนำเสนอทางเลือกทั้งการโทรออกหรืออีเมล์เพื่อลดปฏิกิริยาของผู้ขับขี่
นอกจากนี้มันยังสามารถเรียนรู้พฤติกรรมการขับขี่, ระยะทางของถนนและสภาพของถนนที่แตกต่างกัน เมื่อผู้ขับขี่เปิด
ระบบ Auto Adaptive Cruise Control (AACC) ตัวรถก็จะเรียนรู้การตั้งค่าตามระยะทางและระยะการเร่งได้
สำหรับฟีเจอร์อัจฉริยะอื่น ๆ ที่ทำให้ทุกคนทึ่งก็มีดังต่อไปนี้ การแนะนำสถานีเติมน้ำมันที่ประมวลผลมาจากการใช้งานใน
อดีตและยังช่วยคำนวณน้ำมันว่าเพียงพอต่อการเดินทางในวันนี้ไหม, การคาดการณ์ทำนายการโทร, การเตือนอัจฉริยะที่
ขึ้นอยู่กับนัดหมายของผู้ขับขี่ เป็นต้น
และเทคโนโลยีสุดท้ายคือเทคโนโลยีเครื่องยนต์ Ingenium engine สำหรับรถรุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้ ที่พวกเคลม
ว่าเป็นเครื่องยนต์ที่มีกำลัง, แรงบิดและความประณีตในระดับ Class-Leading มีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะติดตั้งลงใน
รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อ, ขับหลังและขับหน้ามีน้ำหนักเฉลี่ยเบากว่าเครื่องยนต์ยุคปัจจุบันราว 80 กิโลกรัม
ตัวเครื่องยนต์ทำจากอลูเนียมน้ำหนักเบาที่มีขนาดกระบอกสูบ, ระยะชัก, ระยะห่างลูกสูบ และความจุในแต่ละกระบอกสูบ
500 ซีซีจึงทำให้ง่ายในการพัฒนาต่อยอดเป็นเครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็กกว่าหรือใหญ่กว่าได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมาก
เครื่องยนต์ Ingenium engine สามารถรองรับการพัฒนาได้ทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล และจะต้องติดตั้งเทอร์โบ
ชาร์จเพื่อช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพโดยในช่วงความเร็วต่ำ, ช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและลดค่าไอเสีย CO2
เครื่องยนต์แรกในตระกูล Ingenium engine จะเป็นเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตรเทอร์โบรหัส AJ20DD ซึ่งพวกเขาไม่ระบุ
ตัวเลขแรงม้าอะไรเลย แต่ได้เคลมเอาไว้ว่าเป็นหนี่งในเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพและมีการตอบสนองที่ดีที่สุดในกลุ่ม
เครื่องดีเซล 2.0 ลิตร
นอกจากนี้ยังมีการทดสอบความทนทานผ่านการวิ่งบนไดโน 72,000 ชั่วโมงและวิ่งบนถนน 2 ล้านกิโลเมตร
สรุปได้ว่าทั้ง Jagura-Land Rover มีพัฒนาการแบบก้าวกระโดดมากเกินกว่าที่พวกเราคาดคิดกันไม่น้อยเลย